รู้จักเพื่อนอย่างลึกซึ้งผ่านวง Dialogue
เมื่อวานนี้ อ้อยเลี้ยงขอบคุณคุณอาคม ที่ไปติดตั้งปั๊มน้ำให้ และเชิญเพื่อนที่สนิทกันมากๆ และคบหากันเป็นสิบปี มาร่วมรับประทานอาหารกัน
อ้อยเป็นเพื่อนยุ้ยและคุณอาคม ประมาณ 15 ปี นักการหนิงและคุณประทับเป็นเพื่อนวัชเรศประมาณ 16 ปี นักการหนิงและวัชเรศเป็นเพื่อนกับอ้อยและยุ้ยประมาณ 7 ปี และคุณประทับเป็นเพื่อนกับยุ้ย คุณอาคม พี่รัตน์(สามีอ้อย) ประมาณ 7 ปี ที่จริง ยังมีพี่เชาวน์ และพี่หน่อยเป็นสมาชิกน้องใหม่กับเพื่อนก๊วนนี้ แต่วันนี้ทั้งสองคนไม่มา
คุณประทับ สามีของนักการหนิงเอง ได้ร่วมวง Dialogue ที่คุณหมอจอมป่วนจัด 3-4 ครั้ง และสุดท้ายนักการหนิงส่งเธอไปเข้าอบรมจิตวิวัฒน์ กับอาจารย์วิศิษฐ์ วังวิญญูู และเธอได้ตั้งวง Dialogue เล็กๆ ในที่ทำงาน ที่การไฟฟ้าฝ่ายผลิต เมื่อวานนี้พอเธอทราบนัดหมายเธอขอทำ Dialogue ในหมู่เพื่อนๆ
“สวัสดีค่ะพี่รัตน์ หวัดดีจ๊ะ หวัดดี เมื่อกี้หลงยูเทิร์นเหรอ หลงนิดหน่อยกลางคืนนะมองไม่ชัด สั่งอาหารซิ พี่ประทับสั่งที่ตัวเองกินได้เลย ยิ่งกินยากๆ อยู่………..” อะไรของมันฟ่ะ ก๊ากๆๆๆๆๆๆๆ อย่าพึ่งเวียนหัว อ่านต่อนะคนดี
เมื่ออะไรๆ ลงตัว ลงมือทานอาหารสักพัก พอให้ขันธ์หายจากเวทนาจากความหิว ประทับเริ่มชักชวนให้ทุกคนร่วม Dialogue ซึ่งมีเพียงสองคนในวงที่คุ้ยเคยกับการนี้ คือประทับกับนักการหนิง หัวข้อ “ความสุขของคุณขึ้นกับอะไร” กติกา 1.ฟังอย่างตั้งใจ 2.ไม่ขัดคอ ไม่พูดแทรก 3.ไม่พิพากษา เมื่อบอกกติกาเสร็จ ทุกคนตาแป๋วกันหมดเหมือนกำลังจะเล่นเกมอะไรสักเกมหนึ่ง
คุณอาคมบอก “ผมพูดไม่เป็น”
ประทับ “ใครไม่พูด จ่ายค่าอาหารวันนี้” 5 5 5 5
ว่าแล้วประทับก็เปิดวง “เมื่อตอนเป็นเด็กก็เหมือนคนอื่นๆ อยากไปโรงเรียน ถ้าได้ไปน่าจะมีความสุข แต่วัยเด็กที่บ้านยากจน ไม่ได้กิน เที่ยว เล่นอะไรเท่าไร พอเรียนๆ ก็รู้สึกว่าอยากทำงานจะได้ กิน เที่ยว เล่นอย่างสมใจ น่าจะมีความสุข พอทำงานก็ทำอย่างที่คิดไว้ ก็สุขแบบนั้นแหล่ะ สุขสลับกับทุกข์ ตอนทำงานนี่จะทุ่มเทมาก ถ้าไม่ได้เลื่อนตำแหน่งจะเครียดมากๆ จนกระทั่งเมื่อหลายปีที่ผ่าน เกิดจุดเปลี่ยนของชีวิตคือพอเป็นโรคไต ทุกอย่างก็ทำให้หยุดมองชีวิต ก็มองเห็นครอบครัว