คำคมวันนี้
อ่าน: 48419“Todo Tag: เขียนตำราเรื่อง Mammography ภายใน 53”
อ่าน: 1704ความจริงนี่ก็ตั้งใจมาจะ 10 กว่าปีแล้วมั้ง…..
ดิฉันช่างมีบุญเสียนี่กระไร พอเริ่มมีเวลาให้สามารถทำอะไรได้เป็นเรื่องเป็นราวสักที
ก็ยังอุตสาห์มีเทวดากัลยาณมิตร หาวิถีทางผูกมัดให้ทำให้ได้จริงๆ (อย่าเพียงแต่คิดแล้วโม้ไปวันๆ)
แถม ได้ Mentor “จอมป่วน” ผู้มีเกียรติประวัติเป็นที่เลื่องลือว่า ไม่ว่าเรื่องอะไรที่สนใจ จะจิกไม่ปล่อย…..มาเป็นผู้คุมอีกด้วย
อย่างนี้ อนาคต คงจะไม่อนางอ เป็นแน่แท้
สัญญาค่ะ สัญญา ว่า I’ve to do เขียนตำราเรื่อง Mammography ภายใน 53 ให้ได้
เดี๋ยวพรุ่งนี้จะเริ่มวางแผนการ และวางเค้าโครงเรื่องก่อน
ถ้านับว่าต้องแล้วเสร็จภายในปี 53 ก็มีเวลาเพียง 12 เดือน เดือนไหนต้องทำอะไรบ้างน้อ ?
ตามด้วย งานวิจัย ที่เกี่ยวข้อง ต้องทำควบคู่ไปด้วย (ให้นิสิต ปี 3 ทำ seminar และปี 4 ทำ Project ประกอบ)
เขียนเสร็จ….น่าจะเป็นเจ้าแม่ Mammo ได้…… 55555555 ฝัน
เอาหล่ะ…..ถึงเวลา Tag ต่อแล้ว…………..
ท่านผู้นั้นก็คือ………………………………
ผู้ที่เล่าเรื่องพื้นๆ ได้อรรถรสเหลือเกิน
แถม…มีภาพสวยๆ ฝีมือถ่ายภาพระดับ Pro ประกอบ
บางทีก็มีเรื่องการเมืองที่ดิฉันไม่สนใจ….ทำให้ดิฉันสนใจขึ้นมาได้
ท่านผู้นั้นก็คือ……
เหมือนประกาศประกวดนางสาวไทยมั้ยคะ……..
คนที่ดิฉันอยากเลียนรู้ (สะกดไม่ผิดดอกค่ะ)
ท่านผู้นั้นก็คือ……….
ผู้ที่มีลานที่ขึ้นต้นด้วยสระ เอะ
และชื่อท้ายสะกดด้วยสระ เอา
ท่านผู้นั้นก็คือ…………แอ่น แอน แอ๊นนนนนน
ท่าน bangsai ค่า…………ท่าน bangsai แห่งลานเก็บเรื่องมาเล่า
ขอทุกท่านโปรดปรบมือต้อนรับด้วยค่า……………….:-D :-D :-D :-D
กติกา เอามาให้แล้ว
อีกท่านหนึ่ง
คือเจ้าของกอดที่ประทับใจไม่รู้ลืม
แม้จะอยู่ไกลแสนไกลจากกัน
แต่ไมตรีจิตอาทรไม่เคยสร่างซา
วันเวลา และระยะทาง ไม่เคยมีความหมาย
ป่านนี้….คนดีของพี่ทำอะไรอยู่น้อ….
