พินัยกรรมฉบับวิตกจริต
วันหยุดพักเมื่อกลางเดือน ไปเมืองไทยแบบนินจา (ด้วยความเกรงใจประชาชีพี่ป้าน้าอาญาติธรรมทั้งหลายที่มาคอยให้บริการจนแทบจะอุ้มไปนั่นมานี่) แต่ก็เหมือนกับโชคชะตาฟ้ากลั่นแกล้ง ตารางชีวิตที่วางไว้กลับถูกเร่งกระชั้นด้วยเหตุที่ถูกร้องขอให้กลับเข้าหงสาเร็วกว่ากำหนด แถมยังมีงานจรเข้ามาวางบนโต๊ะให้จัดการอีกชิ้นใหญ่ สรุปแล้วก็คือเป็นวันพักที่ยุ่งเหยิง ได้นอนน้อยกว่าวันทำงานปกติเสียอีก เสร็จจากงานไปหาหมอให้เจาะๆ เคาะๆ จิ้มๆ หลอกหมอได้สำเร็จด้วยสรรพคุณของมะแว้งถุงใหญ่ที่เคี้ยวทีละเม็ดตั้งแต่ออกจากหงสา หมอบอกว่า “ดีครับ ควบคุมน้ำตาลได้ดี แต่หมอขอรักษาขนาดยาไว้เหมือนเดิมครับ” อ้าวรึว่าหมอรู้ทัน รับยาแล้วก็รีบเดินทางสามทอดกลับเข้าหงสา
กลับมาถึงที่ทำงาน ประชุมนัดสำคัญ แล้วก็เริ่มมีอาการ อาการที่เป็นผลมาจากการพักผ่อนน้อย และเดินทางไกล อาการที่ว่าคือเริ่มหนาวแต่ไม่ถึงกับ chill มีไข้ ตามมาด้วยอาการหูอื้อ ตาลาย เวียนศีรษะ และอาการอื่นๆของไข้หวัด เมื่อรู้ตัวว่าทนไม่ไหวจึงวางทุกงานไว้บนโต๊ะ หนีกลับมานอน วันรุ่งขึ้นอาการยังไม่ดีขึ้นเพื่อนร่วมบ้านเอาเครื่องมือมาพันๆข้อมือแล้วกดติ๊ดๆ นั่งรอสักพักเจ้าเครื่องที่เพิ่นพกพามาจากเบลเยี่ยมก็ร้องเสียงสูง ติ๊ดๆๆๆๆ คนมาดูตัวเลขก็ร้องจ๊ากส์ ท่านว่าอะไรสูง อะไรต่ำนี่แหละ ส่วนตัวกระผมก็สะลืมสะลือบอกท่านไปว่า “ข้อยบ่เปนหยัง วานซืนนี่กะไปให้หมอกวดมาแล้วบ่ได้ยินเพิ่นเว้าแนวได” หลังจากนั้นก็มีเพื่อนฝูงอีกสองสามคณะแวะเวียนกันมาเคาะห้องถามอาการ แต่ละคนก็พาหมอพาพยาบาลมาพร้อมกระเป๋าเครื่องมือ เอ้าตรวจก็ตรวจ วัดก็วัด สรุปที่วัดกันได้คือ ไข้ต่ำๆ ความดันโลหิต ๑๐๐/๘๐ ท่านว่าต่ำไป (แต่ผมว่าตัวล่างตัวไดแอสโตริกมันยังไม่น่าเกลียด…เมื่อวันโน้นหาหมอที่ขอนแก่นก็วัดได้ประมาณนี้ไม่เห็นว่าไง) แต่เจ้าชีพจรนี่น่าสนใจกว่ามันพรวดขึ้นเกินร้อยตลอด ปานว่าไปวิ่งไกลๆมา สรุปแล้วก็อาศัยความดื้อแพ่ง บวกกับเอาตำแหน่ง “จานเปลี่ยน” ค้ำประกัน ไล่ตะเพิดรถฉุกเฉินที่มารอขนย้ายออกชายแดน ขอนอนกอดตัวเองที่หงสารอดูอาการก่อน
แม้ว่าจะคุ้นเคย และรู้สึกปลอดโปร่งทุกครั้งเมื่อได้อยู่ตามลำพัง แต่ท่ามกลางความเงียบยามดึก ความหนาวสั่นจากพิษไข้ (เป็นคนดื้อที่ไม่เคยกินยาแก้ปวด ยาลดไข้มาตั้งแต่เกิด) บวกกับอาการหูอื้อและวิงเวียน ก็ทำให้เกิดวิตกจริตได้ เริ่มคิดกังวลในหลายๆเรื่อง
- เอ? รึว่าเราจะติดเจ้า ๒๐๐๙มาจากกรุงเทปกรุงไท เพราะไม่นานมานี้ก็เป็นหวัดธรรมดาไปแล้ว
