ส่งพระขึ้นเมืองบน ฮดสรงสาธุเจ้า พิธีกรรมวันสุดท้ายของการเฉลิมฉลองปีใหม่ลาวที่เมืองหงสา

2 ความคิดเห็น โดย silt เมื่อ 27 เมษายน 2010 เวลา 1:39 (เย็น) ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 2498

ได้เขียนเรื่องประเพณีวันปีใหม่ลาวในบันทึกก่อนๆ ไว้ว่า ที่ลาวท่านจะนับตามปฎิทินจันทรคติ ไม่ได้นับตามวันที่เหมือนบ้านเรา ซึ่งก็จะเหมือนกันกับในหนังสือปี๋ใหม่เหมืองของทางล้านนา แต่ก็จะเรียกชื่อของแต่ละวันในช่วงสงกรานต์ผิดกันไปบ้าง เช่นที่เจียงใหม่จะเริ่มที่วันสังขารล่อง แล้วตามด้วยวันเน่า-วันพญาวัน-วันปากปี๋-วันปากเดือน ส่วนที่หงสานี่จะเริ่มที่วันสังขารล่อง ตามด้วยวันเนาและวันสังขารขึ้น ต่อจากนั้นอีกหลายๆวันจะเป็นวันสมมาคารวะ ที่ลูกหลานจะไปรดน้ำดำหัวผู้ใหญ่ (ที่นี่เรียกไปสมมา) แต่ละหมู่บ้านจะยกขบวนร้องรำแห่กันไปคารวะไปสรงน้ำพระที่วัดของหมู่บ้านข้างเคียง จนกระทั่งถึงวันที่ยี่สิบกว่าๆ ก็จะมีพิธีสรงน้ำส่งพระขึ้นเมืองบน และการสมมาพระสงฆ์ที่อยู่ในวัด ถือว่าเป็นการจบการเฉลิมฉลองบุญปีใหม่อย่างสมบูรณ์ ดังเช่นที่วัดศรีบุญเฮือง เมืองหงสา ในเช้าของวันที่ ๒๔ เมษา ที่ผมได้เข้าร่วมพิธีจบการเฮดบุญปีใหม่ลาวอย่างไม่นึกไม่ฝัน


สิบโมงเช้าเศษๆผมจอดรถหน้าวัด ด้วยตั้งใจจะพาคณะแขกนักวิชาการเข้าไปกราบพระพุทธรูปที่เชื่อกันว่ามีอายุเก่าแก่ที่สุดของเมืองหงสา ด้วยมีการสลักไว้ที่ฐานองค์พระว่าสร้างปี พ.ศ. ๒๑๑๒ สามร้อยกว่าปีมาแล้ว (ปีเดียวกับที่ราชวงค์สุโขทัย กับราชวงค์สุพรรณภูมิมีความขัดแย้งกันในกรุงอยุธยาและ กรุงพิษณุโลก จนเป็นเหตุให้พระนเรศวรทรงต้องไปเป็นองค์ประกันที่เมืองหงษาวดีอย่างไรเล่าครับ) และอยากอวดจารึกเกี่ยวกับเจ้าหลักคำของวัดศรีบุญเฮืองอีกอย่างหนึ่งด้วย แต่ที่วัดวันนี้มีพ่อเฒ่าแม่แก่ห่มผ้าเบี่ยงถือขันเงินเข้าออกวัดอย่างหนาตา พยายามนึกว่าวันนี้มีบุญอะไรหนอ ก่อนที่จะสาวเท้าพาตัวเองเข้าไปถามไถ่พ่อๆที่นั่งรอที่หอแจก  ได้รับคำตอบว่าวันนี้จะเฮดบุญ “ส่งพระขึ้น กับฮดสรงสาธุ” เพื่อเป็นการจบบุญปีใหม่ลาว


บรรดาแม่เฒ่าพ่อลุงที่คุ้นหน้าค่าตากันดี ด้วยผมมาร่วมฟังธรรม มาตักบาตร มาเป็นคนอ่านโพยสลากในบุญข้าวสากที่นี่ก็หลายหนอยู่ ท่านชวนให้อยู่ร่วมทำบุญด้วย ท่านขยายความว่าที่วัดได้นิมนต์เอาองค์พระพุทธรูปมาไว้ให้ศรัทธาได้สรงน้ำตั้งแต่เริ่มบุญปีใหม่จนถึงวันนี้จะนำท่านขึ้นไปเก็บที่แท่นในวิหารจนกว่าจะถึงปีใหม่ลาวปีหน้าค่อยนำองค์พระออกมาใหม่ ก็เลยมาทำพิธีกันก่อนที่จะเก็บองค์พระ พร้อมกันนั้นก็จะมีการสมมมาคารวะพระภิกษุสามเณรทุกรูปด้วย ขั้นตอนที่ได้ทำไปแล้วในตอนเช้า ก็คือ การสรงน้ำพระพุทธรูป การสรงน้ำตุ๊พระสามเณร และขั้นตอนที่กำลังจะทำต่อคือการอาราธนาพระเมือเมืองบน กับการสมมาคารวะพระสงฆ์สามเณร


ในศาลาหรือที่นี่เรียกว่าหอแจก มีพานบายศรีประดิษประดอยแต่งเอ้ด้วยใบตองและดอกต๋าเหินสีขาว มีเงินกีบเป็นช่อชั้นยอดพาน มีขันเงินขนาดย่อมใส่ดอกไม้ธูปเทียนวางไว้ครบตามจำนวนพระเณร และที่สะดุดตาที่สุดเห็นจะเป็นพานพุ่มดอกไม้ที่ตั้งอยู่ใกล้ๆกับพานบายศรี ท่านใช้ไม้ทำเป็นโครงรูปทรงเป็นพานโปร่งๆคล้ายฉัตรซ้อนกันเป็นชั้นๆพร้อมเจาะรูเป็นช่องๆ แล้วดอกไม้สอดเข้าไปตามรูนั้น ก็จะกลายเป็นพานพุ่มดอกไม้ที่สวยงามมีเสน่ห์แบบพื้นบ้านโบราณของเมืองลาว


ระหว่างที่นั่งรอพระเณรท่านไปผลัดเปลี่ยนผ้าสบงจีวรที่เปียกจากการสรงน้ำของญาติโยม ผมก็ถูกบรรดาป้าๆแม่ๆทยอยกันมารดน้ำมาอวยชัยให้พร แต่ละท่านมาแบบสุภาพนุ่มนวล ค่อยๆรินน้ำอบที่ลอยด้วยดอกไม้แห้งกลิ่นหอมลงบนบ่าบนไหล่เบาๆพร้อมคำอำนวยพรให้อยู่เย็นเป็นสุข อายุหมั้นยืนยาว ทำเอาขนลุกน้ำตาแห่งความปิติปริ่มๆจะหยดเสียให้ได้
เมื่อพระท่านลงมานั่งประจำที่กันแล้ว ก็เริ่มพิธีด้วยการไหว้พระ รับศีล จากนั้นพระท่านก็นำทุกๆคนในศาลาก็หันหน้าเข้าหาแท่นพระพุทธรูป แล้วพ่อเฒ่าอาจารย์ก็กล่าวสรรเสริญคุณพระ แล้วจบลงด้วยการน้อมส่งพระท่านที่ลงมาโปรดมนุษยโลกอัญเชิญท่านกลับ “เมืองเนรพาน”


แล้วพระเณรท่านก็เปลี่ยนทิศนั่งหันหน้ากลับมาหาศรัทธาญาติโยม พ่ออาจารย์เริ่มพิธีสมมาคารวะต่อสิ่งอันไม่ดีไม่งามที่ได้กระทำในการมาทำบุญในวัด คำกล่าวของท่านเป็นคำร่ายโบราณที่มีสัมผัสคล้องจอง ถอดความได้พอสังเขปว่าดังนี้     สมมาพระสงฆ์ สมมาที่เครื่องไทยทาน อาหารคาวหวานที่เคยนำมาถวยแปดเปื้อน ที่ได้คิดอกุศลต่อพระเจ้าเจดีย์ในวัด ที่อาจเผลอเรอไม่ได้พาดผ้าเบี่ยงเข้าวัด ที่อาจมีทรายจากลานวัดติดเท้าออกไป อย่างนี้เป็นต้น จากนั้นก็ประเคนพานดอกไม้ธูปเทียนถวายพระเณรทุกรูป แล้วจบลงด้วยการรับพร ยะถา สัพพี จากพระท่าน เป็นจบพิธี


แต่คณะผู้เฒ่าผู้แก่ท่านบอกว่า “ยังมีอีกเวียก” พ่อลุงท่านหนึ่งรีบคลานเข้าไปหาท่านเจ้าอาวาส พร้อมกับยกพานดอกไม้ธูปเทียน ขอนิมนต์ให้ท่านอยู่เป็นที่พึ่งพิงขอญาติโยมต่ออีกสักหนึ่งพรรษา แอบกระซิบถามคุณยายท่านบอกว่าท่านเจ้าอาวาสท่านบวชเรียนมาตั้งแต่เด็ก ท่านเปรยๆกับพ่อออกศรัทธาว่าอยากลาสิขาออกไปใช้ชีวิตเพศฆารวาส ทำมาหากิน  แต่พี่น้องชาวบ้านยังเสียดายท่าน ประกอบกับที่วัดยังหาพระที่พรรษาและมีบารมีมากพอที่จะมารับตำแหน่งเจ้าอาวาสปกครองวัดแทนได้ จึงอยากขอร้องให้ท่านอยู่ต่อ
ตอนแรกๆพระท่านส่ายหน้าไม่ยอมรับท่าเดียว ข้างฝ่ายคุณตาคุณลุงทั้งหลายก็พากันยกแม่น้ำทั้งห้ามาขอร้องอ้อนวอน ประสานกับเสียงร้องขอจากคุณป้าคุณยาย บางท่านก็เช็ดน้ำตาป้อยๆ ในที่สุดท่านเจ้าอาวาสก็เอื้อมมือออกมารับพานนิมนต์ รับปากว่าจะอยู่ต่อ เสียงโห่ร้องยินดีของพ่อแก่แม่เถ้าในศาลาดังอึงมี่ คุณยายหลายท่านปล่อยโฮ ผมเองก็ไม่อาจกลั้นน้ำตาแห่งความปิติไปกับบรรดาท่านด้วย