มารับ Tag ต่อซะดีดี
ก็น้อง Sompornp งัยละคะ…….(น้าอึ่งอ๊อบ คนสวย แซ่เฮ )
กติกา เอามาให้แล้ว
คนรักต้นไม้
อ่าน: 5922ตอนมาอยู่ที่พิษณุโลกใหม่ๆ ได้อยู่หอพักอาจารย์ของมหาวิทยาลัย มีระเบียงทั้งหน้าห้องและหลังห้อง
ดิฉันก็ค่อยๆ เอากระถางต้นไม้มาเรียงไว้ทั้งหน้าห้องและหลังห้องเต็มไปหมด
ทุกวันก็ขยันรดน้ำ ตัดแต่งไปเรื่อย มีความสุขกับการจัดแต่งให้สวยงามตามทัศนะของตนเอง
อิตอนย้ายสถานที่ทำงานไปที่หน่วยประกันคุณภาพ ที่เป็นตึก มีแต่ห้อง ไม่มีระเบียง หน้าต่าง ก็สู้อุตสาห์ไปหาซื้อต้นไม้ในร่มมาจัด office
พอซื้อบ้านเอง….โชคดีได้ที่ริม
มีพื้นที่พอปลูกต้นไม้ได้ ก็บ้าเอาต้นไม้มาลงเต็มไปหมด อยู่มาแล้ว 3 ปี ก็ยังไม่ร่มครึ้มสมใจเลย เพราะส่วนใหญ่จะเลี้ยงต้อย ตั้งแต่ต้นยังเล็กๆ
เมื่อ 4 ปีที่แล้ว ต้องดูแลบ้านหลังใหญ่ (คณะสหเวชฯ) งานแรกเลย ก็คือทำสวนในอาคาร…..บริเวณนี้…ดิฉันชอบมาก เพราะทำให้ร่มรื่น เย็นสบาย
แต่โลกนี้ไม่มีอะไรแน่นอน……..
และโลกนี้ก็ไม่ได้มีแต่คนรักต้นไม้……..
ดิฉันไม่เห็นต้นไม้ที่ระเบียงหน้าห้องพักที่เคยอยู่อาศัยอีกเลยตั้งแต่ย้ายไปอยู่บ้านตัวเอง (เดี๋ยวนี้ แม่บ้านคงชอบใจพื้นหน้าห้องพักคงสะอาด เช็ดถูง่ายกว่าแต่เดิม)
ดิฉันไม่เห็นไม้ในร่มที่หน้า Office QAU อีกเช่นกัน
และสวนในโถงอาคารสหเวชฯ ตอนนี้ มลายหายไปแล้ว กลายเป็นลานโล่งทาสีเหลืองอร่าม (ยุงซักตัวก็ไม่มี)
สุดท้าย……….ก็เหลือแต่สวนที่บ้านที่ยังเป็น “ของดิฉัน” อยู่
ใช่….มันเป็น “ของดิฉัน” แต่เพียงผู้เดียว ซื้อต้นไม้มาปลูกเอง รดน้ำเอง ถอนหญ้าเอง ใส่ปุ๋ยเอง….
ประสบการณ์ก็คือ…..คนรักต้นไม้…..ในสังคมที่รายล้อมดัวดิฉันอยู่มีน้อยเหลือเกิน……..
แม้ดิฉันจะเข้าใจได้ว่า….คนเราย่อมรักชอบไม่เหมือนกันได้ เป็นธรรมดา
แต่ดิฉันก็เข้าใจผิดไปนาน…..ว่า อย่างไรเสีย คนรักต้นไม้ ย่อมมีจำนวนมากกว่าแน่นอน
มิน่า………โลกถึงได้ร้อน……อย่างนี้……..
๔ ก้าวย่างของชีวิต
อ่าน: 1506ไผ
อ่าน: 1997โชคดีตอนที่หัดนั่งเจริญสติใหม่ๆ หัวเข่ายังไม่เสื่อม….(ตอนนี้เริ่มออกอาการแล้ว!!) จึงพอนั่งขัดสมาธิได้
ครั้งแรกๆ เมื่อยขบ…ชาที่ขามากๆๆๆๆ
แต่พระอาจารย์ ท่านก็คอยบอกว่า…..
ถ้ารู้สึกชา เหน็บ เจ็บปวด ก็อย่าได้เปลี่ยนท่า….ให้เอาใจไปเพ่งอวัยวะส่วนที่รู้สึกนั้น แล้วก็บอกกับตัวเองว่า ชาหนอ เจ็บหนอ เมื่อยหนอ แล้วมันจะหายไปเอง
ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ…..เพราะดิฉันผ่านพ้นวิกฤตนั้นได้ ก็เพียงเพราะรับรู้ความรู้สึกนั้น
แต่ขอบอกก่อนนะคะว่า ไม่ใช่หายเพราะ “ทน” เอา
แรกๆ ดิฉัน ก็กังขาเสียเหลือเกินว่า
ทำไมพระอาจารย์สอนให้รับรู้ตามสภาพที่เป็นจริง
แต่ในขณะเดียวกันก็บอกให้ “นิ่ง” อย่าไหวติงตอบรับสภาพนั้น ให้อยู่อย่างนั้น
อย่างนี้ก็เท่ากับฝืนใจกันนะซี………
เอ๋….มันขัดๆ กันยังงัยพิกล !!!
