พินัยกรรมฉบับวิตกจริต

โดย silt เมื่อ 16 ตุลาคม 2009 เวลา 3:07 (เย็น) ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 1390

วันหยุดพักเมื่อกลางเดือน ไปเมืองไทยแบบนินจา (ด้วยความเกรงใจประชาชีพี่ป้าน้าอาญาติธรรมทั้งหลายที่มาคอยให้บริการจนแทบจะอุ้มไปนั่นมานี่) แต่ก็เหมือนกับโชคชะตาฟ้ากลั่นแกล้ง ตารางชีวิตที่วางไว้กลับถูกเร่งกระชั้นด้วยเหตุที่ถูกร้องขอให้กลับเข้าหงสาเร็วกว่ากำหนด แถมยังมีงานจรเข้ามาวางบนโต๊ะให้จัดการอีกชิ้นใหญ่ สรุปแล้วก็คือเป็นวันพักที่ยุ่งเหยิง ได้นอนน้อยกว่าวันทำงานปกติเสียอีก เสร็จจากงานไปหาหมอให้เจาะๆ เคาะๆ จิ้มๆ หลอกหมอได้สำเร็จด้วยสรรพคุณของมะแว้งถุงใหญ่ที่เคี้ยวทีละเม็ดตั้งแต่ออกจากหงสา หมอบอกว่า “ดีครับ ควบคุมน้ำตาลได้ดี แต่หมอขอรักษาขนาดยาไว้เหมือนเดิมครับ” อ้าวรึว่าหมอรู้ทัน รับยาแล้วก็รีบเดินทางสามทอดกลับเข้าหงสา
กลับมาถึงที่ทำงาน ประชุมนัดสำคัญ แล้วก็เริ่มมีอาการ อาการที่เป็นผลมาจากการพักผ่อนน้อย และเดินทางไกล อาการที่ว่าคือเริ่มหนาวแต่ไม่ถึงกับ chill มีไข้ ตามมาด้วยอาการหูอื้อ ตาลาย เวียนศีรษะ และอาการอื่นๆของไข้หวัด เมื่อรู้ตัวว่าทนไม่ไหวจึงวางทุกงานไว้บนโต๊ะ หนีกลับมานอน  วันรุ่งขึ้นอาการยังไม่ดีขึ้นเพื่อนร่วมบ้านเอาเครื่องมือมาพันๆข้อมือแล้วกดติ๊ดๆ นั่งรอสักพักเจ้าเครื่องที่เพิ่นพกพามาจากเบลเยี่ยมก็ร้องเสียงสูง ติ๊ดๆๆๆๆ คนมาดูตัวเลขก็ร้องจ๊ากส์ ท่านว่าอะไรสูง อะไรต่ำนี่แหละ ส่วนตัวกระผมก็สะลืมสะลือบอกท่านไปว่า “ข้อยบ่เปนหยัง วานซืนนี่กะไปให้หมอกวดมาแล้วบ่ได้ยินเพิ่นเว้าแนวได” หลังจากนั้นก็มีเพื่อนฝูงอีกสองสามคณะแวะเวียนกันมาเคาะห้องถามอาการ แต่ละคนก็พาหมอพาพยาบาลมาพร้อมกระเป๋าเครื่องมือ เอ้าตรวจก็ตรวจ วัดก็วัด สรุปที่วัดกันได้คือ ไข้ต่ำๆ ความดันโลหิต ๑๐๐/๘๐ ท่านว่าต่ำไป (แต่ผมว่าตัวล่างตัวไดแอสโตริกมันยังไม่น่าเกลียด…เมื่อวันโน้นหาหมอที่ขอนแก่นก็วัดได้ประมาณนี้ไม่เห็นว่าไง) แต่เจ้าชีพจรนี่น่าสนใจกว่ามันพรวดขึ้นเกินร้อยตลอด ปานว่าไปวิ่งไกลๆมา สรุปแล้วก็อาศัยความดื้อแพ่ง บวกกับเอาตำแหน่ง “จานเปลี่ยน” ค้ำประกัน ไล่ตะเพิดรถฉุกเฉินที่มารอขนย้ายออกชายแดน   ขอนอนกอดตัวเองที่หงสารอดูอาการก่อน
แม้ว่าจะคุ้นเคย และรู้สึกปลอดโปร่งทุกครั้งเมื่อได้อยู่ตามลำพัง แต่ท่ามกลางความเงียบยามดึก ความหนาวสั่นจากพิษไข้ (เป็นคนดื้อที่ไม่เคยกินยาแก้ปวด ยาลดไข้มาตั้งแต่เกิด) บวกกับอาการหูอื้อและวิงเวียน ก็ทำให้เกิดวิตกจริตได้ เริ่มคิดกังวลในหลายๆเรื่อง

