ว่าด้วยบุญพระเวส วัดโพนไซ

1 ความคิดเห็น โดย silt เมื่อ 1 มกราคม 2010 เวลา 11:32 (เช้า) ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 1805

ไปวัดมาครับ ถือว่าได้โอกาสเข้าวัดทำบุญส่งท้ายปีเก่า ต้อนรับปีใหม่
เป็นการเข้าสู่ศักราชใหม่ ที่อิ่มอกอิ่มใจ หลังจากที่ผ่านช่วงเวลาแสนยุ่งยากวุ่นวายในช่วงก่อนสิ้นปี
ก็มีทั้งรายงานประจำปี รายงานประจำเดือน งานบุญงานกีฬาต้อนรับปีใหม่ของหลายหน่วยงาน งานแต่งงานเกือบสิบคู่ในรอบสัปดาห์สุดท้ายของปีที่ได้รับบัตรเชิญ ทำเอากระเป๋าแบนไปหลายแสน(กีบ) สามวันสุดท้ายก่อนสิ้นปีนั่งถ่างตาปั่นรายงาน รวมเวลาที่ได้หลับไม่ถึงสองชั่วโมง
ความเหนื่อยล้า บวกกับการได้ข่าวการจัดบุญพระเวสบ้านโพนไซ  ทำให้ผมยกเลิกแผนการเดินทางท่องเที่ยวช่วงวันหยุด ตั้งใจจะอยู่ทำบุญข้ามปี
ตั้งใจจริงๆ แต่ไม่รู้ว่าช่วงจังหวะไหนควรไป และจะไปร่วมทำบุญอย่างไร ก็ทุกทีเคยแต่ไปตักบาตรตอนเช้า แต่งานบุญพระเวสนี่เขามีตั้งสามสี่วัน เลยไม่รู้ว่าจะไปวันไหนดี ว่าแล้วก็สอบถาม ซักถามคนรอบข้าง ปรากฏว่าถามสิบคนก็ได้คำตอบสิบอย่าง แต่ที่แน่ๆทุกรายล้วนชวนไปกินเบียร์งานบุญพระเวสที่บ้าน ประมวลคำตอบแล้ว สรุปได้ว่า สำหรับคนหงสารุ่นใหม่ที่อายุสี่สิบห้าปีลงมา งานบุญพระเวส เป็นงานรื่นเริงเฉลิมฉลองอย่างหนึ่ง ที่มีการไปเก็บดอกไม้ป่ามาประดับวัด(พร้อมกับการกินเหล้า) การตั้งกองบุญที่บ้าน(กินเหล้ามากกว่าเก่า) การแห่ครัวทานเข้าวัด(เมามาย) จากนั้นก็มอบให้เป็นบทบาทของพระและผู้เฒ่าผู้แก่ไม่กี่คน ส่วนคนหน่มสาวก็ถือว่าหมดหน้าที่
นั่นทำให้ผมต้อง(แอบ)สังเกต และเข้าไปร่วมกิจกรรมอย่างตั้งใจ เพื่อที่จะบันทึกไว้ถ่ายทอดก่อนที่ความหมายที่แท้จริง และประเพณีที่งดงามจะเลือนหาย สิ่งที่ผมพบเห็นเป็นดังนี้
ขั้นตอนของบุญพระเวส บ้านโพนไซ เมืองหงสา
ก่อนวันแรก ประมาณ ๑ศีลใหญ่(๑๕วัน) บรรดาแม่บ้านวัยคุณป้าจะพากันพาดผ้าเบี่ยงไปเล่าบุญ บอกบุญตามหมู่บ้านต่างๆทั่วเมืองหงสา
วันเรก ๒๙ธันวา วันเก็บดอกไม้ป่า หนุ่มสาวจะพากันออกไปหาเก็บดอกไม้จากป่าชายบ้านนำมาที่วัด น้ำเมามีการบทบาท ตั้งแต่วันนี้ คนสูงวัยเล่าว่าสมัยก่อนวันเก็บดอกไม้หนุ่มสาวจะถือโอกาสได้พบปะอยู่กันตามลำพังห่างจากสายตาผู้ใหญ่ เป็นความทรงจำที่งดงามที่ได้ฟังจากป้าๆทั้งหลาย
วันที่ ๓๐ ธันวา วันประดับประดาวัด เตรียมข้าวของเครื่องใช้ในพิธี ตอนเย็นมีการแห่พระอุปคุตมาจากท่าน้ำ ด้วยความเชื่อว่าอัญเชิญท่านมาช่วยคุ้มครองให้งานบุญราบรื่น ส่วนที่บ้านที่เป็นเจ้าศรัธทาที่ตั้งกองบุญ (ปกติจะมีประมาณ ๒๐  กอง) จะเริ่มแต่งดาเครื่องไทยทาน แน่นอนงานเลี้ยง น้ำเมา ดนตรี ครบถ้วน เพื่อต้อนรับเพื่อนบ้านที่มาร่วมทำบุญ เรียกว่าการงัน(ฉลอง)กัณฑ์เทศน์
วันที่ ๓๑ธันวา ที่บ้านกองบุญมีการ “งัน”กันอย่างต่อเนื่องจนถึงยามบ่าย พอถึงเวลา

  • ตอนเที่ยงมีพิธีฮดสรงน้ำพระเณรที่วัด
  • ๔โมงเย็นก็เริ่มเคลื่อนขบวนแห่กัณฑ์ที่ประดับประดาอย่างสวยงามไปรวมกันที่วัดถวายทาน
  • จากนั้นก็หมดภาระของคนหนุ่มสาว เป็นเรื่องราวที่ผมต้องไปตามดูเองแล้วละครับ
  • ๑ ทุ่มผมพาดผ้าเบี่ยงหลบหลีกวงเลี้ยงฉลองส่งท้ายปีเก่าเกือบสิบแห่งที่พยายามเชิญชวนฉุดรั้งให้ร่วมวงด้วย ในที่สุดก็ลัดเลาะมาถึงวัดจนได้
  • ที่ศาลาวัดวันนี้ประดับประดาสวยงาม โดยเฉพาะแท่นที่พระนั่งสวดวันนี้มีผ้าขาวกางกั้นสีขาวบริสุทธิ์มีอุบาสก อุบาสิกาวัยย่างเจ็ดสิบปีนุ่งขาวหม่ขาวราวยี่สิบคนนั่งพนมมือฟังพระสองรูปสวดอยู่ ข้างหน้าของแต่ละท่านมีพานดอกไม้ธูปเทียน และจุดเทียนไว้ตลอดเวลา ผมเข้าไปนั่งข้างพ่อเฒ่าสองท่านที่นั่งกำกับฆ้องและกังสดารอยู่ ท่านหันมารับไหว้บอกว่ากำลังเริ่มกัณฑ์บั้นต้น เดี่ยวจบผูกนี้แล้วให้รอดูเขาจุดบอกไฟดอกนั่งได้สักพักเห็นมีคุณป้าคุณยายที่ไม่ได้นุ่งขาว ทยอยกันพาดผ้าเบี่ยงถือพานเข้ามาร่วมฟังเทศน์ด้วย แต่ท่านไม่ได้ขึ้นมาบนศาลามณฑลพิธี เพียงแต่เอาเสื่อมาปูรอบๆชายคา
  • ระหว่างฟังพระสวด มีแม่บ้านเอาน้ำขมมาบริการ เป็นน้ำต้มใส่บอระเพ็ดกับเกลือ
  • พระสวดจบแรก ที่คุณตาบอกว่าเป็นบทบั้นต้นจบ มีการย่ำฆ้อง และตีกังสดาร แล้วก็อาราธนาบทสวดที่สอง คุณตาบอกว่าสวดอิติปิโส ในขณะเดียวกันที่ลานวัดมีการจุดบั้งไฟดอก ถึงตอนนี้ไม่รู้คนหนุ่มสาวจากไหนกัน มาเฮบั้งไฟดอกกันอย่างสนุกสนาน ปีนี้มีศัรธทาถวายบั้งไฟ ๓ อันใหญ่ๆ เมื่อจุดเสร็จคนหนุ่มสาวก็ไปตักบาตรสวรรค์ ปีนี้ทางวัดท่านยกติ้วเซียมซีมาที่หอตักบาตรสวรรค์ด้วย
  • ระหว่างที่มีการจุดบั้งไฟ บนศาลาพระท่านก็สวดบทอิติปิโส แบบสวดคู่ต่อไป บทสวดจบหลังการจุดบั้งไฟนานพอควร ส่วนผมตอนนี้รับหน้าที่ต่อเทียนให้คุณตาสามสี่ท่าน แต่ละท่านมีพานจุดเทียนของตนเอง เทียนไขเล่มเล็กสีเหลืองจุดไม่ถึงสิบนาทีก็ไหม้หมดต้องรีบจุดเล่มใหม่ คราวนี้คุณตาตีฆ้องคุมคิวคงเห็นว่านั่งทนได้ เลยชวนอยู่ต่อให้ฟัง “บทสังกาด”ก่อน(เขียนตามคำบอกไม่ทราบที่จริง สัง-กาด เขียนอย่างไร) คุณตาคุณยายรอบๆข้างก็เชียร์ว่าให้อยู่ฟังก่อน เพราะเป็นบทสำคัญมาก
  • บทสังกาด สวดเดี่ยวโดยพระรูปใหม่ คราวนี้เป็นภาษาลาวพอฟังออก สลับด้วยคาถาบาลีเป็นช่วงๆ สำเนียงและเสียงของท่านน่าฟังมาก บางตอนมี โอ้ละหนอเล่นลูกคอลูกเอื้อนราวกับหมอลำทางยาว แต่ก็ไม่มากจนทำให้ขาดความขลัง เท่าที่ฟังไปนั่งต่อเทียนไปจับใจความได้ว่า เป็นคำกล่าวถึงที่ไปที่มาของการเทศน์มหาชาติ กล่าวถึงพญามารมาผจญพระพุทธองค์ มีพระแม่ธรณีมาบีบมวยผมให้น้ำท่วม แล้วก็กล่าวถึง ๕พันขวบพรรษาที่พระพุทธองค์มาโปรด ว่าคิดเป็นกี่วันพระใหญ่ วันพระย่อย ประมาณนั้น
  • ระหว่างฟังสวดมีคุณนายรองเจ้าเมืองมาเป็นเจ้าภาพเลี้ยงกาแฟอุ่นๆ สวดบทนี้ใช้เวลานานจนถึงสามทุ่มกว่า แล้วคุณตาก็บอกให้ผมกลับ เพราะเขาเมืองเขาเคอร์ฟิวสี่ทุ่มเดี่ยวโดนจับ ส่วนด้านบนเณรกำลังสวดอีกสองผูกคือมาลัยหมื่น กับมาลัยแสน
  • ผมแวะไปตักบาตรสวรรค์ เณรจับเซียมซีให้ได้หมายเลข ๘ ” ใบที่แปด มโหสถกับต่าว อุสาปะ อำพอนเป็นร้าง ท่านนี้ช่าง หนีจากพงพันธุ์ คิดถึงกัน แสนทุกข์แสนโศก ภัยและโรคบ่มาเบียดเบียน” สาธุ
  • ส่วนบรรดาคุณตาคุณยายทั้งหลายท่านเตรียมเครื่องนอนมานอนเฝ้ากัณฑ์ ท่านบอกว่าตีสามจะปลุกพระขึ้นมาเริ่มสวดพระเวสกัณฑ์แรก เริ่มต้นจากทศพร ไป หิมพานต์ เรื่อยๆไปจนจบที่กัณฑ์นครรวม ๑๖กัณฑ์ หากเริ่มสวดตีสามจะจบเอาตอนสี่โมงเย็น
  • ผมคงตื่นไปฟังสวดตั้งแต่กัณฑ์แรกไม่ไหว จึงฝากเงินคุณตาไว้ยี่สิบใบ วานช่วยใส่กัณฑ์เทศน์ทุกๆตอน ท่านจึงเรียกเอาบรรดาพ่อขาวแม่ขาวทั้งหลายมาให้พรเสียยืดยาว
  • ท่านบอกว่าพรุ่งนี้ว่างให้มาฟังได้ตลอดวัน แต่จะให้ดีให้เตรียมด้ายมาด้วย เพราะหากตั้งใจฟังพระสวดหากท่านสวดถึงตอนที่เป็นภาษาบาลี หรือคาถาให้ขอดด้ายไว้หนึ่งขอด เมื่อฟังจนจบให้มาดูว่าขอดได้ครบตามจำนวนคาถารึเปล่า เป็นกุศโลบายที่ท่านอยากให้ตั้งใจฟังจิตใจไม่วอกแวก