และเริ่มปฏิบัติธรรม มาถึงวันนี้เห็นว่าความสุขอยู่ที่ครอบครัว และการอยู่กับปัจจุบัน พอเดี๋ยวนี้อยู่กับปัจจุบันมากๆ กลายเป็นว่าวันเวลารวดเร็วมากๆ เหมือนกับที่มีคนพูดว่าความสุขอยู่ปลายไม้ที่เราเดินถือไป เราเดินตามหาความสุขไป ความสุขก็ห่างเราออกไป ไหนจะเป็นไต เก๊าท์ ถ้าวันไหนตื่นมาแล้วไม่มึนหัว ไม่เจ็บข้อ ไม่เป็นตะคริว วันนั้นมึความสุขมาก” ประทับพูด
“ตอนเป็นเด็ก พ่อกับแม่แยกกันค่ะ เห็นภาพของพ่อที่ทะเลาะกับแม่ แล้วก็เดินจากไปพร้อมกับผู้หญิงคนใหม่ และพี่สาวและน้องสาว วันนั้นเห็นความทุกข์ของแม่ ความรู้สึกตอนนั้น อยากดูแลและปกป้องแม่ ตั้งแต่นั้นมานักการหนิงก็เล่นบทผู้พิทักษ์มาตลอด พบว่าความสุขของตัวเองคือการให้ .. ให้เพื่อน ครอบครัว เพื่อนร่วมงาน และคนทั่วๆ ไปที่ให้ได้ แต่ที่ผ่านมา พอให้แล้ว ความสุขก็ยังไม่เต็มที่ หรือบางทีก็มีความทุกข์ ถ้าหากว่าคนที่ให้ไม่พูดถึงในทางที่ดี หรือมีคนมาว่าในทางที่ไม่ดี ตรงนี้ก็จะทุกข์ ภาวะอย่างนี้เป็นอยู่ก็หลายปี จนกระทั่ง มีวันหนึ่งความรู้สึกก็บอกกับตัวเอง พอเป็นไหม จบเป็นไหม ถ้าเป็นตรงนี้จะเป็นความสุข ไม่คาดหวังอะไรจากการให้ คือให้แล้วก็จบ .. โชคดีที่ได้เรียนรู้การมีอำนาจบางอย่างและอำนาจนั้นหมดไป เมื่อหลายปีก่อน หนิงรู้จักกับข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ในกรม พอที่จะขอโยกย้ายใครๆ ได้ ตอนนั้นผู้คนเดินเข้ามาหาเพื่อขอความช่วยเหลือ แต่เมื่อผู้ใหญ่ท่านนั้นเกษียณอายุไป ผู้คนต่างๆ เริ่มห่างออกไป .. ตรงนี้หนิงมองว่าเป็นโชคดีของหนิงที่ได้เรียนรู้จักคำว่า มีลาภ เสื่อมลาภ มียศ เสื่อมยศ … วันนั้นจึงเป็นวันที่เรียนรู้สัจจธรรม ความสุขอีกประการหนึ่งที่ได้สัมผัสคือการให้อภัยโดยเฉพาะให้อภัยพ่อ” นักการหนิงพูด
ยุ้ยยกมือหรา “ยุ้ยขอพูด ยุ้ยอยากพูด” ทุกคนในวงพยักหน้าอือๆ
“ยุ้ยวันนี้มีครอบครัวที่ดี ถึงแม้จะไม่มีลูก แต่เราก็อยู่กันได้อย่างมีความสุข อาคมเป็นสามีที่ดี น่ารัก ดูแลยุ้ยมาตลอด เนี่ยยุ้ยก็ว่ามีความสุขแล้วนะ ส่วนหน้าที่การงาน ก็ไม่ได้คิดอะไรมากแล้ว แต่ก่อนพอทำงานเป็นธุรการซีเล็กๆ พอประชุมการเลือกตั้งสมาชิกสภาเทศบาล ก็จะเห็นภาพปลัดเทศบาลได้พูดบรรยายอบรมกรรมการเลือกตั้ง