กลับบ้านสวน…
จำได้ว่าครอบครัวของเราผ่านความยากลำบากมาด้วยกันมากมาย ตั้งแต่อยู่บ้านกระต๊อบเล็กๆ กลางทุ่งนา น้ำไฟไม่มี ต้องอาศัยไฟจากตะเกียงน้ำมันก๊าด น้ำก็ต้องอาศัยบ่อน้ำเล็กๆ ที่พ่อขุดเอง…การเดินทางไปตลาดอาศัยการปั่นจักรยานหรือเดินไปเท่านั้น เวลาไปโรงเรียนเราสามคนพี่น้องก็ต้องปั่นจักรยานผ่านถนนที่เต็มไปด้วยดินโคลนเละๆ กว่าจะถึงโรงเรียนเสื้อผ้าก็มอมแมม เลอะเทอะทุกวัน…
กลับมาจากโรงเรียน ก็ไปปักเบ็ดกับพ่อกลางทุ่งนา ตกดึกเราก็ไปดูว่าเบ็ดที่ปักไว้มีปลามาติดหรือเปล่า บางครั้งมีปลาตัวใหญ่มาติดแล้วดิ้นตุมๆ น้ำกระจาย เราก็ต้องรีบวิ่งไปดูจนลื่นตกหัวคันนา (ถนนเล็กๆ ที่ใช้ดินปั้นไว้เป็นทางเดินระหว่างแปลงนา) บางทีแทนที่จะเจอปลาตัวใหญ่ๆ เรากลับเจอเจ้างูตัวใหญ่ ที่มากินปลาที่ติดเบ็ดของเราอีกที ที่ไม่ชอบอย่างยิ่งคือการโดนมดคันไฟกัดจนขาแดงเป็นจ้ำๆ
……………..
วันนี้มิมกลับมาอยู่บ้านสวน บ้านแฝดหลังใหญ่สีครีมที่อยู่ติดทุ่งนา มีน้ำปะปา ไฟฟ้า และเครื่องอำนวยความสะดวกครบครัน ต่างจากกระต๊อบกลางทุ่งนาที่ไม่มีเครื่องอำนวยความสะดวกอะไรแม้แต่ชิ้นเดียว วันนี้บ้านเรามีรถยนต์ไว้สำหรับเดินทาง ไม่ต้องปั่นจักรยานหรือเดินลุยโคลนเหมือนเมื่อก่อน ……
ในขณะที่นั่งเขียนบันทึกนี้ พ่อกับแม่ได้หลับไปแล้วตั้งแต่หัววัน แม่นอนหน้าทีวี พ่อเข้าไปนอนในห้องนอน…บ้านของเราจะนอนตรงไหนก็ได้เพราะไม่มียุง แม่กับพ่อเลยเลือกนอนได้ตามสะดวก แม่จองหน้าทีวี พ่อนอนในห้องนอน บางวันพ่อก็นอนหน้าหิ้งพระ ความสะดวกสบายที่มีวันนี้ล้วนเป็นผลมาจากความขยันหมั่นเพียรของพ่อทั้งสิ้น มีแม่คอยจัดการความเป็นไปของบ้าน สองคนช่วยกันสร้างทุกสิ่งทุกอย่างพร้อมกับส่งลูกทั้งสามคนเรียนหนังสือจนจบ แทบไม่น่าเชื่อว่าเราจะผ่านความยากลำบากนั้นมาได้ และอยู่อย่างสบายในวันนี้ ตอนเป็นเด็กแทบนึกไม่ออกว่าเมื่อไหร่เราจะมีบ้าน ที่กันทั้งแดดทั้งฝนได้เหมือนคนอื่น เมื่อไหร่เราจะไม่ต้องนั่งมองรูรั่วของหลังคา แล้วขนหม้อ กะละมังมารองน้ำฝนที่รั่วลงมา