แต่ทว่า…..การยอมรับสภาพปวดเมื่อยนั้น ด้วยความรู้สึกปวดเมื่อยจริงๆ มันรู้สึกอยู่ได้ไม่นาน มันไม่ได้ปวดเมื่อยตลอดไป มันค่อยๆ บรรเทาไปเอง แล้วก็มีความรู้สึกอย่างอื่นขึ้นมาใหม่ เช่น ถูกยุงกัด
คัน…คัน…อยากเกา…..
ความเมื่อยหายไป………เปลี่ยนเป็นคัน……
แม้จะไม่ได้เกา…..ไม่ได้หมายความว่า
ยุงจะบินหนีไปเอง ไม่มีตุ่มยุงกัด ด้วยอำนาจบารมีแห่งสมาธิจิตของเรานะคะ…..(ตุ๋ย…ตุ๋ย…)
มีบาดแผลเต็มไปหมดเลยค่ะ
แต่สิ่งที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อนเลย คือได้ รู้จักความรู้สึก “ยุงกัด”
การรับรู้ได้ถึงกระบวนการที่แสนจะแผ่วเบา เหมือนถูกเข็มเล็กๆ กำลังเจาะผ่านผิว……และอาการคันยิบๆ ที่ค่อยๆ เกิดขึ้น
แบบนี้ ยังไม่เคย รู้สึกมาก่อน…..เพราะตบมันตายก่อนทุกที !!!!
ทำให้ดิฉันคิดต่อว่า
อย่างนี้แล้ว…..การฝึกในที่ซึ่งสุขสบาย เช่น ในห้องแอร์ นั่งบนหมอนนุ่มๆ อยู่ท่ามกลางความสมาคมที่ปลอดภัย อาจไม่ช่วยให้เรียนรู้ได้เร็ว ได้จริง
ดิฉันบอกตัวเองเสมอว่า……แน่จริงเอ็งก็ไปฝึกในป่าช้า……คนเดียวสิ…..
เหอ..เหอ…เหอ….ช้าก่อน ดิฉันยังไม่กล้ารับคำท้าของตัวเองหรอกนะคะ……..ยังไม่กล้า
เหมือนแค่เห็นเข็มฉีดยา ก็กลัวเจ็บขึ้นมาซะก่อนแล้ว…..
ดิฉันยังมีเปลือกหนามากๆ สลัดไม่ออก ทั้งขี้เกียจ รักสบาย รักสวยรักงาม หยิ่งยะโส ยึดมั่นในเกียรติและศักดิ์ศรี ดื้อด้าน ไม่อดทน ฯลฯ ฯลฯ ฯลฯ
รู้จักตัวตนดิฉันบ้างรึยัง………………ว่าเป็นไผ
สมการคนกับลา
อ่าน: 1889Equation 1
Human = eat + sleep + work + enjoy
Donkey = eat + sleep
Therefore:
Human = Donkey + Work + enjoy
Therefore:
Human-enjoy = Donkey + Work
In other words,
A Human that doesn’t know how to enjoy = Donkey that works.
++++++++++++ +++++++++ +++++++++ +++++++++ +++++++++ ++ ++
Equation 2
Man = eat + sleep + earn money
Donkey = eat + sleep
Therefore:
Man = Donkey + earn money
Therefore:
Man-earn money = Donkey
In other words
Man who doesn’t earn money = Donkey
++++++++++++ +++++++++ +++++++++ +++++++++ +++++++++ +
Equation 3
Woman= eat + sleep + spend
Donkey = eat + sleep
Therefore:
Woman = Donkey + spend
Woman - spend = Donkey
In other words,
Woman who doesn’t spend = Donkey
++++++++++++ +++++++++ +++++++++ +++++++++ +++++++++ +
To Conclude:
From Equation 2 and Equation 3
Man who doesn’t earn money = Woman who doesn’t spend
So Man earns money not to let woman become a donkey!
And a woman spends not to let the man become a donkey!
So, We have:
Man + Woman = Donkey + earn money + Donkey + Spend money
Therefore from postulates 1 and 2, we can conclude
Man + Woman = 2 Donkeys that live happily together!
