หมากคิ้ง

3 ความคิดเห็น โดย silt เมื่อ 23 สิงหาคม 2010 เวลา 3:30 (เย็น) ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 2663

พริกชี้ฟ้าสองเม็ด เกลือสองเม็ดโขลกพอแหลก ใส่หมากคิ้งย่างลงไป โขลกต่อให้เข้ากัน ตักใส่ถ้วย เรียกหากระติ๊บข้าวเหนียวอุ่นๆ จกข้าวเหนียวปั้นเน้อน้ำพริกในถ้วย แกล้มด้วยเห็ดนึ่งผักลวก

เสร็จไปหนึ่งมื้อเช้าที่รีบเร่ง (เพราะตื่นสาย) ในเมืองหงสาครับ

หมากคิ้ง เป็นไม้เถาว์ปีนป่ายต้นไม้ใหญ่ ในภาพจะเห็นที่มีใบเป็นสามแฉก ปีนขึ้นต้นขนุนอยู่

ผลหมากคิ้ง เหมือนหมากโต่น หรือฟักเขียวบ้านเรา

ในหนึ่งผลมีเมล็ดสีน้าตาลลูกโตๆดังที่เห็นในภาพ เปลือกหุ้มเมล็ดแข็งมากๆต้องเอาไปเผาไฟก่อนถึงจะทุบให้แตกได้

ข้างในเมล็ดหมากคิ้งเป็นแผ่นมันสีขาวๆเป็นแผ่นๆ (เหมือนกะบก)

เอาส่วนนั้นไปใส่ไม้หีบ ทาเกลือ ย่างไปอ่อนๆ ย้ำไฟอ่อนๆมาก เพราะติดไฟง่ายมากๆเผลอแป๊ปเดียวไฟติดลุกพรึบ

เอาเม็ดหมากคิ้งย่าง กินกับข้าวเหนียวร้อนๆ อร่อย เอาไปตำเป็นน้าพริกหมากคิ้งก็อร่อย

แต่กินเปล่าๆครั้งละมากๆคงไม่เหมาะเพราะมันมาก มันยิ่งกว่ามะม่วงหิมพานต์ มันสามเท่าของมะคาเดเมียนัท มันสี่เท่าของเมล็ดอัลมอนด์

ที่ตลาดเช้าหงสาขายเมล็ดหมากคิ้งห้าเมล็ดสองพัน หากแกะปิ้งขายไม้ละหนึ่งพัน

เป็นอาหารแปลกๆ ตามฤดูกาลของหงสา

กำลังเสาะหาผลหมากคิ้งมาถ่ายรูป แต่ยังไม่เจอ สงสัยต้องออกไปเขตรอบนอก

กำลังจะหาวิธีเพาะเมล็ด กะว่าหากเป็นไปได้จะส่งเข้าไปปลูกแถวบ้านเราครับ 

 


จี๋กุ๊ก

5 ความคิดเห็น โดย silt เมื่อ 12 สิงหาคม 2010 เวลา 4:46 (เย็น) ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 9844

ดอกจี๋กุ๊ก ที่ตลาดเช้าหลวงน้ำทา

เห็นกองๆสีแดงๆในภาพนั่นแหละครับ จี๋กุ๊กที่จะเขียนถึงในบันทึกนี้

ไม่ใช่กุ๊กทำอาหาร ไม่ใช่ครูกุ๊กพระเอกในละครทีวีขวัญใจสาวๆ แต่เป็นต้นกุ๊กที่เป็นพืชชนิดหนึ่ง ต้นกุ๊กเป็นพืชหัวในตระกูลข่า นั่นคือส่วนที่เป็นลำต้นของกุ๊กคือส่วนที่มีหัวอยู่ใต้ดิน ผมรู้จักต้นกุ๊กเพียงผิวเผิน จำได้ว่าแม่ปลูกไว้ข้างรั้วใกล้ๆกับกอข่า กอไพล(ปูเลย) กอขมิ้น(เข้าหมิ้น)

ไม่ทราบว่าภาษากลางเรียกว่าต้นอะไร แต่สอบเทียบกับคำลาวที่หงสา และคำยวนบ้านนาสีนวนแขวงไชยะบุรี ก็เรียกว่า ต้นกุ๊ก ต้นหมากตำกุ๊ก คล้ายๆกับคนยวนเจียงใหม่ และชาวกาวเมืองน่านก็เรียก กุ๊กเหมือนกัน

จี๋กุ๊ก คือดอกอ่อนของต้นกุ๊ก จี๋แปลว่าอ่อนๆ เช่นสาวจี๋แปลว่าสาวน้อย จี๋กุ๊กหรือดอกกุ๊กไม่ได้เกิดตรงใบตรงยอดแต่จะแตกออกมาจากเหง้าหรือหัวที่อยู่ใต้ดิน ที่เห็นในภาพเป็นดอกอ่อนคือดอกจี๋ ใช้กินเป็นเครื่องเคียงเป็นผักกินคู่กับยำหน่อไม้ไร่ หรือแกงใส่หน่อไม้ ผมเคยเห็นแม่โยนจี๋กุ๊กหมกในขี้เถ้าร้อนๆให้พอสุก จะช่วยให้หอมนุ่มมากขึ้น น้ำมันในดอกกุ๊กมีกลิ่นหอมทำนองเดียวกับว่านไพล มีสรรพคุณช่วยไล่ลมแก้ท้องอืด

ส่วนอ้ายทองแหลง เพื่อนร่วมงานชาวไชยะบุรี ยืนยันว่า จากดอกอ่อนเป็นดอกแก่แล้วจะกลายเป็นหมาก(คือผล) เวลาสุกเด็กๆ(รุ่นก่อน)ชอบเอามาแกะกินเล่นมีรดชาดหอมหวานดี

ทุกวันนี้ต้นกุ๊กได้หายไปจากแม่แตง หรือแม้กระทั่งที่ไชยะบุรีก็หาไม่ค่อยเห็นแล้ว รูปที่เห็นผมไปเจอในตลาดเช้าหลวงน้ำทาเมื่อปีกลายครับ

เสียดายที่สมุนไพรมีคุณค่า ภูมิปัญญาท้องถิ่นของคนรุ่นเก่า ที่ท่านรู้จักกินอาหารสมุนไพร ที่มีประโยชน์ ที่มีสรรพคุณแก้พิษกัน จะหายสาบสูญไปกับวันเวลา ต่อไปเด็กๆรุ่นหลังคงจะไม่รู้จัก

เห็นรูปดอกจี๋กุ๊กแล้วคิดถึงยำหน่อไม้ไร่ที่แม่บรรจงใช้ขนเม่นจักหน่อให้นุ่ม ใส่ใบขิงอ่อน ใส่น้ำปู๋ แล้วก็กินกับจี๋กุ๊กหมกขี้เถ้าด้วยครับ