การกลับมาบ้านแต่ละครั้งเหมือนการได้มาพักผ่อนทั้งกายและใจที่เหนื่อยล้าจากการทำงานที่รุ้มเร้า แม้ว่าวันนี้มิมจะทำความสะอาดบ้านครึ่งค่อนวัน ด้วยการปัดกวาด เช็ดถู ซักเสื้อผ้าของพ่อและแม่ เปลี่ยนผ้าปูที่นอนให้พ่อใหม่ เก็บอันเก่ามาซักทำความสะอาด ดูดฝุ่น แต่ความเหน็ดเหนื่อยมันกลับเปลี่ยนเป็นความสุขใจอย่างบอกไม่ถูก…สองตายายก็ดูสดชื่นที่ลูกกลับมาบ้าน เพราะบ้านหลังใหญ่มันคงเงียบเหงาเกินไปถ้าอยู่กันเพียงสองคน หรือถ้าวันไหนเกิดงอนกันขึ้นมา บ้านทั้งบ้านก็เงียบไปกันใหญ่ ต่างคนต่างอยู่คนละมุมบ้าน แล้วก็ใช้โทรศัพท์ของตัวเองโทรมาฟ้องลูกถึงสาเหตุของการงอนกัน…ลูกก็ได้แต่ขำในพฤติกรรมขี้ฟ้องของพ่อกับแม่ สรุปว่าพ่อฟ้องเก่งกว่าแม่ อิอิ
ต้นข้าวกำลังเขียวแล้ว น้ำก็เต็มสระทั้งสองลูก วันนี้ไม่ได้เอากล้องมาเลยไม่มีรูปมาให้ดูกัน พ่อกับลูกเอาต้นเอกมหาชัยที่พ่อครูบาให้มาไปปลูกกันหลังบ้านสองต้น อีกสามต้นจะเอาไปปลูกที่สวนมะขาม ต้นจำปีกลางบ้านที่ปลูกไว้ก็ออกดอกขาวเต็มต้น ยิ่งฝนตกปรอยๆ กลิ่นหอมของดอกจำปีก็ยิ่งหอมเย็นยิ่งนัก พ่อเก็บดอกตูมห่อด้วยกระดาษหนังสือพิมพ์ใส่ตู้เย็นไว้ขายให้พ่อค้าขายพวงมาลัย เก็บทุกวันสะสมไว้ ได้เยอะแล้วก็โทรให้พ่อค้าขายพวงมาลัยมาเอา ขายได้ราคาดีเหมือนกัน….สวนมะเขือเล็กๆ หน้าบ้านก็กำลังออกดอกงาม พริกก็มีลูกเต็มต้น มันหัวม่วงของพ่อก็เลื้อยยอดกำลังงาม อีกไม่เท่าไหร่ก็คงได้ขุดหัวมันมาต้มจิ้มน้ำตาลกัน ต้นหอม ผักชีก็งาม ดอกโป๊ยเซียนก็ออกดอกเยอะ ยิ่งได้น้ำฝนสีก็ยิ่งสวย ปลาในสระก็ร่าเริงเหมือนเดิม ตัวใหญ่มากเพราะตั้งแต่ปล่อยพ่อไม่เคยจับเขามากินเลย และไม่ยอมขาย พ่อบอกว่าอยู่ด้วยกันไปอย่างนี้แหละจนกว่าจะตายจากกัน เคยสั่งลูกๆ ไว้ว่า ถ้าพ่อยังไม่ตายห้ามใครมาจับไปกินเด็ดขาด พ่อบอกว่าปลาคือเพื่อนของพ่อ เวลาเหงาๆ เหนื่อยๆ ก็เอาอาหารมาหว่านแล้วปรับทุกข์กัน ประหลาดตรงที่ปลาว่ายมาให้พ่อลูบหัวโดยที่ไม่กลัวเลย เป็นปลาดุก กับปลานิล (ตอนนี้พ่อมีลูกเป็นสัตว์อยู่สามชนิด คือ ปลานิล ปลาดุกในสระ และเจ้าไหมสายไหม หมาตัวเดียวที่ยังเหลืออยู่)
