ไผเป็นไผ (นิยายชีวิต)
วันก่อนได้คุย MSN กับคุณหมอจอมป่วน คุณหมอบอกให้เขียนไผเป็นไผซะดีๆ เลยบอกคุณหมอไปว่า เรื่องราวของผู้เขียนนั้นตั้งแต่เล็กจนโตยิ่งกว่านิยายน้ำเน่า คุณหมอกลับบอกมาว่าถึงจะเน่าก็โป๊ะๆ แป้งหน่อยก็จะหอมเอง นึกไม่ออกเลยว่าจะเขียนออกมาอย่างไรดี แต่เมื่อรับปากคุณหมอจอมป่วนไปแล้ว อย่างไรก็ต้องเขียน ไม่มีทางหลีกเลี่ยงได้ซะแล้ว ผู้เขียนเลยเขียนออกมาแบบเล่าไปเรื่อยๆ เหมือนเล่าสู่กันฟังนะคะ
เมื่อนึกถึงเรื่องราวของตัวเองที่ผ่านมา มันมีเรื่องราวมากมาย น้ำดีบ้าง น้ำเน่าบ้าง ถ้านำมาบันทึกไว้ก็คงจะดีเหมือนกันนะค่ะ และอยากจะเขียนไว้เพื่อระลึกถึงความผูกพันอันลึกซึ้งที่ผู้เขียนมีต่อหลายๆ สิ่งในอดีต และยังได้ทบทวนชีวิตของตัวเองที่ผ่านมาว่าตนเองได้ใช้ชีวิตที่ผ่านมาอย่างไร ดีหรือไม่ดีอย่างไร มีอะไรบ้างที่ยังเห็นว่าไม่ดีและควรปรับปรุงแก้ไข รวมถึงจุดมุ่งหมายของชีวิตที่หวังจะให้จะเกิดขึ้นต่อไปในอนาคต…ว่าควรจะดำเนินต่อไปอย่างไร
พ่อของผู้เขียนเกิดในครอบครัวชาวนาและเป็นคนโคราชโดยกำเนิด จนเมื่อปู่เสียชีวิต ตั้งแต่ย่ายังอายุน้อย ทำให้ครอบครัวขาดเสาหลัก อีกทั้งย่ามีลูกตั้ง 12 คน พี่ชายพี่สาวคนโตของพ่อแต่งงานไปแล้ว ทำให้พ่อเป็นพี่ชายคนโตสุดที่เหลืออยู่และต้องเป็นเสาหลักแทนปู่ที่เสียชีวิตไป พ่อรับภาระดูแลย่าและน้องชายน้องสาวหลายคน ย่าเสียชีวิตเมื่อปี 2548 อายุได้ 90 กว่าปี นับดูแล้ว ย่าใช้ชีวิตอยู่คนเดียวตั้งแต่ปู่เสียชีวิต 50 กว่าปี นานมากๆ เลยทีเดียว ย่าพาลูกๆ ย้ายจากโคราชมาอยู่ที่พิษณุโลก พ่อเลยได้เจอแม่ที่นี่ และมีพวกเราสามพี่น้องที่จังหวัดพิษณุโลก
เมื่ออายุได้ 5 ขวบ พ่อพาพวกเราและอาย้ายมาอยู่ที่จังหวัดกำแพงเพชร และได้เริ่มเรียนชั้นประถมศึกษาที่นี่ ตอนเป็นเด็กซนมาก จนแม่เอาไม่อยู่ ซนชนิดที่ว่าเด็กผู้ชายยอมแพ้ แต่เรียนหนังสือค่อนข้างใช้ได้ ทำให้แม่ยอมๆ ได้บ้าง ตั้งแต่ชั้น ป.1 ถึง ป.6 สอบได้ที่หนึ่งตลอด วิชาที่ชอบเรียนคือวิชาภาษาไทย แต่เมื่อคุณครูถามโตขึ้นอยากเป็นอะไร ตอบคุณครูไปว่าอยากเป็นนักวิทยาศาสตร์ ตอนนั้นตอบคุณครูไปอย่างนั้นเองไม่ได้คิดอะไรมาก การที่ผู้เขียนชอบเรียนวิชาภาษาไทย ทำให้ผู้เขียนชอบอ่านหนังสือ ชอบบทกลอน คำประพันธ์ ชอบเขียนบันทึกมาตั้งแต่เด็กๆ กลับมาบ้านก็อ่านแต่หนังสือภาษาไทย ตอน ป.4 คุณครูให้แต่งกลอนดอกสร้อย ในหัวข้อความกตัญญูกตเวทีส่งเนื่องในวันแม่แห่งชาติ แล้วคุณครูจะคัดเลือกส่งไปประกวดในรายการรักลูกให้ถูกทาง ก็ตั้งใจแต่งเต็มที่ แต่ของเราไม่โดนใจคุณครูเลยโดนคัดออก น้อยใจคุณครูมาก จึงได้แอบตัดแบบฟอร์มในหนังสือพิมพ์เอามาเขียนและส่งเอง วันประกาศผลปรากฏว่าของเราได้รับรางวัลด้วย รางวัลเป็นทุนการศึกษาจากมูลนิธิ ดร.