ช่วยงานหมู่บ้าน 6 ตอนป้านันจัดการ

โดย นักการหนิง เมื่อ 23 กรกฏาคม 2012 เวลา 3:09 (เย็น) ในหมวดหมู่ เรื่องเล่าจากลานดีดี #
อ่าน: 29518

นิติบุคคลหมูบ้านจัดสรร  เป็นองค์ที่ตั้งขึ้นด้วยการรวมตัวกันของสมาชิกในหมู่บ้าน  มีปัจจัยหลายประการที่ทำให้องค์กรยืนต่อไปได้  เอาแค่ยืนก่อนค่ะ อย่าว่าแต่ยั่งยืนอย่างที่หมอเบิร์ดให้ข้อคิดเห็นมาค่ะ

ปัจจัยแรกที่สำคัญที่สุดน่าจะเป็นความร่วมมือร่วมใจของสมาชิกในหมู่บ้าน ตั้งแต่การร่วมประชุม เสนอความคิดเห็น  ชำระเงินค่าบำรุงสาธารณูปโภค  เคารพกฎกติกามารยาท  ร่วมรักษาประโยชน์ส่วนรวม  เมื่อเห็นคณะกรรมการทำงานใดที่อาจทำให้ประโยชน์ส่วนรวมลดลง  ก็ต้องออกมาบอกกล่าว  ทักท้วงคณะกรรมการ  เป็นต้น

ปัจจัยที่สองก็มากอยู่เช่นกัน  เช่น คณะกรรมการ  ก็ตั้งแต่ต้องเป็นตัวแทนของสมาชิกจริงๆ ไม่ใช่นอมีนี  ความโปร่งใส  การบริหารงานยึดหลักประโยชน์สุขของสมาชิกจริงๆ  เอาจริงเอาจัง  คณะกรรมการเองก็ต้องร่วมมือร่วมใจกัน   ทำงานกันเป็นทีม  เข้าใจหลักประชาธิปไตยและน่าจะมีอะไรอีกหลายอย่าง  แต่อีกอย่างที่สำคัญคือไม่เห็นแก่ตัว

ประเด็นการเป็นตัวแทนของสมาชิกจริงๆ มีเรื่องเล่าให้ฟังค่ะ  ในการประชุมคราวก่อตั้ง ผู้จัดสรรส่งตัวแทนเป็นกรรมการ 2 คน  สมาชิกท่านอื่นๆ  หลายท่านคัดค้านว่า  ผู้จัดสรรมีเสียง 1 เสียง ก็ควรเป็นกรรมการเพียงคนเดียว  ที่ประชุมลงมติให้สิทธิผู้จัดสรร 1 คน  .. ที่เหลือเลือกจากที่ประชุม