ขอบพระคุณขอรับพระคุณท่าน สงกรานต์ปีหน้าผมจะมาสมมาท่านใหม่ และจะมาลุ้นขอต่ออายุพรรษาท่านอีกครั้ง


เข้าวัดนมัสการ

ไม่มีความคิดเห็น โดย silt เมื่อ 18 เมษายน 2010 เวลา 11:12 (เย็น) ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 1515

สิบห้าค่ำเดือนห้า เป๋นพญาวันในวันนี้ เพื่อเป๋นศรีศิริมงคลปกหัว พาตัวออกจากที่ซ่อน จรลีไปหานบไหว้พระ ต๋ามปาเวณีเมินมา แต่เก่ากี้…นายเฮย
๑๖ เมษา ตามปฏิทินไทยกลางน่าจะพ้นวันมหาสงกรานต์ไปแล้ว แต่หนังสือปี๋ใหม่เมืองเปิ้นว่าวันนี้วันเดือนเป็งเป็นวันพญาวัน ซึ่งตรงกับทางเมืองลาวที่ถือว่าวันนี้เป็นวัน “สังขารขึ้น” สำหรับผมแล้ว วันนี้เป็นวันอยากไหว้พระ หลังจากโอ้เอ้วิหารรายอยู่หน้าคอมฯจนสาย ก็ดิ้นรนพาตัวเองออกจากเซฟเฮ้าส์มาโต๋เต๋อยู่แถวหน้าโรงแรมเทวราช เดินไปแอบเหล่คุณลุงสามล้อถีบที่จอดหน้าตลาดสดสี่ห้าคัน เดินเข้าไปถามคุณลุงท่าทางใจดีเจ้าหนึ่งว่าให้ช่วยพาไปไหว้พระสักสี่ห้าวัด แต่ขอให้มีวัดพระธาตุแช่แห้งด้วย คุณลุงท่านจัดตารางให้เสร็จ ถามราคาท่านบอกว่าสามร้อย เอ้าสามก็สามไปโลดครับลุง

(๑) จากหน้าตลาดไปพระธาตุแช่แห้ง ลงเดินช่วยลุงเข็นรถสามล้อถีบตอนขึ้นสะพาน กับตรงเนินก่อนถึงวัดพระธาตุ ถึงบริเวณวัดยังมีผู้คนคับคั่ง มีจุดให้บริการให้ญาติโยมบริจาคทรัพย์ทำบุญทำทานกันหลายจุด แต่พอเข้าเขตกำแพงแก้วไปแล้วก็รู้สึกได้ถึงความสงบสงัดด้วยบุญรังสีจากองค์พระธาตุ…..                                                                                                                                 
  

ตระหง่านง้ำสีทองสุกปลั่ง    
มะลังมะเลืองฉัพรังสีเฉิดฉาย
ยอดฉัตรต้องตะวันเปล่งประกาย  
เบ่งอบายพุทธคุณหนุนค้ำโลก
พระพักตร์พระประธานเอิบอิ่ม   
โอษฐ์เจือยิ้มกรุณาไร้ซึ่งโศก
นาคสะดุ้งเชิงหลังคาเหมือนอวยโชค    
ดั่งวิหคการเวกเสียงกังสดาล

(๒) นั่งรถย้อนเข้าเมืองคุณลุงคุยจ้อเรื่องบะเก่าของเมืองน่าน ท่านว่าสมัยก่อนบุญใหญ่ของเมืองน่านมีสี่บุญ คือเดือนห้าเป็งบุญวัดสวนตาล เดือนหกเป็งบุญพระธาตุแช่แห้ง เดือนเจ็ดเป็งบุญถ้าผาตูบ และเดือนแปดเป็งบุญขึ้นธาตุเขาน้อย หลังจากนั้นก็เตรียมลงไร่ลงนา ลงช่วยเข็นรถตอนขึ้นสะพานอีกครั้งจากนั้นคุณลุงก็พาแวะวัดที่สอง วัดกู่คำ….

  วิหารงามรวบรัด         เงียบสงัดสงบใจ
นายร้อยท่านสร้างไว้     ในปีสองสี่หกห้า
เพดานงามวิจิตร            เนรมิตรงานศิลป์สรร
ปานว่าองค์เทวัน            มาแต่งแต้มประดิษฐ์งาน
ในวิหารยังมีธรรมาสน์เก่ารูปทรงกระทัดรัดฝีมือช่างพื้นบ้าน ทำด้วยไม้ประดับกระจกสี มีเสน่ห์ที่เห็นชาวบ้านท่านเอาไม้ไผ่มาสานเป็นรูป “ตาแหลว” สองแผ่นประกบกันตรงกลางใส่ไว้ด้วยดอกไม้ทับแห้ง แล้วแขวนประดับไว้บนธรรมมาสน์ เป็นสิ่งที่ไม่เคยเห็นมาก่อน
วัดกู่คำเป็นวัดที่สงบเงียบ ไม่ค่อยมีผู้คนพลุกพล่าน ทำให้สามารถนั่งมองความสวยงามอันละเอียดที่ช่างฝีมือพื้นบ้านได้บรรจง ประดิษฐ์ประดอยไว้…
    ฝ้าเพดานวิหารวิจิตร   
ดุจเนรมิตรลวดลายสลักเสลา
ติดกระจกเสริมแต้มรูปเงา   
ธรรมมาสน์ของเก่างามชดช้อย
ประตูแต่งลายรดน้ำงามประณีต  
ได้พินิจงามงดหยดย้อย
ท่านนายร้อยพกาฝากรูปรอย   
ปีสี่ร้อยหกสิบห้าท่านอุทิศ

(๓) วัดช้างค้ำ….
 วัดช้างค้ำค้ำจุนพุทธศาสน์  
อภิวาทพระเจดีย์เป็นศรีเกล้า
พระนันทศากยมุนีเป็นร่มเงา   
กู่พระเจ้านครน่านท่านสถิตย์
หลวงพ่อใหญ่ในวิหารอารามใหญ่  
สงบใจได้บูชาอาราธนาศีล
เจดีย์ทรายปักตุงสีงามระริน   
ดูไม่สิ้นเสน่ห์เหนือฮีตล้านนา

(๔) วัดภูมินทร์  
จากวัดช้างค้ำข้ามสี่แยกไปไหว้วัดภูมินทร์ วิหารทรงจตุรมุข องค์พระประธานทั้งสี่ด้าน ยังคงความน่าเลื่อมใส ภาพวาดบนผนังยังคงมีเรื่องราวชาวเมืองน่านแต่เก่าก่อนน่าถอดรหัสทุกรูป นาค สิงห์ มอม มกร ที่เฝ้าอยู่เชิงทางขึ้นทั้งสี่ด้านยังคงยืนรูปเฝ้าอยู่ไม่เปลี่ยนแปลง แม้ว่าในวันนี้จะมีเสียงไฮปาร์คการเมืองจากศูนย์บริการนักท่องเที่ยวฝั่งตรงกันข้ามแทรกมาบ้างก็ตาม

    ศรัทธาเสกสรรค์สร้าง    พุทธศิลป์
งามงดราวองค์อินทร์         แต่งแต้ม
ผลงานท่านศิลปิน             ปางก่อน
งามหยดงามชดช้อย          พร่างแพร้วแสงธรรม

(๕) วัดมิ่งเมือง เป็นอีกวัดหนึ่งที่คุณลุงสามล้อว่า ไม่ควรพลาดด้วยเหตุผลที่ว่าเป็นที่สถิตย์ของเสาหลักเมืองน่านนั่นเอง ที่วัดมิ่งเมืองท่านสร้างวิหารใหม่ฝีมือปูนปั้นแบบตระกูลช่างเชียงแสนงดงามหมดจด ส่วนพระประธานในวิหารท่านว่าเป็นของเก่าสร้างในปี ๒๔๐๐ ที่เสาหลักเมืองท่านสร้างอาศรมมียอดเป็นพรหมสี่พักตร์

……มิ่งเมืองมีนามด้วยหลักเมืองสถิตย์  
งามวิจิตรลายปูนปั้นพระวิหาร
มีภาพเขียนเรื่องเมืองน่านครั้งโบราณ  
ท่านสมภารให้สร้างไว้ได้ชื่นชม
ตระกูลช่างปั้นเชียงแสนแถลงไว้  
หลวงพ่อใหญ่เป็นของเก่าดูงามสม
กังสดาลกล่อมเสียงทิพย์ให้รื่นรมย์  
น้อมบังคมหลักเมืองเป็นหลักชัย

(๖) วัดหัวข่วง อยู่ติดกับคุ้มหลวงเจ้านครน่านตามธรรมเนียมที่มีมาแต่โบราณ เป็นวัดที่ก่อสร้างด้วยศิลปะช่างล้านนาแท้ๆ มีหอไตรเก่าแก่สวยงามน่าเสียดายที่อยู่ในสภาพทรุดโทรม แต่ตู้พระธรรมลายรดน้ำยังคงงดงามมีสภาพดี ในวิหารมีธรรมาสน์ของเก่าที่เขียนไว้ว่าเจ้าแม่บัวแว่นสร้างอุทิศถึงเจ้าราชบุตร สลักเสลาไม้ประดิษประดอยย่อเหลี่ยมหลายมุมหลังคาเป็นช่อชั้นดังฝีมือของช่างชั้นครู….