เทียม โชควัฒนา เครือสหพัฒน์ฯ ซึ่งร่วมกับรายการรักลูกให้ถูกทาง เป็นทุนการศึกษา 1,500 บาท และต้องเดินทางไปรับทุนและเกียรติบัตร รวมทั้งเข้าร่วมกิจกรรมกับทางรายการรักลูกให้ถูกทางที่จังหวัดเชียงใหม่ แต่ไปไม่ถึง ถึงแค่ อ.เถิน จ.ลำปาง เพราะรถประสบอุบัติเหตุ ทำให้ย่าเกือบเสียชีวิต ด้วยความที่เป็นเด็กเลยคิดไปว่าตัวเองเป็นสาเหตุทำให้ย่าได้รับบาดเจ็บ จึงเสียใจมากกับอุบัติเหตุดังกล่าว
นอกจากนี้ผู้เขียนยังเป็นนักกีฬาของโรงเรียน ชนิดที่ว่าเล่นทุกอย่าง ตั้งแต่ วิ่ง กระโดดสูง กระโดดไกล วอลเล่ย์บอล ปิงปอง บาสเกตบอล จนได้รับเลือกให้ถือคบเพลิงในวันกีฬาสีของโรงเรียนสองปีซ้อน เป็นประธานนักเรียนตอนอยู่ ป.5 ชนะพี่ ป.6 แบบไม่คาดฝัน พอ ป.6 ไม่ลงรับเลือกตั้งอีก เพราะคิดว่าเราไม่มีความสามารถในการเป็นผู้นำ แต่ให้เป็นหัวหน้าทีมวอลเล่ย์บอลไม่เกี่ยงเลยเพราะชอบทางกีฬามากกว่า..ชีวิตในช่วงประถมศึกษา เป็นช่วงชีวิตที่มีความสุขมากตามประสาเด็กๆ ที่ซน และมีโอกาสได้ทำอะไรหลายๆ อย่างที่อยากทำ ได้เล่นตามแบบที่ตัวเองเลือก และคิดอยู่เสมอว่าตัวเองโชคดีที่ได้เกิดเป็นเด็กบ้านนอก ได้เล่นซนอยู่กับห้วย หนอง คลอง บึง ได้เล่นน้ำ ได้จับปลา ขุดจิ้งหรีด ได้ขุดมันแกว เก็บผักบุ้ง หาปลากัด ช่วยแม่ปลูกผัก ไปนา เก็บหอย เก็บปูมาเผา ประสบการณ์ชีวิตทั้งหมดที่ได้มาจึงมีคุณค่า ที่สอนให้รู้จักทักษะแรกของการใช้ชีวิตบนโลกกว้างใบนี้…
ตอนเริ่มเรียนชั้นมัธยมต้น แม่ส่งไปเรียนโรงเรียนประจำซึ่งอยู่ไกลบ้านค่อนข้างมาก ก่อนหน้านั้นส่งพี่ชายไปก่อนแล้วแต่อยู่คนละโรงเรียน ที่บ้านจึงเหลือน้องสาวคนเดียวที่อยู่กับแม่ ช่วงนั้นชีวิตเริ่มรู้จักความยากลำบากพอสมควร เพราะต้องไปใช้ชีวิตเด็กหอเพียงลำพังโดยที่ไม่มีพ่อ แม่ คอยช่วยเหลือ ต้องช่วยเหลือตัวเองทุกอย่างและมีเพียงเพื่อนๆ ที่อยู่หอพักเท่านั้นที่ดูแลกันและกัน โดยมีคุณครูประจำหอพักคอยดูแลเราอยู่ห่างๆ ส่วนทางด้านครอบครัวนั้นพ่อก็ถูกเพื่อนรักโกงเงินที่ลงทุนไปซื้อวัวมาขาย นาข้าวที่ปลูกไว้หลายไร่ถูกเพลี้ยกระโดดลง นาข้าวหายไปในพริบตา ฐานะการเงินของเราจึงอยู่ในขั้นลำบากมาก นอกจากนี้พี่ชายคนโตก็เริ่มติดยา ติดเพื่อน สร้างความทุกข์ทรมานให้พ่อกับแม่อย่างยิ่ง ในช่วงแรกที่อยู่โรงเรียนประจำแม่มารับทุกอาทิตย์แต่ช่วงหลังกลายเป็นสองอาทิตย์ครั้ง และก็กลายเป็นเดือนละครั้ง และที่นานที่สุดคือสามเดือนแม่ก็ไม่มารับเลย นอนร้องไห้อยู่กับคุณครูประจำหอพักบ่อยๆ พอวันศุกร์ได้เห็นเพื่อนๆ มีพ่อแม่มารับ ตัวเองก็จะวิ่งไปสวนมะม่วงหลังหอพักไปแอบร้องไห้อยู่คนเดียว ตอนนั้นเข้าใจเหตุผลของพ่อแม่ที่มารับไม่ได้เพราะอะไร แต่ก็อดน้อยใจไม่ได้ทุกที แม่บอกว่ามารับบ่อยไม่ได้ เราไม่ค่อยมีเงินเพราะมารับทีมันก็ต้องเสียค่าน้ำมันรถ แม่จะเก็บเงินไว้ให้เรียน เพราะตอนนั้นพ่อเริ่มมีหนี้สินเยอะมาก แม่จะเล่าสถานการณ์ที่บ้านให้ฟังทุกอย่าง ไม่บิดบัง เราจึงรู้หมดว่าแม่มีค่าใช้จ่ายอะไรบ้างที่ต้องจ่าย ไปกู้ใครมาบ้าง ต้องจ่ายหนี้เขาวันไหน เป็นหนี้อยู่เท่าไหร่…จึงทำให้เข้าใจและพยายามจะไม่เป็นภาระของพ่อมาก และพยายามตั้งใจเรียนให้ดีที่สุด