สอบอารมณ์
อ่าน: 1902ตอนฝึกวิปัสสนาฯ ใหม่ๆ ดิฉันงงกับคำว่า สอบอารมณ์ มั่กๆ เลยค่ะ
พระอาจารย์ที่สอน คือ พระมหาณัชพล ดิฉันมีบุญได้พบท่านโดยบังเอิญ
และเท่าที่คนอย่างดิฉัน ซึ่งไม่เคยคิดดั้นด้น ตามหาเกจิฯ ที่ไหน ดิฉันจึงยังไม่พบว่า มีพระวิปัสสนาในจังหวัดพิษณุโลกองค์อื่นอีก นอกจากท่านคนเดียวเท่านั้น
พระอาจารย์ของดิฉัน ไม่โด่งดัง มีลูกศิษย์ไม่มากนัก อาจเพราะท่านยังหนุ่ม และเน้นฝึกปฏิบัติ ไม่เน้นเทศน์แบบฟังแล้วจับใจ แต่ดิฉันแน่ใจว่าท่านเป็นพระปฏิบัติจริงๆ
ดิฉันนั้นว่าง่ายอยู่แล้ว….ให้เดินจงกรมก็เดิน …จากเดินโซเซ ก็ค่อยๆ เดินเป็นเดินมากขึ้น จากนั่งง่วงไร้สติ ก็นั่งตื่นได้บ้าง…..
พระอาจารย์ของดิฉัน เพียรตามสอน อย่างไม่รู้สึกเบื่อหน่าย……
ประมาณ 4 ปีเศษแล้ว นับแต่ดิฉันได้เรียนรู้วิธีฝึกเจริญสติ ด้วยการฝึกกับพระอาจารย์อย่างไม่สม่ำเสมอ (อาจารย์ต้องตามลูกศิษย์ตลอด) และด้วยการฝึกขณะดำเนินชีวิตประจำวัน
ดิฉันคิดว่า…..ดิฉันพอจะเข้าใจความหมายของคำว่า “สอบอารมณ์” ได้บ้างแล้ว
ในยามไม่ปฏิสัมพันธ์กับใคร ดิฉันชอบสอบอารมณ์ตนเองขณะดูหนัง โดยเฉพาะกับบทโศก บทตื่นเต้นหวาดเสียว……ถ้าตัวละครที่แสดงเก่งมากๆ ผลสอบออกมาว่ายังปาดน้ำตา….ยังซีึ้ง…..ยังเศร้า…..ยังเสียว…ตื่นเต้น หยุดไม่อยู่
ที่ชอบอีกอย่าง คือ สอบอารมณ์กับการฝันในแต่ละคืน เช่นถ้าฝันว่าเก็บเงินที่ไม่มีเจ้าของได้ แล้วตัวดิฉันในฝันทำอย่างไร? ผลสอบออกมาว่าปรากฎว่า รีบเก็บไว้ทันที…..ยังอยากได้อยู่ (หุ หุ โลภมาก)
ในยามที่ต้องปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น…ครอบครัว…..เพื่อนฝูง…..สิ่งแวดล้อม แล้วมีเรื่องให้โกรธ เกลียดอิจฉา ริษยา หมั่นไส้ เสียใจ น้อยใจ ดีใจ ลำพองใจ เป็นยังไง…………ขอบอกว่า…..ยังสอบตกอยู่เสมอ
ที่ดีกว่าตอนยังโง่อยู่คือตอนที่ยังไม่เคยฝึกเลยก็คือ….ฝีเท้าดีขึ้น….