ข้าวแคบ

5 ความคิดเห็น โดย silt เมื่อ 31 กรกฏาคม 2010 เวลา 11:42 (เย็น) ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 2913

 

“อะไรเอ่ย เล็กที่สุด” เคยเล่นทายปัญหาอะไรเอ่ยไหมครับ อุ้ย
คำถามนี้คนเจียงใหม่รุ่นผมจะตอบว่า “ข้าวแคบ” เพราะ “แคบ”เป็นคำพ้องเสียงแต่ต่างความหมายกันระหว่างภาษาคำเมืองกับภาษากลาง

แคบ ในความหมายของภาษากลาง แปลว่า คับแคบ ไม่กว้างขวาง แต่…

แคบ ในความหมายของคนยวนล้านนา แปลว่ากรอบ (คำเมืองว่า ผ่อย) เช่น แคบหมู แคบไข ข้าวแคบ เป็นต้น

ข้าวแคบ เป็นของกินเล่นของคนบ่ະเก่าจาวเหนือ ปกตินิยมทอดจี่กันในช่วงเทศกาลสงกรานต์ เมื่อก่อนแม่จะจืนข้าวแคบใส่ก๋วยหน้อยไว้รับแขก แบ่งไปทานขันข้าวที่วัด แบ่งไปดำหัวคนเฒ่าคนแก่

ไปเยี่ยมยามพี่น้องลาวลื้อบ้านเวียงแก้ววันก่อน ติดตามการปลูกงา การซอยยาขื่น(ทำยาฉุนยาเส้น) การทอผ้า การทำบัญชีครัวเรือน ก็หวังพึ่งการพัฒนาอาชีพของแม่บ้านนี่แหละมาทดแทนรายได้จากการทำนาที่ต้องหดหายไป ส่วนพ่อบ้านยังนึกไม่ออกว่าจะให้ทำอะไร คงจะต้องรับเข้าทำงานโครงการ และอาจจะไปปลูกชาคั่วชาจีนชาอัสสัมไปโน่น ชาวลื้อปลูกชาเมี่ยงกันอยู่บ้างแล้ว   

ไปคุยกับชาวลื้อ ใช้ภาษายวนเจียงใหม่ปนภาษายองบ้านน้ำดิบที่เคยไปจีบสาวสมัยซาวปีก่อน ทำให้สนิทสนมกันได้ถึงแก่น ก่อนกลับแม่บ้านทอดข้าวแคบมาเลี้ยงด้วย ชาวลื้อที่นี่ยังนิยมทำข้าวแคบกันอยู่ โดยเฉพาะในงานบุญผะเวท ทำให้ชาวลาวเรียกบุญผะเวทของคนลื้อว่า “บุญข้าวแคบ” โดยนัยยะแล้วเป็นการแสดงความหมายในเชิงแบ่งพรรคแบ่งพวกนิดๆ

แถมท้ายด้วยรูปพ่อพญานั่งเฮือนลื้อครับ คริ คริ


เจ๋วผักแว่น ใบหม่อนแกล้มเบียร์

7 ความคิดเห็น โดย silt เมื่อ 13 กรกฏาคม 2010 เวลา 12:47 (เช้า) ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 4651

เจ๋วผักแว่น ใบหม่อนทอดกรอบ เมนูหงสาเย็นนี้

ผักแว่นเป็นวัชพืชในนาข้าวที่เบียดบังแย่งอาหารต้นข้าวตัวฉกาจชนิดหนึ่ง นาม่องใดมีผักแว่นขึ้นเยอะๆ เป็นว่าข้าวมักจะแคระแกล็นเหลืองซีด

ผักแว่นเป็นอาหารให้กับชุมชนที่กินข้าวเหนียวทั้งในล้านนา ทั้งในถิ่นอีสาน รวมถึงในลาวก็ด้วยเช่นกัน ยอดผักแว่นเอามากินสดๆกับป่นปลาแซบหลาย ที่หงสาพี่น้องเอามานึ่งแล้วยำโรยหน้าด้วยงาขาวก็อร่อย ใบผักแว่นเอามาต้มมาแกงซดน้ำก็พาข้าวลงได้ดี การเก็บใบผักแว่นมีวิธีที่น่าสนุก คือเอาฝ่ามือหงายขึ้นแล้วมุดฝ่ามือลงไปในดงผักแว่นยกขึ้นมาก็จะมีใบผักแว่นติดมาตามซอกนิ้ว ได้เฉพาะใบไม่ต้องเด็ดก้านให้เมื่อย

ส่วนตัวผมเองมีเรื่องเกี่ยวกับผักแว่นให้ลุงป้าตายายที่บ้านล้อมาจนโต แม้ทุกวันนี้กลับไปไหว้ผู้เฒ่าผู้แก่ที่บ้าน หลายท่านก็ยังเอามาล้อผมเล่นอยู่เสมอ เรื่องราวเกิดเมื่อสี่สิบกว่าปีมาแล้วมั้ง ที่ไอ่หน้อยลูกโทนคนหนึ่งชอบไปร้องไห้ชักดิ้นชักงอแย่งกิน “เจ๋วใบผักแว่น”กับลูกลุงข้างบ้านทั้งๆที่ที่ขันโตกข้าวที่บ้านมีหมูทอด ไข่ต้ม ปลาปิ้งไม่ขัดสน ตอนนั้นรู้สึกว่ามัน “ลำแต้ๆ” ถึงขนาดต่อรองเขาว่า “อ้ายขอกิ๋นแต่น้ำบ่กิ่นใบก่ได้”

“เจ๋ว” คือต้มของคนเมือง เจ๋วผักแว่นคือ ต้มใบผักแว่นปรุงรสด้ายเกลือ กะปิ หอมแดง และที่ขาดไม่ได้คือถั่วเน่าแค็ป เจ๋วต่างกับแกงตรงที่ไม่ใส่พริก มักเป็นอาหารเมนูสำหรับเด็กๆ วันนี้แม่ครัวได้ใบผักแว่นมาจากตลาดตั้งแต่เช้า ผมเลยได้ซดเจ๋วผักแว่นร้อนๆชามโตเป็นมื้อเย็น แกล้มด้วยเรื่องขำๆของตัวเองยามเด็ก แต่วันนี้ปรุงสูตรพิเศษ เพิ่มยอดหม่อนอ่อนๆลงไปสามสี่ใบรู้สึกว่ากลมกล่อมดีครับ