ช่วงชีวิตของเด็กหอ ทำให้เริ่มอ่านหนังสือในห้องสมุดอย่างจริงจัง เริ่มยืมหนังสือจากห้องสมุดไปอ่านในวันเสาร์อาทิตย์จะได้ลืมการคิดถึงบ้านได้ อ่านทุกประเภท อ่านเกือบทุกเล่ม จนระยะหลังหาหนังสือในห้องสมุดอ่านไม่ได้แล้ว เพราะอ่านมาเกือบหมด ช่วงนี้จึงทำให้ค้นพบตัวเองว่าชอบเรื่องสั้น บทประพันธ์ นวนิยายที่มีคุณค่า เช่น ทมยันตี แก้วเก้า กฤษณา อโศกศิน ว.วินิจฉัยกุล ครูมาลัย ชูพินิจ วานิช จรุงกิจอนันต์ โบตั๋น ฯลฯ ทำให้ชอบเรียนวิชาภาษาไทยมากขึ้นอีก ผู้เขียนคิดว่าการเป็นคนที่รักการอ่านนี้เองที่ทำให้ผู้เขียนมีสมาธิในการอ่านหนังสือดีขึ้น ทำให้การเรียนดีขึ้นเป็นลำดับ อยู่มัธยมต้นสอบได้ที่หนึ่งของห้องทุกปี คุณครูบอกว่าจบ ม.3 แล้วให้เรียนต่อที่นี่ เพราะตอนนั้นคุณครูเริ่มรู้แล้วว่าเราจะกลับบ้านอย่างเดียวไม่คิดจะเรียนต่อที่นี่แล้ว เพราะชีวิตเด็กหอ 3 ปีที่ผ่านมา มันทรมานเกินไป ซึ่งถ้าตัดสินใจเรียนต่อที่นี่ต่อไปก็อาจจะได้โควตาพยาบาล ซึ่งเป็นโควตาที่นักเรียนต่างจังหวัดฝันอยากได้ในตอนนั้น หรือจะทุนคุรุทายาทก็ได้ ทราบภายหลังว่าเพื่อนรักของเราได้ทุนนี้ไป ซึ่งผลการเรียนของเพื่อนแพ้เราอยู่ แต่ก็ได้ตัดสินใจกลับบ้านโดยไม่สนใจทุนอะไรทั้งนั้น อยากกลับไปอยู่บ้าน อยู่กับพ่อและแม่และน้อง ลืมบอกไปว่าพี่ชายหลังจากเรียนจบ ม.6 และทะเลาะกับพ่อก็หนีออกจากบ้านทิ้งความทุกข์ทรมานใจให้แม่อย่างยิ่ง เห็นแม่ทะเลาะกับพ่อเรื่องพี่ชาย แม่ร้องไห้ พ่อก็เครียดเรื่องเงินทอง ตอนนั้นมันตึงเครียดไปหมด เมื่อพ่อกับแม่ทะเลาะกัน ได้แต่จับมือกับน้องสาวไว้แน่น มองหน้ากันแล้วน้ำตาก็ไหล
เมื่อทนรับภาระหนี้สินไม่ไหว พ่อก็ตัดสินใจไปทำงานใช้แรงงานที่ประเทศไต้หวัน โดยบอกให้พวกเราตั้งใจเรียนไม่ต้องห่วงพ่อ พ่อจะหาเงินส่งพวกเราเรียนเอง ช่วงนั้นตัดสินใจมาเรียนมัธยมปลายใกล้บ้านแล้ว ได้อยู่กับแม่ ดูแลแม่และน้องอย่างเต็มที่ ถ้าเทียบกับเด็กในวัยเดียวกันถือเป็นภาระที่หนักอยู่เหมือนกัน ช่วยแม่จัดการเรื่องรายรับรายจ่ายของบ้าน เสาร์อาทิตย์ก็ไปรับจ้างทำงานไปกับน้องสาวได้ค่าจ้างเล็กๆน้อยๆ พอเป็นค่าขนม ตอนนั้นโกรธพี่ชายมากที่หนีไป ทิ้งภาระทั้งหมดไว้ให้เราต้องรับผิดชอบคนเดียว เป็นช่วงชีวิตที่ลำบาก เมื่อก่อนอยากกินอยากได้อะไรพ่อก็ซื้อให้ แต่ช่วงนั้นเราไม่มีเงินกันเลย แม่จะถามเราก่อนเสมอว่า