แต่ก็เพียงอยู่ใน speed ที่วิ่งไล่ตามทันเท่านั้น
”เจ้าหนูลอดสายตา วิ่งออกจากรูที่ซ่อนไปได้ตามเคย ยังไม่เคยตะครุบมันได้ทันทีที่เห็นแค่ปลายจมูกโผล่ออกมาจากรู”
ถังซำหจัง
อ่าน: 2024วันนี้เปลี่ยนป้ายชื่อเจ้าของลานว่างใหม่ จาก “Malinee” เป็น “ถัง” ค่ะ
เผื่อว่า จะช่วยให้เกิดความรู้สึกเป็นกันเองกับพรรคพวกมากขึ้น
ความจริง ฉายานี้ มิใช่ฉายาใหม่ของดิฉันหรอกนะคะ
มันเป็นฉายาเก่าแก่ดั้งเดิม ตั้งแต่สมัยที่ดิฉันเรียนอยู่ที่โรงเรียนมัธยม “สตรีวิทยา” กทม. โน่นแหนะ
ตอนนั้น….มีเพื่อนเป็นแก๊งค์ใหญ่….จึงร่วมกันตั้งสมยานามกัน
เท่าที่จำได้ คนที่รูปร่างเพรียวลมสุดก็ตั้งแบบประชดประชันเจ้าหล่อนว่าเป็นโป๊ยก่าย แล้วเราก็เรียกขานว่าเจ้าโป๊ย เจ้าโป๊ย กันจนติดปาก แม้จนเรียนจบแต่งงานมีครอบครัวกันไปก็ยังเรียกกันอยู่ (เสียดายที่โป๊ยจากพวกเราไปแล้ว ทั้งที่ตอนนั้นโป๊ยยังอายุไม่มากและมีครอบครัวที่แสนอบอุ่น)
คนได้สมยานามว่าซัวเจ๋ง นี่ไม่รู้ยังงัยถึงไม่ติดปาก เรียกกันได้พักเดียวก็เลิก
ส่วนหงอคงก็ไม่มีใครเหมาะสม (จริงๆ แล้ว…รับไม่ได้กันมั้ง)
แล้วก็มาถึงถังซำหจัง….คงเป็นเพราะดิฉันเผลอคุยโวให้พรรคพวกฟังว่าคุณแม่ดิฉันเป็นจีนไหหลำ แซ่ถัง…นะจะบอกให้ ดังนั้นฉันนี่นะ สืบเชื้อสายมาจากราชวงศ์มีระดับ นับญาติกับฮ่องเต้ได้เชียวนา นี่แหละนา…..เลยโดนจับตั้งฉายาให้เลยว่าถังซำหจัง แตใครหล่ะจะเรียกยากอย่างนั้น…..ไอ้ถัง เจ้าถัง… ก็เลยติดปากพรรคพวก (เก่าแก่) และลามปามมาถึงพรรคพวกตอนเรียนมหาวิทยาลัยด้วย
เพราะฉะนั้น….ไม่ใช่ถังใส่น้ำ ถังถูบ้าน ถังแตก อะไรทั้งนั้นนะคะ…….โปรดทราบ
ฉายานี้….เริ่มลางเลือนเอาก็ตอนเป็นอาจารย์นี่แหละค่ะ……ความที่ต้องทำตัวให้น่านับถือ….สมกับแม่พิมพ์ของชาติ การใช้ชื่อ “มาลินี” อย่างเต็มยศ ก็เลยค่อยๆ เข้ามาแทนที่ ทำให้ดูดี พอวางบนหิ้งบูชาได้……
เรื่องราวความเป็นมาก็เป็นฉะนี้นะเอิงเอย…….
สอน….อย่างไรถึงจะดี?
อ่าน: 2059หลังจากเป็นผู้บริหารมาซะนาน แถมยังใช้อภิสิทธิ์สอนน้อยอีกต่างหาก กรรมก็เลยตามสนอง….
เมื่อเดือนที่แล้ว ดิฉันตั้งใจว่าจะเตรียมสอนอย่างประณีต พอเปิดเทอมเดือนนี้ จะสอนให้ดีละต่อไปนี้ เพราะมีเวลาแล้ว
หะแรก…ก็ค้น File เดิม ดูก่อน เป็น File ppt. ที่มีแต่รูป เนื้อหาน้อย (ตอนนั้น ใช้วิธีฝอยเอา) พิเคราะห์ดูแล้ว อย่างนี้ เด็กๆ จะได้อะไรจากเราไปบ้างนี่???