เพื่อนฝูงมาปรึกษาว่า จะเอาอะไรไปเป็นกิจกรรม “ตัวล่อ”ในวันติดตามการบันทึกบัญชีครัวเรือนของกลุ่มแม่บ้านดี แหนมเห็ดก็ทำแล้ว น้ำยาล้างจานก็ทำแล้ว หน่อไม้ใส่ขวดก็สอนแล้ว เขาเสนออยากทำใบหม่อนทอดกรอบเหมือนที่เราเคยไปกินกันที่สวนอ้ายสีวังเวียง ในฐานะที่ปรึกษาต้องรอบรู้ เลยจัดการลองวิชาค้นคว้าสูตรทอดใบหม่อนด้วยประการฉะนี้

ใบหม่อนใช้ใบอ่อน (เพสะลาด) นำเข้าตู้เย็นเพื่อให้กรอบนาน
แป้งชุปผักทอดโกกิ ผสมให้บางๆไม่ข้น ปรุงรสด้วยเกลือกับพริกไท
ชุปใบหม่อนลงในแป้งพอบางๆ
จุ่มน้ำมันร้อนๆรีบนำขึ้น
ทำน้ำจิ้มรสหวานอมเปรี้ยว (ของอ้ายสีใช้น้ำผึ้ง มะนาว พริกขี้หนู)

คุณเอ้ย หากจัดโต๊ะงามๆ ใบหม่อนทอดกรอบ เสริฟพร้อมชาใบหม่อนสีเขียวในถ้วยกระเบื้องขาว และน้ำผลหม่อนปั่นใส่น้ำผึ้งสีม่วงแดง เหมือนที่เคยได้กินที่สวนอ้ายสี รับรองทั้งความอร่อยทั้งสุนทรีย์

แต่เย็นนี้มีแต่ใบหม่อนทอดกับน้ำจิ้มบ๊วย แบ่งไปให้โต๊ะข้างๆที่มากินเบียร์พนันบอลโลกกัน ให้ไปเท่าไหร่ก็ร้อง เอาอีก ขออีก
พอแล้ว(โว้ย) หากอยากกินให้เมียเจ้ามาหัดบันทึกบัญชีครัวเรือนกับข้อย จะสอนให้ทอดใบหม่อนแกล้มเบียร์แถมด้วย

รูปหลังนี้ถ่ายจากสวนอ้ายสี ที่วังเวียงครับ


เพื่อนสนิท ชวนให้คิด

2 ความคิดเห็น โดย silt เมื่อ 25 มิถุนายน 2010 เวลา 4:33 (เย็น) ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 1798

 

นั่งจัดระเบียบภาพถ่ายในไฟล์ ท่ามกลางที่ประชุม “บ้าน้ำลาย” เห็นภาพไอ่ตุ้ยปรากฏอยู่แทบทุกโฟล์เดอร์ คิดๆดูแล้ว น่าจะสรุปได้ว่า สิ่งมีชีวิตที่สุงสิงด้วยมากที่สุดในรอบสองสามเดือนที่ผ่านมา น่าจะเป็นไอ่ตุ้ยนี่แหละ

ไอ่ตุ้ย เป็นแมวที่ชอบนอนสถิตย์อยู่บนตู้กระจกของร้านขายอาหารเจ้าประจำที่ผมฝากท้องวันละสามมื้อในหงสา

ไอ่ตุ้ยเป็นลูกโทน ของนางสามสี ตอนเกิดใหม่แม่พาไปหลบหลีกผู้คน เป็นแมวในโกดังที่ใครๆก็ไม่สามารถเข้าใกล้ได้ในระยะห้าสิบเมตร จนกระทั่งนางสามสีมีน้องให้ไอ่ตุ้ยครอกถัดมากอีกสี่ตัว ผมเข้าไปเล่นกับน้องๆเขา เจ้าตุ้ยถึงยอมมาใกล้ได้บ้าง

ไอ่ตุ้ย สร้างความประทับใจให้ผมตรงที่ เขาไม่เคยแย่งอาหารน้องๆ หรือแม่เลย เขาจะนั่งนิ่งๆเฝ้ามองและรอคอยอย่างอดทน จนกว่าน้องหรือแม่จะอิ่ม จึงจะค่อยๆเดินมาจัดการส่วนที่เหลือ

แม้ว่าบางคราว ผมหวังดีแบ่งขนมแยกไปวางตรงหน้าไอ่ตุ้ย เขาก็จะดมๆเล็มกินอย่างรีๆรอๆ หากมีเจ้าน้องจอมซนตัวไหนยื่นหน้ามาใกล้จานขนมของไอ่ตุ้ย พ่อคุณก็เป็นอันเสียสละให้น้องๆทุกครั้งไป

ความสนิทชิดเชื้อของผมกับไอ่ตุ้ย สนิทแนบแน่นขึ้นเรื่อยๆ ระยะหลังมาน้องๆจะโตเลยวัยซน และถูกแยกย้ายไปอยู่บ้านอื่นเสียสามตัว อีกตัวหนึ่งคือเจ้าขาวตาฟางวิ่งไปชนรถลาโลกไปก่อนเพื่อน แต่ไอ่ตุ้ยก็มีแมวหลงตัวเล็กๆมาอยู่ด้วยอีกสองตัว ชื่อนางสีนวล กับเจ้าทองเล็ก ไอ่ตุ้ยก็ยังเหมือนเดิมที่ไม่ยอมไปร่วมไปแย่งกินข้าวกับตัวไหน ชอบนอนนิ่งๆบนตู้โชว์อาหารของแม่อยู่ทุกวัน อย่างไม่รู้ร้อนรู้หนาว ไม่สนใจสิ่งเร้าใดๆ นานๆครั้งที่เห็นไอ่ตุ้ยวิ่งออกไปต้อนรับ”พ่อ”ที่กลับมาจากสวนตอนเย็น สงสัยลืมตัวคิดว่าตัวเองเป็นหมา จึงวิ่งแข่งกับนังดิ๊กด็อกไปรับ “พ่อ”

ผมชอบไปแหย่ไปแกล้งไอ่ตุ้ยเกือบทุกวัน เริ่มแรกด้วยการเกาคางเกาหัว ต่อมาก็นวดขานวดตัว หลังๆมาก็อุ้มพาดบ่าเดินรอบสนาม แรกๆไอ่ตุ้ยก็ต่อต้านขัดขืนบ้าง ดิ้นจะออกจากวงแขนบ้าง แต่หลังๆมาไอ่ตุ้ยคงทนลูกตื้อไม่ได้ก็เลยอยู่เฉยๆยอมให้แกล้ง มีบางวันที่เขาอารมณ์ดีแสดงความชอบใจด้วยการ หลับตาพริ้ม วาดหางไปมาอย่างเป็นจังหวะ