ตรงบันได้หลังบ้านมีต้นมะรุมอยู่ต้นหนึ่ง ไม่สูงมาก มิมเก็บยอดและใบอ่อนมาทอดใส่ไข่ให้พ่อกับแม่ (บ้านมิมกินเจ แต่กินไข่กับนมได้เพราะถือว่าเราไม่ได้เอาชีวิตเค้า ไข่จะต้องเป็นไข่ฟาร์มเท่านั้น ) เพราะติดใจเมื่อตอนไปกินที่สวนป่า อร่อยแล้วยังมีประโยชน์อีกนานับประการ วันนี้ได้บรรยายสรรพคุณตามที่พ่อครูบาบอกให้พ่อกับแม่ฟังหมดแล้ว ที่สวนมะขามมีมะรุมเมล็ดใหญ่อยู่สองสามต้น เนื้อเยอะ เมล็ดใหญ่ บอกพ่อแล้วว่าให้เก็บเมล็ดไว้เพาะต้นกล้า ขยายการปลูกให้ได้อีกหลายๆต้น เมล็ดส่วนหนึ่งจะเก็บไว้เมื่อมีโอกาสจะได้เอาไปให้พ่อครูบาเพาะต้นปลูกต่อไป..
พรุ่งนี้จะเดินทางออกจากบ้านแต่เช้า เพราะมีนัดกินส้มตำที่พิษณุโลก กะว่าจะมี อรยนท เล็ก ๆ ใครจามฮัดเช้ย ก็ถือเสียว่าคือความคิดถึงจากพวกเรา
อิอิ
« « Prev : อาการแบบนี้…มันคืออะไร
Next : ชีวิตชาวนา ชาวสวน… ถ้าไม่สู้ก็อยู่ไม่ได้ » »
6 ความคิดเห็น
ดีมาก……ให้มันรู้ว่าความสุขที่แท้จริงอยู่ไหน ไม่ใช่แค่กิเลสเท่านั้น เป็นความรู้สึกที่เป็นจริงและธรรมชาติที่สุด
ขอให้มีความสุขมากๆครับ
อ่านแล้วมีความสุขจ้ะ ^ ^
“บ้าน” คำเดียวที่แม้ต่างภาษาจะเขียนต่างกัน แต่มีความหมายที่อบอุ่น อ่อนโยน เป็นบ่อเกิดของพลังยามท้อแท้ เป็นผ้าห่มอุ่นยามเหน็บหนาว เป็นลมเย็นฉ่ำยามร้อนใจ
อ่านแล้วฮัมเพลงโฮมเบาๆไปด้วย..บ้านนี้จะมีความงามได้เพราะมี”เธอ” อิอิอิ
ที่บ้าน ตากับยายเลิกงอนกันแล้ว
ที่เชียงแสน…ตายังงอนรึเปล่า ? อิอิ
ทำให้พี่นิด คิดถึง เมื่อเล็กๆๆ ชอบลากปลาด้วยก้านใบกล้วยแห้งๆๆมัดรวมกัน ถือปลายหางทั้งสองลากขึ้นบนหาดทรายแม่น้ำยม ที่สวรรคโลก เก็บปลาสร้อย ซิว อ้าว ไปทำทอดมันอร่อยมากที่ซู้ด
บ้าน ที่พักของกายและใจ
เหนื่อยจากไหน เอนตัวลงนอนสุขแท้
..
ความสุขที่มากล้น มักมาหลังความทุกข์ยาก เสมอ
..
สุขภาพจิตคงจะดีขึ้น
แล้ว สุขภาพกายเป็นอย่างไรบ้าง ณ กาลเวลานี้
หา ที่ไหนจะสุขใจเท่าบ้านเราไม่มีแล้วค่ะ
เขาจึงว่า บ้านคือวิมานของเรางัย