๑ มกรา ผมตื่นไปวัดอีกครั้ง ฟังพระสวดกัณฑ์จุลพล และกัณฑ์มหาพลแล้วก็กลับมาด้วยความอิ่มบุญ
ร่วมรับบุญปีใหม่กับผมนะครับ

 


ขนมลำเจียก กับคู่แฝดที่หลวงพระบาง

5 ความคิดเห็น โดย silt เมื่อ 17 ธันวาคม 2009 เวลา 10:54 (เช้า) ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 1954

๑๕ ธันวา หลังจากแว๊ปมาขอนแก่นได้ ๔๘ ชั่วโมง มีเวลาแค่ไปหาหมอ ๒ หมอ กับหาซื้อแปรงสีฟันชนิดนุ่มพิเศษ แล้วก็ต้องรีบเผ่นออกนอกประเทศ เพราะเขาหาไฟล์ที่จะนำเสนองานกับท่านเจ้าแขวงไม่เจอกัน

เที่ยวบินอุดร-หลวงพระบางที่ประกาศว่าเดลี่ไฟท์บ้าง บินเดย์๒๕๗บ้างนั้นกลับไม่มีบิน ทั้งๆที่ผมไปซื้อตั๋วเดินทางวันอังคารแท้ๆ (อันที่จริงไม่มีก็ดีไปอย่างช่วยประหยัดไปเยอะ ก็ค่าตั๋วหลวงพระบางมาอุดรเที่ยวเดียวตั้ง ๔พันกว่าบาท แต่หากข้ามไปบินเวียงจันทน์-หลวงพระบางค่าตั๋วเพียง ๒พันกว่าบาท)

คราวนี้ผมเลยใช้วิธีนั่งรถทัวร์สายขอนแก่น-เวียงจันทน์ ของ บขส. บ้านเรา สภาพรถนั่งสบายใช้เวลาเพียง ๔ชั่วโมงค่าโดยสารเพียง ๑๘๐บาท แล้วค่อยไปต่อเครื่องเที่ยวเย็นที่วัตไตไปหลวงพระบาง

๑๖ ธันวา เช้าตรู่ก่อนจะรีบนั่งรถผ่าดงฝุ่นไปข้ามน้ำโขงเพื่อประชุมที่ไชยะบุรี เจ้าลูกน้องตัวดีก็โทรมาจากหงสา สั่งซื้อพันธุ์ผักไปปลูกเพิ่มในแปลงสาธิตของเรา (น่าจะเปลี่ยนให้เป็นเจ้านายแทน…สั่งตรูเหลือเกิน..) เขาอยากได้ “โปเตแตง” คือหัวมันฝรั่ง “เม็ดหัวกาโรด”คือแครอท และ “หมากเลนจ๊ะเหย่อ”คือมะเขือเทศชนิดผลใหญ่ เอ้าจัดให้คร๊าบเจ้านาย ว่าแล้วก็วานรถให้วนกลับไปแวะซื้อให้ที่ตลาดเช้า

ซื้อของที่ต้องการเสร็จ แวะแผงขนมหวานซะหน่อย (หมู่นี้เพิ่งไปหาหมอมากินได้สบายเอาไว้ใกล้ๆจะไปเจาะเลือดรอบใหม่ค่อยอด แหะ แหะ) แล้วผมก็ไปปิ๊งเอาขนมอยู่ถาดหนึ่ง ลักษณะเป็นม้วนกลมๆ เปลือกนอกเป็นแป้งสีขาวคล้ายๆแป้งของโรตีสายไหม ใส้ข้างในเป็นมะพร้าวทึนทึกคั่วใส่น้ำตาล กัดชิมคำแรกหวานฉ่ำแทบจะละลายลิ้นไปด้วยเลยทีเดียว แต่กินได้แค่ชิ้นเดียวก็หมดความอยาก สงสัยอดของหวานมานานจนไม่คุ้นกับรสหวานๆ ถามอ้ายน้องคนขับรถ กับสาวๆญาติของเขาที่ขออาศัยรถกลับด้วยก็ไม่มีรู้จักชื่อว่าที่นี่เขาเรียกขนมอะไร ตัวเองก็ พยายามนึกว่าเคยกินขนมนี้ที่ไหนหนอ จำได้ว่าเคยได้ชิมได้ช่วยทำด้วย อร่อยกว่านี้มากแล้วก็สนุกมากๆด้วย แต่นึกไม่ออกว่าที่ไหนเมื่อไหร่ เริ่มหงุดหงิดกับความจำแบบครึ่งๆกลางๆของตัวเองจนกระทั่งรถแล่นมาได้แปดสิบกว่ากิโลมาถึงท่าเดื่อริมแม่น้ำโขง ได้เห็นเรือจอดอยู่ที่ท่าหลายลำ ภาพเรือมาเป็นตัวกระตุ้นให้นึกออกให้จำได้

ให้จำได้ว่า เหมือนกับขนมลำเจียกที่ผมเคยกินครั้งหนึ่งในชีวิตที่ อำเภอวิเศษชัยชาญบ้านพี่บางทรายนั่นเอง เคยได้ไปกินสมัยผมอยู่ปีสาม ยี่สิบปีที่แล้วโน่นแหนะ  สมัยนั้นยังไม่รู้จักพี่บูธแต่ไปแวะบ้านพี่สาวของอาจารย์ป๋า ดร.จิตติ ปิ่นทอง ได้ไปช่วยหลานสาวคุณป้าท่านทำด้วย ท่านว่าเป็นขนมที่มีขายที่เดียวที่ตลาดวิเศษฯนี้เท่านั้น จำได้ว่าวิธีทำคล้ายๆกับทำโรตีสายไหม คือเอาแป้งมาทาบนกะทะร้อนทีละแผ่น เอาใส้ที่เตรียมไว้ใส่แล้วม้วนเป็นท่อนๆ ได้กินเพียงครั้งเดียวก็ไม่เจออีก สงสัยมีขายที่เดียวอย่างที่คุณป้าท่านบอกจริงๆ จนกระทั่งมาเจอคู่แฝดของเขาในวันนี้ แต่รับรองว่าเหมือนแต่รูป ส่วนความอร่อยนั้นขนมลำเจียกกินขาดไปหลายขุม

ที่ได้ไปแวะอ่างทองนั้น เนื่องด้วยทางภาควิชาดินฯ โดยอาจารย์ป๋าท่านเป็นหัวหน้าภาคฯจัดทัศนศึกษาให้นักศึกษาทั้งภาควิชาไปเปิดหูเปิดตา ไปดูดินทั่วทุกภาคของประเทศไทยว่าต่างกันอย่างไร นักศึกษาทั้งภาควิชาฯสมัยนั้นก็มีไม่ถึงยี่สิบคนหรอกครับ เป็นพี่ปีห้าที่เรียนนานกว่าปกติ(ซูเปอร์)สามคน พี่ปีสี่สิบกว่าคน ผมปีสามคนเดียว(กว่าจะกระหน่ำขึ้นเวรสะสมวันหยุดได้พอ เล่นเอาพรรคพวกเลื่อนแล้วเลื่อนอีก) และน้องปีสองอีกหนึ่งคน รวมกับนักศึกษาแลกเปลี่ยนชาวฝรั่งอีกสี่ห้าคน พากันขึ้นรถสองแถวของคณะไป

ออกจากเชียงใหม่ จุดหมายแรกท่านพาไปเยี่ยมโครงการ “อีสานเขียว” ที่ทางมช.ได้รับผิดชอบในพื้นที่ภูเขียวจังหวัดชัยภูมิ พากันขุดดูดินชุดโคราช ดูแปลงปลูกหม่อนที่ต้องต่อสู้กับปลวกที่มากัดกินรากกินท่อนลำที่ปลูกใหม่ และไปดูการฟื้นฟูความอุดมสมบูรณ์ของป่าทำเลเลี้ยงสัตว์โดยการหว่านเมล็ดถั่วฮามาต้า

จากชัยภูมิเราก็ตีขึ้นไปจังหวัดเลย แล้วเราก็ลัดเลาะเลียบโขง สมัยนั้นยังมีด่านตำรวจทุกหนึ่งกิโลไปเยี่ยมสถานีพัฒนาที่ดินจังหวัดหนองคาย ได้เรียนรู้วิธีการจัดการที่นาที่น้ำจากแม่โขงเอ่อท่วมได้อย่างเหมาะสม ทำให้เห็นความแตกต่างของระบบภูมินิเวศที่แห้งแล้งของชัยภูมิกับ พื้นที่น้ำท่วมของหนองคาย

จุดต่อไปท่านพาแวะศึกษางานของ JICA ที่มาตั้งศูนย์วิจัยด้านดินที่ขอนแก่น ได้เห็นเครื่องทำฝนเทียมเพื่อศึกษาเรื่องการชะล้างพังทลายของดิน และชมหน้าตัดดินที่มีข้างล่างเป็นหินเกลือ พร้อมทั้งดูห้องปฏิบัติการที่มีอุปกรณ์ที่ทันสมัยวิเคราะห์ได้ถึงระดับอะตอม อันที่จริงข้อมูลด้านดินหรือไม่ว่าด้านอื่นใดก็ตาม ผมว่าเราได้มีการศึกษาเชิงวิทยาศาสตร์มามากๆแล้วที่มีข้อมูลอยู่ในมือ แต่ทำอย่างไรดีถึงจะเอาข้อมูลเหล่านั้นมาเผยแพร่มาประยุกต์ให้พี่น้องเกษตรกรใช้ประโยชน์กันได้

จากขอนแก่นท่านพาไปขุดดูไส้เดือนแถวอำเภอนาเชือก ท่านสอนว่าที่ไหนดินเค็มให้ดูว่าตัวไส้เดือนจะตัวยาวตัวโตกว่าปกติมาก แวะดูดินเค็มและคราบเกลือหน้าดิน การปลูกข้าวในดินเค็ม แล้วเราก็ไปแวะขุดดูดินชุดบรบือ ที่ตัวอำเภอบรบือ ก่อนจะนั่งรถชมทุ่งกุลาร้องไห้แล้วเลยไปนอนที่อีสานใต้ น่าจะเป็นที่วิทยาลัยครูศรีษะเกษ ที่นั่นเราสร้างวีรกรรมหนีไปเที่ยวดิสโก้กัน ตอนเช้ามาถูกป๋าอัดซะน่วม

แล้วท่านก็พาเราลัดเลาะไปโผล่ที่สถานีประมงแถวแหลมงอบ ชาวดอยได้เห็นประมงน้ำกร่อย น้ำเค็มกันก็หนนั้นแหละ เราพากันไปดูดินที่ยังดิบหรือดินที่อายุน้อยตามที่อาจารย์สอน ขุดดูดินแถวริมป่าโกงกาง ดินที่ปลูกต้นสนทะเล ชาวดอยพากันเล่นน้ำทะเลกันจนบ่าย ก่อนที่จะถูกเรียกต้อนขึ้นรถห้อตะบึงไปยังป้ายหน้า อำเภอวิเศษฯบ้านของอาจารย์เอง ถึงวิเศษฯมืดค่ำคุณป้ากับหลานสาวต้มปลาแกงปลาทอดปลาที่ซื้อมาจากทะเลกินกันจนลืมอิ่ม แล้วผมก็ไปช่วยเขาทำขนมลำเจียก ที่นี่เองเจ้าขนมลำเจียกได้บรรจุเข้าในหน่วยความทรงจำของผม ปัดโธ่เก็บไฟล์ไว้นาน จนกระทั่งมาเห็นคู่แฝดของเขาเข้าในวันนี้จึงได้รื้อฟื้น คืนนั้นนอนชานเรือนตอนหัวรุ่งสะตุ้งตื่นกับเสียงหลังคาเรือโยงขาทวนแม่น้ำน้อยขึ้นมาขนข้าว เรือเปล่าเวลาลอดใต้สะพานเสียงหลังคาเรือครูดกับท้องสะพานดังก้องคุ้งน้ำ