หิวหรืออยาก ถ้าอยากอย่ากินนะลูกหิวแล้วค่อยกิน ผู้เขียนยังจำมาถึงทุกวันนี้ ครั้งหนึ่งแม่ล้มป่วย จำได้ว่ามีเราไม่มีเงินติดบ้านเลย เงินที่พ่อส่งมาก็เบิกไม่ได้เพราะแม่ป่วยหนักจนไปจัดการเบิกที่ธนาคารไม่ได้ และด้วยความที่เป็นเด็ก และไม่มีญาติพี่น้องที่ไหน เราจึงไม่รู้จะจัดการอย่างไร ไม่มีเงินพาแม่ไปหาหมอ แม่ไม่มียากิน ต้องไปขอซื้อยาที่ร้านยาแต่ขอติดเงินเค้าไว้ก่อน ป้าเจ้าของร้านขายยาก็ใจดีให้ยาพาราเรามาให้แม่ ด้วยความที่เป็นเด็กก็เอาแต่ร้องไห้ กลางคืนก็นอนร้องไห้…..ตัดสินใจเขียนจดหมายไปหาพ่อที่เมืองนอก แต่ไม่ได้ส่งเพราะไม่มีเงินซื้อแสตมป์
ช่วงมัธยมปลาย การเรียนไม่ดีเท่าที่ควรเพราะขาดเรียนบ่อย แต่ก็ยังอยู่ในลำดับ 1-3 ของห้องทุกปี เป็นที่รักของคุณครูเพราะเรียบร้อย ตั้งใจเรียน เป็นนักกีฬาของโรงเรียนด้วย และยังชอบเรียนวิชาภาษาไทย ยิ่งได้มาเจออาจารย์สอนภาษาไทยที่นี่ ยิ่งทำให้ชอบภาษาไทยมากขึ้น คะแนนเลยดีกว่าทุกวิชา จบ ม.6 เลยตัดสินใจเอนทรานซ์เข้าคณะวารสารศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เลือกอันดับเดียวด้วย แต่เอนทรานซ์ไม่ติด เลยเคว้ง เลยตั้งใจจะขอแม่ไปเรียนรามคำแหง คณะมนุษย์ศาสตร์และสื่อสารมวลชน แต่ทราบฐานะการเงินของบ้านเราดี เห็นหน้าแม่ก็เลยไม่กล้าขอ
สุดท้ายก็เลยตัดสินใจไปสอบเรียนต่อที่ สถาบันราชภัฏพิบูลสงคราม จังหวัดพิษณุโลก คณะวิทยาศาสตร์ สาขาการจัดการสิ่งแวดล้อม แต่เวรซ้ำกรรมซัด สาขานี้สถาบันแจ้งให้ทราบว่าไม่สามารถเปิดสอนได้ จึงแก้ปัญหาโดยให้ไปเรียนรวมกับสาขาวิทยาศาสตร์สิ่งแวดล้อม ซึ่งต้องเรียนวิชาพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์ คือ ฟิสิกส์ เคมี ชีวะ ซึ่งเราจบสายศิลป์มา ทำให้ชีวิตต้องเจอกับคลื่นชีวิตอีกระลอก ปีหนึ่งเทอมแรกเรียนฟิสิกส์ เคมี ชีวะ เหมือนงมเข็มในมหาสมุทร นั่งฟังอาจารย์สอนเหมือนพูดคนละภาษา ไม่เข้าใจ ไม่รู้เรื่อง เกรดเทอมแรกจึงออกมา แค่ 1.85 ช่วงนั้นเครียดสุดๆ เพื่อนๆที่จบสายศิลป์มาก็ทยอยออกไปทีละคน จนเหลืออยู่แค่สามสี่คนจากนักศึกษาทั้งห้อง 37 คน แต่แม่ให้กำลังใจว่าเรียนดูอีกเทอม ถ้าไม่ไหวค่อยออก แล้วไปสอบใหม่ แต่ด้วยความที่เสียดายเงินค่าเทอม (ในตอนนั้นที่แพงกว่าทุกสาขาที่เปิดสอน) บวกกับความเสียดายเพื่อน เลยจะขอสู้ต่ออีก ปิดเทอมไปเรียนพิเศษวิชาเคมี ชีวะ ฟิสิกส์กับนักเรียน ม.ปลาย และก็เรียนพิเศษตอนเย็นอย่างนี้จนขึ้นปีสอง จึงทำให้เกรดดูดีขึ้นมาบ้างและเพื่อนๆ สายวิทย์ก็ช่วยกันติวเต็มที่ ถูๆ ไถๆ จนเรียนจบปริญญาตรี วิทยาศาสตรบัณฑิต (วิทยาศาสตร์สิ่งแวดล้อม ) ด้วยเกรดเฉลี่ย 2.72 ถึงจะน้อยแต่ขอบอกว่าภูมิใจสุดๆ และยังได้ลำดับที่ 11 ของสาขา จากนักศึกษาที่จบสาขานี้ 35 คน ตอนที่เรียนจบพ่อยังไม่กลับจากเมืองนอก แต่ฐานะทางบ้านของเราเริ่มฟื้นตัว พ่อปลดหนึ้สินได้เกือบหมด น้องสาวได้เป็นนักเรียนทุนของสมเด็จพระพี่นางเธอฯ