หมู่นี้ไอ่ตุ้ยติดสาว อารมณ์หงุดหงิด ไม่ยอมให้อุ้ม หนีหายไปจากที่ประจำบนตู้บ่อยๆ  

บทสรุป
( ) แมวก็เหมือนคน บางตัวนิสัยดีได้โดยไม่ต้องสอน
( ) แมวก็เหมือนคน บางอารมณ์ก็เผลอไผลไปกับสิ่งเล้าโลม
( ) แมวก็เหมือนคน บางครั้งก็ไม่อยู่กับร่องกับรอย

คนต้องทำได้ดีกว่าแมว


เมืองคอบคือเมืองในซอกเขา

3 ความคิดเห็น โดย silt เมื่อ 12 มิถุนายน 2010 เวลา 2:34 (เย็น) ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 2991

เคยได้ยินชื่อเมืองคอบมาจากหนังสือชุดเรื่องผี ที่เล่าถึงเรื่องราวของผีโพงเมืองคอบ พอสบโอกาสได้ไปทำงานเมืองเชียงฮ่อน ก็เลยวางแผนขยายพื้นที่ทำกิจกรรมให้ครอบคลุมไปถึงเมืองคอบในครานี้นี่เอง ก่อนไปก็สอบถามชาวหงสาที่เคยไปเมืองคอบได้ข้อมูลแบบปะติดปะต่อว่า “เมืองคอบเป็นเมืองในหุบเขามองไปทางไหนก็เจอแต่ภูเขา” “เมืองคอบมีที่พักดีๆอยู่แต่เมืองคอบไม่มีที่กินข้าวเย็น” อ้ายน้องที่เชียงฮ่อนพอรู้ว่าเราจะไปนอนค้างเมืองคอบก็ให้ข้อมูลเพิ่มว่า “เมืองคอบเป็นเมืองสี่ตาแสง” หมายความว่าสมัยก่อนเมืองคอบขึ้นกับเมืองเชียงฮ่อน ต่อมาทางการท่านจึงตัดเอาสี่ตาแสง หรือสี่ตำบลออกไปตั้งเป็นเมืองหรืออำเภอใหม่

จากเชียงฮ่อนลัดเลาะซอกซอนข้ามทะเลขุนเขา ผ่าเปลวไฟจากการเผาป่าไปถึงเมืองคอบเอาตอนสี่โมงเย็น แว่ปแรกที่เห็น ก็คิกชื่อของบันทึกว่า เมืองคอบคือเมืองในซอกเขา เพราะไม่ว่าจะมองไปทางไหนล้วนเห็นขุนเขาเป็นปราการตระหง่านง้ำต้องแหงนคอตั้งบ่า

เมืองคอบวันนี้มีร้านอาหารอยู่ตั้งสองร้านแล้ว ร้านแรกถูกจองโดยคณะทำไม้ชาวจีน พวกเราจึงต้องรีบไปสั่งอาหารอีกร้านที่เหลือไว้กันเหนียว แล้วเราก็เดินรอบเมือง เดินๆหยุดๆถ่ายรูป เดินยังไม่ทันได้เหงื่อก็วนรอบเมืองแล้ว ไม่ถึงสองกิโลมั้ง 

 แอบถ่ายรูปสาวๆอาบน้ำที่แม่น้ำคอบมาด้วย แต่ไม่กล้าซูม อิอิ

กลางคืนเดินชมดาวอีกหนึ่งรอบ เงียบสงบจริงๆ แต่ยามค่ำคืนเมืองคอบในเดือนมีนาคม มองเห็นราวไฟป่าแดงเป็นแนวเป็นแถวรายรอบทุกทิศทาง ปานว่าเมืองคอบตามประทีบพลุไฟเฉลิมฉลอง เป็นความสวยงามบนการสูญเสีย

 ตื่นเช้าก่อนหกโมง ไปเดินตลาดเช้า แม้จะยังเช้าแต่ตลาดก็ใกล้จะวายแล้ว

มนต์ขลังของตลาดชนบท ตลาดหัวเมืองยังไม่เสื่อมคลาย
ท่านดูก๋วยที่แม่ค้าหาบของมาขาย
ท่านดูมัดกระเทียมที่ประณีตสวยงาม
ท่านดูแม่ค้าที่โพกหัวสะพายย่ามเหมือนเป็นเครื่องแบบ

ท่านดูแม่เฒ่าที่มาขายต้นหอมหนึ่งกอง กับฝ้ายที่เก็บจากไร่มาอิ้วมาสาวพร้อมใช้อีกหนึ่งไจ 

หลังมื้อเช้า เราไปดูสวนส้มเขียวหวาน ที่ปลูกแบบไร้สารเคมี แบบกรรมวิธีพื้นบ้านที่ทรงภูมิปัญญา ไม่น่าเชื่อว่าจะพบเจอท่ามกลางขุนเขาเช่นนี้ นี่เองช้างเผือกในป่าลึก

ดีใจที่ได้เยือน ….นะเมืองคอบ


ความขัดแย้ง(ในใจ)วันปลูกป่า

6 ความคิดเห็น โดย silt เมื่อ 3 มิถุนายน 2010 เวลา 10:27 (เย็น) ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 1474

หนึ่งปลูกเพื่อปากท้อง    ลูกหลาน
หนึ่งปลูกเพื่อต้องการ    รักษ์โลก
สองผ่ายมาพบพาน       ร่วมถิ่น ดินเดียว
ต่างฝ่ายต่างกล่าวอ้าง    ที่แท้ใครควร

วันเวลา ๑มิถุนา วันปลูกป่าของเมืองหงสา

สถานที่ ป่ายอดห้วย ของขุนห้วยคุย ครอบครัวพี่น้องชาวม้งจับจองแผ้วถางเตรียมทำไร่ เมืองมาจับจองไว้ปลูกป่า

ผู้ร่วมแสดง พนักงานเมือง พนักงานโครงการ(ใส่ชุดป้องกัน ชุดเซพตี้สีสันสดใส) กับอีกฝ่ายเป็นครอบครัวชาวม้งหญิงชายผู้ใหญ่คนสูงอายุและ เด็ก

กิจกรรม ฝ่ายเจ้าหน้าที่อ่านประกาศแล้วช่วยกันปลูกป่า มีรถรับส่ง มีการขุดหลุมปักหลักไว้รอ มีเลี้ยงน้ำ ขนมปังปี๊บ มีถ่ายรูป ถ่ายวิดีโอ ฝ่ายพี่น้องม้งเดินมาจากบ้านดอนใหม่เก้ากิโล มาถึงก็ลงมือปลูกเข้าไร่โดยไม่ต้องมีพิธีรีตอง ผู้ใหญ่ถือไม้ไผ่สักหลุม เด็กน้อยช่วยกันหยอกเมล็ดข้าว