ตอนเช้ากินน้ำพริกกะปิแสนอร่อย กับดอกโสนลวกราดด้วยหัวกระทิ กับข้าวสวยร้อนๆ นึกแล้วยังอร่อยไม่รู้ลืม ก่อนอำลาวิเศษฯ ขึ้นมาดูดินแถวกำแพงเพชรที่มีจุดพิเศษคือมีจอมปลวกจำนวนมากจริงๆ จำได้ว่ามาถึงเชียงใหม่เวลาสี่ทุ่มเศษ มาถึงก็แวะอาบน้ำเปลี่ยนเป็นชุดขาวขึ้นเวรดึกต่อทันที

พอนึกได้นิดหนึ่ง ปรากฏว่าความจำที่ลืมเลือนมันไหลมาเป็นสายน้ำ แทบพิมพ์ไม่ทันทีเดียว รีบบันทึกไว้ก่อนที่จะลืมไปอีกรอบ แต่ก็ดูเหมือนเป็นบันทึกที่สับสนจับต้นชนปลายไม่ถูก อย่างไรก็ตามจากบันทึกอันสับสนข้างบน ผมได้ข้อสรุปสองสามประเด็นได้แก่
ประการแรก คือ ประโยชน์ของการจัดทัศนศึกษา ให้คนที่ไม่เคยเห็นได้รู้ได้เห็น อันนี้มีประโยชน์แน่นอน ต้องมีสักคนที่ได้ประโยชน์ ฉะนั้นคุณครูบาอาจารย์ทั้งหลายได้โปรดพาเด็กไปเที่ยวเสียดีๆ
ประการที่สอง คือ พิสูจน์ได้ว่าความรู้ไม่ได้มีเฉพาะในห้องเรียน
และประการที่สาม คือ คุณประโยชน์ของเครือข่าย ของสายพัวพันมิตรสหาย ผมว่าที่อาจารย์ป๋าท่านสามารถนำพาลูกศิษย์ไปเยี่ยมชมที่ต่างๆได้มากมาย ได้รับการต้อนรับอย่างดี ได้เปิดโลกทัศน์ กว้างไกล นั่นเพราะท่านมีเครือข่าย มีมิตรสหายมากมายที่พึ่งพาได้นั่นเอง

ว่าไปแล้วก็เหมือนกับคนกลุ่มหนึ่งที่ชอบไปรุมตัวกันแถวสวนป่าสตึกนะครับ ไหนๆก็ว่าแล้วก็ขอประชาสัมพันธ์เชิญชวนกันท่านผู้สนใจไปมุกดาหารในวันไทบรูลูกเผ่าของผม ประชาชนของพี่บางทรายช่วงต้นเดือนกุมภานะครับ ได้ข่าวแว่วๆมาว่าปีนี้เขาจะจัดกันอีก (สำหรับท่านที่เคยไปสัมผัสชาวไทบรูตอนเฮฯดงหลวงแล้วยังไม่จุใจ หรือสำหรับท่านที่ยังไม่เคยรู้จักไทโส้ )ใคร่ขอเชิญ 
 


แก่นตะเวน ทานตะวัน อุ่นเดือน มัดแขนแอน้อย แก้กำเนิด….เกี่ยวกันไหมเนี่ย

2 ความคิดเห็น โดย silt เมื่อ 11 ธันวาคม 2009 เวลา 8:30 (เช้า) ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 1858

ไม่รู้จะบันทึกอะไรในวันที่ชีวิตวุ่นวายช่วงเดือนสิ้นปีอย่างนี้…แต่ก็ยังอยากเขียน
วันพักเหลือเพียบ แต่กลับไม่ได้ วันนั้นต้องรอประชุมนี่ วันนี้ต้องรอประชุมโน้น  พอมีช่วงว่างตั๋วกลับไม่มี เครื่องบินน่านกรุงเทพเลิกให้บริการอีก เอ้าบ่นบ่น
เมื่อตอนเย็นนั่งเชียร์ลาวเตะบอลกับสิงคโปร์ ทางช่องลาวสตาร์ได้ภาษาฟุตบอลมาเล่าสองสามคำ
บาลเตะ คือ ฟุตบอล
บานไหม คือ ลูกโทษ
ลูกแจ๋ คือ ลูกเตะมุม
เมื่อตอนบ่ายไปเดินดูแปลงปลูกทานตะวันของพี่น้อง ดอกทานตะวันที่หงสาเรียกว่า ดอกแก่นตาเวน ครับ
เรื่องราวที่ไปที่มาของการปลูกทานตะวันที่หงสานี้เริ่มต้นเมื่อปีกลาย ผมไปเห็นปลูกอยู่ที่ริมรั้วหน้าบ้านของเจ้าสมจิตลูกน้อง (คนเดียวที่มีอยู่) เห็นออกดอกติดเมล็ดงามดี ถามดูได้ความว่านำเมล็ดพันธุ์มาจากสมัยเป็นนักศึกษาอยู่ที่วิทยาลัยเกษตรหลวงพระบาง จึงบอกให้เก็บเมล็ดไว้ขยายต่อ หลังจากฤดูเก็บเกี่ยวข้าวในนาเสร็จ ผมก็ควักกระเป๋าตัวเอง ๒๐๐๐ บาทเป็นทุนให้ไถที่ ทำน้ำหมักชีวภาพสูตรบำรุงต้น สูตรบำรุงเมล็ด และสูตรไล่แมลง  ซื้อขนมมาล่อชวนให้เด็กๆแถวนั้นมาช่วยกับปลูก มาถอนหญ้า หากวันไหนไม่มีงานก็ให้สมจิตพักงานกลับมาดูแล ผลงานของเจ้าสมจิตเข้าตาพี่น้องชาวหงสาอยู่ไม่น้อย ปุ๋ยชีวภาพสูตรของเราน่าจะได้ผล ต้นทานตะวันสูงท่วมหัวดอกบานเท่าชามใบโต เมล็ดเต็ม โดยไม่ต้องง้อโบรอนเหมือนที่เคยปลูกที่มอชอ. แปลงปลูกแก่นตาเวนของเราอยู่ใกล้ถนน แถวนั้นมีไร่แตงโมหลายเจ้า ที่เก็บแตงมาวางแผงขายริมทาง เจ้าของสวนแตงยิ้มกันหน้าบานเพราะวัยรุ่นชวนกันมาถ่ายรูป พากันซื้อแตงโมไปผ่ากินกันในแปลงทานตะวันของเรา เจ้าสมจิตรายงานว่าเมียกระเทาะได้เม็ดทานตะวันร้อยกว่ากิโล ขายกิโลละสิบพัน (๔๐บาท)ได้เงินพอสมควร
ปีนี้มีคนมาขอเมล็ดพันธุ์ไปปลูกสิบกว่ารายแล้วครับ เลยมอบหมายให้ท่านสมจิตไปสอนทำปุ๋ยชีวภาพ ขยายองค์ความรู้ ขยายสมาชิกเกษตรปลอดเคมีได้อีก นับว่าเงิน ๒๐๐๐บาท ที่ลงทุนไปนั้นคุ้มค่า

ชาวหงสาซื้อเมล็ดทานตะวันไปทำอะไร
เอาไปรับแขก ไว้แทะเล่นแก้เหงาปาก เขาว่าอย่างนั้น (ไม่เหมือนที่ผมเคยไปปล่อยไก่ที่ยุโรป ผมกับพรรคพวกไปซื้อมาแทะเล่นกันคนเขามองแปลกๆ อ้าวที่แท้ที่โน่นเขาเอาไว้เลี้ยงนกกัน…) ถามเขาต่อว่าแขกอะไร เขาก็ตอบว่าแขกที่มาเวลามีงานที่บ้าน เช่น งานศพ มาเยี่ยมคนป่วย และมา “อุ่นเดือน”
“อุ่นเดือน” คือการมาเยี่ยมเยียน มาอยู่เป็นเพื่อน ครอบครัวที่เพิ่งคลอดลูกใหม่ หรือที่ภาคกลางเรียกว่า อยู่ไฟ นั่นเอง แต่ทางเหนือกับทางลาวเรียกเหมือนกันว่า “อยู่เดือน” แต่การอยู่เดือนของชาวยวนเจียงใหม่ กับชาวลาวหงสาจะต่างกัน ชาวล้านนาแม่ลูกอ่อนจะเก็บตัวเงียบๆในห้องห้ามไม่ให้ได้กลิ่นอะไรที่ฉุนแรง ท่านว่าประเดี๋ยวจะ “เป็นลมผิดเดือน” แต่ที่หงสากลับเป็นว่าผู้คนมาเยี่ยมมาอยู่เป็นเพื่อนกันคึกคัก คนเฒ่าคนแก่มานอนเป็นเพื่อน กลางคืนก็เล่านิทานกันจนค่อนรุ่ง คนหนุ่มก็ตั้งวงร่ำสุรากันเฮฮา สาวๆหนุ่มๆเล่นไพ่กันหลายวงหลายแบบ ดึกๆก็มีต้มเป็ดต้มไก่เลี้ยงกัน เขาจะมาอยู่เป็นเพื่อนกันอย่างนี้ตั้งแต่เริ่มคลอดจนครบหนึ่งเดือน เมล็ดทานตะวันของผมจึงมีบทบาทในการรับแขกอย่างนี้นี่เอง เคยถามเขาว่าตลอดเดือนต้องให้เมล็ดทานตะวันรับแขกราวยี่สิบสามสิบกิโล ทีเดียว
เมื่อครบหนึ่งเดือนแล้ว ก็ต้องมีพิธีรับขวัญเด็ก หรือ การ “ผูกแขนแอน้อย” เป็นงานใหญ่ชนิดต้องแจกบัตรเชิญ บางบ้าน (ส่วนใหญ่) ถึงกับมีดนตรีมาเล่น มีการจัดรอบรำวงกันทั้งวันทั้งคืน ส่วนเหล้ายาอาหารนั้นมีเพียบ ล้มหมู ล้มวัวกันก็มี บางงานถึงกับเชิญเจ้าเมืองมาเป็นประธานเลยเชียว
พิธีที่เกี่ยวกับเด็กเล็กที่เคยเห็นอีกอย่างก็คือ การแก้กำเนิด ครับ เขามักทำพิธีในรายที่เด็กเลี้ยงยาก เจ็บไข้ได้ป่วยบ่อยๆ โดยมีความเชื่อว่า เด็กมีพ่อเกิด แม่เกิดมาอยู่ด้วยไม่ยอมไปไหน หากปล่อยไว้พ่อเกิดแม่เกิดอาจจะพากลับคืน จึงจำเป็นต้อง “เจรจา”ขอเด็กมาเป็นกรรมสิทธิ์ ในการจัดพิธีก็ต้องไปเชิญหมอพราหมณ์ มาตั้งเครื่องบายศรี มีเครื่องคาวหวานสังเวย มีเงินหมันเงินฮางโบราณเตรียมไว้ซื้อตัวเด็ก จากนั้นก็เป็นหน้าที่ของหมอพราหมณ์ท่านจะโอมพระเวทคาถาไม่รู้กี่บท มีการเจรจาต่อรองกับพ่อเกิดแม่เกิดของเด็ก (ขั้นตอนนี้ใช้เวลาสามสี่ชั่วโมงพ่อหมอท่านช่างอดทนจริงๆ) เพื่อขอเด็กมาเลี้ยงดู เริ่มพิธีตั้งแต่เช้าบ่ายคล้อยโน่นถึงจะเสร็จพิธีกรรม