,,,,,,,หัวข่วงแห่งเมืองน่าน  แต่โบราณท่านสร้างวัด  จัดไว้ใกล้หอคำ  ไว้ฟังธรรมใส่บาตร  มิได้ขาดทุกวันศีล เป็นอาจิณต์ต่อกันมา  ผ่านเวลาผ่านสมัย  เหมือนใครใครค่อยค่อยลืม  ท่านไม่ปลื้มของเก่า  ปล่อยแดดเผาฝนชะพัง  ทั้งผนังหลังคารั่ว  ดูน่ากลัวจะพังครืน  ช่วยกันฟื้นอนุรักษ์ ปกป้องรักษา เถิดเฮย

(๗) เกือบบ่ายสองโมง ลุงสามล้อพาไปวัดสุดท้ายของโปรแกรม คือวัดสวนตาล ท่านบอกว่าวัดนี้ต้องไปไหว้พระเจ้าทองทิพย์ ท่านว่าเป็นพระที่งามที่สุดของเมืองน่าน เจ้านายทุกพระองค์เคยเสด็จมาบูชา ได้ไปเห็นได้อ่านประวัติองค์พระก็สมคำร่ำลือ ท่านเขียนไว้ว่า พระเจ้าทองทิพย์สร้างโดยพระเจ้าติโลกราช แห่งเชียงใหม่ในคราวที่มาได้เมืองน่านเป็นเมืองออกโดยไม่เสียเลือดเนื้อ จึงโปรดให้สร้างพระเจ้าทองทิพย์ขึ้นในปี ๑๙๙๓  โน้นแนะครับ กราบพระ แล้วออกมาสรงน้ำพระด้านนอกวิหาร ใส่บาตรเหรียญ……

….พระเจ้าตองติ๊บ  แห่งวัดสวนต๋าน  เป๋นของโบฮาน  เพิ่นสร้างหล่อไว้  ติโลกราช เป๋นเจ้านั้นไซร้ จากเมืองเจียงใหม่ มาสร้างปูจา ด้วยเหตุเมื่อครั้ง องค์ท่านนั้นหนา กับพระมารดา มาได้เมืองน่าน นั้นแล นายเฮย…

ขอคารวะทุกท่านในวันสงกรานต์ครับ
(ขออภัยหากฉันทลักษณ์ผิดพลาดตัวสะกดผิดเพี้ยน บทร้อยกรองแบบเร่งด่วนที่ร่ายไว้ในเวลาอันน้อยนิดตอนไหว้พระ ไม่อยากแก้ไข อยากถ่ายทอดบรรยากาศในขณะนั้นครับ)


ไชยะบุรีสี่เมืองเหนือ ตอนที่๑ เยือนเชียงฮ่อน ไหว้พระธาตุเชียงลม

5 ความคิดเห็น โดย silt เมื่อ 7 เมษายน 2010 เวลา 4:29 (เย็น) ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 4562


ได้รับมอบหมายให้ไปช่วยให้ความคิดเห็นต่อการพัฒนาการเกษตรในเขตสี่เมืองเหนือของแขวงไชยะบุรี อันประกอบด้วย เมืองหงสา เมืองเงิน เมืองเชียงฮ่อน และเมืองคอบ จัดสรรเวลาได้ ๒วันก็รีบเดินทางไปปฎิบัติภาระกิจอย่างรวบรัด ในสามเมืองนอกเหนือไปจากเมืองหงสา เมืองทั้งสามตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของหงสา ออกจากหงสาไปประมาณ ๔๐ กม. เป็นเมืองเงิน จากนั้นนั่งรถข้ามเขาไปอีก ๖๐ กม.กว่าๆก็เป็นเมืองเชียงฮ่อน ส่วนเมืองคอบเป็นเมืองสุดชายแดนของลาวที่ยื่นเข้ามาในแขตแดนไทย หากไปจากเชียงฮ่อนตามเส้นทางปกติระยะทางก็กว่า ๗๐ กม. แต่หน้าแล้งอย่างนี้อ้ายน้องแนะนำให้ไปทางลัดเพียง ๔๐ กม.ก็ถึง การไปทำงานในสี่เมืองเหนือของไชยะซึ่งเป็นหนแรกของตัวเองที่จะได้ไปเยือนเมืองเหล่านี้ รู้สึกตื่นเต้นราวกับว่าจะได้ขึ้นยานย้อนเวลาไปเยือนอาณาจักรล้านนาเมื่อสักร้อยปีก่อน เพราะทราบมาว่า พี่น้องประชาชีชาวเมืองนี้เป็นชาวยวน ชาวลื้อเหมือนพี่น้องทางภาคเหนือของเรานั่นเอง
วางแผนการเดินทาง แผนการทำงานเอาไว้ว่า จะออกจากหงสาแต่เช้าตรู่ข้ามเมืองเงินไปให้ทันมื้อเที่ยงที่เชียงฮ่อน ตอนบ่ายประชุมกับเจ้าเมือง และกสิกรรมเมือง ไปดูพื้นที่เรือกสวนไร่นาเหมืองฝาย แล้วก็หนีวงสุราที่เขาเตรียมไว้ต้อนรับ ขับรถข้ามเขาไปดูสาวอาบน้ำที่ท่าน้ำเมืองคอบ อยากไปสัมผัสบรรยากาศเมืองคอบ เมืองที่ใครๆก็ห้ามไว้ว่าอย่าได้ไปนอนค้างเพราะไม่มีข้าวเย็นขายให้กิน รุ่งเช้าไปดูสวนดูนาที่เมืองคอบ แล้วย้อนกลับมากินข้าวกลางวันที่เมืองเชียงฮ่อน ก่อนแวะดูงานปลูกฝ้ายอินทรีย์ครบวงจรที่เมืองเงิน
เมืองเชียงฮ่อน มีดีที่เป็นหุบเขาขนาดใหญ่(กว่าเพื่อนๆในอีกสามเมืองที่เหลือ) มีที่ราบไว้ทำนาค่อนข้างกว้างขวาง ขนาดน่าจะประมาณหุบเมืองพร้าว จังหวัดเชียงใหม่ จึงเป็นแหล่งผลิตข้าวที่มีชื่อเสียงมานาน แต่ข้าวเมืองเชียงฮ่อนมีชื่อเฉพาะในด้านปริมาณ เขาว่ากันว่า “เชียงฮ่อนข้าวหลายหากแต่กินบ่แซบ” นี่เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ผมถูกขอให้มาช่วยดูคุณภาพข้าวของเชียงฮ่อน (รู้สึกว่าเขาจะขอผิดคนเสียแล้ว แหะ แหะ หารู้ไม่ว่า ผมอยู่ข้างพวกอนุรักษ์พันธุ์ข้าวพื้นเมือง) ข้อมูลจากท่านรองเจ้าเมือง ท่านเล่าว่า เมืองเชียงฮ่อนมีที่นา ๒๒๐๐ เฮกตาร์ ได้ผลผลิตข้าวปีละ ๑๓พันโตน แปลง่ายๆก็คือ หนึ่งหมื่นสามพันตัน แต่ละปีขายข้าวออกจากเมืองประมาณ ๓พัน-๔พันตัน ขณะนี้ทางเมืองกำลังก่อสร้างฝายทดน้ำสองแห่งที่น้ำเม้า กับน้ำแมด โดยใช้เงินลงทุน ๔๑ตื้อกีบ คาดว่าถ้าแล้วเสร็จจะสามารถเอาน้ำเข้านาได้ ๘๐๐ เฮกตาร์ ทำนาปรังได้ ๓๐๐ เฮกตาร์ ในอีกห้าปีข้างหน้า คาดว่าผลผลิตข้าวของชาวเชียงฮ่อนจะสูงถึง ๒๑พันตัน นั่นหมายความว่าจะสามารถส่งออกข้าวได้สูงถึง ๑๐พันตันเลยทีเดียว พี่น้องเมืองหงสาของผมที่จะสูญเสียที่นา ๘๐๐เฮกตาร์หรือข้าวเปลือกจะหายไปราว สี่พันตันก็ไม่ต้องกลัวอดข้าวแล้วละครับ (แต่จะเอาตังค์ที่ไหนไปซื้อเขา นั่นค่อยว่ากันอีกที)
เมืองเชียงฮ่อนร้องขอให้ช่วยเหลือเรื่องเมล็ดพันธุ์ข้าวที่มีคุณภาพดี และให้ผลผลิตสูง ในการนี้ผมต้องศึกษาถึง สภาพการเพาะปลูกข้าวทั้งในอดีตและปัจจุบัน สภาพพื้นที่ ระบบชลประทาน ปริมาณน้ำฝน และสิ่งสำคัญที่ละเลยไม่ได้คือข้อมูลการใช้ประโยชน์พื้นที่ปลูกพืชหลังนา เพราะว่า หากแนะนำข้าวพันธุ์ปรับปรุงที่ต้องพึ่งพาปุ๋ยเคมี แต่ถ้าทางนี้ปุ๋ยราคาแพงหรือหาซื้อไม่ได้ก็ไม่เหมาะสม หากที่นาส่วนใหญ่เป็นนาดอนอาศัยน้ำฟ้าอย่างเดียวการแนะนำพันธุ์ข้าวที่อายุการเก็บเกี่ยวยาวๆก็ไม่น่าจะปลูกได้ ในทางกลับกันหากที่นาส่วนใหญ่เป็นที่ลุ่มน้ำมากจะไปแนะนำพันธุ์ข้าวดออายุสั้นเมื่อถึงฤดูเก็บเกี่ยวพี่น้องก็จะบ่นว่าน้ำยังไม่แห้งเกี่ยวข้าวลำบากอีก อาชีพการปลูกพืชหลังนาก็สำคัญ เพราะหากพี่น้องจะใช้พื้นที่นาปลูกกระเทียม ปลูกยาสูบ ถั่วลิสง แตงโมเป็นรายได้หลักกันอยู่ ก็ต้องละเว้นไม่เอาข้าวพันธุ์หนักอายุยาวไปส่งเสริม จะเห็นได้ว่าการจะทำอะไรแบบบุ่มบ่ามสุ่มสี่สุ่มห้านั้น อาจมีผลกระทบอื่นๆตามมาภายหลังก็เป็นได้ ดังนั้นให้รอบคอบปิดปประตูเสี่ยงไว้เป็นการดีที่สุด
เชียงฮ่อนนอกจากจะลือนามในเรื่องมีทุ่งกว้าง มีข้าวหลายแล้ว ยังเป็นที่รู้จักกันว่า มาเชียงฮ่อนหากบ่ได้อมเมี่ยงส้มดมแก้วสาวยวนแล้ว แปลว่ายังมาบ่ถึงเมืองเชียงฮ่อน ชาวเมืองเชียงฮ่อน หากมาเดินปะปนกับพี่น้องชาวล้านนา ลำปาง พะเยา แพร่ น่าน หรือได้ยินสำเนียงพูดจากันก็แยกไม่ออกว่าเป็นคนที่มาจากประเทศลาว  แต่ที่นี่พี่น้องชาวยวนเมืองเชียงฮ่อน กลายเป็นหนึ่งใน “พี่น้องบรรดาเผ่าของประเทศ” ไปซะงั้น เมืองเชียงฮ่อนมีด่านเข้าออกกับบ้านเราที่ด่านประเพณี ตรงกับอำเภอสองแคว จังหวัดน่านครับ
ไปถึงเชียงฮ่อนก่อนเพลเล็กน้อย ดูเวลาแล้วยังพอมีเวลาว่าง(ก่อนจะทำงาน) เพราะที่ลาวนี่ภาคบ่ายอ้ายน้องรัฐกรท่านเข้าทำงานกันบ่ายสองโมง ก่อนไปหามื้อกลางวันใส่ท้อง เลยไปแวะไหว้พระธาตุคู่เมือง ชื่อพระธาตุเชียงลม ตามตำนานในแผ่นพับของเมืองท่านว่าสร้างขึ้นราวพุทธศตวรรษที่ ๑๓ โดยช่างชาวพม่า แต่ผมดูรูปทรงขององค์พระเจดีย์แล้วก็ยังแคลงใจว่าไม่คล้ายกับธาตุม่านทั่วๆไป แต่เจดีย์ไม่ว่าจะอย่างไรก็เป็นพุทธสัญลักษณ์ ได้กราบไหว้ก็รู้สึกร่มรื่นในจิตใจ เดินเข้าไปกราบพระในโบสถ์ พระประธานท่านเป็นศิลปะพม่าจริงๆ ที่หน้าองค์พระประธานเห็นมี “ขันแก้วตังสาม” หรือ พานรูปทรงสามเหลี่ยมสำหรับวางดอกไม้บูชาพระ ตั้งอยู่อย่างสงบนิ่ง งดงาม ผมไม่ได้เห็นขันแก้วตังสามมานานมากแล้ว อาจเพราะตัวเองไม่ได้เข้าวัดฝ่ายคามวาสีมานาน หรือว่าเดี๋ยวนี้ได้หายไปจากบ้านเราตามกาลเวลาก็ไม่ทราบ
ได้มาเห็นขันแก้วตังสาม ที่วัดพระธาตุเชียงลมคราวนี้ ก็ถือว่าได้ขึ้นยานย้อนเวลาหาอดีตแล้วละครับ 