ประเด็นเรื่องการเคารพกฎ ที่น่าสนใจ กฎแรกคือการชำระค่าบำรุงสาธารณูปโภค เพราะนิติบุคคล ไม่มีและไม่อาจแสวงหารายได้จากแหล่งอื่นใดนอกจากเงินค่าบำรุงสาธารณูปโภค  ประเด็นนี้น่าสนใจสำหรับประเทศไทย ที่เป็นประเทศหนึ่งที่เลี่ยงภาษีกันอย่างมากมาย  ยกเว้นข้าราชการ พนักงานรัฐวิสาหกิจ  พนักงานบริษัท  ที่ต้องถูกหักภาษี ณ ที่จ่ายทันที  เหตุผลสำึคัญเหตุผลหนึ่งที่คนเลี่ยงภาษี  จะลองยกตัวอย่างให้เห็นค่ะ  คือ  ถ้าเราต้องการคอมพิวเตอร์  แบบสเปคสูงๆ มาใช้งาน  ถ้าเรามีเงินพอสมควร  เราก็จะยอมจ่ายเงินในกระเป๋า  แล้วเราก็จะได้เป็นเจ้าของคอมพิวเตอร์สเปคสูง เครื่องนั้น  เราก็นำไปใช้งานในบ้านของเรา  อย่างนี้เรายินดีจ่าย เพราะถ้าเราไม่จ่ายเราก็ไม่ได้ใช้ แต่การจ่ายภาษี  เราจ่ายไปแล้วเราไม่เห็นว่าเงินภาษีที่เราจ่ายไปนั้น  ไปซื้อไปทำอะไรให้เรา  เราไม่รู้สึกถึงความเป็นเจ้าของ  เงินภาษีเราอาจเป็นถนนสายใดสายหนึ่ง  แต่พอถามว่าถนนนี้่ของใคร  เราก็บอกว่าของกรมทาง  แต่ถึงแม้ว่าเราไม่จ่ายภาษี  แต่เราใช้ถนนสายนั้นได้ทุกเมื่อ  นั่นคือไม่จ่ายภาษี  เราก็ได้ใช้และใช้ได้  แล้วทำไมเราต้องจ่าย คนหลายๆ คน  จำนวนมากรู้สึกเช่นนี้  การเลี่ยงภาษีจึงเกิดขึ้นมากมาย  …  พอมีคนเลี่ยงภาษีมากๆ ถามว่าประเทศจะเดินไปอย่างไร  จะพัฒนาอย่างไร   ส่วนการนำเงินภาษีไปใช้ในทางที่ไม่ชอบนั้น  ก็ต้องมีกระบวนการตรวจสอบ  การสร้างจิตสำนึกกันอีกไม่รู้จบ  อย่างนี้ทุกประเทศ ไม่ว่าจะเป็นประเทศที่เจริญแล้วเขาก็ยังต้องทำอยู่  และทำตลอดไป   เนื่องจากมนุษย์ไม่อาจอยู่ลำพังคนเดียวได้  อย่างไรมนุษย์ต้องอยู่เป็นสังคม  จึงต้องมีกติกาตามมา

หากเราจะมองกลับมาในประเทศเรา  ขณะนี้มีการจ่ายเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ  …  ในต่างประเทศที่มีระบบรัฐสวัสดิการ  เบี้ยยังชีพ  มีมาจากการเก็บภาษีจากรายได้ของเราในวัยหนุ่มสาว  รัฐบาลก็เก็บมาเรื่อยๆ  จนเมื่อเราเกษียณอายุ หรือครบเกณฑ์อายุ  รัฐบาลก็นำเงินนั้นแหล่ะกลับมาจ่ายเป็นเบี้ยยังชีพ   ต้องถามว่าผู้สูงอายุของเราที่รับเงินเบี้ยยังชีพในปัจจุบันนี้  ยามหนุ่มสาวได้เสียภาษีหรือไม่  เชื่อว่าจำนวนมากกว่าครึ่งไม่ได้เสียภาษี  แต่เมื่อวันดีคืนดี  รัฐบาลนำนโยบายรัฐสวัสดิการมาใช้ในประเทศไทย  ผู้สูงอายุเหล่านี้ก็ได้รับเงินรายเดือนทุกเดือน   พูดอย่างนี้จะหาว่าใจร้าย  ใจดำ  อกตัญญู  ก็ไม่ได้ใจดำ ใจร้ายอะไรดอกค่ะ  เป็นเพียงการชวนให้คิดค่ะ คิดว่าก่อนเราจะได้อะไร  เราล้วนต้องจ่ายค่ะ ไม่มีอะไรฟรีในโลกนี้   สังคมดีๆ อาหารดีๆ  สุขภาพดีๆ ก็เช่นกันเราก็ต้องจ่ายทั้งนั้น อาจจะจ่ายด้วยเงิน  จ่ายด้วยการออกกำลังกาย  จ่ายด้วยแรงที่ต้องโขลกน้ำพริกเอง  จ่ายด้วยการมีน้ำใจไม่เห็นแก่ตัว  จ่ายด้วยมิตรไมตรี  ฯลฯ   ทั้งหมดทั้งมวลเราต้องจ่ายทั้งนั้น