เรียนจบเริ่มต้นทำงานปีแรกด้วยการเป็นผู้ช่วยนักวิจัย โครงการวิจัยที่มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง จังหวัดเชียงราย ชีวิตต้องระหกระเหินอีกรอบ เมื่อทางโครงการส่งไปเรียนแลปฯ ที่คณะแพทย์ศาสตร์มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ หนึ่งเดือนเต็มๆ ได้เรียนรู้ชีวิตหลายอย่างแม้เป็นเพียงระยะเวลาสั้นๆ และยังได้พบวิถีการกินผักจาก ศ.เกียรติคุณ นพ.ไมตรี สุขจิตต์ (ขออภัยหากเขียนนามสกุลท่านผิด) ท่านคงจำนักเรียนคนนี้ไม่ได้เพราะตอนนั้นนักเรียนที่ไปเรียนแลปหลายคน และเป็นช่วงเวลาเพียงสั้นๆ กลางวันท่านพาไปกินเจที่ร้านอาหารเจ จึงได้รู้จักวิถีการกินผัก ไม่เบียดเบียนชีวิตใครมานับตั้งแต่นั้น
กลับไปทำวิจัยที่มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง และกลับมาทำแลปที่มหาวิทยาลัยนเรศวรได้อยู่เกือบปี โครงการจึงสิ้นสุด จึงลาออกและไม่อยากเป็นนักวิจัยอีกเลย ค้นพบว่ามันไม่เหมาะกับตัวเอง
จากนั้นตกงาน กลับมาอยู่บ้าน เพื่อนๆ ชวนไปทำงานกรุงเทพ แต่ไม่ไปเพราะคิดถึงแม่ ช่วงนั้นพ่อกลับมาอยู่บ้านแล้ว แต่บอกว่าจะพักก่อนแล้วจะไปอีก แต่น้องสาวขอร้องไม่ให้ไปให้อยู่เป็นเพื่อนแม่ สงสารแม่เพราะอยู่คนเดียวมาหลายปีแล้ว น้องสาวได้ทำงานเป็นไกด์ทัวร์ ได้เงินเดือนเยอะพอสมควรจึงสามารถจะส่งให้พ่อกับแม่ใช้ได้อย่างสบายๆ ครอบครัวเราฟื้นตัว หนี้สินก็หมด พ่อกลับมาขายผักที่ตลาด และดูแลสวนมะขามหวานที่ปลูกไว้ก่อนไปเมืองนอก รายได้จากการขายผักและรายได้จากมะขามหวานทำให้พ่อกับแม่อยู่กันอย่างสบายขึ้นเพราะไม่ต้องส่งให้พวกเราแล้ว
บังเอิญช่วงที่ว่างงาน หัวหน้าฝ่ายสินเชื่อ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ชวนไปทำงานด้วย เลยได้เป็นพนักงานธนาคารอยู่หนึ่งปี จึงเริ่มมองเห็นว่าเราไม่สามารใช้วุฒิวิทยาศาสตรบันฑิต บรรจุเป็นพนักงานธนาคารได้เพราะไม่ตรงกับสาขาที่เขาต้องการ ช่วงที่ทำงานธนาคารได้มีโอกาสไปช่วยเหลือเด็กๆ ที่ยากไร้ตามโรงเรียนบนดอยบ่อยครั้ง ทำให้หวนนึกถึงชีวิตของตัวเองในวัยเด็ก กลับมาเลยตัดสินใจใช้เวลาว่างเสาร์อาทิตย์ไปเรียนประกาศนียบัตรวิชาชีพครู กะว่าจะเป็นครูให้ได้ และได้ไปฝึกสอนโดยขอเวลาจากธนาคารอาทิตย์ละสองวัน ในที่สุดเรื่องงานมีปัญหาที่เกิดจากเราเพียงคนเดียว เลยตัดสินใจลาออกและไปฝึกสอนที่โรงเรียนอย่างเต็มที่ จนจบหลักสูตรและได้ใบประกอบวิชาชีพครูมาอย่างภาคภูมิใจ