บุนมะโหลาน งานช้างเมืองหงสา

2 ความคิดเห็น โดย silt เมื่อ 24 กุมภาพันธ 2010 เวลา 11:34 (เย็น) ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 2144

บ่ได้ไปดูเอง ฝุ่น ร้อน ขี้คร้านแต่งตัว รถบ่มี ใช้รถไปส่งลูกน้องขึ้นเครื่องหลวงพระบาง

ขอบคุณภาพจาก ท่านน้องคมเพ็ด แก้วพิลา

ไปเดินซื้อผ้าทอคืนก่อน กลับหนาวมากๆ ได้ผ้ามาหลายผืนงามๆ แต่บางผืนก็ต้องซื้อเพื่อให้กำลังใจพี่น้องที่มาขาย

เดินผ่านร้านไหน เขาก็ร้องทัก อาจานเปลี่ยน อุดหนุนหน่อย ก็ต้องแวะซื้อทุกร้าน ซื้อแม้กระทั่งกระดึงแขวนคอวัว

ทราบว่าวันงานมีท่านรัฐมนตรีมาเป็นประธานร่วมกับท่านฑูตอาเมลิกา

จบข่าว เชิญชมภาพ


เชิญเที่ยว “บุญมะโหลาน” งานช้างที่หงสา

1 ความคิดเห็น โดย silt เมื่อ 16 กุมภาพันธ 2010 เวลา 12:06 (เย็น) ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 1967


เมืองหงสา แขวงไชยบุรี สปป ลาว เป็นเมืองที่นักพัฒนาหลายชาติหลายสาขารวมหัวกันคิดวางแผนการอนุรักษ์พัฒนาให้เป็นเมืองแห่ง 7 E ก็มี Eco-tour Elephant Environment แล้วก็มีอีอะไรอีกสี่อี จำไม่ได้แล้ว
วันนี้จะเล่าถึง อีลาฟ็อง พูดทับศัพท์ภาษาฝรั่งเศสที่พี่น้องหงสาหลายคนยังติดปากมากกว่าภาษาอังกฤษครับ
เมืองหงสา เป็นอีกเมืองหนึ่งที่มีช้างเลี้ยงจำนวนมากมาย สมัยก่อนมีมากถึงพันกว่าตัว ตอนนี้แม้ว่าจะลอจำนวนลงบ้างแต่ก็ยังถือว่ามีมากที่สุดในประดาหัวเมืองภาคเหนือของลาว
งานช้างที่หงสาริเริ่มเมื่อสี่ปีก่อน (ปี 2007) โดยสมาคมนักอนุรักษ์ช้างจากยุโรปร่วมกับทางแขวงไชยบุรี ในปี 2008 ย้ายไปจัดที่เมืองปากลายด้วยเหตุผลว่าอยู่ใกล้เวียงจันทน์เดินทางสะดวก ปี 2009 ย้ายมาจัดที่ตัวแขวงไชยบุรี และปีนี้ 2010 เวียนกลับมาจัดงานที่เมืองหงสาอีกครั้ง
ดูตารางและแผนผังการจัดงานของปีนี้ สรุปได้เบื้องต้นดังนี้
สถานที่จัดงาน อยู่ที่บ้านเวียงแก้ว ห่างจากตัวเมืองหงสาราวสี่ กม. บ้านเวียงแก้วเป็นหมู่บ้านชาวลื้อและได้เป็นหมู่บ้านวัฒนธรรมบ้านแรกของเมือง
องค์ประกอบของงานก็มี การแสดงของช้างในวันที่ ๒๐ และ ๒๑ กุมภา มีมหกรรมขายสินค้าลาวเทค (เหมือนตลาดนัดบ้านเรา) และมีบูธแสดงจำหน่ายสินค้าหัตถกรรมสินค้าโอทอปของสิบเจ็ดหัวเมืองภาคเหนือด้วยครับ เขาเริ่มมาตั้งร้านกันตั้งแต่วันที่สิบห้าแล้วนะครับ
เรื่องที่พักเท่าที่ทราบ ตอนนี้โรงแรมเรือนพักทุกแห่งล้นแล้วครับ ยกเว้นส่วนที่เป็นโฮมสเตย์นอนกับชาวบ้านที่เวียงแก้วและหมู่บ้านใกล้เคียงยังมีอยู่ ตามใบปลิวเขามีเวปไซด์ให้คลิกดูรายละเอียดที่นี่ครับ http://festivalelefantasia.org สำรองที่พักที่ home...@elefantasia.org ถือว่าพักกับชาวบ้านกระจายรายได้สู่ชาวบ้านครับ
ขอเล่าถึงการเดินทางเข้าหงสาครับ
๑ หากเข้าทางด่านน้ำเงิน อ.เฉลิมพระเกรียติ ขึ้นรถทัวร์มาลงที่ทุ่งช้าง จากทุ่งช้างต่อรถบัสประจำทางมาที่บ้านปอน จากนั้นวัดดวงว่าจะมีรถโดยสารมาชายแดนห้วยโกร๋นหรือไม่หากไม่มีก็เหมามาในราคา ๖๐๐บาท จากด่านชายแดนไทยเดินมาด่านลาวประมาณ ๑ กม. อย่าเอาของมามากนะครับเดี๋ยวแบกไม่ไหว ที่ด่านลาวหลังจากเข้าด่านแล้ววัดดวงต่อว่าจะมีรถไปที่สามแยกเมืองเงินหรือไม่ หากไม่มีก็เดินต่ออีกสองสามกม. (วันงานผมจะแนะนำอ้ายน้องให้จัดมอเตอร์ไซด์รับจ้างท่าจะดี) ที่สามแยกเมืองเงินก็รอต่อรถโดยสารเข้าเมืองหงสาอีกประมาณ ๓๕ กม.ครับ คิดว่าวันงานน่าจะมีรถวิ่งอยู่หลายเที่ยว เป็นรถสองแถวนะครับเตรียมผ้าปิดจมูกกันฝุ่นมาด้วย ส่วนผมไม่ต้องโกรกสีมานะครับ เดี๋ยวเส้นทางนี้จะเปลี่ยนสีให้เอง
๒ สำหรับผู้ที่มีพาสปอร์ตและมีเวลาหลายวันผมแนะนำให้ใช้เส้นทางนี้ครับ
นั่งรถทัวร์มาลงเชียงแสน เอหรือเชียงของ (จำไม่ได้แล้ว สับสน) เพื่อข้ามไปยังเมืองห้วยทรายแขวงบ่แก้ว จากนั้นนั่งเรือสำราญลำใหญ่ล่องชมทิวทัศน์สองฝั่งโขงจากเช้าจดเย็น มีฝรั่งเต็มลำเลยครับ เรือแวะนอนพักค้างคืนที่เมืองปากแบง รุ่งเช้าแปดโมงกว่าๆเดินทางต่อประมาณสิบเอ็ดโมงเรือมาถึงท่าช่วงขึ้นจากเรือตรงนี้ครับ แล้วก็นั่งรอคิวรถออกไปเมืองหงสา สามสิบกว่ากม. แต่รถเขาจะรอจนถึงห้าโมงเย็นถึงจะออกนะครับ รอรอรอไปก่อน รอไม่ไหวก็เหมามาสองพันบาท แพงไปนะผมว่า
๓ หรือสำหรับผู้ที่จะมาแวะเที่ยวหลวงพระบางก่อน หลังจากนั้นก็ขึ้นเรือสำราญแบบเดียวกันกับ #๒ข้างบน เรือออกจากท่าแปดโมงเช้า ทวนน้ำมาถึงท่าช่วงราวห้าโมงเย็น อย่าลืมห่อข้าวมาทานบนเรือด้วยครับ จากนั้นก็ขึ้นรถคิวต่อมาเมืองหงสา ขาขึ้นนี้ไม่ต้องรอรถนานครับพอเรือเทียบท่ารถก็วิ่งไปรับแล้วก็ออกเลย
ว่าด้วยช้างเมืองหงสา
ช้างเมืองหงสาเคยเป็นเพื่อนเป็นสัตว์เลี้ยงคู่เรือนที่ช่วยเหลือแรงงานให้ตามความจำเป็นมาช้านาน ในสมัยก่อนเล่ากันว่าชาวหงสาใช้ช้างไถนา (มีการขุดพบไถโบราณยาวเกือบเมตรที่ต้องใช้ช้างเท่านั้นถึงจะลากได้ที่หงสาด้วย) ใช้ช้างขนข้าวจากสวนเข้าบ้าน ใช้ช้างบรรทุกเกลือมาขาย เป็นต้น นอกจากนี้ช้างยังเป็นสิ่งแสดงฐานะของคนรวย ต่อมาเมื่อโลกภายนอกมาช่วยเมืองลาวใช้สอยไม้ซุงจากป่า อุตสาหกรรมการทำไม้โดยนายทุนทั้งในลาวเอง และจากต่างชาติต่างเข้ามาดำเนินกิจการในหัวเมืองลาวทางเหนือ ช้างของชาวหงสาก็รับบทบาทหนักในการชักลากไม้ มาจนถึงทุกวันนี้
ปัจจุบันจำนวนช้างบ้านของเมืองหงสาลดลงอย่างรวดเร็ว หลายคนที่มีช้างก็ขายช้างไปซื้อรถยนต์มารับจ้างแทน  ช้างที่มีอยู่ก็ถูกจ้างไปทำไม้ในที่ต่างๆทั่วภาคเหนือของลาว ทำรายได้ให้กับเจ้าของเป็นกอบเป็นกำ มีช้างบ้านหลายตัวได้ถูกเช่าเข้าไปให้บริการในภาคธุรกิจการท่องเที่ยว งานนี้ก็สร้างรายได้ให้กับเจ้าของจำนวนสูงเหมือนกัน
ปัญหาของช้างเมืองหงสาที่มองเห็นทุกวันนี้ สืบเนื่องจากบทบาทหน้าที่ของช้างที่เปลี่ยนแปลงไปดังกล่าวข้างต้น และสืบเนื่องจากสภาพเศรษฐกิจสังคมของเจ้าของช้าง ทำให้มองเห็นความทุกข์ของบรรดาช้างอยู่สองสามประการคือ
(หนึ่ง) ช้างทำงานหนักมากขึ้น เพราะการไปรับจ้างทำไม้ในป่าต้องทำงานชักลากทุกๆวัน ช้างบางตัวเป็นช้าง “มูลมรดก” คือเป็นช้างของคนรุ่นพ่อแม่ที่เสียชีวิตลง พอตกมารุ่นลูกๆต่างเป็นเจ้าของร่วมกัน จะแบ่งเป็นส่วนๆเหมือนที่ดินก็ไม่ได้ จีงต้องผลัดกันเป็นเจ้าของเป็นผู้พาไปรับจ้าง เจ้าของทุกคนก็อยากได้เงินมาก ต่างก็ใช้งานช้างมาก ช้างก็เลยไม่มีวันหยุด
(สอง) ช้างที่ไปบริการภาคท่องเที่ยว ต้องจากเมืองหงสาไปอยู่เมืองท่องเที่ยว เช่นหลวงพระบาง ปากแบง ทำให้แหล่งอาหารไม่เพียงพอไม่อุดมสมบูรณ์
(สาม) การนำช้างออกจากเมืองแยกย้ายไปทำงานแหล่งต่างๆกัน ทำให้ช้างขาดการปฏิสัมพันธ์กับเพื่อนฝูง สัญชาตญาณ การพึ่งพาการช่วยเหลือ และโอกาสในการสืบพันธุ์ของช้างลดลง ท้าวคำสี ผู้ช่วยขับรถของผมเคยมาบ่นให้ฟังว่าสงสารลูกช้างน้อยของเขาที่แม่ไม่ยอมให้กินนม แม่ช้างของเขาเป็นแม่หัวสาวหรือแม่มือใหม่ หล่อนไม่ยอมให้ลูกกินนม พอสามสี่วันถัดมาก็ตีหน้าเศร้ามาบอกว่าลูกช้างตายแล้ว ชงนมข้นให้กินอย่างไรก็ไม่รอด
กรณีการออกลูกการเลี้ยงลูกของช้างนี่ ผมเคยได้แอบดูแม่ช้างหัวสาวออกลูกที่ลำปางสมัยทำโครงการอนุรักษ์ช้างฯ เห็นการออกลูกของช้างเป็นเรื่องใหญ่พอๆกับของคนเราเลยทีเดียว เห็นโกลาหลกันทั้งฝูงมีแม่หมอตำแยช้างมีพี่เลี้ยงมาช่วยกันเบ่ง แต่แม่ช้างมือใหม่ที่บ้านหานต้องออกลูกเองเพียงลำพังคงสร้างความลำบากให้แก่แม่ช้างไม่น้อยเลยทีเดียว
การจัดงานช้างที่หงสาและไชยะบุรีเท่าที่ผ่านมา ถือว่ามีผลดีต่อช้างเลี้ยงของเมืองหงสาไม่น้อย ช้างจากที่ต่างๆจะกลับมาบ้าน ได้อยู่ด้วยกัน ได้พักผ่อนจากงานหนัก จะได้กิ๊กกันก็ในงานช้างนี่แหละ
เชิญมาเที่ยวงานช้างเมืองหงสา แขวงไชยะบุรีกันนะครับ
ปีนี้มาไม่ทัน มาปีหน้าก็ได้ครับ


