ช่วยงานหมู่บ้าน 6 ตอนป้านันจัดการ

โดย นักการหนิง เมื่อ 23 กรกฏาคม 2012 เวลา 3:09 (เย็น) ในหมวดหมู่ เรื่องเล่าจากลานดีดี #
อ่าน: 30273

นิติบุคคลหมูบ้านจัดสรร  เป็นองค์ที่ตั้งขึ้นด้วยการรวมตัวกันของสมาชิกในหมู่บ้าน  มีปัจจัยหลายประการที่ทำให้องค์กรยืนต่อไปได้  เอาแค่ยืนก่อนค่ะ อย่าว่าแต่ยั่งยืนอย่างที่หมอเบิร์ดให้ข้อคิดเห็นมาค่ะ

ปัจจัยแรกที่สำคัญที่สุดน่าจะเป็นความร่วมมือร่วมใจของสมาชิกในหมู่บ้าน ตั้งแต่การร่วมประชุม เสนอความคิดเห็น  ชำระเงินค่าบำรุงสาธารณูปโภค  เคารพกฎกติกามารยาท  ร่วมรักษาประโยชน์ส่วนรวม  เมื่อเห็นคณะกรรมการทำงานใดที่อาจทำให้ประโยชน์ส่วนรวมลดลง  ก็ต้องออกมาบอกกล่าว  ทักท้วงคณะกรรมการ  เป็นต้น

ปัจจัยที่สองก็มากอยู่เช่นกัน  เช่น คณะกรรมการ  ก็ตั้งแต่ต้องเป็นตัวแทนของสมาชิกจริงๆ ไม่ใช่นอมีนี  ความโปร่งใส  การบริหารงานยึดหลักประโยชน์สุขของสมาชิกจริงๆ  เอาจริงเอาจัง  คณะกรรมการเองก็ต้องร่วมมือร่วมใจกัน   ทำงานกันเป็นทีม  เข้าใจหลักประชาธิปไตยและน่าจะมีอะไรอีกหลายอย่าง  แต่อีกอย่างที่สำคัญคือไม่เห็นแก่ตัว

ประเด็นการเป็นตัวแทนของสมาชิกจริงๆ มีเรื่องเล่าให้ฟังค่ะ  ในการประชุมคราวก่อตั้ง ผู้จัดสรรส่งตัวแทนเป็นกรรมการ 2 คน  สมาชิกท่านอื่นๆ  หลายท่านคัดค้านว่า  ผู้จัดสรรมีเสียง 1 เสียง ก็ควรเป็นกรรมการเพียงคนเดียว  ที่ประชุมลงมติให้สิทธิผู้จัดสรร 1 คน  .. ที่เหลือเลือกจากที่ประชุม