กฎที่สอง คือการเคารพกฎหลักๆ ของหมู่บ้าน ไม่ว่าจะเป็นการไม่ปล่อยสุนัขให้เพ่นพ่านไปรบกวนสมาชิกคนอื่น  อันนี้ใช้กฎธรรมชาติเข้ามาจับ  คือถ้าเป็นเรามั่งที่ต้องมาฟังเสียงสุนัขในบ้านเห่าหอนทะเลาะกับสุนัขเพื่อนบ้านที่วิ่งไปมา  ยามดึกดื่นตีหนึ่งตีสอง  คือกฎที่ว่าถ้าเป็นเรามั่งเราจะรู้สึกอย่างไร เราจะเป็นอย่างไร  หรือที่เรียกว่าเอาใจเขามาใส่ใจเรา  แต่หลักๆ คือจิตสำนึกรับผิดชอบต่อส่วนรวม  จิตสำนึกต่อสาธารณะนั่น

สมัยเมื่อเป็นนักศึกษา  ขึ้นรถเมล์ไปเรียนหนังสือ  ถ้าพนักงานขับรถ ขับรถแบบน่าหวาดเสียว หนิงจะเดินไปบอกพนักงานขับรถคันนั้นทันทีว่าให้ขับรถดีๆ  ขับรถอย่างนี้อาจเกิดอุบัติเหตุได้  ไม่รู้ว่าตอนนั้นทำไปได้อย่างไร  แต่รู้สึกว่าต้องพูดต้องบอกค่ะ  แต่ก็ได้ผลทุกราย

เราไม่ปกป้องสิทธิของตัวเอง  สังคมไทยเป็นสังคมที่คนปกป้องสิทธิตัวเองผิดมหันต์ คือสังคมไทยเป็นสังคมที่อดทนกันมาก สุนัขเพื่อนข้างบ้านมาอุจจาระหน้าบ้านเราทุกวัน  เราก็บอกไม่ได้นะ  บอกก็โกรธกัน  ขัดใจกัน ไม่พูด ไม่มองหน้ากัน  ทั้งๆ ที่จริงๆ  แล้วเจ้าของสุนัขต้องขอโทษเพื่อนบ้านที่ปล่อยให้สุนัขของตัวเองไปสร้างปัญหาให้ผู้อื่น   ทน ทน ทน และทนกันไป ว่างั้นเถอะ  เหตุที่ต้องทนๆๆๆๆ  เป็นเพราะทุกคนไม่เคารพสิทธิผู้อื่น  และที่สำคัญคือเรามองไม่เห็นว่ามันเป็นความไม่ชอบธรรม

ผู้นำที่ดี  ในสายตาของคุณคืออย่างไร  แต่ในสายตาของหนิงคือผู้ที่ทำตัวเป็นแบบอย่างที่ดีแก่ผู้อื่น  ถ้าผู้นำคนนั้นแม้จะเก่งแสนเก่ง ยิ่งใหญ่ปานใด  ได้โล่ห์รางวัลมากมาย  แต่ไม่ทำตัวเป็นแบบอย่างที่ดีแล้ว  ท้ายที่สุดที่จะเกิดขึ้นคือ วิกฤติศรัทธา