น่อแล้วบือ

3 ความคิดเห็น โดย silt เมื่อ 11 กุมภาพันธ 2010 เวลา 12:37 (เช้า) ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 1284

ภาษาลาววันละคำวันนี้ ขอเสนอ ภาษาของพี่น้องชาวม้ง หรือชาวลาวสูงครับ
“น่อ” แปลว่ากิน เช่น “น่อมอ” คือกินข้าว งานบุญกินเจียงหรือบุญขึ้นปีใหม่ เรียกว่า น่อเปเจา
ส่วน “บือ” แปลว่า นอน
เรื่องของเรื่องก็คือ เวลาที่เจ้านายพนักงานงานข้าราชการจากในเมืองไปลงพื้นที่ทำงานกับพี่น้องตามหมู่บ้าน ก็เอาแต่นั่งสั่งงาน ให้พี่น้องฆ่าเป็ดไก่มาเลี้ยง สั่งเอาเหล้าแรงๆมากิน กินอิ่มแล้วเมาแล้วก็นอนกลิ้งกันอยู่ตรงนั้น
พี่น้องชาวลาวสูงเขาเห็นแล้วจึงสั่งสอน เจ้าหมาที่เลี้ยงไว้ว่า
“เจ้าอย่าเฮดคือนาย ที่ น่อแล้วบือ”
หมายความว่า เจ้าอย่าทำตัวให้เหมือนพวกเจ้านาย ที่เอาแต่กินแล้วนอน
แควกๆๆๆ
เรื่องของพี่น้องชาวลาวสูงกับเจ้านายยังมีอีกเรื่องหนึ่ง
ว่ากันว่ามีอยู่วันหนึ่งเจ้านายขับรถไปทับหมาของพี่น้องตาย เจ้าของหมามาขอค่าชดเชย เจ้านายถามว่า “หมาของเจ้าเฮดอันใดได้แน” เจ้าของหมาตอบไปว่า “หมาเฮาเป็นหมาพราน แจ้งมาเฮาเกือข้าวแล้วกะพามันออกป่ามันไปไล่เอา ตัวแลน ตัวเหง็น ตัวฮอก ตัวหนู ตัวฟาน ตัวไก้(กระจง) มาให้เฮา” เจ้านายเลยบอกให้เจ้าของหมาตามไปเอาเงินที่ห้องทำงาน พี่น้องม้งอุตส่าห์เดินลงเขาเหงื่อไหลไคลย้อยมาเอาเงินค่าหมาในวันรุ่งขึ้น พอมาถึงเจ้านายตกลงจ่ายค่าหมาไปเจ็ดสิบพันกีบ แต่ก่อนกลับเจ้านายก็เรียกเจ้าของหมามาซักถามว่า “หมาเจ้าเคยได้ฟานจักโต” พี่น้องตอบไปว่า “หมาเฮาเคยได้ฟานตัวหนึ่ง ได้ไก้สี่ตัว” ครั้นเจ้านายได้ยินก็หยิบหนังสือกฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองสัตว์ป่ามาเปิดอ่าน แล้วบอกพี่น้องม้งว่า “หมาเจ้ากัดสัตว์ป่าหวงห้าม เฮาจะไหมเจ้าตัวละซาวพันกีบ ทั้งหมดเป็นเงินหนึ่งแสนกีบเด้อ” สรุปแล้วพี่น้องเดินลงเขามาเหนื่อยฟรีๆ แถมยังเสียเงินค่าปรับมากกว่าที่ได้ค่าชดเชยหมาอีกต่างหาก
เดือนถัดมาเจ้านายท่านนั้นก็บังเอิญไปขับรถทับหมาอีกตัวของพี่น้องม้งผู้เคราะห์ร้ายคนเดิมเข้าอีก เจ้านายก็ลงจากรถมาบอกให้พี่น้องไปเอาเงินค่าหมาที่ห้องการเหมือนเดิม แต่คราวนี้พี่น้องส่ายหน้าบอกว่าบ่ไปแล้ว เพราะหมาตัวนี้มันบ่แม่นหมาพราน “มันเป็นหมาตัวที่เฮาเลี้ยงไว้อะนาไมอาจมของลูกเฮา”
“เจ้านายจ่ายเงินแทนบ่ได้ดอก เจ้านายเฮดหมาเฮาตาย เจ้านายต้องมากิน ขอ สระอี ไม้โท ของลุููกเฮาแทนหมา”
แควกๆๆๆ


เล่าเรื่องเมืองหงสา: “คนลี้กิ๋นนก คนผกกิ๋นฮอก”

2 ความคิดเห็น โดย silt เมื่อ 6 กุมภาพันธ 2010 เวลา 8:58 (เช้า) ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 1401