ประเด็นเรื่องการเคารพกฎ ที่น่าสนใจ กฎแรกคือการชำระค่าบำรุงสาธารณูปโภค เพราะนิติบุคคล ไม่มีและไม่อาจแสวงหารายได้จากแหล่งอื่นใดนอกจากเงินค่าบำรุงสาธารณูปโภค  ประเด็นนี้น่าสนใจสำหรับประเทศไทย ที่เป็นประเทศหนึ่งที่เลี่ยงภาษีกันอย่างมากมาย  ยกเว้นข้าราชการ พนักงานรัฐวิสาหกิจ  พนักงานบริษัท  ที่ต้องถูกหักภาษี ณ ที่จ่ายทันที  เหตุผลสำึคัญเหตุผลหนึ่งที่คนเลี่ยงภาษี  จะลองยกตัวอย่างให้เห็นค่ะ  คือ  ถ้าเราต้องการคอมพิวเตอร์  แบบสเปคสูงๆ มาใช้งาน  ถ้าเรามีเงินพอสมควร  เราก็จะยอมจ่ายเงินในกระเป๋า  แล้วเราก็จะได้เป็นเจ้าของคอมพิวเตอร์สเปคสูง เครื่องนั้น  เราก็นำไปใช้งานในบ้านของเรา  อย่างนี้เรายินดีจ่าย เพราะถ้าเราไม่จ่ายเราก็ไม่ได้ใช้ แต่การจ่ายภาษี  เราจ่ายไปแล้วเราไม่เห็นว่าเงินภาษีที่เราจ่ายไปนั้น  ไปซื้อไปทำอะไรให้เรา  เราไม่รู้สึกถึงความเป็นเจ้าของ  เงินภาษีเราอาจเป็นถนนสายใดสายหนึ่ง  แต่พอถามว่าถนนนี้่ของใคร  เราก็บอกว่าของกรมทาง  แต่ถึงแม้ว่าเราไม่จ่ายภาษี  แต่เราใช้ถนนสายนั้นได้ทุกเมื่อ  นั่นคือไม่จ่ายภาษี  เราก็ได้ใช้และใช้ได้  แล้วทำไมเราต้องจ่าย คนหลายๆ คน  จำนวนมากรู้สึกเช่นนี้  การเลี่ยงภาษีจึงเกิดขึ้นมากมาย  …  พอมีคนเลี่ยงภาษีมากๆ ถามว่าประเทศจะเดินไปอย่างไร  จะพัฒนาอย่างไร   ส่วนการนำเงินภาษีไปใช้ในทางที่ไม่ชอบนั้น  ก็ต้องมีกระบวนการตรวจสอบ  การสร้างจิตสำนึกกันอีกไม่รู้จบ  อย่างนี้ทุกประเทศ ไม่ว่าจะเป็นประเทศที่เจริญแล้วเขาก็ยังต้องทำอยู่  และทำตลอดไป   เนื่องจากมนุษย์ไม่อาจอยู่ลำพังคนเดียวได้  อย่างไรมนุษย์ต้องอยู่เป็นสังคม  จึงต้องมีกติกาตามมา

หากเราจะมองกลับมาในประเทศเรา  ขณะนี้มีการจ่ายเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ  …  ในต่างประเทศที่มีระบบรัฐสวัสดิการ  เบี้ยยังชีพ  มีมาจากการเก็บภาษีจากรายได้ของเราในวัยหนุ่มสาว  รัฐบาลก็เก็บมาเรื่อยๆ  จนเมื่อเราเกษียณอายุ หรือครบเกณฑ์อายุ  รัฐบาลก็นำเงินนั้นแหล่ะกลับมาจ่ายเป็นเบี้ยยังชีพ   ต้องถามว่าผู้สูงอายุของเราที่รับเงินเบี้ยยังชีพในปัจจุบันนี้  ยามหนุ่มสาวได้เสียภาษีหรือไม่  เชื่อว่าจำนวนมากกว่าครึ่งไม่ได้เสียภาษี  แต่เมื่อวันดีคืนดี  รัฐบาลนำนโยบายรัฐสวัสดิการมาใช้ในประเทศไทย  ผู้สูงอายุเหล่านี้ก็ได้รับเงินรายเดือนทุกเดือน   พูดอย่างนี้จะหาว่าใจร้าย  ใจดำ  อกตัญญู  ก็ไม่ได้ใจดำ ใจร้ายอะไรดอกค่ะ  เป็นเพียงการชวนให้คิดค่ะ คิดว่าก่อนเราจะได้อะไร  เราล้วนต้องจ่ายค่ะ ไม่มีอะไรฟรีในโลกนี้   สังคมดีๆ อาหารดีๆ  สุขภาพดีๆ ก็เช่นกันเราก็ต้องจ่ายทั้งนั้น อาจจะจ่ายด้วยเงิน  จ่ายด้วยการออกกำลังกาย  จ่ายด้วยแรงที่ต้องโขลกน้ำพริกเอง  จ่ายด้วยการมีน้ำใจไม่เห็นแก่ตัว  จ่ายด้วยมิตรไมตรี  ฯลฯ   ทั้งหมดทั้งมวลเราต้องจ่ายทั้งนั้น