และแล้วเหตุการณ์เล็กๆ ก็เกิดขึ้นในหมู่บ้านวนาเลคโฮม  มีบ้านหลังหนึ่งมีผู้อาศัยอยู่บ้านหลังนี้ซึ่งไม่ได้เจ้าของบ้าน  เลี้ยงสุนัข 5-6 ตัว แล้วปล่อยให้เพ่นพ่านตลอดเวลา เป็นระยะเวลาร่วม 2 ปี  แถมสุนัขก็ดุร้ายด้วย  ไล่กัดผู้คน     ไม่ว่าจะบอกกล่าวอย่างไรก็ไม่สนใจแก้ไขปัญหาทั้งสิ้น    เพิกเฉยมาตลอด  ไม่มีความรับผิดชอบต่อสังคมส่วนรวม  ต่อมาเจ้าของบ้านคนเก่าขายบ้านหลังนี้ไป  ครอบครัวที่อาศัยอยู่ก็ต้องย้ายออกไป  ครอบครัวนี้จึงเริ่มทะยอยขนของ  แต่ระหว่างขนของก็ทิ้งสุนัขไว้ที่บ้่าน  ตัวไหนตัวเล็กหน่อยก็มุดรั้วออกมาไล่ขบกัดผู้คน    ป้านัน   อยู่บ้านหลังตรงข้ามเริ่มกังวลเนื่องจากลูกและหลานตัวเล็กๆ ที่ไปอยู่ที่ต่างประเทศจะกลับมาเมืองไทยแล้ว  ป้านันเกรงว่าหลานของป้าอาจถูกสุนัขพวกนี้ขบกัดเอาได้   ป้าแวะมาที่บ้านมาปรึกษาว่าจะทำอย่างไรดี  เราถามป้าว่าป้าคุยกับเขาได้ไหม  ป้าบอกว่าคุยกันอยู่เพราะบ้านอยู่ตรงข้ามกัน  เราจึงแนะนำให้ป้าบอกกับเขาว่าให้ขนสุนัขพวกนี้ไปด้วย  ป้าก็ทำตามคำแนะนำ  เขาก็รับปาก  หลายอาทิตย์ผ่านไปเขาก็ยังไม่ทำอะไร  ป้าเริ่มร้อนใจมากขึ้น  มาเคาะประตูบ้านหนิงอีกว่าจะทำไงดี  เราก็บอกกับป้าว่ายื่นคำขาดกับเขาได้แล้วไม่งั้นก็ไม่ทันการณ์   ความที่ป้าเป็นห่วงหลานตัวเอง  ป้านันจึงพูดอีกครั้ง ครั้งนี้เอาจริงเอาจังมาก   หนิงจะออกไปช่วยป้านันพูด  ไม่ทันเีสียแล้ว  ป้านันเดินมาบอกว่าจัดการเรียบร้อยแล้ว …..  ป้านันเก่งกว่ากรรมการหมู่บ้านเสียอีก   ปัญหาของหมู่บ้านก็หมดไปอีกหนึ่งปัญหาเพราะฝีมือป้านัน  ต้องปรบมือให้ดังๆ ค่ะ

ตอนนี้ยังเหลือสุนัขอีกตัวหนึ่งที่ยังจัดการไม่ได้  หลังจากที่จัดการกันมาหลายตัวแล้ว…   กำลังปวดหัวเลยค่ะ

แต่หลังสุดนี้เกิดปัญหาขึ้นมาอีกจนได้  เกิดจา่กคนที่เป็นข้าราชการชั้นผู้ใหญ่คนหนึ่งที่ไม่คำนึงถึงกฎหมู่บ้าน  กฎชุมชน  สนใจแค่ความต้องการของตัวเอง รอบนี้รู้สึกเครียดจนอยากวางมือ  ปล่อยให้มันเป็นไป  ใครอยากทำอะไรก็ให้ทำ  ใครอยากปล่อยสุนัขอย่างก็ช่าง ใครไม่จ่ายค่าบำรุงสาธารณูปโภคก็ช่าง  รปภ.ก็ไม่ต้องมี  ใครอยากเปิดร้านอาหารในหมู่บ้านก็ช่าง   ใครอยากจะสร้างหอพักก็ปล่อย เพราะกฎข้อหนึ่งในหมู่บ้านคือห้ามทำการพาณิชย์ในหมู่บ้าน…  น่าจะดีเนอะ  รู้สึกท้อเอาจริงๆ  เพราะแท้ที่จริงคนที่จะทำให้หมู่บ้านเป็นหมู่บ้านที่น่าอยู่คือทุกคนช่วยกันรักษากฎ  ไม่ใช่คณะกรรมการต้องเป็นผู้รักษากฎ

« « Prev : ช่วยงานหมู่บ้าน 5


ผู้ใช้ Facebook สามารถให้ความเห็นที่นี่ได้ โดยกด Like เพื่อแสดงตัว

5205 ความคิดเห็น


แสดงความคิดเห็น

ท่านอยากจะเข้าระบบหรือไม่


*
To prove you're a person (not a spam script), type the security word shown in the picture. Click on the picture to hear an audio file of the word.
Click to hear an audio file of the anti-spam word


Main: 7.081964969635 sec
Sidebar: 0.015018939971924 sec