เล่าเรื่องเมืองหงสา: “คนลี้กิ๋นนก คนผกกิ๋นฮอก”
โปรยหัวเรื่องนี้ไว้ตั้งแต่ปีที่แล้ว จนคนรออ่านเลิกรอแล้วกระมัง
วันนี้ได้อ่านบันทึกพ่อครูบาฯ เรื่องมุมส่วนตัว ๒ คูณ ๔ เมตรของท่าน ทำให้เกิดแรงเหนี่ยวนำให้บรรเลงเรื่องนี้ต่อ
หากแปลตามตัวตรงๆ  “คนลี้กิ๋นนก คนผกกิ๋นฮอก” หมายถึง คนจำพวกที่แอบซุ่มตัว อำพรางไพร เพื่อจับนกจับกระรอกกิน
“ลี้” ในที่นี้หมายถึง การซุ่มดัก ซุ่มโป่ง เพื่อดักยิงสัตว์ป่า ไม่ได้หมายถึงคนอำเภอลี้จังหวัดลำพูน ที่คณะชาวเฮฯไปปลูกต้นไม้กันที่วัดพระบาทห้วยต้มแต่ประการใด
“ผก” เป็นคำลาว และคำเมืองของชาวยวน แปลว่า การแอบดู (ปกติจะใช้คู่กับคำว่า “ผ่อ” “ผกผ่อ ถึงจะแปลว่าแอบดู) การดักจับ เช่น ดักจับขโมยได้คาหนังคาเขา
“ฮอก” มาจากคำ กระรอก หมายรวมถึง สัตว์ป่าตัวเล็กตัวน้อยทั่วๆไป เช่นกระรอก กระแต หนู คนเมืองเรียกรวมๆว่า “ฮอก หนู ไหน่”
“คนลี้กิ๋นนก คนผกกิ๋นฮอก” ในที่นี้หมายถึง คนหลังเขา คนที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ซอกหลีกห่างไกล คนที่พวกเราชาวเมืองคิดว่า พี่น้องเหล่านั้นด้อยพัฒนา หรือขาดการพัฒนาด้านสิ่งอำนวยความสะดวก และเทคโนโลยี อันนี้ตามมาตรฐานความคิดของพวกเราเองนะ
ได้คำนี้ยินมาจากไหน ได้ยินจากปากของท่านข้าราชการผู้ใหญ่ของเมืองหงสาในกองประชุมคราวหนึ่ง ท่านกล่าวว่า “
โครงการน้ำเทิน๒น่ะ เขาย้ายคนจากป่ามาอยู่ใกล้เมือง คนเหล่านั้นเขาเป็นพวกลี้กินนกคนผกกินฮอก แค่ย้ายเขาเข้ามาอยู่เฮือนแน่นหนาฝาแอ้มไม้ เขาก็ดีใจแล้ว ไม่เหมือนกับโครงการเราที่ต้องย้ายคนจากในเมืองไปอยู่ใกล้ป่า คนของเฮาอยู่ในบ้านถี่ที่เต็ม มีทุ่งมีนา มีวัดวาอาราม หากย้ายเขาไปแล้วบ่เฮดให้ดีคือเก่า พวกเขาย่อมบ่พอใจ”
วิเคราะห์ตามคำของท่านผู้นี้ ผมก็เห็นด้วยในส่วนหนึ่ง พร้อมกับนึกชื่นชมยกย่องที่ท่านมีวิสัยทัศน์ยาวไกลกว่า หลายๆท่านที่มีตำแหน่งสูงกว่าด้วยซ้ำไป  ด้วยเหตุที่ว่าท่านไม่ได้ยึดติดกับรูปแบบการพัฒนาของโครงการน้ำเทินนั่นเอง (จะว่าไปแล้ว จะตำหนิท่านๆที่ติดยึดกับน้ำเทินก็ไม่ถูกเสียทีเดียว เพราะขนาดองค์กรสากลชาติตะวันตก ธนาคารโลกอะไรเขาก็มายกย่องชื่นชม เอ็นจีโอหลายๆกลุ่มก็เคยถูกพาไปชมผลงานในส่วนที่นำมาโฆษณากันหลายสิบคันรถบัส)
ผมเห็นพ้อง และชมเชย ท่านในแง่ที่ว่า ท่านเห็นในความแตกต่างของประชาชน ในแง่ของการพัฒนาที่ต้องขึ้นกับพื้น ฐานความแตกต่างและความต้องการของประชาชน
ด้วยเหตุดังกล่าวนี้ งานฟื้นฟูวิถีชีวิตของพี่น้องที่หงสานี่ จึงเป็นงานที่ต้องวางเดิมพันไว้สูงมากๆสำหรับตนทำงาน

ทีนี้ลองเปลี่ยนประเด็นมาคิดกันเรื่องกันในบริบทของ “คนลี้กินนก…”กันต่ออีกสักหน่อย
สำหรับประเด็นนี้ ผมเองกลับคิดในมุมที่ต่างออกไป ผมว่าเราไม่ควรมองจากฝ่ายเราแล้วไปตัดสินว่า คนที่อยู่กับธรรมชาติ พึ่งพาธรรมชาติอย่างสมถะอย่างนั้น เป็นกลุ่มคนที่ล้าหลัง
พวกคนเหล่านั้นเขาอาจมีความสุขมากกว่าที่จะพาเขามาอยู่ในโลกที่ศิวิไลซ์ ตามที่เราตั้งมาตรฐาน โลกที่ต้องซื้อทุกอย่าง โลกที่มอมเมากันด้วยสิ่งฟุ้งเฟ้อ ต้องจ่ายค่าน้ำประปา ค่าไฟฟ้า ค่าบัตรโทรศัพท์
เป็นไปได้ไหมที่จะปล่อยให้พี่น้องบ้านป่า อยู่กับป่าอย่างถ้อยทีถ้อยอาศัย
เพียงแต่พวกเราคนเมือง คนต่างถิ่นทั้งปวง อย่าได้ไปบุกรุก อย่าได้ไปเบียดเบียนพื้นที่อยู่ที่หากินของพี่น้องบ้านป่า แค่นั้นก็พอ
ที่หงสานี่ มีโครงการเงินช่วยเปล่าจากนานาชาติ มาทิ้งเงินจำนวนไม่รู้เท่าไหร่ ในการมาชวนพี่น้องชนเผ่าหันมาปลูกไม้ผลกัน มีหลักฐานการมอบกล้าไม้ให้ชาวบ้านนับล้านต้น ห้าปีให้หลังเมื่อกลับไปดู กลายเป็นป่าหญ้าคารกร้าง มองไม่เห็นต้นไม้แม้แต่ต้นเดียว
ผมละเหนื่อยใจ กลัวใจจริงๆ


อื่อข่า อื่อไปร

1 ความคิดเห็น โดย silt เมื่อ 24 มกราคม 2010 เวลา 10:19 (เย็น) ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 1711

วันก่อนไปร่วมตั้งกองประชุมกับพี่น้องชาวบ้าน ร่วมกับคณะปกครองของเมืองหงสา
ทางนี้เรียกว่า “ลงเฮดเวียกแนวคิด” หากเป็นทางสากลหน่อยเขาก็เรียก Public Consultation
ตามขั้นตอนของการประชุม ต้องเริ่มที่การกล่าวรายงานจุดประสงค์ของการประชุมโดยผู้ประสานงานโครงการที่เป็นข้าราชการที่ได้รับการแต่งตั้งจากศูนย์กลาง
ตามมาด้วยคิวของผมที่นำเสนอรายละเอียด แล้วก็เลยเป็นฟาร์กระตุ้นให้ที่ประชุมแสดงความคิดเห็น แล้วก็รับหน้าที่ตอบคำถามจากที่ประชุม
จากนั้นเมื่อถึงตอนก่อนจบการประชุม ก็เป็นการประกอบความคิดเห็นจากข้าราชการผู้ใหญ่ของเมือง วันนี้มีคำพูดที่น่าสนใจอยู่คำหนึ่งคือ “อย่าอื่อข่าอื่อไปร”
ความหมายของคำ “อื่อ” เป็นคำขานรับในเชิงเห็นด้วย แบบ agree with เทียบกับคำบ้านเราจำพวกคำ เออ อือ ครับ ขอรับ ส่วนทางคนเมืองภาคเหนือและคนลาวใช้คำ “เจ้า”เหมือนกันแต่ผิดกันที่คนเมืองจะ “เจ้า”เฉพาะผู้หญิง แต่ที่ลาวนี่ “เจ้า”กันทั้งหญิงทั้งชาย
ข่า หมายถึง ชาวข่า เป็นกลุ่มคนที่พูดภาษาในกลุ่มมอญเขมร แบ่งเป็นหลายกลุ่มย่อย เช่น ข่ามุ(กิมมุ) ข่าโส้ ข่าตะโอย ข่าเมต ข่าฮอก ซึ่งเชื่อกันว่าเป็นกลุ่มคนดั้งเดิมที่อาศัยในภูมิภาคนี้ก่อนที่คนกลุ่มที่พูดภาษา ไท จะมาอาศัยอยู่ร่วมดินแดนเดียวกัน ในหนังสือ ๓๐ชาติพันธุ์ในเชียงรายของบุญช่วย ศรีสวัสดิ์ ท่านว่า ชาวข่าคือกลุ่มชาวเขาที่ไม่ได้รับอิทธิพลจากจีน ส่วนกลุ่มที่ได้รับอิทธิพลจากจีนนั้นท่านเรียก ชาวแข่ ปัจจุบันในลาวเรียกพี่น้องชาวข่าว่าเป็นกลุ่ม ลาวเทิงนั่นเอง
ไปร หรือไพร แปลว่าป่า ในที่นี้หมายถึง ชาวไปร หรือที่บ้านเราเรียก ชาวลั๊วะ
อื่อข่า อื่อไปร หมายถึง การรับปากรับคำของชาวข่า ชาวไปรนั่นเอง
ความหมายหรือนัยยะของคำ เป็นเชิงดูแคลน หรือเชิงลบต่อพี่น้องชาวข่า ชาวไปร แบบกรายๆ
เป็นคำพูดในหมู่ชาวลาวลุ่ม หรือชาวเมืองที่พัฒนาแล้ว เช่นในที่ประชุม ท่านรองเจ้าเมืองพูดกับชาวบ้านว่า “รับปากแล้ว อย่าให้เหมือนอื่อข่า อื่อไปรเด้อ”
เพื่อนฝูงคนลาวลุ่มที่ทำงานพัฒนาชนบทห่างไกลในชุมชนชาวข่า ชาวไปร เล่าให้ฟังว่า
หากในที่ประชุมชาวข่า กิจกรรมใดที่พี่น้องตกปากรับคำว่า “อื่อ” นั้น กลับไปติดตามผลภายหลัง ไม่เห็นมีพี่น้องชาวข่าคนไหนรายใดปฏิบัติตามแม้แต่คนเดียว ครั้นพอถามว่า วันก่อนถามทำไมรับคำ พี่ท่านก็ตอบว่า “ก็วันนั้นเจ้านายมาบอกมาสั่ง ไม่รู้จะทำไงก็ อื่อไปให้แล้วๆ
เรื่องนี้ผมกลับมองว่า การพัฒนาชุมชนต้องให้เจ้าของพื้นที่ หรือผู้ที่เราจะเข้าไปทำงานด้วยนั้นเห็นพร้อมยินดีจากใจจริงๆ ไม่ใช่ใช้อำนาจจากขั้นเทิงหรือเบื้องบนมาสั่งการ หาไม่แล้วหากขั้นเทิงท่านกลับ ก็เหมือนกับเอาโครงการกลับไปด้วย
เขายังเล่าต่อ ในกรณีของพี่น้องชาวไปร หากงานใดที่พี่น้องขานรับว่า อื่อ แปลว่าพี่น้องรับฟังเฉยๆแต่จะไม่ทำตาม แต่หากงานใดที่พี่น้องขานรับว่า “แอ๊ะ” แล้วละก็งานนั้นพี่น้องเชื่อฟังและทำตามอย่างสุดตัว
ในกรณีนี้ แปลว่า เราต้องเข้าใจภาษาของพี่น้องให้ถ่องแท้ ไม่ใช่ใช้การตีความโดยภาษาของเราเอง
สำหรับผมแล้ว อื่อข่า อื่อไปร ไม่ได้มีความหมายในเชิงดูแคลนพี่น้องทั้งสองชาวนั้นอย่างแน่นอน หากแต่ตีความหมายว่า งานพัฒนาชุมชน ต้องมีการสื่อสารกันอย่างชัดเจนตั้งแต่เริ่มต้น การที่คิดว่าจะเข้าไปช่วยให้คนอื่นดีขึ้นตามมาตรฐานของเรานั้น ต้องเข้าใจพี่น้องให้ปรุโปร่ง ต้องไม่คิดเอาเองจากฝ่ายเราแต่ฝ่ายเดียว