จากแก่นตาเวน ลากไปหาพิธีแก้กำเนิดได้อย่างไรก็ไม่รู้
จบละครับ


อยากเล่นกับตัวเลขกันนักใช่ไหมครับท่าน

4 ความคิดเห็น โดย silt เมื่อ 3 ธันวาคม 2009 เวลา 9:25 (เช้า) ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 2186

เมื่อสองวันก่อน เขาเอาการบ้านมาให้
เป็นข้อตกลงกันระหว่างโครงการกับรัฐบาลลาว
เป็นการบ้านที่โครงการไปสัญญาไว้เกี่ยวกับมาตรการฟื้นฟูสภาพเศรษฐกิจ และสังคมของชุมชนที่ได้รับผลกระทบ

องค์การทรัพยากรน้ำ และสิ่งแวดล้อม โดยการแนะนำของคณะที่ปรึกษาชาวตะวันตก เขายกร่างสัญญามาให้ เป็นประเด็นในเรื่องของชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชน ที่แยกต่างหากจากข้อกำหนดในการชดเชยทรัพย์สิน กล่าวคือ ท่านกำหนดให้โครงการต้องรับผิดชอบพัฒนารายรับของครอบ ครัวพี่น้องดังนี้

(๑) ภายในระยะเวลา ๒ปีหลังเริ่มโครงการ รายได้ของประชาชนต้องไม่ต่ำกว่าเส้นระดับความยากจน ( ๑.๘แสนกีบต่อคนต่อเดือน จำนวนสมาชิกในครอบครัวเฉลี่ย ๖ คนต่อครอบครัว) คิดเป็นเงินประมาณ ๑๓ ล้านกีบ หรือตกเป็นเงินไทย ๕หมื่นกว่านิดๆบาท

(๒) ภายในระยะเวลา ๘ปี ต้องรับประกันรายได้ของประชาชนให้เท่ากับรายได้ต่อครัวเรือนในระยะก่อนมีโครงการ ก็ราวๆ ๒๐ล้านกีบ หรือ ๘หมื่นบาทต่อครอบครัวต่อปี (ความจริงเขากำหนดให้ภายใน ๓ปี แต่พวกเราไปต่อรองว่าถ้าท่านอยากให้เราใช้โปรแกรมการปลูกยางพารา ก็ต้องรอ ๘ปีจึงจะได้รับผล)

(๓) ภายในระยะเวลา ๑๐ ปี ต้องรับประกันรายได้ของประชาชนให้มากกว่าเดิม ๕๐% นั่นก็คือ ต้องทำให้รายได้ของชาวบ้านไม่ต่ำกว่า ๓๐ล้านกีบต่อครอบครัวต่อปี ก็ประมาณ ๑แสนสองหมื่นบาท
ทั้งนี้ท่านยังบอกมาอีกว่า จะมีการตรวจสอบทุกสองปี หากทำไม่ได้มีบทปรับไหมด้วย(นะจะบอกให้)

ถามตัวเองในฐานะที่ปรึกษา ว่าหวั่นใจไหม ก็หวั่นๆบ้างเล็กน้อย ไม่ได้รู้สึกกดดันมากมายนัก
ก็งานชิ้นนี้ผมได้เริ่มคิด เริ่มทำมาตั้งแต่ปี ๑๙๙๕ โน่นแล้ว ทำๆหยุดๆจนจะมาเอาจริงกันอีกทีก็หนนี้

แต่ถามว่าพอใจ ชอบใจกับข้อกำหนด กับแนวทางการพัฒนาที่เขาวางไว้หรือเปล่า
หากเป็นเมื่อก่อน ก็คงไม่รู้สึกอะไร เขาให้โจทย์มาก็แก้ให้เขาก็จบเรื่อง
แต่เมื่อวันเวลาผ่านไป พอได้พบพานอะไรต่างๆมากขึ้น เริ่มมองเห็นสัจธรรมแห่ง “ความสุขที่แท้จริง” แล้ว
ทำให้เริ่มเกิดความรู้สึก ไม่ยินยอมพร้อมใจ หรือเห็นพ้องด้วยสักเท่าใด

การเล่นกับตัวเลขนั้นทำได้ง่ายนิดเดียว ยิ่งเขากำหนดที่ค่ารายได้รวม ไม่ใช่รายได้สุทธิเช่นนี้ ก็เล่นได้สบายๆสิครับ อยากให้รายได้สูงก็ใส่เงินลงทุนลงไปเยอะก็เท่านั้นง่ายนิดเดียว ผมลองคิดเล่นๆถึงแหล่งของรายได้ไว้อย่างนี้ครับ

๑ ) รับเข้าทำงานในโครงการครอบครัวละ ๑คน ได้ค่าแรงปีละ ๗ ล้านกีบ

๒) ลงทุนปลูกยางพาราให้ครอบครัวละหนึ่งเฮกตาร์ พอปีที่๗ก็ได้เริ่มกรีดยาง พอปีที่๘เป็นต้นไปก็จะมีรายได้อย่างต่ำปีละ ๑๕ ล้านกีบ แต่ในระยะปีแรกๆตอนที่ต้นยางฯยังเล็กอยู่ ก็ให้ปลูกพืชไร่สลับระหว่างต้นของยางฯ เช่น ข้าวโพด งา ลูกเดือย สับปะรด ข้าวไร่ เป็นต้น การปลูกพืชไร่ผมกำลังพัฒนาระบบการปลูกแบบเหลื่อมฤดู ทำให้สามารถปลูกได้สองชนิดต่อปี ประมาณว่าจะมีรายได้ไม่น้อยกว่า ๓ ล้านกีบต่อปี

๓) จัดที่ดินให้อีกหนึ่งเฮกตาร์  ให้ทำการเกษตรประเภทอื่นๆ เช่นปลูกพืชไร่เหมือนกับในที่ดินแปลงแรก หรือปลูกถั่วแระไว้ปล่อยครั่ง หรือปลูกข่าขายเมล็ด หรือปลูกปอสา ก็จะมีรายได้อีก ๓ล้านกีบต่อครอบครัวต่อปี (โปรแกรมนี้จัดสำหรับพี่น้องชาวลาวเทิงที่ไม่ถนัดกับการเกษตรแบบประณีต) หรือหากจะเป็นโปรแกรมสำหรับพี่น้องที่ขยันๆหน่อยเสนอให้ปลูกส้มเกลี้ยง เพราะไปดูมาแล้วว่าที่เมืองน้ำบากเขาปลูกกันได้โดยไม่ใช้สารเคมี หรือปุ๋ยเคมีใดๆเลย ส้มเกลี้ยงสามารถนำไปโฆษณาเป็นสินค้าเกษตรอินทรีย์ได้สบายๆ หากปลูกส้มเกลี้ยงพี่น้องจะมีรายได้ราวๆ ๑๐ล้านกีบต่อปี ในสวนส้มเกลี้ยงท่านสามารถปลูกกาแฟแซมระหว่างต้นส้มได้อีกต่างหาก หรือหากรายใดใจสู้ปลูกยางพาราอีกหนึ่งเฮกตาร์ ก็มีสิทธิ์ได้อีก ๑๕ล้านกีบ

๔) อาชีพนอกภาคเกษตรที่มองไว้คือ การต่อยอดกิจกรรมที่มีอยู่ปัจจุบัน เช่น งานทอผ้าซึ่งทุกวันนี้บรรดาแม่บ้านมีรายได้จากการขายผ้าทอปีละ ๑๐ล้านกีบต่อครอบครัว ส่วนงานปักผ้า และงานจักสานไม้ไผ่ทำรายได้ให้กับพี่น้องราวๆ ๒-๓ ล้านกีบ

๕) อาชีพเสริม ได้แก่การเลี้ยงสัตว์ใหญ่ ก็ได้ขึ้นแผนงานจัดพื้นที่ทำเลเลี้ยงสัตว์ และพัฒนาทุ่งหญ้าเลี้ยงสัตว์ มีปางเลี้ยงวัวควายที่จ้างพี่น้องมาดูแล มานอนเฝ้า มีนักวิชาการสัตวบาลมาช่วยดูแล พร้อมทั้งมีโครงการที่จะมอบแม่พันธุ์วัว/ควาย ให้แต่ละครอบครัวเป็นออมสินที่มีชีวิต เอาไว้แบ่งขายลูกในปีที่๕และที่๖ เป็นรายได้มาทดแทนกรณีที่ปลูกพืชแซมในสวนยางไม่สามารถปลูกได้   
กิจกรรมการเลี้ยงสัตว์สามารถทำรายได้เข้าครอบครัวประมาณ ๓ ล้านกีบต่อปี

เป็นอย่างไรบ้างละครับท่านแผนงานของผม บวกตัวเลขบวกไปบวกมาอย่างไรก็เกินข้อกำหนดที่เขาให้มา อย่างนั้นก็สบายแล้วใช่ไหมครับ ถ้าจะว่าสบายก็ถือว่าสบายได้ หากควบคุมแผนกิจกรรมให้เป็นไปตามแผนหลักที่วางกรอบไว้

แต่โดยส่วนตัวแล้ว “ผมยังไม่แล้วใจ” หมายความว่ายังตะขิดตะขวงใจยังไงอยู่นั่นเอง
ถึงแม้ว่าจะพยายามใช้หลัก นิเวศวัฒนธรรมเกษตร มาใช้ในการวางแผน โดยการสร้างทางเลือกไว้หลายๆทางให้พี่น้องต่างกลุ่มชาติพันธุ์ เลือกนำไปปฏิบัติตามความถนัดก็ตาม
แต่เมื่อเล่นมามีกรอบบังคับที่ตัวเลขรายรับ นี่ก็คงจะดิ้นไปรูปแบบอื่นนอกเหนือจากนี้ได้ยาก

ขยับมาแอบบ่นถึงประเด็นที่ “ยังไม่แล้วใจ” ดีกว่า
ประการแรก เป็นการวางแผนจากข้างบนอีกแล้ว ไอ้คนหัวหน้าตัวที่วางแผนก็คือไอ้กระผมคนเขียนบันทึกนี่เอง (คนที่เคยด่าคนอื่นอยู่ปาวๆ ว่าต้องเริ่มที่ความต้องการของพี่น้อง)
ประการสำคัญที่สุด ก็ยังหนีไม่พ้นเรื่องการวัดดัชนีความสุขของพี่น้องที่ตัวเลขรายได้ต่อครัวเรือนนี่แหละ ไม่เข้าใจจริงๆพวกนักสถิติ นักตัวเลขนี่

ทำไมเขาไม่คิดว่า พี่น้องชาวบ้านต้องการความสุขแบบไหน
พี่น้องอาจต้องการชีวิตที่เรียบง่าย มีกินอิ่มท้อง มีบ้านอยู่ มีสุขภาพร่างกายแข็งแรง มีครอบครัวที่อบอุ่น เป็นความต้องการพื้นฐานก็ได้
แต่เล่นมาแบบ ต้องทำหนึ่ง ทำสอง ทำสาม ทำสี่อย่างนี้นะพี่น้อง ห้ามแตกแถวประเดี๋ยวรายได้ไม่ถึงเป้า ข้าพเจ้าจะเดือดร้อน
ถ้าเป็นแบบนี้ก็หมายความว่า พี่น้องทุกคนต้องตรากตรำทำงานกันงกๆ ออกจากบ้านไปทำงาน ทำสวน กันทุกวันไม่ต้องหยุดต้องพักกัน ลูกเด็กเล็กแดงก็ต้องเอาไปฝากครูเลี้ยง ฮีตคองวันค้ำวันพักงานในวันพระวันที่มีงานศพงานบุญในหมู่บ้านก็คงจะจางหายไป บุญประเพณีต่างๆก็คงจะต้องถูกประยุกต์ให้เข้ากับภาวะเร่งด่วนของภารกิจ

ถ้ามาแบบนี้แล้วการพัฒนาชุมชนแบบที่มีการลงจัดเวทีชาวบ้าน การระดมความคิด การกระตุ้นให้พี่น้องปลูกทุกอย่างที่กิน กินทุกอย่างที่ปลูก การยกป่ามาไว้ในสวน การเกษตรแบบรักษ์ป่ารักษ์ดินรักษ์สภาพแวดล้อม การมีเศรษฐกิจครอบครัวอย่างพอเพียง การลดรายจ่ายในครัวเรือน  อะไรต่างๆเหล่านี้คงจะต้องพับแผนงานเก็บเข้ากระเป๋า ทำทุกอย่างที่ได้ขายได้เงินก่อน