ยุ้ยอยากเป็นปลัดมั่ง อยากขึ้นไปพูดอย่างที่เขาทำ ยุ้ยก็ตั้งใจมาก พอวันหนึ่งกรมการปกครองเปิดสอบเปลี่ยนสายงานเป็นปลัดเทศบาล ยุ้ยก็ตั้งใจสอบมาก สอบได้ที่ 9 ของประเทศ แต่เมื่อไปทำงานแล้วก็ทำงานหนัก และเต็มไปด้วยความเครียด และมีอะไรบางอย่างที่ยุ้ยว่ามันไม่ใช่ มันเป็นอะไรที่ไม่ใช่ความสุข ยุ้ยก็คิดทบทวนแล้วสุดท้ายก็ตัดสินใจย้ายกลับมาทำงานในตำแหน่งงานการเจ้าหน้าที่่ ก็มีความสุขกับงานที่ทำเพราะเ็ป็นงานที่ทำให้คนมีความสุข และอีกอย่างที่ยุ้ยอยากพูดคือ แม่ยุ้ยเสีย พ่อยุ้ยก็แต่งงานใหม่ ตอนนั้นยุ้ยโกรธเขามากๆ ไม่ไปหาเขาเลย และกับแม่ใหม่นึ่ก็จะไม่พูดด้วยเลย เป็นอย่างนี้เป็นสิบๆ ปี จนเมื่อสองสามปีก่อน ยุ้ยคิดได้ว่า พ่อก็ต้องมีคนดูแล มีเพื่อนเหมือนกันตัวเองยังมีสามี มีคนดูแล พอคิดได้มีวันหนึ่งยุ้ยไปธุระที่กำแพงเพชร ยุ้ยก็เลยไปหาพ่อ พ่อเขางงมาก และเขาก็ดีใจมาก ตั้งแต่นั้นมายุ้ยก็ไปหาพ่อตลอด ยุ้ยมาสังเกตุ ดูๆ แล้ว เออ ที่จริง เขาดูแลพ่อดีกว่าที่แม่ยุ้ยดูแลอีก แต่วันก่อนนั้นยุ้ยมองไม่เห็น ทุกวันนี้ยุ้ยหาโอกาสไปหาพ่อ และทุกครั้งจะกอดพ่อ ดูพ่อเขาดีใจและมีความสุขอย่างเห็นได้ชัดเจน“ ยุ้ยพูด นักการหนิงแอบภูมิใจเล็กๆ เพราะมีส่วนให้ข้อคิดกับยุ้ยในเรื่องพ่อ หลายคนในวงมีเงารื้นๆ ของน้ำตา ไม่ว่าจะเป็นเรศ นักการหนิง คุณอาคม พี่รัตน์
พี่รัตน์ขอพูด วันนี้พี่รัตน์ก็ดื่มแอลกอฮอล์อยู่นะ “สำหรับผม ผมว่าความสุขอยู่ที่การพอ ถ้าเรารู้จักพอเราก็จะมีความสุข เราสร้างฐานะก็พอประมาณ ไม่ต้องตึง ต้องเครียดเกินไป ตรงนี้จะทำให้ใจเราเป็นสุข และอีกอย่างที่ำสำคัญที่พวกเราคุยกันคือการให้ และการให้ที่สำคัญที่สดคือการให้อภัย เหมือนที่น้องหนิงได้ให้อภัยพ่อ… ผมออกบ้านมาตั้งแต่อายุสิบกว่าปี ออกมาต่อสู้กับชีวิตตั้งแต่วัยหนุ่มรู้ดีกว่าคนที่กตัญญูต่อบิดา มารดาจะมีความเจริญ ใครทำอะไรไม่ได้ อย่างผมพูดตรง (ปากไม่ดี) แต่หัวหน้าพยายามเอาผมออกก็ทำอะไรไม่ได้ เพราะคุณของพ่อของแม่คอยคุ้มครองอยู่ พระพุทธเจ้าบอกว่า พ่อแม่คือพระอรหันต์ของลูก อย่างที่ยุ้ยทำดีมาก และที่ดีมากๆ อีกอย่างคือกราบเท้าพ่อแม่ให้ได้ มีวันหนึ่งหลานชายผมกราบเท้าพ่อเขาที่สนามบิน ตอนไปส่งขึ้นเคร่องบิน ผมทึ่งมากๆ เขาทำได้อย่างไร ตรงนี้ผมอยากฝากไว้ สำหรับน้องๆ ทุกคน” พี่รัตน์พูด ทุกคนพยักหน้ากันหงึกหงัก เห็นด้วย