ครู

2 ความคิดเห็น โดย silt เมื่อ 17 มกราคม 2010 เวลา 11:16 (เย็น) ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 1742

คุณครูในดวงใจ
๑๖ มกรา วันครูแห่งชาติไทย
ผมเองก็เหมือนกับทุกๆคนที่ได้ผ่านการหล่อหลอมจากครูมากมายหลากหลายท่าน  ขอจารึกบุญคุณของครูบาอาจารย์ทุกๆท่านไว้ณที่นี้ โดยเฉพาะคุณครูในดวงใจ ครูที่ประทับใจ ที่มีอิทธิพลต่อตัวผมอย่างมากมาย จึงขอเอ่ยนามของท่านที่จดจำได้มาไว้ในบันทึกนี้ครับ
ครูพัด เป็นครูอนุบาล เป็นครูคนแรกที่สอนให้รู้จักตัวหนังสือ ก.ไก่ ข.ไข่ ขอบคุณครูพัดครับ
ครูจันทร์สม เป็นครูชั้นป.๑ เป็นครูคนแรกที่สอนผมเมื่อย้ายมาเข้าโรงเรียนหนองหล่มวิทยาคาร ที่ผมยังจดจำได้ดีอยู่เสมอ ตอนนั้นรู้สึกว่าเสียงของท่านดูทรงพลังมากๆ
ครูชะลี่ สิริสุขะ ท่านเป็นครูประถมต้นอีกท่านหนึ่งที่ยังจดจำได้ แม้ว่าจะไม่ได้เป็นครูประจำชั้นแต่วันเสาร์อาทิตย์และช่วงปิดเทอมก็ได้เคยติดตามเพื่อนๆไปเรียนพิเศษกับท่านบ่อยๆ จำได้ว่าท่านเลี้ยงข้าวเด็กๆที่ไปเรียนหนังสือที่บ้านพักครูท่านด้วย
ครูเบญจมาภรณ์ เป็นครูประจำชั้น ป.๔ ที่สนิทสนมเป็นพิเศษถือว่าท่านเป็นครูที่สอนผมจนสอบชิงทุนได้ที่๑ของอำเภอ
คุณครูในดวงใจ สมัยที่เรียนอยู่ชั้นประถมปลายที่โรงเรียนสันมหาพลวิทยาก็มีหลายท่านครับ
ครูอัมพร เป็นครูประจำชั้นที่ดูแลตั้งแต่ป.๕  ถึง ป.๗
ครูเกษม เพียรสุขุม ท่านเป็นครูคนแรกที่สอนให้รู้จักตัว เอ บี ซี ดี
ครูสายัญ สอนวิชาภาษาไทย
ครูสุจินต์ สอนวิชาศีลธรรม แล้วยังมีครูบุญสนอง ครูบุญวาทย์ และคุณครูปรีเปรมที่สอนวิชาเลข
ครูในดวงใจสมัยเรียนชั้นมัธยม ท่านที่ผมรักมากที่สุดคือ ครูอ้ายโล้ อาจารย์ชูศักดิ์ พงษ์เจริญ ท่านสอนวิชาเรขาคณิตตอนชั้นม.ต้น และวิชาฟิสิกส์ในชั้นม.ปลาย ท่านนี้เองที่ผมทำร้ายจิตใจท่านโดยการหนีออกจากโรงเรียนเทอมสุดท้าย มาแวะเรียนสวนดอก แต่ท่านก็ทำนายไว้กับคนอื่นๆว่า “ผมเชื่อว่าเจ้านี่มันจะไม่หยุดอยู่แค่นั้น” ผมไม่ได้หยุดอยู่แค่นั้นจริงๆครับครู
ครูพิมสวาท ท่านเคี่ยววิชาภาษาอังกฤษให้จนมั่นใจมาถึงทุกวันนี้
ครู จรัล สรรพศรี ท่านสอนวิชาพิชคณิต และยังสอนให้เล่นอังกะลุงอีกด้วย
ครูวิไลลักษณ์ สอนวิชาประวัติศาสตร์
ครูศรีนวล สอนวิชาภูมิศาสตร์ ส่วนครูภาษาไทย ก็มีครูวนิดา กับครูชวนพิศ
พอออกมาเรียนผู้ช่วยพยาบาล ได้อาจารย์ผู้ดูแลชื่อ อาจารย์วัชรี แต่ผมกลับจำอาจารย์เดือนฉาย เนียมทรัพย์ กับอาจารย์กลอยใจ เนตราคม ได้ดีกว่าเพราะท่านสอนวิชา terminology การต่อศัพท์อ่านศัพท์แพทย์ต่างๆที่ผมชอบ และได้ใช้ประโยชน์มาจนทุกวันนี้
สมัยที่มาเรียนต่อโรงเรียนผู้ใหญ่ภาคค่ำ ที่วัฒโนฯ ก็มีอาจารย์หลายท่านที่คอยแนะนำให้กำลังใจ โดยเฉพาะอาจารย์สองท่านที่สอนวิชาเคมี กับฟิสิกส์ เสียดายจำชื่อท่านไม่ได้เสียแล้ว ท่านสอนว่ามาเรียนต้องมีจุดมุ่งหมาย ไม่ใช่คิดว่ามาเรียนภาคค่ำเพียงเพื่ออยากปรับวุฒิ ตอนหลังมาได้เจอท่านตอนที่ผมใส่ชุดนักศึกษามหาวิทยาลัย ผมสัมผัสได้ถึงความยินดีในแววตาของท่านที่เห็นลูกศิษย์ภาคค่ำเอนทรานซ์ติด
สมัยอยู่คณะเกษตร อาจารย์ที่ปรึกษา ชื่อ ท่านอาจารย์อักษร เสกธีระ ท่านดูแลตอนอยู่ปี ๑ และปี ๒
ส่วนอาจารย์ในหมวดวิชาพื้นฐานที่จำได้ คือ อ.พวงเพชร ท่านสอนวิชาภาษาอังกฤษ ผมเรียนกับท่านสามเล่มเพราะ section ของอาจารย์นั้นเด็กเกษตรจะกลัวกันมากๆเลยว่างสำหรับผมเสมอ ท่านเอาใจใส่นักศึกษาแม้กระทั่งสังเกตเห็นว่าใครแอบมองนาฬิกาข้อมือ แสดงว่าไม่อยากเรียน อิ อิ (คนคนนั้นคือผมนั่นเอง ก็ลงเวรดึกมาง่วงนอนนี่ครับ) แต่ท่านอ.พวงเพชรก็แสดงความทึ่งชม(ทึ่งบวกชื่นชม)ผมหลายครั้งที่สามารถอธิบายองค์ประกอบของsyring หรือตับใตไส้พุง ในบทของการอ่านเอาเรื่องได้ดี (พร้อมทั้งหันไปค้อนนศ.คณะพยาบาล และคณะฝั่งสวนดอกว่า ดูอย่างนายเปลี่ยนสิ เรียนเกษตรแท้ๆเขายังรู้เรื่อง) แหะๆ ก็ผมล้างอุปกรณ์ทำแผลอยู่ทุกวัน น้องๆเขาเพิ่งเข้าเรียนปี๒ เองครับอาจารย์
มีอาจารย์คณะวิทยาศาสตร์อีกท่านหนึ่งที่สอนวิชา math ตอนเรียนปี๑กับปี๒ ท่านนี้ก็ประทับใจ ท่านเอาใจใส่เด็กเกษตรมาก(เพราะกลัวว่าจะเป็นฐานให้คณะอื่น) เสาร์อาทิตย์ท่านให้เราไปติวที่แฟลตของท่านพวกเราไปนั่งทำการบ้านอยู่เต็มทางเดินหน้าห้องของอาจารย์
เลือกเข้าเรียนภาควิชาปฐพี ได้อาจารย์ ดร.มัตติกา ท่านดูแล อาจารย์ท่านลาไปอบรมร่วมปีช่วงนั้นก็ได้อาจารย์ ดร.เมธี มาช่วยดูแล อาจารย์ท่านอื่นๆในภาคฯปฐพี ที่ได้อบรมสั่งสอนก็มี อ. สุพจน์ สอนเคมีดิน และดินน้ำขัง อ. สิทธิพร สอนวิชาอุตุฯ อ.ดร.จิตติ ปิ่นทอง สอนเรื่องการสำรวจจำแนกดิน อ. จรูญ สอนการจัดการลุ่มน้ำ
พอเปลี่ยนสาขาวิชาจากฟิสิกส์ของดินมาเรียนทางด้านความอุดมสมบูรณ์ของดินในชั้นป.โท ก็ได้รับการอุ้มชูดูแลจาก อาจารย์ ดร. มานัส แสนมณีชัย เป็นที่ปรึกษาใหญ่ ดร. สุชาติ เป็นที่ปรึกษาใหญ่รองลงมา และมีอาจารย์ที่ร่วมดูแลวิทยานิพนธ์อีกสองท่าน คือ ดร. ดุสิต มานะจุติ กับ อาจารย์ ทรงเชาว์ อินสมพันธ์ นอกจากนั้นก็ยังมีอาจารย์อีกหลายท่านในภาคที่ได้สั่งสอนวิชาดินขั้นสูง ในนั้นก็มี อ.ดร. อำพรรณ พรหมศิริ สุดยอดของครูผู้ให้อีกท่านหนึ่ง
นอกจากครูบาอาจารย์ในสถาบันการศึกษาแล้ว ก็ยังมีครูที่ได้สอน ที่เป็นแบบอย่างให้ลักจำ ในการทำงานอีกหลายท่าน อาทิเช่น ดร. สมาน พานิชย์พงส์ ปรมาจารย์ด้านดิน ดร.สนิท สมัครการ ปรมาจารย์ด้านมานุษยวิทยา และเจ้านายคนจ่ายเงินเดือนทุกวันนี้ คุณอำนาจ พรหมสูตร ท่านนี้สอนแบบดุเดือด แต่อย่างไรก็โกรธกันไม่ลงเพราะหากเอาไปปรับตามแล้ว รายงานออกมาดีจริงๆ ผิดกับครูของผมอีกท่านที่สอนแบบไม่เคยดุแบบสุดยอดใจดี ก็ท่านพี่บางทรายของชาวเรานี่เอง
วันครูของไทยเรา วันที่ ๑๖ มกราคม แต่ที่นี่ที่หงสา และทั่ว สปป ลาว วันครูท่านกำหนดไว้ที่วันที่ ๗ ตุลา ครับ
วันที่ ๗ ตุลา เป็นวันที่ ท่านนายครูคำ ครูนักต่อสู้กับลัทธิอาณานิคม นักปลดปล่อย นักปฏิวัติ ท่านถูกทำร้ายจนเสียชีวิตลงในวันนี้ ทางการลาวจึงถือเอาวันที่ ๗ ตุลา เป็นวันนายครูแห่งชาติด้วยประการฉะนี้