เริ่มต้นด้วยการเป็นครูอย่างจริงจังที่โรงเรียนเอกชนแห่งหนึ่ง และที่นี่ที่ทำให้รู้จักคำว่า ครู เวลานักเรียนเรียกเราว่า ครู มันมีความภูมิใจเล็กๆ และมีกำลังใจในการทำงานมากยิ่งขึ้น สัญญากับตัวเองว่าจะเป็นครูที่ดีให้ได้ จากนั้นมาสอบเป็นอาจารย์พิเศษที่วิทยาลัยเทคนิคกำแพงเพชร และเป็นอาจารย์อยู่ที่วิทยาลัยเทคนิคกำแพงเพชรจนถึงปัจจุบัน ชีวิตยังไม่จบที่จะเรียนรู้ ยังมีอีกหลายสิ่งหลายอย่างที่ต้องเรียนรู้อย่างไม่มีวันสิ้นสุด ชีวิตการทำงานที่นี่ยังไม่อาจเล่าให้ฟังได้เพราะเพิ่งเริ่มต้นที่จะเรียนรู้หากมีโอกาสจะเล่าในโอกาสต่อไปค่ะ
ปัจจุบันนี้ได้ใช้ชีวิตอยู่กับครอบครัวมากขึ้น ได้ดูแลพ่อกับแม่มากขึ้น มีความสุขจากวิถีการใช้ชีวิตที่พอเพียงของพ่อกับแม่ที่เป็นต้นแบบให้เราได้เรียนรู้มาตั้งแต่เด็กจนโต แม่จะสอนเสมอเรื่องความกตัญญูต่อผู้มีพระคุณ สอนให้เรารู้จักทำความดี สอนให้เราช่วยเหลือคนอื่น สอนให้เราอดทนต่อความยากลำบาก รู้จักความพอเพียง ชีวิตทั้งหมดที่ผ่านมาต้องยกความดีให้พ่อกับแม่ที่เป็นตัวอย่างที่ดีให้ลูกได้ซึมซับและเรียนรู้จนสามารถใช้ชีวิตอยู่ได้อย่างมีความสุข
ถอดบทเรียนจากชีวิตที่ผ่านมา
- พ่อเป็นตัวอย่างของความขยันหมั่นเพียรทำให้เราได้ซึมซับมาใช้ตั้งแต่เล็กจนโต
- ถึงแม้เราจะยากจน แต่เราก็ไม่เคยยอมแพ้ต่อโชคชะตา ความจนสอนให้เราเข้มแข็งและสามารถเผชิญปัญหาทุกอย่างที่เข้ามาได้
- ความกตัญญู จะนำพาเราไปในทางที่ดี
- ชีวิตเปรียบเสมือนการเดินทางไกล หากเรามีเสบียง (ความดี) ตุนไว้อย่างพอเพียงต่อให้เดินทางไกลแค่ไหนเราก็จะไม่รู้สึกถึงความยากลำบาก
- ความยากลำบากในวัยเด็กทำให้เราเข้าใจคนที่ยากลำบากกว่า เข้าใจและพร้อมช่วยเหลือทุกครั้งที่มีโอกาส
- ความรัก ความอบอุ่นในครอบครัว เป็นภูมิคุ้มกันที่ดีของชีวิต
และสุดท้ายขอบคุณพ่อกับแม่…..ที่เป็นแรงผลักดันให้ชีวิตเรา
ก้าวไปในวิถีทางที่ดีและไม่หลงทาง
« « Prev : เพราะวันเกิดของพ่อ..คือวันพิเศษของหนู
Next : เพราะวันนี้เป็นวันเกิด ?? » »
26 ความคิดเห็น
อ่านแล้วชื่นใจที่ได้ทราบการต่อสู้ชีวิตของเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ แต่ใจแกร่งดุจหินผา เธอคงเป็นแม่พิมพ์ที่เด็กภาคภุมิใจที่ได้เป็นลูกศิษย์
แหมเขียนดีน่าอ่านขนาดนี้ น่าจะเขียนตั้งแต่ปีมะโว้แล้ว นะมิม
ว่างๆเขียนอีก เคยเขียนเรื่องประกวดประสบผลสำเร็จมาแล้ว แถมยังต้องดิ้นรนส่งเรื่องเองทั้งๆที่คุณครูไม่สนับสนุน แต่ที่นี่สนับสนุนสุดใจขาดดิ้นเลยนะมิม รางวัลรึ ให้ไปแล้วนี่น่า
เป็นชีวิตที่น่านับถือมากครับ ขอบอก
แม่พิมพ์ของชาติ ที่หล่อหลอมจากเบ้าหลอมที่แข็งแกร่ง
ผมหายห่วงไปเลยเรื่องลูกศิษย์ลูกหา …………. เยี่ยม ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ
มาเป็นคนแรกเลย สงสัยว่าอ่านจบเปล่าน๊อ ฮ่า..
ตัดใจเขียนเพราะกลัวโดนนินทาค่ะ
รางวัล..อะไรหรือค่ะ งงเลย!!