มาถึงตรงนี้นักการหนิงขอผิดกติกา ยกมือขอแทรก โดยใช้สิืทธิพาดพิง “หนิงเห็นด้วยเป็นอย่างยิ่งกับการให้อภัย มันช่วยให้เราก้าวพ้นอะไรบางอย่าง อย่างในวันที่หนิงได้ให้อภัยพ่อ หนิงเนี่ยเติบโตมาด้วยความคั่งแค้น ว่าสักวันหนึ่งจะทำให้พ่อรู้สึกให้ได้ว่าไม่มีพ่อหนิงก็โตได้ แต่มาถึงวันหนึ่งที่หนิงไปพบพ่อ พ่อดูแก่ สำนึกผิด แม้ท่านไม่พูด ( อ่านรายละเอียดได้ใน ชีวิตธรรมดา ตอนพันธนาการชีวิต ) วินาทีนั้นหนิงให้อภัยพ่อในทันที และเป็นวันที่หนิงได้โยนอะไรก้อนโตๆ ที่แบกมายี่สิบกว่าปีทิ้งไป มันเป็นเรื่องมหัศจรรย์มาก..” เรศพึมพัม เนี่ยตอนอ่านเรื่องของเขาในไผก็น้ำตาออก พอฟังเขาเล่าก็น้ำตาออกอีก ว่าแล้วก็ปาดน้ำตา
มาถึงตรงนี้วงมองหน้ากันไปมา มาหยุดที่คุณอาคม “ผมพูดไม่เป็น ผมยอมจ่ายเงินค่าอาหารวันนี้ก็ได้”
ถึงคราวที่เรศพูด “พูดไม่เป็นนะ แต่ก็จะพูดจะบอกความรู้สึก ว่าสำหรับตัวเองแล้ว ความสุขของตัวเองจะเป็นการได้ช่วยเหลือหลานๆ กับช่วยเหลือคนในครอบครัว และได้ดูแลพ่อแม่ ยอมลำบากนะถึงแม้ตัวเองไม่มีทรัพย์สินอะไรมากมาย แต่ตรงนั้นจะยังไม่คิดถึงมัน คิดว่ายังไม่ถึงเวลา แต่อยากเห็นพ่อแม่มีความสุขมากกว่า ตรงนี้เนี่ยเป็นความสุขมาก อะไรๆ ก็ไม่สำคัญเท่ากับคนในครอบครัวมีความสุข ที่เราได้ทำให้กับครอบครัวเรา” เรศพูดไม่ยาวนักแต่ก็ได้ใจความ
อ้อยรีบบอกกับวงว่าอ้อยอยากเล่า “เรื่องของอ้อย เนี่ยพี่รัตน์ฟังมาหลายครั้งแล้ว แต่อ้อยก็อยากเล่าให้เพื่อนฟัง ตอนเรียนหนังสืออ้อยขาดแคลนมาก ต้องไปอาศัยอยู่กับญาติเพื่อให้ได้เรียนหนังสือ ทำงานบ้านให้เขา ทุกๆ วันก็ดูมี้เขาแต่งตัว อยากแต่งตัวอย่างเขา (มี้เป็นคุณนายนายอำเภอ) ใส่เสื้อผ้า ทำผม ใส่เครื่องประดับอย่างเขา มันเป็นความฝังใจมาตลอด จนวันหนึ่งอ้อยเรียนจบมาทำงาน ก็ภูมิใจมากที่เด็กตัวเล็กๆ อย่างเราก็สามารถอดทนร่ำเรียนมาจนได้ทำงานข้าราชการ แม้จะเป็นเสมียนตัวเล็กๆ แต่ก็พอใจ มาถึงวันนี้พออ้อยได้แต่งตัว ทำผม ซื้อเครื่องประดับเล็กๆ น้อยๆ อะไรอย่างนี้อ้อยก็มีความสุข มันเป็นอะไรที่ฝังใจนะ อ้อยเป็นคนทีี่ไม่ค่อยได้ ทำบุญ เข้าวัดปฏิบัติธรรมอะไรอย่างนี้หรอก แต่อ้อยก็ช่วยเหลือครอบครัีว ส่งหลานเรียนหนังสือ ให้เงินซื้อของให้พ่อกับแม่ คอยหาอาหารอะไรดีๆ ให้พ่อกับแม่กิน เขาจะได้แข็งแรง อ้อยก็โชคดีนะ ที่พี่รัตน์เป็นคนไม่มีปัญหาอะไรถ้าเราจะช่วยครอบครัว ช่วยหลานๆ อ้อยก็ไม่มีลูกนะ แต่ก็ไม่ใช่ปัญหา อ้อยว่าถึงตรงนี้ก็ OK นะ ที่ทำตึกหลังมน.นี่ก็คืออ้อยเป็นห่วงพี่รัตน์ ไม่มีเงินบำนาญ ถ้ามีตึกให้คนเช่าสักตึกหนึ่งเก็บค่าเช่าเป็นเงินบำนาญให้พี่รัตน์ อ้อยก็พอใจแล้วนะ อ้อยว่าวันนี้อ้อยมีความสุขนะ”
มาถึงตรงนี้ทุึกคนมองหน้าคุณอาคมกันเป็นแถว
“ผมพูดไม่เป็น ผมจ่ายค่าอาหารก็ได้”
“พูดหน่อยน่า” นักการหนิงบอก
“ผมไม่รู้จะพูดอะไร พูดไม่เป็น” คุณอาคมยังยืนยันคำเดิม
“หน่อยน่า พูดอะไรก็ได้สักคำสองคำ พูดอะไรก็ได้ คำหนึ่งก็ได้” ทั้งวงเลยส่งเสียงกันให้ลั่น
“ผมดีใจที่มาถึงวันนี้ไ้ด้ บ้านผมฐานะยากจน พี่ชายผมยอมเรียนจบแค่ ป.4 เพื่อจะได้ให้ผมเรียน ผมเองก็จบแค่ ปวส.เองนะ ไม่มีปริญญง ปริญญาอะไรหรอกแต่คิดว่ามันก็ไม่ได้สำคัญอะไรกับชีวิต ผมว่่าวันนี้ผมมีครอบครัวที่ดี แต่ก่อนผมอยากมีลูก รู้สึกว่าครอบครัวที่สมบูรณ์ต้องมีลูก แต่มันไม่มีวันนี้ก็ไม่รู้สึกอะไร อย่างตอนที่ผมเกิดอุบัติเหตุรถทัวร์ชนกับรถพ่วงข้าวโพด ยุ้ยดูแลผมอย่างดีจนคิดไม่ถึง ( ยุ้ยน้ำตาคลอ) เพราะที่ผ่านมาผมดูแลเขาตลอดจนผมคิดว่าเขาจะดูแลผมได้ไหมถ้าผมเป็นอะไร เขาก็ทำให้เห็นนะ ความรักที่มีให้เขาเพิ่มขึ้นเยอะเลย ผมพูดไม่เพราะนะ อย่างกับเวลาเจ็บป่วยอะไรถ้ายุ้ยเขามาทำอะไรให้ผมมากๆ ผมก็จะว่าให้เขา แต่ลึกๆ ผมก็ภูมิใจนะ ทุกวันนี้ผมช่วยเหลือครอบครัวให้เงินทองพวกเขา ผมกลับไปหาแม่” (พูดถึงตอนนี้ คุณอาคมหยุดพูด เสียงกระตุก) นักการหนิงน้ำตารื้นขึ้นมา
“พวกเขาจะเข้ามาหาด้วยความรัก อย่างผมไปบ้านยุ้ย ญาติยุ้ยจะรักผมมากให้การต้อนรับผมเป็นอย่างดี ผมรู้สึกมีค่าในพวกเขา มาถึงวันนี้ผมพอนะ อะไรที่ผมมีแล้วผมจะไม่เก็บไ้ว้ จะเอาไปให้คนอื่น หรือที่ทำงาน มันไม่มีค่าสำหรับเราแต่มันมีค่าสำหรับคนอื่น ผมว่าคนเราถ้าพอแล้วก็จะมีความสุข”
พอคุณอาคมพูดจบพวกเราปรบมือพร้อมกับเสียงฮา คนพูดไม่เป็น ถึงตรงนี้วงก็ยังดำเนินอยู่แต่เหมือนกับวางกติกาลงเแล้ว ต่างคนต่างเสริม