ชักจะคิดถีงพี่น้องไทบรูดงหลวง พี่น้องเครือข่ายอินแปงเสียแล้วสิครับ

 

 

 


To Do Tag

6 ความคิดเห็น โดย silt เมื่อ 20 พฤศจิกายน 2009 เวลา 12:32 (เย็น) ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 1652

ได้รับ tag จากพี่บางทราย เลยจัด to do ชนิดที่ผู้ tag ต้องถูกใจมอบให้เป็นการบูชาครู เพราะพี่เขาเป็น “ครู” ด้านการศึกษา พัฒนาสังคมของผมนั่นเอง งานเขียนด้านสังคมจึงเป็นสิ่งที่อยากนำมาถ่ายทอด สิ่งที่จะทำคือการเขียน
“ไพรัชนิยายวัฒนาการทางสังคมของเมืองหาน”
“ชื่อเรื่อง เมืองหาน….ธาตุม่าน…ผ่านกาลเวลา”
เกริ่นนำ
บ่าย ๓ โมงของวันหนึ่งในฤดูเก็บเกี่ยว ที่วัดธาตุบ้านเมืองหาน ผมนั่งประชุมปรึกษาหารือท่ามกลางหมู่พี่น้อง ระหว่างช่องว่างของการสนทนาเสียงกระดิ่งกังวานใสจากยอดพระธาตุสอดแทรกเข้ามากระทบโสต ทำให้นึกถึงครั้งที่ได้มาศึกษาข้อมูลชุมชนอย่างมีส่วนร่วม (PRA) เมื่อปีก่อน ครั้งนั้นได้ซักถามถึงประวัติการก่อตั้งชุมชนบ้านหาน ได้ทราบว่าบ้านหานก่อตั้งขึ้นเป็นบ้านเป็นเมืองจากการที่ชาวบ้านมาหาเครื่องป่าของดง แล้วมาได้ยินเสียงกังสดาลจากยอดพระธาตุร้างแห่งนี้ จึงชักชวนกันมาตั้งบ้านเรือนอยู่รอบพระธาตุ
เสียงส่ายใบของใบโพธิ์บนต้นขนาดแปดคนโอบยามลมพัดต้อง ดังราวกับเสียงงึมงำของผู้เฒ่าบอกเล่าความหลังกับเหตุการณ์ที่ต้นโพธิ์โบราณได้ผ่านพบ สอดประสานกับเสียงกังสดาลกังวานใสเหมือนกับจะเป็นลูกคู่คอยขานรับคำบอกเล่า น่าเสียดายที่รหัสลับจากเสียงใบโพธิ์ยากยิ่งที่มนุษย์จะเข้าใจ น่าเสียดายหากเรื่องราวจะลางเลือนไปกับสายลมที่พัดผ่าน สายลมที่ผ่านไปอย่างไร้ร่องรอย
อย่ากระนั้นเลย ทุกสิ่งย่อมมีเหตุ ทุกสิ่งต้องมีความผูกพัน อาจเป็นได้ที่ตัวเรามีสัญญาผูกพันกับที่แห่งนี้มาแต่หนใดภพหนึ่ง อาจบางทีตัวเราอาจมีภารกิจที่ “ต้อง”มาถ่ายทอด (หรืออาจเป็นเพียงความเพ้อฝัน บ้าจินตนาการหลุดโลกของตัวเรา) กระไหนเลย ข้าพเจ้าจะขอหาญอาสา เจ้าของเรื่องราวของบ้านหาน ลองร่ายอักษรสักหลายบท เพื่อถ่ายทอดสิ่งที่ท่านอยากบอกเล่าสู่ลูกหลาน โดยจะอาศัยภูมิปัญญาที่ผ่านการสั่งสมมาค่อนชีวิตหลายสาขาวิชาที่ได้เพียรเขียนอ่าน บวกกับการทำงานของสมองซีกจินตนาการ
หากเรื่องราวที่ข้าพเจ้าถ่ายทอดมีความถูกต้องแม่นยำแม้เพียงเท่าหนึ่งเมล็ดงาในกระชุใหญ่ ขออุทิศคุณความดีให้ครูบาอาจารย์ ตำรับตำราที่ได้ประสิทธิ์ความรู้ให้ตลอดเวลาที่ผ่านมา แต่หากจินตภาพของข้าพเจ้าผิดเพี้ยนแต่ยังอวดดีนำมาถ่ายทอดแบบผิดๆ กราบขออภัยเจ้าของเรื่องราวในอดีตอย่างเป็นที่สุด ขอให้ถือเสียว่าข้าพเจ้าได้แต่งไพรัชนิยายขึ้นเรื่องหนึ่งโดยอาศัยฉากท้องเรื่องของบ้านหาน
ขอกำลัง ปัญญา และเวลา จงมีแก่ข้าพเจ้าเพื่อถ่ายทอดเรื่องราวที่คิดฝันได้อย่างสมบูรณ์
พล๊อตเรื่องจึงเริ่มปรากฏลางๆในความคิด โดยจะอาศัยข้อมูลจากพงศาวดารล้านช้าง พงศาวดารล้านนาเท่าที่จำได้ลางๆในสมอง(หนังสือไม่ได้อยู่ใกล้ตัวแล้ว) ร่วมกับข้อมูลประวัติศาสตร์ปากเปล่าจากกลุ่มผู้อาวุโสที่กรุณาบอกเล่าให้ฟังในคราวที่ทำ PRA (ครั้งนั้นท่านพี่บางทรายได้มาช่วยสอนอ้ายน้องลาวทำ พีอาร์เอด้วย) ตั้งใจจะเริ่มจินตนาการตั้งแต่ยุคสมัยที่เผ่า “ไท-ลาว”เริ่มสร้างอาณาจักร ผลของศึกสงครามระหว่างนครรัฐ การล่มสลายของเมือง การฟื้นตัวของบ้านหาน บ้านหานกับเรื่องที่พบผ่านในรศ. ๑๑๐ บ้านหานในยุคที่ขึ้นกับจังหวัดล้านช้างของ “สหรัฐไทย” บ้านหานเมื่อผ่านการต่อสู้กับจักรวรรดิ การต่อสู้ระหว่างระบบราชอาณาจักรกับระบอบใหม่    บ้าน หานยุคสังคมนิยมประชาธิปไตย และการเปลี่ยนแปลงตามกระแสตะวันตกในยุคปัจจุบันไม่ว่าจะเป็นด้านเศรษฐกิจ การเกษตร หรือด้านสังคม รวมถึงแนวโน้มที่บ้านเมืองหานจะเป็นไปจะเผิชญในอนาคต
ตั้งใจจะสอดแทรกความจริง ข้อเท็จจริงในเรื่องเล่า แต่ไม่ต้องการให้นำไปอ้างอิงหรือใช้เป็นเอกสารอ้างอิง จึงแต่งเป็นนิยาย เรื่องราวที่จะเขียนมีประมาณนี้
๐ ปฐมบท หุบเขาแห่งควันไฟ ภูไฟไหม้ เจ้าฟ้าเงี้ยว เจ้าหูด เมืองเลือก
๑ เมืองเลือกกับเจ้าฟ้างุ้มมหาราช การล่มสลายจากศึกม่าน
๒ ชาวบ้านน้ำแหล้มาหาหวายเจอธาตุเก่า ย้ายมาตั้งบ้าน ชาวไทย้อจากทางเหนืออพยพลงมาสมทบ
๓ บ้านหานช่วงเจ้าเมืองเงินมีสองคน บ้านหานช่วงไทยปกครอง
๔ บ้านหานระบอบเก่า บ้านหานยุคต่อสู้จักรวรรดิตะวันตก
๕ การต่อสู้ระหว่างฝ่ายราชอาณาจักรกับฝ่ายระบอบใหม่ และเรื่องราวของไทเหมา(เซตุง)
๖ บ้านหานระบอบใหม่
๖.๑ การยกเลิกประเพณีเก่า ผีเจ้านาย ม้าทรง
๖.๒ การพัฒนาการทางสังคม
๖.๓ การพัฒนาการทางเศรษฐกิจ
๖.๔ พูไฟ
๗ การล่มสลายของสังคมเกษตรกรรมบ้านหาน
๘ บ้านหานโฉมใหม่ในจินตนาการ
หมายเหตุ “ไพรัชนิยาย” ไม่ทราบความหมายว่าเป็นนิยายประเภทไหน แต่เคยอ่านเรื่องราวของคน “ไท” จากนิยายหลายๆเรื่องของนักเขียนท่านหนึ่ง “ลพบุรี” ท่านอาจารย์ชุ่ม ณ บางช้าง ที่เคยติดนิยายอิงพงศาวดารของท่านอย่างงอมแงม จำชื่อนิยายที่ท่านแต่งได้ลางๆ เช่น ทหารดาบเชียงรุ้ง เศวตฉัตรน่านเจ้า หมื่นด้งนคร เป็นต้น เลยกราบขออนุญาตนำแนวทางเขียนมาลอกเลียน (โดยไม่คิดเทียบรุ่นหรือคิดจะทำได้ดีเท่าท่านแม้แต่นิดเดียว)
กำหนดแล้วเสร็จ ไม่อาจกำหนดเวลาได้ แต่จะพยายามให้เสร็จโดยเร็ว (เพราะชีวิตคนมันสั้นนัก) แต่สัญญาว่าจะเขียนให้จบ ไม่มั่นใจว่าจะเขียนออกมาเป็นนิยายได้หรือไม่ อาจออกมาเป็นบทความหรืองานวิจัยทางสังคมก็ได้ แต่อย่างไรก็จะเขียนให้จบครบกระบวนความหัวข้อที่ประมาณไว้ข้างบน

Tag
ใครดีเอ่ย
Tag คนใกล้เคียง (ในหนังสือ จปฝ๒) คือองค์ที่๑๒ “นักการหนิง” ขอรับ โปรดรับไป
Tag ที่สอง ตอนนี้คิดถึงใครดีเอ่ย คิดถึงพี่สาวทั้งสามคนในลานปัญญา ที่ได้อ่าน “เป้าหลอมตัวตนฯ” ฉบับ “ไม่เผยแพร่” ในนั้นมีเรื่องราวของ “เธอ”คนนั้นตั้งแต่เริ่มสบตากัน อิ อิ พี่สาวคนหนึ่งก็คอยดูแลห่วงใยร่างกายที่เจ็บป่วย พี่สาวอีกคนก็คอยเชียร์เรื่อง “หัวใจ” แต่สองรายนี้จะไม่ Tag
Tag ที่ ๒ มอบให้พี่สาวเจ้าของลาน “มณีแดง” เห็นบล็อกร้างมานาน ป้าแดงครับโปรดรับ Tag


ปล่อยกายใจ เอื่อยไหลล่อง ลำน้ำโขง

10 ความคิดเห็น โดย silt เมื่อ 17 พฤศจิกายน 2009 เวลา 4:02 (เย็น) ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 1511

เมื่อคนที่จ่ายเงินเดือนให้ทุกเดือน เชิญให้ไปพบที่หลวงพระบางวันจันทร์
ผมจึงฉกฉวยโอกาส
ทำวันอาทิตย์เป็นวันพักผ่อนสบายๆ

ปล่อยใจกายเอื่อยไหลล่องไปกับสายน้ำโขง
ไปกับเรือโดยสารลำใหญ่ จุคนได้ราวร้อยชีวิต (ในนั้นมีคนลาว ๓ คน คนไทยคือผมอีก ๑ คน นอกนั้นเป็นคนผมสีทองหมด)
เรือลำใหญ่ เลื่อนลอยไปตามสายน้ำ
สายน้ำ คือสายน้ำ แปรเปลี่ยนไปตามสภาวะท้องน้ำ
เอื่อยไหล ใสเย็น ยามแล่นผ่านที่ราบ หาดทรายขาว
เกรี้ยวกราด กระแทกโถม ยามเมื่อไหลผ่านแก่งหิน