ขอบคุณท่านคอน….
นิยายชีวิตเด็กบ้านนอกคนหนึ่งนะคะ
อิอิ
เยี่ยมมากจ้ะ นับถือมาก
ชอบผู้แต่งนวนิยายคนเดียวกันเลย และชอบภาษาไทยเหมือนพี่อีก ถูกใจๆๆๆ อิอิอิ
พยายามทำงานอย่างเต็มความสามารถนะคะ
อิอิ แข็งมากอาจแตกก็ได้นะท่าน…
อิอิ พี่เบิร์ด….เรื่องนวนิยายนี่ชอบอ่านมากค่ะ
แต่เดี๋ยวนี้ไม่ค่อยมีเวลาได้อ่าน
และหันมาอ่านหนังสือหลายๆ ประเภทค่ะ
แต่ช่วงนี้…..หยุดไปเลยค่ะ ยุ่งจนหัวฟู อิอิ
คิดถึงๆๆ
ยินดีที่รู้จักด้านในของมิม
มากำแพงเพชรคราวหน้าจะมาเยี่ยม เพราะพี่ชายคนข้างกายสร้างบ้านอยู่ที่นี่ครับ
มีครั้งหนึ่งพี่ไปสวนของอาจารย์แม่โจ้ท่านหนึ่ง ท่านเขัยนคติติดข้างฝาไว้ว่า
“ทำงานหนักไม่ตายง่าย ไม่ทำงานน่ะแหละตายง่ายกว่า” ให้กำลังใจคนทำงาน
มาคราวหน้า ส่งข่าวด้วยนะคะ
เจ้าของถิ่นจะได้เตรียมต้อนรับค่ะ
วันหลังหากสนใจเที่ยวสวนมะขามหวานก็เชิญนะคะ
อิอิ
ชื่นชมกับความพยายามและความอดทนของครูมิม
คนเราเมื่อผ่านความยากลำบากมาได้แล้ว ไม่มีอะไรจะขวางเราได้อีกแล้ว น้องจะเป็นคนที่มีคุณค่ายิ่งของสังคมอีกคนเพราะน้องเป็นครูที่จะปั้นลูกศิษย์ให้เป็นคนดีเหมือนที่ครูเป็น…อย่างแน่นอน..
นับถือๆๆๆๆๆ
เป็นบทเรียนให้พวกคาบช้อนเงินช้อนทอง หรือคนที่ชอบบ่นว่าลำบากๆๆๆ
จะให้น้องอ้ายอ่านจะได้สู้ๆๆๆๆๆ เหมือนพี่มิม
ขอบคุณทุกท่านค่ะที่เป็นกำลังใจ
การที่ได้รู้จักทุกท่านในโลกออนไลน์แห่งนี้
มันเป็นเรื่องที่วิเศษอีกอย่างของชีวิตเช่นกันค่ะ
ทำให้เราได้ศึกษาชีวิตของหลายๆ ท่าน
เพราะชีวิตของบุคลลที่ถูกถ่ายทอดออกมา
เปรียบเสมือนทางลัดที่จะพานำเราไปสู่หนทางที่หวัง
นำไปใช้เป็นบทเรียนของชีวิต ทำให้เราไม่หลงทาง
อย่างน้อยท่านๆ ก็ได้เดินทางนั้นมาแล้ว
ขอบคุณมากค่ะ
ดีใจค่ะหากชีวิตบางส่วนที่ถ่ายทอดออกไป
จะเป็นข้อคิดให้กับใครๆ ได้บ้าง
ขอบคุณน้องอ้ายล่วงหน้าค่ะ..
แต่เยอะหน่อยนะคะ น้องอ้ายคงตาลายเสียก่อน อิอิ
ขอบคุณคุณหมอค่ะ
[...] น้องมิม นิยายชีวิต [...]
พอถูกพ่อครู ฯ ขอให้เขียน “เจ้าเป็นไผ” เลยต้องตามมาเสาะหา ว่าที่จริง มันคืออะไรต้องทำอย่างไรบ้าง พี่ก็คงไม่มีโอกาสได้พบ ขุมทรัพย์แห่งประสบการณ์ที่มีค่าของน้องที่นี่ในวันนี้
ปกติพี่ครูปูไม่ชอบอ่านหนังสือนิยาย ไม่ดูทีวี ไม่ดูละคร จะเลือกดูข่าวของจริงล้วน ๆ จะตามเรื่องอะไรก็ตามเป็นเรื่อง ๆ เหมือนที่เคยเล่าเรื่องทีวีที่บ้านให้หนูฟัง แล้วหนูขำกร๊ากกหน่ะ
แต่ต้องขอบอกว่า คงเสียใจแย่ถ้าไม่ได้ตามนิยายชีวิตเรื่องนี้ หนูเขียนได้เห็นภาพ ชัดเจน ใสแจ๋วทุกเรื่องเลยหล่ะ สัมผัสได้ถึงพลังฮึดสู้ยิบตา ภายใต้แววตานิ่ง ๆ แป๋วแหววของหนู
พี่ครูปูหล่ะอยากจะเขกหัวตัวเองเหลือเกิน ในฐานะพี่สาวที่ถือว่าสนิทกับน้องครูมิมสุด ๆ คนหนึ่ง โทษฐานที่ว่า “ไปทำอะไรที่ไหนมา”
เจอกันคราวหน้าพี่จะกอดหนูในแน่นกว่าที่ผ่านมาอีกนะ
ระวังตัวให้ดี
อิอิ
คิดถึงเหลือเกิน อย่าว่าแต่พี่ปูจะกอดมิมแน่นๆ เลย หากเจอกันมิมก็จะขอกอดอุ่นๆ แน่นๆ นานๆ เหมือนกัน…….