สิบปีที่คบกัน วันนี้เป็นวันแลกเปลี่ยนเรียนรู้จักกัน เห็นมุมบางมุมที่นึกไม่ถึง ไม่คาดคิด เห็นมุมของอ้อยที่แต่งตัวแต่งหน้าทำผมสวยแต่เต็มไปด้วยการให้และความกตัญญที่มีต่อครอบครัว เห็นการเติบโตและก้าวข้ามพันธนาการของยุ้ย เห็นคุณอาคมที่ทุกทีมีแต่เสียงเฮฮาให้เพื่อนๆ เห็นความอดทนของเรศ เห็นความปรารถนาดีของคุณประทับที่มีต่้อผู้อื่น เพื่อนคบกันเป็นสิบสิบปี แต่รู้จักกันอย่างลึกซึ้งจากวง Dialogue ในเพียงชั่วเวลา 4 ชั่วโมง แม้บางเรื่องเราจะรับรู้มาแล้ว แต่ก็ไม่ไ้ด้สะท้อนบางแง่มุมออกมา
วันนี้มีน้ำตาของความปีติ ความสุข และคืนนี้หลับฝันดี
ถอดบทเรียน
การเป็นกระบวนอยู่ทีใจโดยแท้
วง Dialogue เกิดขึ้นได้แม้ในช่วงทานอาหารและมีแอลกอฮอล์นิดหน่อย กติกาก็ยังได้รับการเคารพอยู่เช่นวงอื่นๆ
คนพัฒนาได้และสามารถพัฒนาตัวเองในเครื่องมือที่เหมาะสม
เมื่อเราพูดมีคนฟัง เมื่อเพื่อนพูดเราต้องฟัง เพื่อเรียนรู้และพัฒนาตัวเอง
ผ่านวง Dailogue ครั้งใด นักการหนิงเติบใหญ่ครั้งนั้น
ขอบคุณผู้อ่านที่อ่าน ผู้ให้ข้อคิดเห็นที่อ่าน ขอความสุขมีแด่ทุกคน “แล้วความสุขของคุณขึ้นกับอะไร”
รัก
« « Prev : เรื่องดีดีในเดือนที่ผ่านมา เรื่องที่สอง ไปช่วยงานหมู่บ้าน 1
Next : บทวิเคราะห์ เจ้าเป็นไผ2 องค์ที่ 12 » »
12 ความคิดเห็น
เราเป็นเพื่อนร่วมทุกข์ เกิด แก่ เจ็บ ตาย ด้วยกันทั้งหมด ทั้งสิ้นนะ
-“ความสุขของคุณขึ้นกับอะไร” ฟังดูแล้วเหมือนไม่ยากส์…แต่ก็ไม่ง่ายนัก…ก็เจ้าความสุขนี่ของใครของมันจริงๆเลยนะคะ(เฉพาะตัวค่ะ) เพราะคนเราเกิดมาก็ไม่เหมือนกัน คิดไม่ค่อยเหมือนกัน…สำหรับป้าจุ๋มคิดว่า“ความสุขคือความพอใจ” เมื่อเราพอใจในสิ่งที่เป็นที่อยู่ ณ.ปัจจุบัน ใจก็จะสงบนิ่งและมีความสุขได้ค่ะ แต่ไม่ได้หมายความว่าไม่ต้องทำอะไรเลยก็พอใจน๊ะ คนเราเกิดมาต้องมีอะไรทำที่คิดว่าเกิดประโยชน์ทั้งต่อตัวเองและผู้อื่นด้วยจึงจะทำให้ตัวเองรู้สึกว่ามีคุณค่าและก็จะทำให้มีความสุขได้ค่ะ
-เวลาจะทำอะไรเมื่อคิดดีแล้วก็จะทำค่ะ หลังทำเต็มที่แล้วผลจะออกมาอย่างไรก็พอใจในผลนั้นค่ะ สมมุติว่าไม่สำเร็จก็จะบอกกับตัวเองว่าเราคงมีความสามารถแค่นี้…ก็พอใจที่ได้ลองทำแล้ว แต่หากสำเร็จก็คงไม่ต้องพูดถึง…ก็จะพอใจ…มีความสุขและภูมิใจด้วยว่าเราก็ทำได้…อิอิ