หาดทรายขาว โขดหินงาม ตลอดเส้นทาง

ใบไม้ช่วงปัจฉิม เปลี่ยนสีเหลืองแดง แต่งแต้มป่า
ก่อนปลิดใบ ร่วงพรูราวสายฝน ยามลมพัดต้อง

ชีวิตสบายริมสายน้ำ
ทุกสรรพสิ่ง ล้วนได้รับความเอื้อเฟื้อ การแบ่งปันจาก “แม่”โขง

เรือแห่งความสุข ผู้คนล้วนผ่อนคลาย พักผ่อน สันทนา

เป็น ๖ ชั่วโมงที่มีความสุข เป็นความสุขที่หาได้ยากยิ่ง
ในโมงยามปกติที่ต้องตรากตรำกรำงาน

นำความสุขมาแบ่งปัน
ครับผม

 


คนชายป่าเชิงเขาเล่าเรื่องเมื่อวันวาน (๑) เห็ดแพรก เห็ดหอม เห็ดตะลอม ตอมหญ้า

2 ความคิดเห็น โดย silt เมื่อ 2 พฤศจิกายน 2009 เวลา 4:44 (เย็น) ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 2951

เห็ดแพรก สีขาวเจือน้ำตาล ชอบขึ้นตามป่าหญ้าคาในที่รกเรื้อ เนื้อออกเหนียว พอเคี้ยวอร่อย บางแห่งเรียกเห็ดคา
เห็ดหอม สีขาวแจ้ง ชอบขึ้นตามสนามหญ้าที่โล่งๆ มีกลิ่นหอมเฉพาะจึงเป็นที่มาของชื่อ
เห็ดตะลอม ชอบขึ้นคู่กับเห็ดหอม เป็นเห็ดรูปร่างกลมๆเหมือนเห็ดเผาะ แต่กินไม่ได้ จึงไม่มีใครใยดี นอกจากเด็กบ้านป่าจะเหยียบเล่นกันไปตามประสา เมื่อคิดจะเขียนบันทึกเรื่องเห็ดก็นึกถึงเห็ดแพรก เห็ดหอมก่อนเพื่อน เพราะเป็นเห็ดประเภทเดียวที่ผมได้รับอนุญาตให้ไปเก็บโดยลำพังได้ (เพราะไม่ต้องเข้าป่า) และเป็นเห็ดประเภทเดียวที่สามารถหามากินเองได้ พอคาบพอมื้อ แถมยังไม่ต้องกลัวว่าจะเป็นเห็ดพิษ

ทั้งเห็ดแพรก และเห็ดหอม เป็นอาหารชายป่าท้ายบ้านที่เด็กๆเชิงเขาชวนกันออกไปเก็บพร้อมๆกับการหาเหตุออกไปเล่นกัน บางคนก็ออกไปเลี้ยงควาย ก็หาเก็บมาให้แม่ทำอาหาร นิยมเอาเห็ดต้มใส่เกลือ หรือหากได้มานิดหน่อย “ไม่พอหม้อแกง” ก็เอาเห็ดห่อด้วยใบตองโยนเข้าในขี้เถ้าร้อนๆใต้เตาอั่งโล่ ปล่อยให้ใบตองที่ห่อไหม้เกรียม พอแกะออกมาจะได้เห็ดหมกหอมฉุย เท่านี้ก็พอเพียงสำหรับกับข้าวมื้ออร่อยของเด็ก (ที่เบื่อหมูทอด แคบหมู ปลาปิ้ง หรือไข่ป่าม อาหารประจำขันโตกของไอ่หน้อยลูกโตน) 

พยายามจะนึกว่า เด็กชายป่าพวกเราไปหาเห็ดกันฤดูไหน แต่ก็สับสนในความทรงจำที่ลางๆ ว่าตอนต้นฝนเราก็ไปหาเก็บกัน จนกระทั่งเห็ดเผาะออกมา ผู้คนถึงได้มองข้ามไปกินเห็ดเผาะที่ถือเป็นเห็ด “ชั้นสูง” กว่า แต่นึกดูอีกที เราก็เคยไปหาเห็ดช่วยปลายฝนต้นหนาวท่ามกลางน้ำหมอกน้ำเหมยอยู่เหมือนกัน จึงสรุปเอาเองว่าเห็ดหอมน่าจะออกช่วงต้นฝน พอเป็นอาหารแก้ขัดก่อนเห็ดป่าประเภทเห็ดเผาะ เห็ดไข่ห่าน เห็ดหล่ม เห็ดแดง ออกมาให้กิน ส่วนเห็ดแพรกนั้นน่าจะออกยามปลายฝน เพราะจำได้ว่าเคยไปหาตามคันนาหลังเกี่ยวข้าวก็มี

เด็กๆมักจะชวนกันไปหาเก็บเห็ดเวลาบ่ายคล้อย เรียกว่า “เห็ดแลง” ส่วนคนที่ขยันตื่นเช้าก็สามารถไปเก็บ “เห็ดเช้า”ได้เช่นเดียวกัน พวกเราจะพากันเดินอ้อมชายบ้าน ผ่านไปทางคันคลองชลประทาน ผ่านเขตป่าช้า เข้าไปหาในสนามโรงเรียน แล้วก็วนเข้าหมู่บ้าน
นอกจากเห็ดแพรก เห็ดหอมแล้ว ในบางฤดูเรายังโชคดี ได้เก็บเห็ดโคนที่มักขึ้นตามบริเวณจอมปลวก เห็ดโคนเนื้อเหนียวหวานอร่อย แต่หาเก็บยากแถมต้องบุกเข้าไปในพงรกๆ แถวรอบบ้านมีเห็ดโคนอยู่ ๒ ชนิด เห็ดโคนดำจะมีขนาดเล็กกว่า มีสีดำตามชื่อ แต่เจอทีมักจะออกเป็นกลุ่มใหญ่ ส่วนเห็ดโคนใหญ่มีขนาดใหญ่สมชื่อ สีออกขาวๆ เคยขุดลงไปดูส่วนที่เป็นรากยาวร่วมศอกก็มี

จากเห็ดชายบ้านทีนี้มาว่าถึงเห็ดในป่าอ้อมบ้านบ้าง เด็ก(พิเศษ)บ้านป่าอย่างผม ไม่ค่อยได้ไปบ่อยนัก นอกจากจะตามพ่อแม่ไปปีละครั้งสองครั้ง ก่อนไปแม่ก็จะเอามะนาวลูกสุกๆใส่ตะกร้าไปด้วยเพื่อกันงู  แถมปู่ก็เอาแหวนแก้วมหานิลใส่ไปกันงูอีกหนึ่งวง เห็ดเผาะจะเริ่มออกก่อนยามต้นฝน ชาวเจียงใหม่เรียก “เห็ดถอบ” หากไปถามแม่ค้าขายเห็ดที่ตลาดวโรรสว่ามาจากไหน แม่ค้าทุกคนจะตอบว่า “เห็ดถอบแม่แต๋งเจ้า” แสดงว่าเห็ดบ้านผมนั้นดีจริงๆ เห็ดถอบต้นฤดูเก็บได้น้อย ได้มาพอสักกำมือแม่ก็จะเอามาแกงไส่ใบหมากเม่า พอเห็ดออกมากก็เอามาต้มกินกับน้ำพริกหนุ่ม พอเห็ดแก่ก็เอามาฝานบางๆคั่วกินกับดอกข่า การหาเห็ดหลังฝนตกเรียกว่าการหา “เห็ดเขิน” คือเห็ดที่น้ำพัดพาหน้าดินออกไปปล่อยให้เห็นลูกเห็ดโผล่ออกมา คนไปหาต้องแยกแยะให้ออกว่าอันไหนก้อนหิน อันไหนเห็ด ส่วนในยามฝนแล้งพวกเราไปหา “เห็ดแตก” คือต้องดูดินข้างพุ่มไม้ที่มีรอยแตกปรินูนขึ้นมา แสดงว่ามีเห็ดอยู่ใต้ดินตรงนั้น

ส่วนเห็ดใบมักจะขึ้นหลังจากเห็ดถอบวายไปแล้ว การเก็บเห็ดใบต้องระมัดระวังเห็ดพิษด้วย มีเห้ดที่กินได้หลายชนิดรูปร่างหน้าตาแตกต่างกันออกไป เช่น เห็ดหล่ม(อีสานเรียกเห็ดไค) เห็ดไข่ห่าน(เห็ดละโงกของอีสาน) เห็ดแดง เห็ดถ่าน(สีดำ) เห็ดกาบปลี(สีแด๊งแดง) เห็ดหน้าม่อย(ดอกมีสีเทาๆ) เห็ดตุงน้ำฝน(ดอกเป็นทรงถ้วย) เห็ดฟาน(สีน้ำตาลแดง) เห็ดข่า(รสเผ็ดเผื่อนเหมือนข่า) เห็ดขมิ้น(เหลืองสด) แล้วก็เห็ดขะ-หลำ-หมา(อีสานเรียกเห็ดหำพระ) (ฮิ ฮิ ฮิ)
จาการทบทวนเรื่องราวของเห็ดจะเห็นภาพหรือได้ข้อคิดว่า

  • การเลาะเล่นของเด็กสมัยก่อน เป็นการเรียนรู้เรื่องการหาอยู่หากินไปในตัว
  • สมัยก่อน พระธรรมชาติช่วยจุนเจือการดำรงชีวิตของชาวชนบทจริงๆ

• ที่รกร้างว่างเปล่า ก็มีประโยชน์ สำหรับคนชายป่า

 
 


เมื่อหงสาชำระเมืองแบบหักดิบ

3 ความคิดเห็น โดย silt เมื่อ 23 ตุลาคม 2009 เวลา 3:54 (เย็น) ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 1286