ไม่ว่าอะไรพี่ปูเลย เรื่องที่มาอ่านนิยายชีวิตช้า ดีกว่าไม่อ่านเนอะ ตอนเขียนไม่ได้คิดเลยว่าจะเขียนไปทางไหน เล่าไปเรื่อยๆ ตามความรู้สึก ตามสิ่งที่พบเจอและผ่านมา เขียนไปเขียนมามันยาวแฮ่ะ อิอิ
ดีเหมือนกันนะคะ การเขียนทำให้เราได้ทบทวนชีวิตของตัวเองที่ผ่านมาตั้งแต่เด็กจนโต ว่าเราทำอะไรมาบ้าง และชีวิตต่อไปควรจะดำเนินต่อไปในทิศทางไหน ทำให้เราเห็นจุดมุ่งหมายของเราได้ชัดเจนยิ่งขึ้น…เขียนไปเขียนมาเศร้าเอง จะร้องไห้อีกหล่ะ อิอิ
จะรออ่านเรื่องของพี่ปูบ้างน๊า…รีบๆเขียนนะคะ
ขอบคุณอาจารย์มากค่ะ…รักษาสุขภาพนะคะ
มาช้า
แต่ก็จะมา
อยากบอกว่า
อยากให้กอดอีก 3 กอด
อิอิอิ
……..
ชีวิตเราเป็นไงหว่า
ในเรื่องร้ายๆ เมื่อเรื่องร้ายหายไปจะมีเรื่องดีๆ ซ่อนอยู่
..
ประทับใจ ในความยืนหยัดต่อสู้กับความทุกข์ โดยแสวงหาการปลดทุกข์ ที่เหมาะสม
ชื่นชม ในการสร้างสุข ด้วยการสะสมความดีงาม
..
นอกจากถอดบทเรียนชีวิตตนเอง แล้วยังสร้างบทเรียนที่ทรงคุณค่าให้กับผู้อื่นอีกด้วย
..
ขอกอด ด้วยใจที่ดีงาม ครับ
เรื่องกอดคงไม่ต้องบอกว่ากี่ที
เพราะตามใจคนกอดนะเจ้า
อิอิ
ที่ตามมาจนเจอกัน อิอิ
ขอบคุณในความสดใสร่าเริง ที่มอบให้กันและกันนะคะ
ประทับใจจริงๆ
สำหรับนิยายชีวิตเรื่องนี้ หากคนอ่านได้อะไรหลังจากได้อ่านบ้าง
ผู้เขียนก็ปลื้มปิติอย่างมากแล้วละคะ
ขอบคุณมากๆ แล้วจะตามไปอ่านของตาหยูบ้าง…อิอิ
-มิมจ๋า…ป้าจุ๋มเพิ่งมีโอกาสเข้ามาอ่านนิยายชีวิตของมิม…ขอบอกว่ามิมเขียนและลำดับเรื่องได้ชัดเจนดี อ่านแล้วประทับใจ…
-อุปสรรคและวิกฤติชีวิตที่ผ่านมาทั้งหมดมิมได้ใช้ความรัก&ความกตัญญูในการแก้ปัญหาก็เลยทำให้ทุกอย่างผ่านไปได้ด้วยดีจ้า…
-ทั้งหมดเป็นภูมิต้านทานที่ดีที่สุดในชีวิตจ้า…คนคิดดีทำดีและจิตใจดีอย่างนี้ ตกน้ำไม่ไหลตกไฟไม่ไหม้ ชีวิตจะมีแต่ความเจริญรุ่งเรือง…
-ป้าจุ๋มรักมิมน๊ะจ๊ะ…หอมแก้มๆๆ…และกอดๆๆๆจ้า…และจะเป็นกำลังใจให้มิมตลอดไปจ้า…ขอให้โชคดีจ้า…
ดีใจจังป้าจุ๋มมาอ่านแล้ว
นึกถึงกอดอันแสนจะอบอุ่นของป้าจุ๋มค่ะ
คิดถึง อยากกอดอีก อิอิ
มิมก็รักป้าจุ๋มเหมือนกันค่ะ….
สรุปว่า…เรารักกันเนอะ
อิอิ
[...] นิยายชีวิต…, 2009/03/27 at 5:13 [...]