-ในชีวิตที่ผ่านมาป้าจุ๋มรู้สึกว่าตัวเองไม่ค่อยเก่ง แต่อยากทำอะไรให้สำเร็จได้บ้าง…ดังนั้นในการทำอะไรหลายๆอย่างมักจะต้องตั้งเป้าหมายเพื่อเป็นguide line ให้ตัวเองไว้ระดับหนึ่ง(ที่คิดว่าสมเหตุสมผลกับตัวเราและครอบครัวค่ะ) และคิดว่าในสิ่งที่น่าจะเป็นไปได้ด้วยค่ะ ไม่ใช่ว่าอยู่ดีๆป้าจุ๋มก็มาตั้งเป้าว่าจะเป็น“นายกหญิงคนแรกของเมืองไทย” และต้องทำให้ได้ อันนี้เรียกว่าเพ้อเจ้อค่ะ ไม่ดูตัวเอง เราต้องดูศักยภาพของตัวเองด้วยค่ะว่าเป็นไปได้แค่ไหน??? จะสามารถทำได้แค่ไหน???และทำจนตายก็เป็นไปไม่ได่ค่ะ
-เป้าหมายที่ตั้งไว้ก็จะset Priority ไว้ธรรมดาๆ เช่นเราเป็นผู้หญิงแต่งงานมีครอบครัวแล้วดังนั้นPriority ที่ 1ส่วนใหญ่จะเกี่ยวกับครอบครัวเป็นหลัก Priority ที่ 2 ก็หน้าที่การงาน และPriority ที่ 3 ก็การช่วยเหลือผู้อื่นและสังคมเมื่อเราพร้อมที่จะช่วยได้ ไม่ใช่ตัวเองก็จะเอาตัวไม่รอดแต่คิดการใหญ่จะช่วยจะทำโน่นนี่คงจะยากส์ส์ส์ค่ะ ก็พบว่าทุกอย่างก็พอใจค่ะ(เพราะทำได้แค่นี้) อย่างนี้ก็พอจะมีความสุขได้บ้างตามอัตภาพอันสมควรค่ะ
-ที่ได้สัมผัสมาป้าจุ๋มคิดว่าเราชาวลานฯทุกคนก็ล้วนมีความสุขกันดีแล้วค่ะ…
-ขอโทษด้วยค่ะออกความเห็นยาวมากเลย…คิดถึงน้องหนิงค่ะ…น้องหนิงเองก็มีความสุข ได้ทำในสิ่งที่อยากทำและทำได้ด้วยค่ะ…ขอให้โชคดีตลอดไปค่ะ
ก๊ากๆๆๆๆๆๆๆๆๆ พี่บางทรายจ๋า นักการหนิงยังเขียนไม่จบตอนแต่ มือดันคลิกที่เผยแพร่เข้า พี่อ่านแล้วไม่รู้สึกว่ามันไม่จบเหรอจ๊ะ อ่านต่อนะคะพี่จ๋า มีเรื่องราวอะไรอีกเยอะค่ะ หรือว่าน้อยก็ไม่รู้สำหรับผู้สูงวัยอย่างพี่บางทราบ อิ อิ
แต่ก็ขอบคุณนะคะที่อ่าน 5555
ก๊ากๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ ป้าจุ๋มจ๋า ขอโทษทีเขียนยังไม่จบคลิกผิดค่ะ ตอนนี้จบแว้ววววจ้า
ความสุขของป้าจุ๋มมีหลายมิตินะคะ ป้าจุ๋มเป็นผู้ใหญ่ผ่านโลก ผ่านชีวิต ผ่านประสบการณ์มามากมาย แต่ป้าจุ๋มก็ยังไม่เป็นแ้ก้วที่มีน้ำที่เต็ม … ป้าจุ๋มมา Dailogue กับพวกเราด้วย ขอเก็บเกี่ยวแนวคิด และการปฏิบัติของป้าจุ๋มค่ะ
เก็บคิด
ฝากไว้ในใจ
ขอบคุณ
และห่วงใย
แป่งปัน ซึ่งกันและกัน
…..