  • เอ? รึว่าเราจะติดเจ้า ๒๐๐๙มาจากกรุงเทปกรุงไท เพราะไม่นานมานี้ก็เป็นหวัดธรรมดาไปแล้ว
  • เอ? เราเป็นมนุษย์เลือดหวานนี่ ท่านว่าอยู่ในกลุ่มเสี่ยงนี่นา หายา…ฟูๆอะไรนั่นมากินดีไหมน้อ
  • เอ? อาการชีพจรเต้นเร็วเต้นรัวอย่างนี้ เป็นสัญญานบ่งชี้ว่า sepsis ติดเชื้อในกระแสเลือดรึเปล่า (ว่ะ)
  • เฮ้ย ! แล้วเรื่องราวหนหลังจากที่เราก้าวช้ามภพนี้ไป คนข้างหลังจะวุ่นวายไหม
  • เฮ้ย! เราได้ชดใช้ดอกผลของสิ่งผิดพลาดที่ได้เคยทำๆกับคน(อื่น) ทั้งโดยตั้งใจ โดยที่ไม่ได้ตั้งใจ ผลกรรมเหล่านั้นได้สนองคืนเรารึยังหนอ

• ตัดสินใจได้สองเรื่องว่า หากยังมี “วันพรุ่งนี้” อยากจะทำสองเรื่อง คือ ทำเรื่องราวไว้ให้คนข้างหลังให้เรียบร้อย เรื่องที่สองคือ ต้องกล้าบอกเล่าความพลาดของตัวเองในบันทึกทำนอง “คำสารภาพของคนสำนึกผิด” (กล้าบันทึกแต่จะกล้าเผยแพร่รึไม่…..จะลองรวบรวมดู) หากว่าเผยแพร่แล้วจะเป็นกุศลกรรมเหมือนหนังสือ “กฎแห่งกรรมของท่าน ท. เลียงพิบูลย์” ก็น่าจะดี

ผ่านไปสองคืน วันนี้อาการดีขึ้นมาก เกือบปกติ
ที่แท้เจ้าไข้หวัด ๒๐๐๙ ที่กลัว น่าจะเป็นเพียง “ไข้หัวลม” ฮ่า ฮ่า
อย่างไรก็ตามเรื่องราวที่ได้คิดไว้ในคืนวันที่หวาดวิตก ก็จะพยายามสานต่อ
เรื่องแรกคือ สิ่งของส่วนตนที่ทิ้งไว้เรี่ยราดหากข้าพเจ้าไม่มีตัวตนในโลก จะตกเป็นของผู้ใด (อย่าเพิ่งเข้าใจว่ามีทรัพย์สมบัติมีค่าอะไรมากมาย ก็มีเพียงหนังสือเก่า เสื้อผ้าเก่าสองสามกล่อง อิ อิ) ผมตัวคนเดียว ลูกคนเดียว พ่อ แม่ไปรอภพโน้นหมดแล้ว การจัดการข้าวของเครื่องใช้เลยจัดการได้ง่ายๆ คิดออกตั้งแต่นอนพะงาบๆคืนนั้นแล้วว่า