ผลลัพธ์ เจ้าหน้าที่ได้ทำกิจกรรม ได้รายงานขั้นเทิง มีรูปมีวิดีโอประกอบ พี่น้องชาวม้งได้ปลูกข้าวไร่

แต่ได้เห็นน้ำตาของแม่เฒ่าชาวม้งคนหนึ่ง ที่ร่ำร้องพร่ำบ่น เกรงว่าทางเมืองจะมายึดที่คืน กลัวจะไม่มีข้าวเลี้ยงครอบครัว แม่เฒ่าเดินถือมีดบ่นปนสะอื้นไปมา อย่างน่าเวทนา แล้วก็เดินจากไปอย่างหมดกำลังแรงอย่างจำนน

ถามว่า ทางเมืองทำถูกไหม ทำถูกที่มาฟื้นฟูป้องกันป่าต้นน้ำ

ถามว่าแม่เฒ่า มีสิทธิ์ไหม มีสิทธิ์ในการสนองความต้องการพื้นฐาน อาหารเลี้ยงปากท้อง

ถามว่าถ้าจะให้งามควรทำอย่างไร

ควรบอกกล่าวให้แม่เฒ่าเข้าใจ ยินยอมพร้อมใจ ไม่ใช่ไปแจ้งแต่กับหัวหน้าครอบครัวแล้วปล่อยให้แม่เฒ่าที่ไม่เข้าใจภาษาของคนพื้นล่าง ตื่นตกใจที่เห็นคนมากมายมาบุกรุกที่ดินของตน หากจะห้ามแม่เฒ่าไม่ให้ทำกินตรงนี้ ก็ต้องไปหาที่ดินที่อื่นมาให้พี่น้องได้มีทางออก

โลกเรานี้เหมือนกันอยู่อย่าง ชอบคิดอะไรง่ายๆ ทำอะไรลวกๆ

เห็นไหมพอลุงบ่นก็หาว่าลุงจู้จี้


ขนมจีน น้ำใจ แกงไก่ น้ำเงี้ยว

8 ความคิดเห็น โดย silt เมื่อ 16 พฤษภาคม 2010 เวลา 12:40 (เช้า) ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 1587