- เอ? เราเป็นมนุษย์เลือดหวานนี่ ท่านว่าอยู่ในกลุ่มเสี่ยงนี่นา หายา…ฟูๆอะไรนั่นมากินดีไหมน้อ
- เอ? อาการชีพจรเต้นเร็วเต้นรัวอย่างนี้ เป็นสัญญานบ่งชี้ว่า sepsis ติดเชื้อในกระแสเลือดรึเปล่า (ว่ะ)
- เฮ้ย ! แล้วเรื่องราวหนหลังจากที่เราก้าวช้ามภพนี้ไป คนข้างหลังจะวุ่นวายไหม
- เฮ้ย! เราได้ชดใช้ดอกผลของสิ่งผิดพลาดที่ได้เคยทำๆกับคน(อื่น) ทั้งโดยตั้งใจ โดยที่ไม่ได้ตั้งใจ ผลกรรมเหล่านั้นได้สนองคืนเรารึยังหนอ
• ตัดสินใจได้สองเรื่องว่า หากยังมี “วันพรุ่งนี้” อยากจะทำสองเรื่อง คือ ทำเรื่องราวไว้ให้คนข้างหลังให้เรียบร้อย เรื่องที่สองคือ ต้องกล้าบอกเล่าความพลาดของตัวเองในบันทึกทำนอง “คำสารภาพของคนสำนึกผิด” (กล้าบันทึกแต่จะกล้าเผยแพร่รึไม่…..จะลองรวบรวมดู) หากว่าเผยแพร่แล้วจะเป็นกุศลกรรมเหมือนหนังสือ “กฎแห่งกรรมของท่าน ท. เลียงพิบูลย์” ก็น่าจะดี
ผ่านไปสองคืน วันนี้อาการดีขึ้นมาก เกือบปกติ
ที่แท้เจ้าไข้หวัด ๒๐๐๙ ที่กลัว น่าจะเป็นเพียง “ไข้หัวลม” ฮ่า ฮ่า
อย่างไรก็ตามเรื่องราวที่ได้คิดไว้ในคืนวันที่หวาดวิตก ก็จะพยายามสานต่อ
เรื่องแรกคือ สิ่งของส่วนตนที่ทิ้งไว้เรี่ยราดหากข้าพเจ้าไม่มีตัวตนในโลก จะตกเป็นของผู้ใด (อย่าเพิ่งเข้าใจว่ามีทรัพย์สมบัติมีค่าอะไรมากมาย ก็มีเพียงหนังสือเก่า เสื้อผ้าเก่าสองสามกล่อง อิ อิ) ผมตัวคนเดียว ลูกคนเดียว พ่อ แม่ไปรอภพโน้นหมดแล้ว การจัดการข้าวของเครื่องใช้เลยจัดการได้ง่ายๆ คิดออกตั้งแต่นอนพะงาบๆคืนนั้นแล้วว่า
- หนังสือเก่าทั้งหมด (นี่เป็นสมบัติที่มีค่าที่สุดหวงแหนที่สุด)ยกให้โรงเรียน
- ประกันชีวิตทั้งหมดไม่รู้ใจอ่อนทำไว้กี่กรมธรรม์(แต่จะแห่งไม่กี่บาท…โปรดอย่าเข้าใจผิด) ยกให้หลานสาวคนที่กำลังส่งเรียนแม่โจ้ เธอกำพร้าพ่อ พ่อเธอไปภพอื่นนานแล้วเธอจะได้มีทุนเรียนต่อจนจบ
- เงินในสมุดธนาคารสามสี่เล่ม (เล่มละสองสามพันบาท…ยังมีหน้ามาบอกเขาอีก) จัดงานฯ แล้วเหลือเท่าไรให้เป็นทุนการศึกษายายหลานสาวกำพร้าเจ้าเดิม
- ที่ดินบ้าน ยกให้ญาติข้างแม่ เพราะลุงข้างแม่ท่านเคยยกส่วนหนึ่งมาแปะไว้ให้ เลยยกคืนทั้งผืน
- ที่ดินนา ยกให้ญาติข้างพ่อ เพราะตอนย่าเล็กท่านซื้อให้พ่อท่านซื้อผืนใหญ่มาแบ่งให้พ่อกับลุง
- ที่บ้านจัดสรร(เท่าตารางวาแมว) ยกให้ญาติที่ช่วยมาขับรถให้นั่งหลายสิบปี ติดตามไปรับใช้ไปบริการในลาวในป่าก็ไม่ขาด ยามพ่อแม่ป่วยก็ได้ท่านช่วยดูแลแทนเราบ่อยๆ เอาไปเหอะยกให้ ยกรถคันนั้นให้ด้วย
• หมดแล้ว สมบัติ อ้อยังเหลืออีกอย่าง หนี้สินทั้งมวล ไม่รู้ไม่เคยจำว่าให้ใครยืมไปเท่าไหร่(เคยจำแล้วเป็นทุกข์) ใครคืนมาบ้างยังไม่คืนบ้าง ขอยกให้กับลูกหนี้ทุกคนอย่าได้กังวลใดๆ หากวันไหนอยากจะคืนให้เอาไปทำบุญที่วัดก็แล้วกัน