ขอบคุณสำหรับสิ่งดีงามที่แบ่งปันค่ะ
อั่นแน่ พี่อึ่งอ๊อบ นั่นเอง คิดถึงมากๆ นะจ๊ะ ว่าแล้วก็ยังจะมาแลบลิ้นปลิ้นตาให้อีก ผู้ใหญ่คนนี้
มาลงชื่ออ่านรอบสองแล้วค่ะ ขอบคุณพลังดีดีจากลานดีดี ขอบคุณน้องหนิงและคุณสามีที่แบ่งปัน ถ่ายทอด ให้ได้สัมผัสสิ่งดีดี ขอบคุณเรื่องของเพื่อนๆในวันนั้น เต็มตื้นในใจจริงๆค่ะ
ขอโทษนะคะที่ร่วมเป็นส่วนหนึ่งของลานดีดีพื่สาวที่น่ารัก ที่เปิดโอกาสให้ทุกคนได้พูดในสิ่งที่มีความสุข ก็ได้รับอนิสงค์ของแต่ละคนที่ถ่ายทอดออกมาจากใจ ได้ข้อคิดว่ากว่าที่เราจะรู้ว่าความสุขเป็นอย่างไรล้วนแล้วแต่ทุกข์มาแล้วทั้สิ้น ทุกข์มาเป็นระยะเวลานานกว่าจะค้นหาการเติมเต็มของความสุขพบว่ามันอยู่ที่ใจจะยอมรับความเป็นจริง และการยอมรับของคนรอบข้าง ขอบคุณสำหรับประสบการณ์ของแต่ละท่านน่ารักมากๆก็ได้คติสอนใจข้าน้อยให้มีสติคิดถึงความสุขของตนเองบ้าง และจะมีกฎกติกาของตนเองมาขึ้นในการที่จะรับฟังคนรอบข้าอย่างตั้งใจสักที่
สวัสดีจุ๊บจุ๊บ ค่ะป้าหวาน ส่วนหนึ่งที่อยากเล่าให้ฟังคือ เพื่อนที่คบหากันมาเป็นสิบปีได้รู้จักกันลึกซึ้งมากๆ เมื่อผ่านกระบวนการ Dialogue วันนั้นวงมีพลังมากค่ะ แต่ละคนที่พูกลั่นออกมาจากใจ ฟังแล้วให้เกิดกระบวนการเรียนรู้และเติมเต็มในตัวเองค่ะ ถ้าเป็นอาจารย์วิศิษฐ์ วังวิญญู ท่านจะบอกว่าเป็นฆลฑลแห่งพลัง
ถัดมาอีกสองสามวันอ้อยยังบอกกับเพื่อนว่าหากมีวงอย่างนี้อีก เขาขอไปด้วย มันมีสาระดีดีเกิดขึ้นในวงค่ะ
นักการหนิงเองก็ไม่คิดว่าในกลุ่มเพื่อนสนิทวง Dialogue ก็สามารถมีพลังค่ะ
มีความสุขค่ะที่เห็นป้าหวานมีความสุข
สวัสดีค่ะคุณข้าน้อย
เข้ามาจ๊ะจ๋าในลานดีดีไม่ต้องขอโทษค่ะ พี่หนิงต้องขอบใจคุณค่าน้อยมากกว่าที่มาร่วมแลกเปลี่ยน จริงๆ ทุกข์หรือสุขอยู่ตรงไหนเราก็รู้อยู่ แต่ด้วยบางทีเราลืมมอง ลืมดู ลืมฟัง เราเฝ้าแต่คิดว่าอย่างนี้น่าจะเป็นอย่างนั้นอย่างนี้มากกว่าเนอะ
รู้หรือไม่ว่าเสียงหัวเราะของข้าน้อยทำให้คนข้างๆ มีความสุข แล้วข้าน้อยมีความสุขไหม
รู่หรือไม่ว่ารอยยิ้มของข้าน้อยทำให้ึึคนข้างๆ มีความสุข แล้วข้าน้อยมีความสุขไหม
รู้หรือไม่ว่าสิ่งเล็กๆ น้อยที่เกิดขึ้นรอบๆ ตัวเราล้วนทำให้เรามึความสุข.. หากเราสวมแว่นตาอีกอันหนึ่ง
การได้พูดคุยเล่าเรื่องความรู้สึกดีๆให้ฟังกันจะกระชับความสัมพันธ์ที่ดีซึ่งมีอยู่แล้วให้กระชับแน่นขึ้น แก๊งค์นี้น่ารักดีนะครับ อิอิ
5 5 5 5 แก๊งค์นี้น่ารักมากเลยค่ะ โดยเฉพาะข้าเจ้า อิอิ