ต่อให้ดูด file ไปอ่านเองหลังจากอาจารย์สอนจบ ก็ไม่รู้เรื่องแน่ เพราะมีแต่รูปสวยๆ…. กับข้อความสั้นๆ
ด้วยดิฉันเคยคิดเสมอว่า ไอ้เจ้า ppt. นี่นะ มันไม่เหมาะเลยที่จะใส่ตัวหนังสือเข้าไปเยอะๆ ควรสื่อด้วยภาพ แล้วสอนขยายความด้วยคำพูดดีกว่า ใส่แต่ตัวหนังสือ นิสิตคงจะเบื่อแย่…
แต่เอ….นิสิตเดี๋ยวนี้ เขาก็ไม่จดบันทึก อะไรกันเลยนะ รอดูด File รอ Hand out จาก ppt. เพียงสถานเดียว อ้อ! บางคนมีสตังค์หน่อย ก็เอา mp3 มาวางบนโต๊ะเรียนแทนสมุด Lecture เสียเลย ดังนั้นเวลาเรียนก็นั่งฟังตาแป๋วอย่างสบายอารมณ์ แน่ใจว่าด้วยอุปกรณ์เหล่านี้ ไม่ทำให้ความรู้ตกหล่นไปไหนแน่
อีกอย่าง……ดิฉันเริ่มสังเกตได้ว่า อาจารย์สมัยนี้เขียนตำรากันไม่เป็น คำว่า “ไม่เป็น” ในความหมายของดิฉันก็คือ มันทื่อๆ ไม่น่าอ่าน เหมือนเอา ppt. แต่ละหน้าเอามาปะติดปะต่อกัน ลักษณะเป็นประโยคสั้นๆ แยกเป็น bullet ต่อท้าย ทำอย่างนี้ซ้ำๆ ในทุกหัวข้อเรื่อง ไม่มีการเกริ่นนำอารัมภบท ไม่มีคำเชื่อม คำขยาย หรือยกตัวอย่างประกอบ การเรียงร้อยถ้อยความไม่ลื่นไหล คอยแต่สะดุดกึกๆ อย่างนี้แหละค่ะ
เพราะ ppt. นี่เอง ที่ทำให้การสอนของดิฉันเปลี่ยนไป แถมเหมือนขาดเสียมิได้ด้วย
สมัยก่อน…ดิฉันจำได้ว่า เมื่อดิฉันเป็นนักเรียน นักศึกษา จะเรียนวิชาอะไร ต้องเตรียมสมุด Lecture ไว้ วิธีเรียนก็คือ ฟังอาจารย์บรรยายไปด้วยเขียนไปด้วย (อย่างเร็ว) ซึ่งต้องใช้สมาธิในการฟังและจับประเด็นสำคัญที่อาจารย์บรรยาย ต้องวางโครงสร้างไปด้วยว่าเรื่องต้องต่อกันเป็นลำดับอย่างไร เพราะฉะนั้น มันจะต้องคิดตามพร้อมๆ กันไปหมด เมื่อเอาสมุด Lecture มาอ่านภายหลังถึงจะรู้เรื่อง
หรือด้วยวิธีสอนสำเร็จรูปแบบนี้เอง แบบที่ใช้ ppt. มันทำให้ทั้งเด็ก และผู้ใหญ่ สื่อสารกันด้วยข้อมูล ไม่ใช่ด้วยความรู้ และพลอยให้เสื่อมสมรรถภาพในการเขียนไปด้วย
ดิฉัน…..จึงลองวิธีใหม่….โดยคราวนี้แม้จะเป็นหัวข้อวิชา intro ที่อาจไม่สลักสำคัญอะไรนัก สอนเพียง 3 - 4 ชั่วโมง ดิฉันก็เขียนเป็นเอกสารคำสอนอย่างเป็นเรื่องเป็นราว เพื่อทดสอบสมรรถภาพตัวเองด้วยว่า เสื่อมไปเพียงใด
สิ่งที่ได้เรียนรู้ก็คือ…..มันมีเรื่องให้เขียนได้มากกว่าที่คิด มันทำให้อุ่นใจว่า แม้เด็กๆ บางคนจะไม่ตั้งใจในชั่วโมงเรียน ก็ยังมีเอกสารให้ศึกษาค้นคว้าได้
แต่….พอสอนเข้าจริง ซึ่งคราวนี้ไม่ใช้ ppt. ใช้วิธีบรรยายตามเอกสารคำสอน ก็ปรากฎว่า วิธีนี้ก็ไม่ได้ส่งเสริมให้นิสิตเป็นนักบันทึกอยู่ดี………
เอ….นี่มันดีกับอาจารย์ หรือลูกศิษย์กันแน่ ?????
รึว่าต้องสอนแบบเขียนไปด้วย อธิบายไปด้วย แบบสมัยก่อนที่ใช้กระดานกับชอล์คเสียแล้ว
เป็นอาจารย์สอนมาเกือบ 20 ปี ทำให้ดีแค่เรื่องนี้เรื่องเดียวยังไม่ได้เลย………….(รึว่า จะทุกเรื่อง!!!)
จบแบบ อิ…อิ…ไม่ค่อยออก