หงสาระหว่างนี้คึกคัก แต่แฝงไปด้วยความตื่นตระหนก
หงสายามนี้ปลอดอบาย แต่เจือไปด้วยความอึมครึม
หงสากำลังจะมีการปูยางมะตอยถนนเส้นแรกในเมือง
หงสากำลังจะมีกองประชุมพรรคเมืองครั้งที่ ๖
หงสากำลังร่วมคำนับรับต้อนการแข่งขันกีฬาซีเกมส์
หงสาในฐานะเมืองแห่งบ้านวัฒนธรรม บ้านสามดีสี่บ่
     กลางเดือนตุลาคม หลังบุญซ่วงเฮือในเทศกาลออกพรรษาผ่านพ้นไปไม่นาน
     ลมหนาวโชยตามหลังฝูงนกเป็ดน้ำมาจากทางเหนือ
     ปะทะลมฝนที่ยึดครองพื้นที่อยู่ก่อน ทำให้เกิดสายฝนที่เหน็บหนาว
     เป็นสายฝนที่ กลั่นแกล้งชาวนาที่กำลังสาละวนเก็บเกี่ยวข้าวดอ
หงสาเริ่มชำระตัวเมืองระลอกแรกตั้งแต่ก่อนเทศกาลออกพรรษา
โดยการเปิดกิจการ “โรงเรียนดัดสร้าง” ผู้ที่ถูกเรียกตัวมาเข้าโรงเรียนรุ่นแรกๆได้แก่ สตรีทั้งหลายที่มีผู้รายงานว่า มีอาชีพพิเศษ มีกิ๊กเป็นคนต่างชาติ (คนไทย) เป็นกิ๊กกับสามีคนอื่น เป็นธุระจัดหาให้มีการซื้อขายบริการกัน
ส่วนผู้ที่มีความผิดกระทงอื่นๆ ก็ถูกตำรวจเรียกไปแจ้งข้อหา ลงนามรับทราบ เหมือนกับทำทัณฐ์บนไว้ ประดาความผิดเหล่านั้นได้แก่ เล่นไพ่ ลักขโมย ตบตีลูกเมีย ไปทำงานต่างประเทศ(ไทย) เป็นตัวแทนขายตรง(ออกไปประชุมเมืองไทยบ่อยๆ) อย่างนี้เป็นต้น
      หลังออกพรรษาไม่กี่วัน ตำรวจเมืองก็เริ่มซื้อไม้ไผ่มาสร้างเรือนนอน
      เพื่อขยายสาขาของโรงเรียนดัดสร้าง
      แล้วก็ไปเชิญนักเรียนรุ่นสอง ที่มีหลักฐานมัดตัวมาเข้าโรงเรียนประจำ
      (นักเรียนรุ่น ๑ บางคนได้รับการประกันตัวหากสอบไม่พบหลักฐาน)
      นักเรียนรุ่นสองนี้มี คนค้ายาเสพติด คนที่ตีเมีย วัยรุ่นเสพยา หญิงบริการ
      แม้แต่เป็นรัฐกร หากทำผิดก็ถูกจับเหมือนชาวบ้านทั่วไป
ตอนนี้มีนักเรียนดัดสร้าง ๗๐ คน
นักเรียนต้องนำข้าวสารมานึ่งกินเอง เดือนละ ๒๐ กิโลต่อคน
มีการเรียนทฤษฎีการเมือง เรียนจักสาน งานฝีมือ
ให้อยู่แต่ในบริเวณ กลางคืนปิดกุญแจเรือนนอนไม่ให้ออกนอกอาคาร
ผู้ชายถูกโกนผม หัวล้านหมด 
      ทำไมเขาถึงรู้ตัวคนผิด?
      เพราะเมืองลาวมีประชากร ๖ ล้านคน มีตำรวจ ๖ ล้านคนเช่นกัน
      ต่างคนต่างสอดส่องกันนั่นเอง
แอบถามว่าหากอยากทำบุญ เหมาเฝอไปเลี้ยงจะได้ไหม
ท่านบอกว่าเอาความคิดมาจากไหน เอาความคิดกลับคืนไปที่นั่น
เขาอยากให้คนรู้จักความลำบาก ยังจะเอาข้าวไปเลี้ยงเขาอีก
แอบถามว่าเมื่อไหร่จะจบหลักสูตร
ท่านว่ารอให้จบซีเกมส์
ถามว่าที่อื่นเปิดโรงเรียนอย่างนี้ไหม?
ท่านตอบว่ามีทุกที่ ที่เมืองปากลายเขายังเอาไปเก็บเมี้ยนแม้กระทั่งผู้ชายตุ้งติ้ง
      ด้วยเหตุที่หงสาเป็นเมืองเล็ก มีพลเมืองสองหมื่นกว่าคน
      แถมยังเป็นตำรวจกันทุกคนอย่างนี้
       การชำระเมืองด้วยวิธีนี้ ก็เป็นวิธีที่น่าจะได้ผล
เราผู้ผ่านทางก็ได้แต่เฝ้ามอง
และเคารพในวิถีของเมืองเขา
แค่อยากนำมาเล่าสู่แบ่งปัน
ครับผม

 


บันทึกสำนึกผิด: ๑ คำสารภาพของเด็กชายมือไว

2 ความคิดเห็น โดย silt เมื่อ 17 ตุลาคม 2009 เวลา 11:05 (เช้า) ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 1333

เด็กชายตัวน้อยๆวัยก่อนประถม ไม่ได้อดอยากปากแห้งแต่อย่างใด ขนมข้าวต้มมีให้กินไม่ขาดปากด้วยเป็นลูกคนเดียว แม้ว่าแม่จะไม่สอนให้ฟุ่มเฟีอยแต่ก็มีขนมเตรียมไว้ให้กินไม่เว้นแต่ละวัน เวลากินข้าวก็จะมีชิ้นหมูชิ้นปลาปิ้งย่างวางในขันโตกให้เป็นอาหารเฉพาะที่ทุกคนไม่แตะต้องเพราะเป็น “อันนี้ของกิ๋นอ้าย” เงินทองก็ไม่เคยขาดมือออกจากบ้านไปเจอญาติผู้ใหญ่คนไหนท่านก็ให้มาคนละบาทสองบาทเพราะเขาเป็น “คนพิเศษ” ชนิดที่ใครๆก็ยกให้เขาเป็น “อ้าย” แต่เขาก็ไม่วายซุกซน

มีครอบครัวพ่ออุ้ยติ๊บแม่อุ้ยมอย มาปลูกกระต็อบทำไร่ใกล้ๆบ้านป่าของเด็กชาย ท่านก็เหมือนคนทั้งหมู่บ้านที่รักไอ้เจ้าเด็กน้อยนี้เหลือเกิน ตอนที่ไอ่หน้อยยังเล็กๆท่านก็ให้ “ปี้เพ็ญ”ลูกสาวมาช่วยเลี้ยงดูมัน แต่วีรกรรมของเด็กวัยซนก็ไปเบียดบังพ่ออุ้ยแม่อุ้ยให้เวียนหัวให้ชวนหัวอยู่เรื่อยๆ วันดีคืนดีเจ้าเด็กหน้อยก็ไปขโมยแตงไทยลูกโตที่ยังไม่แก่ (กินยังไม่ได้) มาจากไร่พ่ออุ้ย ๆ ท่านเห็นแล้วขำกลิ้งในความพยายามของมันที่ใช้มือน้อยๆปลิดแตงทุลักทุเลก่อนจะกลิ้งผลแตงเข้าเขตไร่ของตัวเอง แต่แม่อุ้ยไม่ขำด้วยท่านกลัวมันไปกินแตงไทยดิบแล้วปากจะพอง เลยวิ่งไปดักรอที่บ้านพร้อมกับไปเล่าให้แม่ฟังอย่างไม่ถือความ แต่แม่กลับไม่ยอมความ เจ้าเด็กหน้อยโดนแม่ทำโทษโดยให้นั่งนิ่งๆฟังการอบรมซะหนึ่งบทยาวๆ  แถมโดนเอานิ้วหนีบหนังแขนบิดให้เจ็บหลายทีเล่นเอาน้ำตาไหล แต่คนที่เสียน้ำตามากกว่ากลับเป็นแม่อุ้ย ท่านนั่งสงสารเช็ดน้ำตาป้อยๆ บ่นว่ารู้อย่างนี้ไปห้ามมันตอนที่กลิ้งแตงมาก็ดี หลานจะได้ไม่โดนแม่ดุ

ด้วยวัยซน เจ้าเด็กน้อยก็ยังซนตามวัย วีรกรรมต่อไปคือการไปขโมย “บ่าแต๋งเจื้อ” (คือแตงร้านลูกแก่ที่ท่านเก็บเอาไว้ทั้งผลเพื่อจะผ่าเอาเมล็ดไว้ปลูกปีต่อไป คนเมืองเจียงใหม่สมัยก่อนนิยมเก็บเมล็ดพันธุ์ไว้ทั้งผลอย่างนี้ ท่านว่าหากผ่าเอาแต่เมล็ดไว้เดี๋ยวหนูคาบไปจะหาพันธุ์มาปลูกไม่ได้) ไม่ใช่ของใครอื่นก็ของแม่อุ้ยพ่ออุ้ยคู่เดิมนั่นแหละ ท่านอุตส่าห์กลัวหนูมาคาบเลยเก็บแตงไว้เป็นลูก ที่ไหนได้ยังมีไอ่หน้อยมือบอนมาหอบแตงหนีอีก ก็เห็นเปลือกนอกมันสีน้ำตาลแดงสวยๆ ก็นึกว่าแตงมันสุกน่าจะหวานกินอร่อย เลยจัดการฉวยไปทั้งสองลูกใหญ่กะจะเอาไปให้พรรคพวกช่วยกันผ่าช่วยกันชิม คราวนี้อุ้ยใช้พี่เพ็ญวิ่งไปดักที่บ้าน เพราะเห็นว่าการผ่าแตงแก่ๆเปลือกแข็งๆนี่ต้องใช้มีด ซึ่งของมีคมทั้งหลายกับไอ่หน้อยคนนี้ชาวบ้านท่านรู้ดีว่าอย่าให้มันได้อยู่ใกล้กันเป็นการดีเพราะหากมันเจ็บทีได้วุ่นวายกันทั้งดอน อุ้ยเลยให้พี่เพ็ญไปรอผ่าแตงให้(มันซะ) คราวนี้แม่ไม่ดุแม่ไม่หยิกด้วย แต่แม่ให้พี่เพ็ญผ่าแตงควักเมล็ดออกไปล้างน้ำผึ่งแดดให้แห้ง วันรุ่งขึ้นแม่เอาเมล็ดแตงใส่กล่องขนมที่เป็นเหล็กกันหนูกันมดแทะแล้วให้ไอ่หน้อยถือกล่องเมล็ดแตงร้านไปส่งแม่อุ้ย กล่องรูปการ์ตูนอาบุสสาก้าที่มันหวงที่สุดที่ได้รับกำนัลมาจากญาติในเมืองนั่นเอง อ้อ เล่าข้ามขั้นตอนไป หลังจากผ่าเอาเมล็ดแตงออกแล้ว ส่วนที่เป็นเนื้อแตงแก่ๆที่นึกเอาไว้ว่าจะหวานแต่ที่จริงแล้วจืดสุดๆเนื้อหยาบแข็งสุดๆนั้น แม่ให้เจ้าตัวที่อยากกินนักค่อยๆนั่งกินเข้าไปให้หมด (ดีที่ยังฐานกรุณาปลอกเปลือกให้)

วีรกรรมต่อไปของไอ่หน้อย มันแปลงร่างเป็นสัตว์ฟันแทะเป็นหนู มันอยากกินอ้อย ทั้งๆที่รู้ว่าหากไปขอเขาดีๆพ่ออุ้ยก็ตัดมาปลอกให้กิน แถมหากมีงานปอยก็แม่นั่นแหละที่สอนพี่เพ็ญทำ “อ้อยส้อม” ไปขาย (อ้อยควั่นเป็นแว่นๆปักบนไม้ไผ่ที่ทำเป็นช่อๆ แต่ของแม่จะทำอ้อยเป็นลูกกลมๆ) แต่นั่นแหละกินของงามๆง่ายๆคงไม่ถึงใจ ว่าแล้วก็จัดการนอนแทะลำอ้อยที่ยืนต้นอยู่คากอนั่นแหละ แทะอยู่ค่อนวันสำเร็จอ้อยลำโตขาดจากโคนได้ จากนั้นก็แปลงร่างเป็นชาวป่าใช้ฟันปลอกเปลือกแทะกินลำอ้อยอยู่ตรงนั้นได้อีกหน่อยก็เบื่อ จากดงอ้อยไปอย่างลอยนวลนึกว่าใครไม่เห็น แต่ตอนเย็นพ่ออุ้ยก็ใช้ให้พี่เพ็ญก็ถือช่ออ้อยควั่นมาส่งพร้อมกับเล่าที่มาของอ้อยช่อนี้ จำไม่ได้ว่าโดนทำโทษอะไรบ้าง แต่รู้สึกว่ามื้อเย็นนั้นแม่จะแกล้งลืมทำชิ้นปิ้งปลาปิ้งซึ่งเป็นอาหารจืดเป็น “ของกิ๋นอ้าย”  ปากที่ได้แผลจากการแปลงร่างเป็นหนูจึงยิ่งแสบถึงใจเมื่อต้องกินน้ำแกงเผ็ดๆ