ว่าจะจบชุดรายงานเล่าเรื่องเมนูสวนป่าเฮฮาฯบ้านมกรา แต่ตัดใจจบไม่ลงหากไม่ได้กล่าวถึงเมนูขนมจีน ด้วยประทับใจคิดถึงน้ำใจและความตั้งใจของคณะแม่ครัวทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็นป้าจุ๋มที่บรรจงเด็ดหางถั่วงอกทุกหางเป็นเครื่องเคียง(นอกจากแม่ผมแล้ว แทบไม่เคยมีใครเด็ดหางถั่วงอกให้กินเลยครับป้าจุ๋ม) หรือไม่ว่าจะเป็นป้าหวานที่ใส่น้ำใจเกินร้อยลงไปในแกงไก่จนเข้มข้นหวานมัน หรือไม่ว่าจะเป็นป้านายที่เอาถั่วฝักยาวมาบรรจงหั่นฝอยอย่างตั้งใจ
เมนูขนมจีนถูกเลื่อนจากมื้อเที่ยงของวันที่ ๖ มาเป็นมื้อเที่ยงของวันที่ ๗ ซึ่งผมกับป้าหวานต้องกลับเช้าวันนั้นพอดี แต่ป้าหวานก็บอกว่า ไม่เป็นไรป้าหวานทำน้ำแกงไก่ไว้ให้แต่เช้าก่อนกลับก็ได้ เมื่อป้าหวานอาสา เมื่อป้าจุ๋มมาชวน ลุงเปลี่ยนก็หาญทำน้ำเงี้ยวร่วมอีกหนึ่งเมนู (แต่พอถึงวันกลับทุกคนก็บอกว่าให้เสร็จชำแหละครูบาก่อนค่อยกลับ คนทำจึงมีโอกาสได้รับคำชมอย่างหน้าบาน)
ผมไม่รู้ว่าป้าหวาน ทำแกงไก่ไว้ตอนไหน แต่รู้ว่าป้าหวานตั้งใจใส่ใจเกินร้อยตั้งแต่เรื่องเครื่องปรุง เรื่องวัตถุดิบ ป้าหวานจึงออกไปจ่ายตลาดกับแม่หวีตั้งแต่เช้าตรู่ กลับมาต้มข้าวต้มเครื่องสองหม้อใหญ่ทั้งแบบใส่หมูกับแบบใส่เห็ด ต่อจากนั้นป้าหวานคงจะบรรเลงแกงไก่ต่อทันที เพราะสายๆมาผมเดินเข้าไปดูในครัวเห็นแกงเสร็จเรียบร้อยแล้ว ขนมจีนแกงไก่ยิ่งอร่อยมากขึ้นกับเครื่องเคียงผักสด ถั่วฝักยาวหั่นฝอยฝีมือป้านายที่แอบมานั่งข้างประตูฟังชำแหละครูบาไปด้วยหั่นถั่วไปด้วย แม้ผมจะถือมังสะแต่ก็อดไม่ได้ที่จะเป็นนักมังสวิรัสแบบเจเขี่ยตักแต่น้ำแกงกับชิ้นฟักราดบนขนมจีนจนโชก โรยถั่วฝักยาวหั่นฝอยอร่อยจนอยากขยายกระเพาะ
ส่วนเมนูขนมจีนน้ำเงี้ยวนั้น ถือว่าเป็นเมนูที่ใช้ใจทำ ปรุงแบบเดาสุ่มแต่ผลออกมาอร่อยแบบเฮงๆ หรืออีกอย่างหนึ่งอาจถือได้ว่าเป็นเมนูแบบธรรมชาติจัดสรรบวกการมัดมือชก เริ่มจากมีเสียงเรียกร้องในวงประชุมกลุ่มย่อยการวางเมนูอาหาร ซึ่งมีครูปูเป็นฝ่ายเลขาฯ (ต่อมาเลื่อนตำแหน่งเป็นไดเร็กเตอร์) มีท่านหัวหลักนั่งเป็นหลัก ตอนแรกเพียงแค่นึกว่าหากมีขนมจีนแกงไก่แล้ว ท่านที่มังสะวิรัตน่าจะได้ทานขนมจีนน้ำเงี้ยวเจแบบที่ผมเคยได้ชิมที่ร้านอาหารเจหลังที่ว่าการอำเภอเมืองเชียงใหม่ (เพียงแค่เคยได้ชิมก็หาญที่จะคัดทำเสียแล้วช่างกล้าแท้ลุงเปลี่ยน) ต่อมามีเสียงเรียกร้องให้ทำน้ำเงี้ยวสูตรกระดูกหมูอีกหม้อหนึ่งด้วย แม้นส่าผมเป็นนักชิมน้ำเงี้ยวมาตั้งแต่เด็กแต่ไม่เคยลงมือทำเองสักที เคยเป็นแต่ลูกมือแม่หั่นเลือด หั่นผักเครื่องเคียง ล้างดอกงิ้วแห้ง เท่านั้น
ที่ว่าธรรมชาติจัดสรรแบบมัดมือชก เพราะมีคนเตรียมการไว้ให้พร้อม ครูอึ่งกับอารามออกไปตลาดซื้อเต้าหู้มาให้ทั้งแบบแข็ง และแบบหลอด ป้าจุ๋มกับพี่คอนออกไปตลาดซื้อกระดูกหมู หมูสับ เต้าเจี้ยวมาให้พร้อม แถมยังซื้อผักกาดดองกับถั่วงอกมาเป็นผักแกล้มอย่างครบถ้วน สำหรับถั่วงอกนั้นป้าจุ๋มนำน้องๆเด็ดหางอย่างบรรจง ภาพที่เห็นป้าจุ๋มนั่งเด็ดหางถั่วงอกทำให้ผมคิดว่าไม่ทำน้ำเงี้ยวไม่ได้แล้ว ทำเป็นไม่เป็นก็ทำไปปรุงไปก็แล้วกัน
ราวสิบโมงของวันที่ ๗ พค. หน้าเวทียังคงชำแหละครูบาอย่างเข้มข้น ป้าจุ๋มเข้ามาสะกิดว่าน้ำเงี้ยวต้องเตรียมอะไรบ้าง ป้าจุ๋มหากระดูกหมูเจอแล้ว ผมเลยวานป้าจุ๋มต้มกระดูกหมูไว้รอ หลังจากนั้นอีกหนึ่งชั่วโมงผมจึงค่อยๆถอนตัวออกมาที่ครัว เห็นหม้อเคี่ยวกระดูกกำลังได้ที่ แต่ที่ครัวตอนนั้นว้าเหว่เหลือเกิน เนื่องเพราะทุกคนไปร่วมวงชำแหละครูบากันหมด แม้แต่ป้านายยังค้วาเอาถาดถั่วฝักยาวมานั่งแอบอยู่หลังประตูหั่นไปด้วยแอบฟังไปด้วย จึงตัดสินใจจัดการด้วยตัวเองตั้งแต่คิดค้นรื้อฟื้นความจำ ว่าควรจะใส่อะไรบ้าง เครื่องปรุงแต่ละอย่างอยู่ไหน พริกแห้งควรจะใส่กี่เม็ด กะปิ หอมแดง กระเทียม ถั่วเน่าแค็ป อย่างละมากน้อยเท่าใด ได้เครื่องปรุงครบแล้วจะโขลกน้ำพริกแล้วครกอยู่ไหน เจอครกแล้ว สากอยู่ไหน ล้วนเป็นเรื่องเล็กๆน้อยๆที่เป็นปัญหาใหญ่สำหรับคนที่ชอบแต่ไหว้วานออกแต่ความคิดเห็นเช่นผม โดยเฉพาะการโขลกน้ำพริกเครื่องแกงที่จำได้ว่าครั้งสุดท้ายที่โขลกน้ำพริกให้แม่เมื่อหลายสิบปีก่อน “สอบไม่ผ่าน” เพราะแม่ตำหนิว่าพริกมันยังลืมตาอยู่แปลว่ายังไม่แหลกยังเห็นเม็ดพริกอยู่
ก็เลยต้องใช้สัญชาตญาน และความรู้สึกหยิบเครื่องปรุงใส่ครก มีพริกแห้งสิบเม็ด กะปิหนึ่งช้อน หอมแดง ๕หัว กระเทียม ๓กลีบ โขลกในครกพอใกล้แหลกเอาถั่วเน่าแค็ปที่ย่างไฟหอมฉุยมาใส่เพิ่มอีกสามแผ่น เครื่องแกงครกนี้ไม่ใส่เกลือเพราะตอนเคี่ยวกระดูกหมอได้ใส่เกลือไปมากจนเกือบเกินพอดี ผมปรับสูตรให้พิเศษขึ้นโดยการใช้เต้าหู้เหลืองครึ่งก้อนมาโขลกเพิ่มให้น้ำแกงเข้มข้น ป้านายรีบออกมาช่วยโชลกกระเทียม หั่นมะเขือเทศ หั่นเต้าหู้ไว้ให้  ป้าจุ๋มเข้าครัวมาดูหม้อต้มกระดูก ตอนนี้เองที่รู้ว่าเราไม่ได้ซื้อเลือดมา ผมจึงตัดสินใจใช้หมูสับกับเต้าหู้หั่นแทน ป้าจุ๋มช่วยจัดการทันที ในขณะที่ผมเอาเครื่องแกงลงผัดในกะทะใส่น้ำมันเล็กน้อย พอเครื่องแกงหอมฉุนก็เทลงในหม้อต้มกระดูกหมู ป้านายเอามะเขือเทศมาใส่ เต้าเจียวเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้สำหรับน้ำเงี้ยว แต่น้ำแกงเราได้ใส่เกลือลงไปมากจนเกือบเกินพอดีแล้ว ผมก็เลยใช้วิธีเทเต้าเจี้ยวออกจากขวดใส่ถ้วยเสียก่อนแล้วเลือกตักเอาแต่เม็ดถั่วเหลืองไปล้างน้ำก่อนที่จะใส่ในหม้อน้าเงี้ยว เรียกว่าใส่แต่รูปไม่ใส่รส ผมปรุงรสเพียงแค่รอเวลาเคี่ยวน้ำแกงให้ทุกสิ่งหลอมรวมรส เพราะไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรต่อไป ป้าจุ๋มมาให้กำลังใจว่ากลิ่นใช่แล้ว ผมก็เลยไปเตรียมเครื่องแกงสำหรับน้ำเงี้ยวเจอีกหม้อหนึ่ง เครื่องปรุงงวดนี้ไม่ได้ใส่กะปิ ป้านายเตรียมหม้อเคี่ยวน้ำแกง เปลี่ยนมาใช้หอมแดง เห็ดฟางแทนกระดูกหมู ป้าจุ๋มตั้งน้ำร้อนลวกผักกาดดองมาหั่นเป็นเครื่องเคียง ถั่วงอกที่เด็ดหางไว้ก็ถูกนำมาลวกเช่นกัน (เพราะเราเตรียมไว้ตั้งแต่เมื่อวาน) น้าอึ่งมาช่วยปิดรายการปรุงน้ำเงี้ยวโดยการเจียวกระเทียมกับพริกแห้งเทลงไปในหม้อเคี่ยวน้ำเงี้ยว
ครูไพลินกับคุณพี่กุ๊กครูบา แวะมาชิมก่อนจะลากลับ ท่านบอกว่าใช้ได้ ได้รับคำยืนยันจากสองสาวละปูนเช่นนี้ก็มั่นใจมากขึ้นว่าสิ่งที่ทำน่าจะใช่น้ำเงี้ยวจริงๆ
เมนูน้ำเงี้ยว เป็นอีกรายการอาหารที่ดีใจนำเสนอในคราวที่ได้ไปสวนป่าหนนี้ครับ