กฎที่สอง คือการเคารพกฎหลักๆ ของหมู่บ้าน ไม่ว่าจะเป็นการไม่ปล่อยสุนัขให้เพ่นพ่านไปรบกวนสมาชิกคนอื่น  อันนี้ใช้กฎธรรมชาติเข้ามาจับ  คือถ้าเป็นเรามั่งที่ต้องมาฟังเสียงสุนัขในบ้านเห่าหอนทะเลาะกับสุนัขเพื่อนบ้านที่วิ่งไปมา  ยามดึกดื่นตีหนึ่งตีสอง  คือกฎที่ว่าถ้าเป็นเรามั่งเราจะรู้สึกอย่างไร เราจะเป็นอย่างไร  หรือที่เรียกว่าเอาใจเขามาใส่ใจเรา  แต่หลักๆ คือจิตสำนึกรับผิดชอบต่อส่วนรวม  จิตสำนึกต่อสาธารณะนั่น

สมัยเมื่อเป็นนักศึกษา  ขึ้นรถเมล์ไปเรียนหนังสือ  ถ้าพนักงานขับรถ ขับรถแบบน่าหวาดเสียว หนิงจะเดินไปบอกพนักงานขับรถคันนั้นทันทีว่าให้ขับรถดีๆ  ขับรถอย่างนี้อาจเกิดอุบัติเหตุได้  ไม่รู้ว่าตอนนั้นทำไปได้อย่างไร  แต่รู้สึกว่าต้องพูดต้องบอกค่ะ  แต่ก็ได้ผลทุกราย

เราไม่ปกป้องสิทธิของตัวเอง  สังคมไทยเป็นสังคมที่คนปกป้องสิทธิตัวเองผิดมหันต์ คือสังคมไทยเป็นสังคมที่อดทนกันมาก สุนัขเพื่อนข้างบ้านมาอุจจาระหน้าบ้านเราทุกวัน  เราก็บอกไม่ได้นะ  บอกก็โกรธกัน  ขัดใจกัน ไม่พูด ไม่มองหน้ากัน  ทั้งๆ ที่จริงๆ  แล้วเจ้าของสุนัขต้องขอโทษเพื่อนบ้านที่ปล่อยให้สุนัขของตัวเองไปสร้างปัญหาให้ผู้อื่น   ทน ทน ทน และทนกันไป ว่างั้นเถอะ  เหตุที่ต้องทนๆๆๆๆ  เป็นเพราะทุกคนไม่เคารพสิทธิผู้อื่น  และที่สำคัญคือเรามองไม่เห็นว่ามันเป็นความไม่ชอบธรรม

ผู้นำที่ดี  ในสายตาของคุณคืออย่างไร  แต่ในสายตาของหนิงคือผู้ที่ทำตัวเป็นแบบอย่างที่ดีแก่ผู้อื่น  ถ้าผู้นำคนนั้นแม้จะเก่งแสนเก่ง ยิ่งใหญ่ปานใด  ได้โล่ห์รางวัลมากมาย  แต่ไม่ทำตัวเป็นแบบอย่างที่ดีแล้ว  ท้ายที่สุดที่จะเกิดขึ้นคือ วิกฤติศรัทธา

