ทดสอบน้ำใจ!
อ่าน: 1505ปลายเดือนก่อนผมและเพื่อนๆ ได้ตัดสินใจไปปฏิบัติภารกิจพิเศษ ณ ทำเนียบรัฐบาลเป็นคำรบสอง
ครั้งก่อนหน้าไปได้แค่สองสามวัน แต่คราวนี้กลับยืดไปได้ถีงสองสัปดาห์ ทั้งๆ ที่คิดว่าจะอยู่นานสุดสักสี่ห้าวันเท่านั้น
ในบันทึกนี้และอาจมีบันทึกถัดๆ ไป ผมตั้งใจที่จะเล่าเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยที่ประทับใจมาสู่กันฟังครับ เอาเรื่องแรกเลยแล้วกัน ผมให้ชื่อว่า ”ทดสอบน้ำใจ” …
ในสังคมของพันธมิตรฯ นั้น ไม่ว่ากิจกรรมใดๆ ที่ทำกับคนจำนวนมาก เช่น รับแจกอาหารฟรี ซื้อสินค้า พวกเราจะเข้าแถวกันอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย และไม่ค่อยได้สังเกตสีหน้าอันร้อนรนเพื่อแย่งคิวกัน แม้คิวจะยาวมากก็ตาม บางคิวยาวถึงเฉียดร้อยก็มี
เพื่อนผมก็เช่นกันเธอเล่าให้ฟังว่า ขณะที่เธอเข้าคิวรอซื้อเสื้อที่ผลิตจาก ASTV โดยตรง(เพราะคุณภาพดีที่สุด)อันยาวเหยียดอยู่นั้น ก็พอดีมีชายคนหนึ่งมากระซิบบอกฝากให้เธอช่วยซื้อเสื้อที่เขาต้องการให้หน่อย(งานนี้สบายกว่าแซงคิวเสียอีก อิอิ) แต่เขาหารู้ไม่ว่า เขาฝากผิดคนเสียแล้ว! เพราะเพื่อนผมคนนี้เป็นคนตรง และไม่ยอมสยบให้แก่คนเห็นแก่ตัวใดๆ ทั้งสิ้น เธอเลยบอกปัดไป(น่าจะอย่างนิ่มนวล)
แต่ผ่านไปสักนาทีสองนาที เธอก็กลับได้ยินเสียงชายคนนี้อีกครั้ง เพราะเขากำลังทำกับคนที่อยู่คิวถัดๆ ไปอย่างเดียวกับที่ทำกับเธอ ตอนแรกเธอก็ไม่อยากสนใจนัก แต่เสียงดังมาเข้าหูก็เลยฟังสักหน่อย
เธอได้ยินบทสนทนาแล้วก็ถึงกับอื้งในลีลาการพูดของเขา เชื่อไหมครับ เขาอธิบายคนข้างหลังเพื่อนผมว่า
จริงๆ แล้วผมจะเข้าคิวก็ได้ แต่ผมอยากรู้เท่านั้นแหละว่า…คนเรา(หมายถึงคนที่เขาจะฝากซื้อเสื้อ)จะมีน้ำใจหรือเปล่า!????….เอิ้ก
« « Prev : กำ!
6 ความคิดเห็น
การมีน้ำใจกับการเข้าคิว คือการมีระเบียบวินัย ก็เป็นคนละประเด็นนะคะ
สวัสดีครับคุณพี่ ศศินันท์
โห คุณพี่ตอบได้เร็วมากเลยครับ ต้องขอโทษที่ผมยังไม่ได้ไปเยี่ยมบันทึกพี่เลยครับ เดี๋ยวจะแวะไปเยี่มครับ
ก็นั่นแหละครับ ผมฟังไปก็งงไป ว่าผู้ชายคนนั้นเอาสองเรื่องมาโยงกันได้อย่างไร อย่างนี้เข้าข่ายเห็นแก่ตัวอย่างโจ่งแจ้งครับ อิอิ
สวัสดีครับ
แหม..เค้ารู้โม้ดว่าหายไปไหนมา ก๊ากๆๆๆๆ
เก็บตกจากพธม.นี่น่าคิดดีนะคะ เห็นสัจธรรมชัดเชียว..คนไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนอย่างไรก็คือคน มีให้เห็นหลากหลายเป็นห้องสมุดเคลื่อนที่รอบตัวเราเลยนะคะ สามารถเรียนรู้ดูจำได้มากมายไม่รู้จบ
ไปอยู่ตั้งหลายวัน เล่าแค่บันทึกเดียว?
สวัสดีครับหมอเบิร์ด
จริงครับ คนเราไม่ว่าไปอยู่ที่ไหนก็ทำให้ที่นั่นมีปัญหาไปหมด ใครหนอที่เรียกสิ่งมีชีวิตเหล่านี้ว่า”คน” ช่างตรงความหมายโดยแท้
สังคมของพธม.ก็เช่นกัน ไม่ได้ว่าดูดีไปหมด บ้างก็ว่าเป็นตัวปัญหาของสังคม บ้างก็ว่านี่แหละสังคมแห่งอุดมคติ หรือบางคนกล้าพูดว่าเป็นจุดเริ่มต้นของยุคพระศรีอาริย์เลยทีเดียว
โดยส่วนตัวผมก็คิดไม่ออกว่ามันคืออะไรกันแน่ รู้แต่เพียงว่ามันคืออะไรที่ขาดหายไปจากสังคมไทยนานมากแล้ว เป็นอะไรที่น่าจะหาได้ยากหรือไม่ก็ไม่สามารถหาได้จากที่อื่น งานนี้ไม่ได้สัมผัสด้วยตัวเองก็คงไม่รู้
เรื่องที่จะเล่านั้นมีมากมายครับ กังวลเพียงเล็กน้อยว่าจะไปกระทบกระทั่งใครเข้าโดยมิได้ตั้งใจ(หรือแอบตั้งใจ อิอิ) แต่ก็จะพยายามเล่าให้ฟังเรื่อยๆ ครับ
คอยติดตามตอนต่อไปครับ อิอิ
รอคอยอย่างกระหายที่อ่านครับ
สวัสดีครับอ.บางทราย
อย่ารอเลยครับ ผมบันทึกเพิ่มให้แล้วครับ ตีวงเข้ามาใกล้ๆ เลยครับ อิอิ