นี่เป็นความมือไวด้วยความไร้เดียงสาของเด็กชายบ้านป่า
แต่ก็คิดว่าส่งผลมาถึงกิจปฏิบัติที่เขาต้องพบเจอทุกวันนี้
เขาต้องควักกระเป๋าตัวเองไปครั้งแล้วคราวเล่า (อย่างเต็มใจ) ในการซื้อเมล็ดพันธุ์พืชต่างๆแจกคนเขาไปทั่ว ไม่ได้ตั้งใจว่าต้องให้ แต่มันมีเหตุที่จะต้องให้ บางทีไม่ให้ก็เหมือนกับให้เพราะซื้อมาทดลองปลูกเพื่อที่จะนำความรู้ไปถ่ายทอด นี่ยังไม่นับการให้อย่างอื่นนอกเหนือจากพันธุ์พืช เช่นอุปกรณ์ทำไร่ทำสวนต่างๆ ถังพ่นสารไล่แมลง เป็นต้น เมื่อปีกลายทีมงานของเขาพลาดในเรื่องการสั่งซื้อลูกปลาดุกมาให้ชาวบ้านกลุ่มใหญ่เลี้ยง ปี๊บก็ตีไปแล้วตอนมอบทำพิธีใหญ่โต ดังนั้นปลาจะตายไม่ได้ ว่าแล้วเขาก็แอบใช้เงินส่วนตัวจำนวนมากโข ออกไปเลือกซื้อลูกปลามาใส่บ่อให้ชาวบ้านแทนที่ตายไป โดยไม่กล้าบอกใคร เกรงลูกน้องจะถูกตำหนิ ผ่านมานี่เขาก็จัดการให้มีกล้าหวายหลายหมื่นต้นเพื่อแจกจ่ายให้คนไปปลูกกันทั้งแขวง ปีก่อนก็ลงทุนให้ลูกน้องปลูกทุ่งทานตะวันผืนใหญ่ ซื้อลูกหมูมาให้ชาวบ้านพิสูจน์การเลี้ยงในหลุม ไม่มีงบประมาณ ก็ช่างประไร เขาถือว่าคงรวมอยู่ในค่าจ้างแพงๆที่เขาได้รับแล้วกระมัง
อีกอย่างหนึ่งก็คือ แค่เขาคิดถึงเรื่องราวของไอ้หน้อยมือไวเมื่อสี่สิบปีก่อน กับสิ่งที่ต้องทำในวันนี้
ก็ไม่ต้องไปเสียดายอะไรอีก


พินัยกรรมฉบับวิตกจริต

6 ความคิดเห็น โดย silt เมื่อ 16 ตุลาคม 2009 เวลา 3:07 (เย็น) ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 1425

วันหยุดพักเมื่อกลางเดือน ไปเมืองไทยแบบนินจา (ด้วยความเกรงใจประชาชีพี่ป้าน้าอาญาติธรรมทั้งหลายที่มาคอยให้บริการจนแทบจะอุ้มไปนั่นมานี่) แต่ก็เหมือนกับโชคชะตาฟ้ากลั่นแกล้ง ตารางชีวิตที่วางไว้กลับถูกเร่งกระชั้นด้วยเหตุที่ถูกร้องขอให้กลับเข้าหงสาเร็วกว่ากำหนด แถมยังมีงานจรเข้ามาวางบนโต๊ะให้จัดการอีกชิ้นใหญ่ สรุปแล้วก็คือเป็นวันพักที่ยุ่งเหยิง ได้นอนน้อยกว่าวันทำงานปกติเสียอีก เสร็จจากงานไปหาหมอให้เจาะๆ เคาะๆ จิ้มๆ หลอกหมอได้สำเร็จด้วยสรรพคุณของมะแว้งถุงใหญ่ที่เคี้ยวทีละเม็ดตั้งแต่ออกจากหงสา หมอบอกว่า “ดีครับ ควบคุมน้ำตาลได้ดี แต่หมอขอรักษาขนาดยาไว้เหมือนเดิมครับ” อ้าวรึว่าหมอรู้ทัน รับยาแล้วก็รีบเดินทางสามทอดกลับเข้าหงสา
กลับมาถึงที่ทำงาน ประชุมนัดสำคัญ แล้วก็เริ่มมีอาการ อาการที่เป็นผลมาจากการพักผ่อนน้อย และเดินทางไกล อาการที่ว่าคือเริ่มหนาวแต่ไม่ถึงกับ chill มีไข้ ตามมาด้วยอาการหูอื้อ ตาลาย เวียนศีรษะ และอาการอื่นๆของไข้หวัด เมื่อรู้ตัวว่าทนไม่ไหวจึงวางทุกงานไว้บนโต๊ะ หนีกลับมานอน  วันรุ่งขึ้นอาการยังไม่ดีขึ้นเพื่อนร่วมบ้านเอาเครื่องมือมาพันๆข้อมือแล้วกดติ๊ดๆ นั่งรอสักพักเจ้าเครื่องที่เพิ่นพกพามาจากเบลเยี่ยมก็ร้องเสียงสูง ติ๊ดๆๆๆๆ คนมาดูตัวเลขก็ร้องจ๊ากส์ ท่านว่าอะไรสูง อะไรต่ำนี่แหละ ส่วนตัวกระผมก็สะลืมสะลือบอกท่านไปว่า “ข้อยบ่เปนหยัง วานซืนนี่กะไปให้หมอกวดมาแล้วบ่ได้ยินเพิ่นเว้าแนวได” หลังจากนั้นก็มีเพื่อนฝูงอีกสองสามคณะแวะเวียนกันมาเคาะห้องถามอาการ แต่ละคนก็พาหมอพาพยาบาลมาพร้อมกระเป๋าเครื่องมือ เอ้าตรวจก็ตรวจ วัดก็วัด สรุปที่วัดกันได้คือ ไข้ต่ำๆ ความดันโลหิต ๑๐๐/๘๐ ท่านว่าต่ำไป (แต่ผมว่าตัวล่างตัวไดแอสโตริกมันยังไม่น่าเกลียด…เมื่อวันโน้นหาหมอที่ขอนแก่นก็วัดได้ประมาณนี้ไม่เห็นว่าไง) แต่เจ้าชีพจรนี่น่าสนใจกว่ามันพรวดขึ้นเกินร้อยตลอด ปานว่าไปวิ่งไกลๆมา สรุปแล้วก็อาศัยความดื้อแพ่ง บวกกับเอาตำแหน่ง “จานเปลี่ยน” ค้ำประกัน ไล่ตะเพิดรถฉุกเฉินที่มารอขนย้ายออกชายแดน   ขอนอนกอดตัวเองที่หงสารอดูอาการก่อน
แม้ว่าจะคุ้นเคย และรู้สึกปลอดโปร่งทุกครั้งเมื่อได้อยู่ตามลำพัง แต่ท่ามกลางความเงียบยามดึก ความหนาวสั่นจากพิษไข้ (เป็นคนดื้อที่ไม่เคยกินยาแก้ปวด ยาลดไข้มาตั้งแต่เกิด) บวกกับอาการหูอื้อและวิงเวียน ก็ทำให้เกิดวิตกจริตได้ เริ่มคิดกังวลในหลายๆเรื่อง

  • เอ? รึว่าเราจะติดเจ้า ๒๐๐๙มาจากกรุงเทปกรุงไท เพราะไม่นานมานี้ก็เป็นหวัดธรรมดาไปแล้ว
  • เอ? เราเป็นมนุษย์เลือดหวานนี่ ท่านว่าอยู่ในกลุ่มเสี่ยงนี่นา หายา…ฟูๆอะไรนั่นมากินดีไหมน้อ
  • เอ? อาการชีพจรเต้นเร็วเต้นรัวอย่างนี้ เป็นสัญญานบ่งชี้ว่า sepsis ติดเชื้อในกระแสเลือดรึเปล่า (ว่ะ)
  • เฮ้ย ! แล้วเรื่องราวหนหลังจากที่เราก้าวช้ามภพนี้ไป คนข้างหลังจะวุ่นวายไหม
  • เฮ้ย! เราได้ชดใช้ดอกผลของสิ่งผิดพลาดที่ได้เคยทำๆกับคน(อื่น) ทั้งโดยตั้งใจ โดยที่ไม่ได้ตั้งใจ ผลกรรมเหล่านั้นได้สนองคืนเรารึยังหนอ

• ตัดสินใจได้สองเรื่องว่า หากยังมี “วันพรุ่งนี้” อยากจะทำสองเรื่อง คือ ทำเรื่องราวไว้ให้คนข้างหลังให้เรียบร้อย เรื่องที่สองคือ ต้องกล้าบอกเล่าความพลาดของตัวเองในบันทึกทำนอง “คำสารภาพของคนสำนึกผิด” (กล้าบันทึกแต่จะกล้าเผยแพร่รึไม่…..จะลองรวบรวมดู) หากว่าเผยแพร่แล้วจะเป็นกุศลกรรมเหมือนหนังสือ “กฎแห่งกรรมของท่าน ท. เลียงพิบูลย์” ก็น่าจะดี

ผ่านไปสองคืน วันนี้อาการดีขึ้นมาก เกือบปกติ
ที่แท้เจ้าไข้หวัด ๒๐๐๙ ที่กลัว น่าจะเป็นเพียง “ไข้หัวลม” ฮ่า ฮ่า
อย่างไรก็ตามเรื่องราวที่ได้คิดไว้ในคืนวันที่หวาดวิตก ก็จะพยายามสานต่อ
เรื่องแรกคือ สิ่งของส่วนตนที่ทิ้งไว้เรี่ยราดหากข้าพเจ้าไม่มีตัวตนในโลก จะตกเป็นของผู้ใด (อย่าเพิ่งเข้าใจว่ามีทรัพย์สมบัติมีค่าอะไรมากมาย ก็มีเพียงหนังสือเก่า เสื้อผ้าเก่าสองสามกล่อง อิ อิ) ผมตัวคนเดียว ลูกคนเดียว พ่อ แม่ไปรอภพโน้นหมดแล้ว การจัดการข้าวของเครื่องใช้เลยจัดการได้ง่ายๆ คิดออกตั้งแต่นอนพะงาบๆคืนนั้นแล้วว่า

  • หนังสือเก่าทั้งหมด (นี่เป็นสมบัติที่มีค่าที่สุดหวงแหนที่สุด)ยกให้โรงเรียน
  • ประกันชีวิตทั้งหมดไม่รู้ใจอ่อนทำไว้กี่กรมธรรม์(แต่จะแห่งไม่กี่บาท…โปรดอย่าเข้าใจผิด) ยกให้หลานสาวคนที่กำลังส่งเรียนแม่โจ้ เธอกำพร้าพ่อ พ่อเธอไปภพอื่นนานแล้วเธอจะได้มีทุนเรียนต่อจนจบ
  • เงินในสมุดธนาคารสามสี่เล่ม (เล่มละสองสามพันบาท…ยังมีหน้ามาบอกเขาอีก) จัดงานฯ แล้วเหลือเท่าไรให้เป็นทุนการศึกษายายหลานสาวกำพร้าเจ้าเดิม
  • ที่ดินบ้าน ยกให้ญาติข้างแม่ เพราะลุงข้างแม่ท่านเคยยกส่วนหนึ่งมาแปะไว้ให้ เลยยกคืนทั้งผืน
  • ที่ดินนา ยกให้ญาติข้างพ่อ เพราะตอนย่าเล็กท่านซื้อให้พ่อท่านซื้อผืนใหญ่มาแบ่งให้พ่อกับลุง
  • ที่บ้านจัดสรร(เท่าตารางวาแมว) ยกให้ญาติที่ช่วยมาขับรถให้นั่งหลายสิบปี ติดตามไปรับใช้ไปบริการในลาวในป่าก็ไม่ขาด ยามพ่อแม่ป่วยก็ได้ท่านช่วยดูแลแทนเราบ่อยๆ เอาไปเหอะยกให้ ยกรถคันนั้นให้ด้วย

• หมดแล้ว สมบัติ อ้อยังเหลืออีกอย่าง หนี้สินทั้งมวล ไม่รู้ไม่เคยจำว่าให้ใครยืมไปเท่าไหร่(เคยจำแล้วเป็นทุกข์) ใครคืนมาบ้างยังไม่คืนบ้าง ขอยกให้กับลูกหนี้ทุกคนอย่าได้กังวลใดๆ หากวันไหนอยากจะคืนให้เอาไปทำบุญที่วัดก็แล้วกัน

เห็นไหมครับเรื่องราวใดๆล้วนง่ายดายหากไม่ติดยึด
แต่คงอีกนานมั้ง กว่าจะถึงเวลาไปจากโลกนี้ ยังมีบันทึกให้เขียนอีกมากมาย
ทำพินัยกรรมฉบับวิตกจริตแก้เคล็ด(ขัดยอก)ไปแล้วนี่



Main: 0.36103892326355 sec
Sidebar: 0.13805913925171 sec