คั่วแคไก่ ผักกาดจอ เมนูเมืองเหนือที่สวนป่าวันเฮฮากับชาวบ้านมกรา

6 ความคิดเห็น โดย silt เมื่อ 10 พฤษภาคม 2010 เวลา 1:13 (เช้า) ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 2001

กลับมารอโหมดทำงานหนักที่ลาวแล้วครับ เตรียมงานประชุมพรุ่งนี้ไว้บ้างแล้วต้องรีบเขียนบันทึกสามเมนูเด่นของจาวเหนือที่มีโอกาสได้ทำร่วมกับชาวเฮอีกหลายท่าน ก่อนที่ความทรงจำจะเลือนหาย 

เริ่มที่เมนูคั่วแคไก่ กับผักกาดจอก่อนครับ

วันที่ ๖ พฤษภา เราเลี้ยงส้มตำไก่ย่างไก่ทอดกันตอนบ่ายสอง กว่าจะทานเสร็จก็สามโมงกว่าๆเข้าไปแล้ว ทำให้พวกเราคนครัวต้องมานั่งทบทวนรายการอาหารเย็นกันใหม่ บางท่านก็เปรยๆว่าอยากได้เป็นข้าวต้มเบาๆ หันไปบอกครูปูซึ่งงวดนี้รับตำแหน่งผู้จัดคิวอาหารว่า ผักกาดจอก็น่าจะเข้ากับข้าวตัมได้ ส่วนเมนูคั่วแคไก่ที่เคยหยอกไว้ก่อนไปสวนป่า ครูอารามเตรียมมาเป็นพ่อครัวร่วมอย่างเต็มที่ และผจก.ฝ่ายอาหารก็บรรจุคิวไว้ในมื้อเย็นนี้เช่นกัน หันหน้าไปปรึกษาอารามๆ ก็บอกว่า “ทำเต๊อะอ้าย ทำเพราะอยากทำ” ผมก็เห็นด้วยเพราะเสียดายหากจะยกเลิกรายการนี้ไป เพราะเป็นรายการที่ได้ใช้ผักทุกชนิดในสวนป่า (อันที่จริงสองพ่อครัวเราแอบไปสำรวจหมายตาผักกันไว้ล่วงหน้าตั้งแต่วันก่อนแล้ว…เห่อซะไม่มี) เลยตกลงกันว่าทำคั่วแคขนาดหม้อกลางๆ เผื่อเหลือเอาไว้ขอป้านายช่วยทำแกงโฮะวันรุ่งขึ้นก็ได้

สี่โมงเย็น ออตกำลังดำเนินรายการหน้าเวที ครูปูก็หอบถาดยอดมะรุมเข้ามาเด็ดไปด้วย นึกขึ้นได้ว่ายังไม่ได้เก็บผักมาทำคั่วแค กับผักกาดจอของตัวเอง เลยไม่ได้แต่งใฮกุกับออต เดินไปหาอารามที่กำลังซ่อมเครื่องพิมพ์ที่บ้านครูบา ยืนยันกันอีกครั้งว่า เมนูเย็นนี้ทำเพราะอยากทำ เหลือก็เอาทำแกงโฮะ รีบพากันมาจัดทีมงานเก็บผัก เรียกว่าทีมได้เต็มปาก เพราะมีอาราม ลุงเปลี่ยน ป้านาย แม่หวี กับอีกสองหนุ่มผู้ช่วยแม่หวี รวมกัน ๖ ชีวิต แบ่งสายกันไปเก็บผักตามจุดต่างๆทั่วสวนป่า สำหรับป้านายที่เป็นคนกรุงเทพ “บ่ฮู้จักผักพื้นบ้านป่าดีเท่าใด” ได้รับการร้องขอให้ช่วยเก็บผักกาดกวางตุ้งสำหรับทำผักกาดจอ ป้านายค่อยๆเด็ดผักทีละก้าน เอามาล้างทีละใบ หั่นแยกก้านแยกใบขนาดเท่าๆกัน นี่ถ้าไม่ใช่ป้านายไม่มีใครทำได้งามถูกใจลุงเปลี่ยนได้ขนาดนี้ รักป้านายจริงๆ (แม้ว่าป้านายจะทายอายุลุงเปลี่ยนผิดไปหนึ่งรอบก็เหอะ)

ส่วนพวกเราที่เหลือก็กระจายกันไปเก็บผักตามที่หมายตากันไว้ ได้ผักมาสิบห้าชนิดอันได้แก่ ๑ยอดมะรุม ๒ยอดมะกล่ำ๓ผักหวานบ้าน ๔ใบพริก ๕ตำลึง ๖ผักกานตง ๗มะเขือเปราะอ่อน ๘มะเขือพวง ๙ชะอม ๑๐ถั่วฝักยาว ๑๑พริกขี้หนูอ่อน ๑๒ยอดกวานฮอก ๑๓ผักชีฝรั่ง ๑๔ยอดเสาวรส ๑๕ยอดมะระขี้นก ผักอย่างละนิดละหน่อยแต่รวมกันแล้วได้เกือบเต็มกะทะใบบัว ที่คิดกันว่าจะทำนิดเดียวก็กลายเป็นทำเต็มกะทะด้วยเสียดายผัก

๕โมงกว่าๆ ได้ผักมาช่วยกันเด็ดจวนจะเสร็จครูปูมาตามให้ไปประชุมกับชาวเฮ ไหว้วานให้ป้านายกำกับการเด็ดผัก การสับไก่ที่แม่หวีเตรียมไว้ให้ตัวหนึ่งต่อ