เห็นไหมครับเรื่องราวใดๆล้วนง่ายดายหากไม่ติดยึด
แต่คงอีกนานมั้ง กว่าจะถึงเวลาไปจากโลกนี้ ยังมีบันทึกให้เขียนอีกมากมาย
ทำพินัยกรรมฉบับวิตกจริตแก้เคล็ด(ขัดยอก)ไปแล้วนี่
« « Prev : คุณอยู่ข้างไหน? ผมเลือกข้างได้(แม้ถูกกำหนดฝ่าย)
Next : บันทึกสำนึกผิด: ๑ คำสารภาพของเด็กชายมือไว » »
6 ความคิดเห็น
น้องปาลิออนที่คิดอฮตสุดๆ ยามเจ้าทุกข์ก็แค่กายเท่านั้น ใจเจ้าหาทุกข์ด้วยไม่ ไม่ธรรดาที่ธรรมดา ธรรมชาติที่สุด รอบคอบเพราะมีสติ ตลอดจิตที่ผ่านการดูแลมาอย่างดี เป็นเยี่ยงนี้เอง กฏเกณฑ์ของธรรมชาติยิ่งใหญ่เสมอ แต่กฏเกณฑ์ของชีวิตของแต่ละคนขึ้นอยู่กับการเรียนรู้ใช้ และจัดการองค์ความรู้อย่างลงตัว ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ขอบคุณน้องปาลิออนที่นำเรื่องสติมา มาสะกิดใจผู้ที่ดีได้อ่านบันทึกนี้ มีทั้งเหตุ และผล และคำตอบ และการกระทำ ที่
คิด ทำ แล้วพูด อย่างแจ่มชัดค่ะ
คักอีหลีอ้ายเปลี่ยน
มีอิหยังยกให้ข้อยพ่อง อ้ายเปลี่ยน อิอิ
เจอกันคราวหน้าต้องรีบยืมกะตังค์ลุงเปลี่ยนซะแร่ะ
เหอ เหอ
(^_^)
#1 ขอบพระคุณครับอาม่า ยามเจ็บป่วยเป็นยามที่จิตหลุดได้ง่ายครับ ชอบหลุดบ่อยคุมไม่อยู่ ต้องพาตัวให้ห่างสมาคมไว้ก่อนเป็นดีครับ แต่การนอนคิดฟุ้งซ่านอยู่คนเดียวบางทีก็ช่วยเผยประเด็นที่อาจละเลยไปในช่วงวันที่ยุ่งเหยิง
#2 ขอบพระคุณครับท่านครูบา โปรดติดตามบันทึกชุด “คำสารภาพผิด…”ครับผม
#3 ขอบคุณครับพี่บู๊ธ วันที่ไปขอนแก่นแอบไปพักที่เจริญธานีห้าชั่วโมง ไปร้านหมอสองชั่วโมง ไปกินข้าวร้านเจข้างพิพิธภัณฑ์สองชั่วโมงก่อนขึ้นรถทัวร์กลับครับ งวดหน้ากะจะให้ตรงกับช่วงเก็บมันสำปะหลังที่ดงหลวง อยากไปติดตามผลการทดลองครับ
#4 คิดได้ในเร็วพลันว่า นารีทั้งมวลในสตอ็คถ่ายโอนให้จอมป่วนครับผม อิ อิ
#5 ม่ายไหวมั้งครับครูปู แค่นี้ก็ถูกขึ้นบันชีดำไว้ที่ว่าการอำเภอเป็นสิบแห่งแล้ว ก็สมัยที่รัฐบาลทั่นท๊ากฯประกาศกวาดล้างหนี้นอกระบบไงครับ มีหลายคนไปแจ้งไว้ว่าเป็นหนี้ลุงเปลี่ยนไว้ตั้งหลายแห่ง ได้รับจดหมายเชิญให้ไปประนอมหนี้ไม่ขาดสาย เพราะเขาคิดว่าทั่นนายกจะช่วยใช้หนี้ให้ แต่พอเขาถามได้ความว่าเงินที่เอาไปจากลุงเปลี่ยนนั้นห้าปีสิบปีมาแล้วที่ไม่ได้ส่งคืน เป็นการขอยืมแบบไม่มีดอกเบี้ย สัญญาเงินกู้ก็ไม่ต้องเซ้นต์ ไม่มีการทวงต้นคืนด้วย ท่านปาหลัดอำเพอ เลยบอกว่างั้นก็อย่าประนอมหนี้เลยรักษาสภาพหนี้กับลุงเปลี่ยนไว้นะดีแล้ว คิ คิ