และแล้วเหตุการณ์เล็กๆ ก็เกิดขึ้นในหมู่บ้านวนาเลคโฮม  มีบ้านหลังหนึ่งมีผู้อาศัยอยู่บ้านหลังนี้ซึ่งไม่ได้เจ้าของบ้าน  เลี้ยงสุนัข 5-6 ตัว แล้วปล่อยให้เพ่นพ่านตลอดเวลา เป็นระยะเวลาร่วม 2 ปี  แถมสุนัขก็ดุร้ายด้วย  ไล่กัดผู้คน     ไม่ว่าจะบอกกล่าวอย่างไรก็ไม่สนใจแก้ไขปัญหาทั้งสิ้น    เพิกเฉยมาตลอด  ไม่มีความรับผิดชอบต่อสังคมส่วนรวม  ต่อมาเจ้าของบ้านคนเก่าขายบ้านหลังนี้ไป  ครอบครัวที่อาศัยอยู่ก็ต้องย้ายออกไป  ครอบครัวนี้จึงเริ่มทะยอยขนของ  แต่ระหว่างขนของก็ทิ้งสุนัขไว้ที่บ้่าน  ตัวไหนตัวเล็กหน่อยก็มุดรั้วออกมาไล่ขบกัดผู้คน    ป้านัน   อยู่บ้านหลังตรงข้ามเริ่มกังวลเนื่องจากลูกและหลานตัวเล็กๆ ที่ไปอยู่ที่ต่างประเทศจะกลับมาเมืองไทยแล้ว  ป้านันเกรงว่าหลานของป้าอาจถูกสุนัขพวกนี้ขบกัดเอาได้   ป้าแวะมาที่บ้านมาปรึกษาว่าจะทำอย่างไรดี  เราถามป้าว่าป้าคุยกับเขาได้ไหม  ป้าบอกว่าคุยกันอยู่เพราะบ้านอยู่ตรงข้ามกัน  เราจึงแนะนำให้ป้าบอกกับเขาว่าให้ขนสุนัขพวกนี้ไปด้วย  ป้าก็ทำตามคำแนะนำ  เขาก็รับปาก  หลายอาทิตย์ผ่านไปเขาก็ยังไม่ทำอะไร  ป้าเริ่มร้อนใจมากขึ้น  มาเคาะประตูบ้านหนิงอีกว่าจะทำไงดี  เราก็บอกกับป้าว่ายื่นคำขาดกับเขาได้แล้วไม่งั้นก็ไม่ทันการณ์   ความที่ป้าเป็นห่วงหลานตัวเอง  ป้านันจึงพูดอีกครั้ง ครั้งนี้เอาจริงเอาจังมาก   หนิงจะออกไปช่วยป้านันพูด  ไม่ทันเีสียแล้ว  ป้านันเดินมาบอกว่าจัดการเรียบร้อยแล้ว …..  ป้านันเก่งกว่ากรรมการหมู่บ้านเสียอีก   ปัญหาของหมู่บ้านก็หมดไปอีกหนึ่งปัญหาเพราะฝีมือป้านัน  ต้องปรบมือให้ดังๆ ค่ะ

ตอนนี้ยังเหลือสุนัขอีกตัวหนึ่งที่ยังจัดการไม่ได้  หลังจากที่จัดการกันมาหลายตัวแล้ว…   กำลังปวดหัวเลยค่ะ

แต่หลังสุดนี้เกิดปัญหาขึ้นมาอีกจนได้  เกิดจา่กคนที่เป็นข้าราชการชั้นผู้ใหญ่คนหนึ่งที่ไม่คำนึงถึงกฎหมู่บ้าน  กฎชุมชน  สนใจแค่ความต้องการของตัวเอง รอบนี้รู้สึกเครียดจนอยากวางมือ  ปล่อยให้มันเป็นไป  ใครอยากทำอะไรก็ให้ทำ  ใครอยากปล่อยสุนัขอย่างก็ช่าง ใครไม่จ่ายค่าบำรุงสาธารณูปโภคก็ช่าง  รปภ.ก็ไม่ต้องมี  ใครอยากเปิดร้านอาหารในหมู่บ้านก็ช่าง   ใครอยากจะสร้างหอพักก็ปล่อย เพราะกฎข้อหนึ่งในหมู่บ้านคือห้ามทำการพาณิชย์ในหมู่บ้าน…  น่าจะดีเนอะ  รู้สึกท้อเอาจริงๆ  เพราะแท้ที่จริงคนที่จะทำให้หมู่บ้านเป็นหมู่บ้านที่น่าอยู่คือทุกคนช่วยกันรักษากฎ  ไม่ใช่คณะกรรมการต้องเป็นผู้รักษากฎ

« « Prev : ช่วยงานหมู่บ้าน 5


ผู้ใช้ Facebook สามารถให้ความเห็นที่นี่ได้ โดยกด Like เพื่อแสดงตัว

5403 ความคิดเห็น