  • หนังสือเก่าทั้งหมด (นี่เป็นสมบัติที่มีค่าที่สุดหวงแหนที่สุด)ยกให้โรงเรียน
  • ประกันชีวิตทั้งหมดไม่รู้ใจอ่อนทำไว้กี่กรมธรรม์(แต่จะแห่งไม่กี่บาท…โปรดอย่าเข้าใจผิด) ยกให้หลานสาวคนที่กำลังส่งเรียนแม่โจ้ เธอกำพร้าพ่อ พ่อเธอไปภพอื่นนานแล้วเธอจะได้มีทุนเรียนต่อจนจบ
  • เงินในสมุดธนาคารสามสี่เล่ม (เล่มละสองสามพันบาท…ยังมีหน้ามาบอกเขาอีก) จัดงานฯ แล้วเหลือเท่าไรให้เป็นทุนการศึกษายายหลานสาวกำพร้าเจ้าเดิม
  • ที่ดินบ้าน ยกให้ญาติข้างแม่ เพราะลุงข้างแม่ท่านเคยยกส่วนหนึ่งมาแปะไว้ให้ เลยยกคืนทั้งผืน
  • ที่ดินนา ยกให้ญาติข้างพ่อ เพราะตอนย่าเล็กท่านซื้อให้พ่อท่านซื้อผืนใหญ่มาแบ่งให้พ่อกับลุง
  • ที่บ้านจัดสรร(เท่าตารางวาแมว) ยกให้ญาติที่ช่วยมาขับรถให้นั่งหลายสิบปี ติดตามไปรับใช้ไปบริการในลาวในป่าก็ไม่ขาด ยามพ่อแม่ป่วยก็ได้ท่านช่วยดูแลแทนเราบ่อยๆ เอาไปเหอะยกให้ ยกรถคันนั้นให้ด้วย

• หมดแล้ว สมบัติ อ้อยังเหลืออีกอย่าง หนี้สินทั้งมวล ไม่รู้ไม่เคยจำว่าให้ใครยืมไปเท่าไหร่(เคยจำแล้วเป็นทุกข์) ใครคืนมาบ้างยังไม่คืนบ้าง ขอยกให้กับลูกหนี้ทุกคนอย่าได้กังวลใดๆ หากวันไหนอยากจะคืนให้เอาไปทำบุญที่วัดก็แล้วกัน

เห็นไหมครับเรื่องราวใดๆล้วนง่ายดายหากไม่ติดยึด
แต่คงอีกนานมั้ง กว่าจะถึงเวลาไปจากโลกนี้ ยังมีบันทึกให้เขียนอีกมากมาย
ทำพินัยกรรมฉบับวิตกจริตแก้เคล็ด(ขัดยอก)ไปแล้วนี่

« « Prev : คุณอยู่ข้างไหน? ผมเลือกข้างได้(แม้ถูกกำหนดฝ่าย)

Next : บันทึกสำนึกผิด: ๑ คำสารภาพของเด็กชายมือไว » »


ผู้ใช้ Facebook สามารถให้ความเห็นที่นี่ได้ โดยกด Like เพื่อแสดงตัว

6 ความคิดเห็น

  • #1 Lin Hui ให้ความคิดเห็นเมื่อ 16 ตุลาคม 2009 เวลา 3:53 (เย็น)

    น้องปาลิออนที่คิดอฮตสุดๆ ยามเจ้าทุกข์ก็แค่กายเท่านั้น ใจเจ้าหาทุกข์ด้วยไม่ ไม่ธรรดาที่ธรรมดา ธรรมชาติที่สุด รอบคอบเพราะมีสติ ตลอดจิตที่ผ่านการดูแลมาอย่างดี เป็นเยี่ยงนี้เอง กฏเกณฑ์ของธรรมชาติยิ่งใหญ่เสมอ แต่กฏเกณฑ์ของชีวิตของแต่ละคนขึ้นอยู่กับการเรียนรู้ใช้ และจัดการองค์ความรู้อย่างลงตัว ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ขอบคุณน้องปาลิออนที่นำเรื่องสติมา มาสะกิดใจผู้ที่ดีได้อ่านบันทึกนี้ มีทั้งเหตุ และผล และคำตอบ และการกระทำ ที่
    คิด ทำ แล้วพูด อย่างแจ่มชัดค่ะ

  • #2 sutthinun ให้ความคิดเห็นเมื่อ 16 ตุลาคม 2009 เวลา 4:16 (เย็น)