คนบ้าเกมส์ ว่าด้วยเรื่องเกมส์คอมพิวเตอร์

4 ความคิดเห็น โดย silt เมื่อ 9 มกราคม 2010 เวลา 10:03 (เช้า) ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 1904

มีเรื่องมาสารภาพว่า ผมก็เป็นคนหนึ่งที่ชอบเล่นเกมส์คอมพิวเตอร์มากๆ จนเกือบจะเรียกได้ว่าติด
น่าจะเป็นเรื่องปกติธรรมดาของคนที่ชอบอยู่คนเดียว
แรกๆสมัยคอมหน้าจอสีเขียวก็เล่นเกมส์แมงแง๊บๆ (picpac) พอคอมฯพัฒนาขึ้นเป็นจอสีเทาๆเกมส์ก็พัฒนาจากเจ้าตัวกลมๆอ้าปากพะงาบๆมาเป็นตัวแมงมุม
นอกจากชอบเล่นเกมส์คอมฯแล้ว ยังเคยติดเกมส์รถถังที่เล่นผ่านจอโทรทัศน์ เป็นเรื่องที่สารภาพเรื่องต่อไปก็คือ ว่าตอนที่ติดเกมส์รถถังขั้นที่ ๑๙ ทำอย่างไรก็ไม่ผ่าน ตอนนั้นเรียนป.โทปีสองเลยไปขอ Drop วิชาเรียนกับอาจารย์หลอกท่านว่าที่ทำงานส่งไปอบรมต้องขึ้นเวรเช้าตลอดมาเรียนไม่ได้ อิ อิ สุดท้ายต้องร่วมมือกับเพื่อนคนหนึ่งบุกคนหนึ่งระวังหลัง จึงสามารถผ่านด่านได้ เรื่องนี้สรุปบทเรียนได้ว่า การงานใดก็ตามหากเหลือกำลังของคนผู้เดียวแล้ว หากมีการช่วยเหลือกันและกันก็สามารถสำเร็จลุล่วง
ประดาเกมส์ถอดไพ่ต่างๆ ที่มากับ windows นี่ก็เคยติดจนแทบไม่เป็นอันทำการทำงาน แต่ก็มองเห็นข้อดีว่าเกมส์ไพ่แบบ free cell นั้นช่วยในการทำสมาธิได้ดีระดับหนึ่ง
พอคอมพิวเตอร์มีรุ่นจอสี ผมก็เริ่มบ้าเกมส์ยิงปืน เกมส์ช่วยตัวประกัน ต่อสู้ ล่าผู้ร้าย ทั้งเกมส์ Vcop และ house of Dead เล่นจนบางคืนนอนฝันว่าโดนหมาในเกมส์กัดก็มี ยืนยันได้เลยว่าการเล่นเกมส์ต่อสู้นี่ทำให้คนเล่นก้าวร้าวขึ้นได้จริงๆ บางทีความอยากชนะทำให้ต้องยิงทิ้งดะ ไม่เลือกว่าเป็นผู้ร้ายหรือตัวประกัน
เกมส์ที่ติด ชื่นชม จนถึงขั้นเรียกได้ว่าหลง ก็คือ age of Mythology ครับ เล่นมาห้าหกปีไม่ยอมเบื่อ หากคอมฯ พังต้องลงโปรแกรมใหม่ทำให้เจ้าเกมส์นี้หายไปจากเครื่อง ต้องดิ้นรนไปหาเจ้าต้าลูกน้องคนสนิทถึงที่มุกดาหาร เพื่อขอให้ช่วยติดตั้งเกมส์นี้ให้ใหม่ แม้ว่าหลังๆมานี่เจ้าต้าร์นำเสนอเกมส์ใหม่ๆก็ไม่ทำให้เปลี่ยนใจได้ ที่ชอบ ชอบตรงที่กราฟฟิกสวย คลาสสิค ชอบตรงที่คอมฯที่เล่นเป็นฝ่ายตรงข้ามเหมือนจะคิดได้เองเป็น ไม่รู้คนเขียนโปรแกรมเขาทำได้อย่างไร ชอบตรงที่เป็นเรื่องราวในยุคเพ้อฝันเหมือนเทพนิยาย เกมส์นี้เป็นเรื่องราวของการสร้างอาณาจักร มีการหาอาหาร การตัดไม้ การขุดทอง การสร้างป้อมปราการ และกองทหาร มีเรื่องสารภาพว่าผมเล่นเกมส์นี้มาห้าหกปี อย่างน้อยอาทิตย์ละสองสามครั้ง แต่นับจำนวนครั้งที่สามารถเอาชนะได้ไม่มากกว่ายี่สิบครั้งเท่านั้น ไปเรียกเจ้าต้ามาช่วยติวให้ก็ชนะเพียงในเกมส์ที่เขานั่งเล่นให้ดู พอเล่นคนเดียวทำอย่างไรก็ไม่ชนะ เจ้าต้าร์เห็นผมเล่นแล้วทายว่า อีกสิบปีพี่ก็ไม่ชนะ ทำไมนะหรือครับ ก็ผมไม่ฆ่าสัตว์ ดังนั้นใน level ที่๑ในระยะสร้างบ้านแปงเมือง ทีมงานของผมก็ตระเวนไปเก็บผักผลไม้ หรือไปขุดทองไปตัดไม้มาสร้างแปลงผัก ในขณะที่ฝ่ายตรงข้ามที่เล่นโดยคอมฯมันเจอช้างฆ่าช้าง เจอกวางล่ากวาง เจอแมวน้ำชำแหละแมวน้ำ แต้มขึ้นพรวดๆกว่าจะค่อยๆเก็บสะสมเสบียงอาหารให้ผ่านขึ้น level๒ ที่สามารถสร้างกองทัพได้ ฝ่ายโน้นเขาขึ้นlevel๓ เรียบร้อย และยกกำลังมาทำลายเมืองเราราบเป็นหน้ากลอง นอกจากไม่สั่งให้ชาวบ้านล่าสัตว์แล้ว ผมยังเสียดายต้นไม้ให้ชาวบ้านตัดฟันเท่าที่จำเป็น ส่วนกองทัพของผมก็ตั้งโปรแกรมให้ทำแค่ป้องกันตัวไม่ให้ก้าวร้าวเที่ยวไปฆ่าใครเขาก่อน และไม่เคยยกกองทัพไปบุกเมืองใดเลย เล่นอย่างนี้นี่เองทำอย่างไรก็ไม่ชนะ เล่นมาได้หกเจ็ดปีท่าจะได้นอกใจ age of mythology ก็คราวนี้
เพราะเมื่อสองสามสัปดาห์ก่อน ไปเจอเกมส์ทำสวนใน facebook เข้า เกมส์นี้ดี เป็นการทำสวนเสมือนจริง ไม่ต้องฆ่าสัตว์ไม่มีศัตรูมาบุก ทำให้ใช้จินตนาการบวกกับการวางแผนการเพาะปลูกได้อย่างเยี่ยมยอด ตั้งใจไว้ว่าจะทำสวนแบบพอเพียง สวนเกษตรผสมผสาน ปลูกพืชหมุนเวียนกับถั่วเพื่อรักษาความอุดมสมบูรณ์ของดิน เน้นการปลูกไม้ยืนต้นเพื่อลดการไถพรวนดิน ไม่ใช้เครื่องจักรกลไม่เน้นความสวยงาม การตกแต่งประดับประดา เอาเข้าไปนั่นเดี๋ยวเจ้าต้าร์มาเห็นก็จะหัวเราะให้อีก ได้เจอเพื่อนฝูงที่รู้จักมักคุ้นหลายท่านทำสวนในฝันไว้ในนั้นเหมือนกัน การทำสวนนี่ก็สามารถใช้เป็นกุศโลบายที่ผมบังคับให้น้องๆหลานๆได้ฝึกฝนภาษาอังกฤษไปด้วย อย่างน้อยก็จะได้รู้ว่า ฟักแฟงแตงโมรั้วไม้วัวควายแพะแกะเขาเรียกเป็นภาษาอังกฤษว่าอย่างไร
วันนี้วันเด็กและเยาวชนแห่งชาติของไทย ผู้ปกครองควรสอดส่องลูกหลานให้เล่นเกมส์ที่ประเทืองปัญญาครับ



Main: 0.25654411315918 sec
Sidebar: 0.019805908203125 sec