ทุ่มหนึ่งเลิกประชุมพ่อครูบอกว่าถึงเวลาอาหาร เลยบอกว่าขอเวลาเคี่ยวผักอีกหนึ่งชั่วโมง รีบชวนกันมาเข้าครัว หม้อผักกาดจอป้านายต้มผักไว้เดือดดีแล้ว รอลุงเปลี่ยนมาปรุง น้าอึ่งตามมาช่วยโขลกถั่วเน่าแค็ปกับหอมแดงเพียงสองอย่าง วันนี้ไม่ใส่กะปิเพราะหม้อนี้จะทำเป็นเจไปเลย ป้านายคั้นน้ำมะขามเปียกไว้รอ ลุงเปลี่ยนแค่ตักเครื่องปรุงใส่ เติมน้ำมะขามชิมให้พอดีรส แล้วน้าอึ่งก็เจียวกระเทียมกับพริกแห้งเทใส่ข้างหน้า เป็นอันเสร็จเมนูผักกาดจอ

อารามครองเตาคั่วแคไก่ เอาน้ำพริกแกงลงคั่วพอหอมฉุนจนจามกันไปทั่วแล้วเอาไก่ลงตามด้วยผักที่สุกช้าเช่นถั่ว มะเขือ ผัดรอไว้ก่อน ส่วนผักชนิดอื่นรอไว้ใส่ก่อนเสริฟเพราะอยากเน้นสีเขียวสด ในขณะที่เรามีสีเหลืองของผักกาดจออยู่แล้ว
ผมทำคั่วแคมังสวิรัตอีกจานหนึ่งสำหรับวงที่ไม่กินเนื้อ
น้าอึ่งเจียวไข่ใบมะรุมแถมให้อีกหนึ่งอย่าง กินข้าวเย็นกันเกือบๆสองทุ่ม
น้าอึ่งแอบมากระซิบว่า บ่ได้แกงโฮะแล้วลุง หมดทั้งคั่วแค ทั้งผักกาดจอ ทั้งไข่เจียวใบมะรุม
คนทำได้ยินก็ชื่นใจครับ แม้ไม่ได้กินคั่วโฮะก็ไม่ว่ากัน  


รายงานสวนป่า วาระบ้านมกราชาวเฮฮาฯมาสานสัมพันธ์

7 ความคิดเห็น โดย silt เมื่อ 8 พฤษภาคม 2010 เวลา 12:30 (เช้า) ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 1574

รายการอาหาร (๑)
วันที่ ๕ พฤษภาคม
มื้อเที่ยง      ผัดผักกาดขาวน้ำมันหอย น้ำมันงา พ่อครูบาแสดงนำ มีลูกมือและกองเชียร์สามสิบคน                     
                 ไข่เจียวน้าอึ่งเป็นหัวโจกพาน้องๆบ้านมกราช่วยกันทำ
                  น้ำพริกกะปิสองมาตรฐาน ฝีมือป้าหวาน
มื้อเย็น        น้ำพริกอ่อง ฝีมือป้านาย
                 น้ำพริกอ่องเจ ฝีมือครูอารามทำไว้ดีแล้ว ลุงเปลี่ยนมาป่วนปรุงรสให้นัว
                  แกงส้มมะละกอสูตรเจ ป้าหวานบรรเลง
                  ยำยอดมะขามอ่อน ครูอารามโชว์เดี่ยวตั้งแต่ปีนเก็บยอดมะขาม
                  หมูทอดพี่น้องสองสาว โดยน้าอึ่งกับป้านาย

วันที่ ๖ พฤษภาคม
มื้อเช้า      ข้าวต้มกับยำสามยำ มียำหัวผักกาด ยำผักกาดดอง และยำไข่ครอบท่านสมภารยางทอง ป้านายเตรียมเครื่องยำทั้งมวล ป้าหวานคลุกเคล้าปรุงรส อาราม ลุงเปลี่ยน และน้องบ้านมกรา เป็นลูกมือช่วยตกแต่งจานให้เละเทะ
             ผัดผักสมุนไพรหงวนฮ็อกกับยอดกระดุมทอง ที่ช่วยกันเก็บตอนไปเดินชมสวน ลุงเปลี่ยนแสดงสองกะทะ ต่อจากนั้นยกให้น้องๆบ้านมกราช่วยกันแสดงต่อ

มื้อเที่ยง   สัมตำ ครูปูต้นคิด ออตบรรเลงตำลาวตำไทตำซั่ว
             ไก่ย่าง และไก่ทอดป้านายแสนอร่อย
              สุ่ยทัง ลุงเปลี่ยนทำ อารามเพิ่มรสด้วยลำไยแห้ง
              ผัดกระเพราเห็ดฟางสำหรับชาวเจ ลุงเปลี่ยนทำเองแต่เพิ่งนึกขึ้นได้ตอนนี้เองว่าลืมใส่ใบกระเพรา

มื้อเย็น     คั่วแคไก่ ครูอารามแสดงเอง น้าอึ่งเป็นลูกมือกำกับรส
              ผักกาดจอเจ ลุงเปลี่ยนรับอาสา แต่สำเร็จได้ด้วยป้านายตั้งแต่ออกไปเก็บผักที่สวนเองมาล้างมาหั่น
             ไข่เจียวยอดมะรุม ครูปูเตรียม น้าอึ่งนำน้องมกรามะรุมมะตุ้มกันเจียว

วันที่ ๗ พฤษภาคม
มื้อเช้า       ข้าวต้มเครื่องฝีมือป้าหวาน ทั้งสูตรกระดูกหมู และสูตรเห็ด อร่อยจนลืมกลืน
มื้อเที่ยง     ขนมจีน
                น้ำแกงไก่ป้าหวานเจ้าเก่าเจ้าประจำ
                น้ำเงี้ยวลุงเปลี่ยนมั่วๆทำทั้งๆที่ไม่เคยทำ ยกความอร่อยให้กับฝีมือเคี่ยวกระดูกหมูของป้าจุ๋มครับ
อาหารอร่อยทุกมื้อ ด้วยกระบวนการทำให้เวลาทานข้าวต้องเลื่อนจากปกติไปคราวละสองชั่วโมงแทบทุกมื้อครับ ทั้งหมดทั้งมวลต้องขอบคุณป้านาย มือเตรียมเครื่องไม้เครื่องมือวัสดุประกอบอาหารให้พรักพร้อม เตรียมผักสำหรับผัดต้มแกงได้สุดยอด หั่นผักเครื่องเคียงได้งามราวกับสำรับชาววัง
บันทึกหน้าจะลงรายละเอียดในแต่ละเมนูเด็ด ว่าที่ไปที่มาเป็นอย่างไร โดยเฉพาะเมนูที่ใช้พืชผักสารพันชนิดที่หาเก็บได้จากในสวนป่าเอง



Main: 0.35053896903992 sec
Sidebar: 0.20646405220032 sec