    คักอีหลีอ้ายเปลี่ยน

  • #3 bangsai ให้ความคิดเห็นเมื่อ 16 ตุลาคม 2009 เวลา 5:32 (เย็น)
    • ตำแหน่งหัวหน้าเผ่าไทโซ่ก็คืนให้พ่อหวังก็แล้วกันนะ
    • พ่อชาดีไม่ค่อยดีแล้วสุขภาพแย่มาก พี่น้องไทบรูกันไม่ให้เข้าร่วมงานใดๆหมดแล้ว เพราะเข้ามาทีไร กลับไปนอนไม่หลับทุกทีเพราะคิดโน่นคิดนี่ พี่น้องเห็นใจจึงกันออกเป็นที่ปรึกษาไปแล้ว
    • รักษาสุขภาพหน่อย
  • #4 จอมป่วน ให้ความคิดเห็นเมื่อ 16 ตุลาคม 2009 เวลา 8:17 (เย็น)

    มีอิหยังยกให้ข้อยพ่อง  อ้ายเปลี่ยน  อิอิ

  • #5 krupu ให้ความคิดเห็นเมื่อ 16 ตุลาคม 2009 เวลา 10:52 (เย็น)

    เจอกันคราวหน้าต้องรีบยืมกะตังค์ลุงเปลี่ยนซะแร่ะ
    เหอ เหอ
    (^_^)

  • #6 silt ให้ความคิดเห็นเมื่อ 17 ตุลาคม 2009 เวลา 2:01 (เย็น)

    #1 ขอบพระคุณครับอาม่า ยามเจ็บป่วยเป็นยามที่จิตหลุดได้ง่ายครับ ชอบหลุดบ่อยคุมไม่อยู่ ต้องพาตัวให้ห่างสมาคมไว้ก่อนเป็นดีครับ แต่การนอนคิดฟุ้งซ่านอยู่คนเดียวบางทีก็ช่วยเผยประเด็นที่อาจละเลยไปในช่วงวันที่ยุ่งเหยิง
    #2 ขอบพระคุณครับท่านครูบา โปรดติดตามบันทึกชุด “คำสารภาพผิด…”ครับผม
    #3 ขอบคุณครับพี่บู๊ธ วันที่ไปขอนแก่นแอบไปพักที่เจริญธานีห้าชั่วโมง ไปร้านหมอสองชั่วโมง ไปกินข้าวร้านเจข้างพิพิธภัณฑ์สองชั่วโมงก่อนขึ้นรถทัวร์กลับครับ งวดหน้ากะจะให้ตรงกับช่วงเก็บมันสำปะหลังที่ดงหลวง อยากไปติดตามผลการทดลองครับ
    #4 คิดได้ในเร็วพลันว่า นารีทั้งมวลในสตอ็คถ่ายโอนให้จอมป่วนครับผม อิ อิ
    #5 ม่ายไหวมั้งครับครูปู แค่นี้ก็ถูกขึ้นบันชีดำไว้ที่ว่าการอำเภอเป็นสิบแห่งแล้ว ก็สมัยที่รัฐบาลทั่นท๊ากฯประกาศกวาดล้างหนี้นอกระบบไงครับ มีหลายคนไปแจ้งไว้ว่าเป็นหนี้ลุงเปลี่ยนไว้ตั้งหลายแห่ง ได้รับจดหมายเชิญให้ไปประนอมหนี้ไม่ขาดสาย เพราะเขาคิดว่าทั่นนายกจะช่วยใช้หนี้ให้ แต่พอเขาถามได้ความว่าเงินที่เอาไปจากลุงเปลี่ยนนั้นห้าปีสิบปีมาแล้วที่ไม่ได้ส่งคืน เป็นการขอยืมแบบไม่มีดอกเบี้ย สัญญาเงินกู้ก็ไม่ต้องเซ้นต์ ไม่มีการทวงต้นคืนด้วย ท่านปาหลัดอำเพอ เลยบอกว่างั้นก็อย่าประนอมหนี้เลยรักษาสภาพหนี้กับลุงเปลี่ยนไว้นะดีแล้ว คิ คิ 


แสดงความคิดเห็น

ท่านอยากจะเข้าระบบหรือไม่


*
To prove you're a person (not a spam script), type the security word shown in the picture. Click on the picture to hear an audio file of the word.
Click to hear an audio file of the anti-spam word


Main: 0.088450193405151 sec
Sidebar: 0.048799991607666 sec