ความชั่ว…ไม่มีจริง

9654 ความคิดเห็น โดย ถัง เมื่อ 20 ตุลาคม 2010 เวลา 20:06 ในหมวดหมู่ ข้อคิด/ปรัชญา #
อ่าน: 33203

ศาสตราจารย์มหาวิทยาลัยคนหนึ่งได้ถามนักศึกษาคณะวิทยาศาสตร์

“พระเป็นเจ้าสร้างทุกสิ่งทุกอย่างจริงหรือ?” ศาสตราจารย์ถาม

“จริง” นักศึกษาตอบ

ศาสตราจารย์พูดต่อว่า “ถ้าหากพระเป็นเจ้าสร้างทุกสิ่งทุกอย่างขึ้นมาจริง  ดังนั้นพระเป็นเจ้าก็สร้างความชั่วร้ายขึ้นมาด้วย  และเนื่องจากความชั่วร้ายมีอยู่จริง ตามหลักตรรกะที่เราเรียนมา พระเป็นเจ้าก็คือความชั่วร้ายนั่นเอง”

นักศึกษาพากันเงียบกริบ

ศาสตราจารย์ดูมีท่าทีพึงพอใจและคุยโวว่า  เขาได้พิสูจน์อีกครั้งว่าความเชื่อทางคริสตศาสนานั้นเป็นแต่เพียงเรื่องงม
งายเท่านั้น

นักศึกษาคนหนึ่งยกมือขึ้นและขอพูด

“ผมจะขอถามคำถามท่านเรื่องหนึ่งได้ไหมครับศาสตราจารย์?”

“ได้ซิ แน่นอน” ศาสตราจารย์ตอบ

นักศึกษาคนนั้นยืนขึ้น “ศาสตราจารย์ครับ  ความเย็นมีอยู่จริงหรือไม่ครับ ?”

“เธอถามคำถามอะไรของเธอนี่ ? แน่นอนมันย่อมมีอยู่จริงนะซิ  เธอไม่เคยรู้สึกหนาวเย็นบ้างเลยหรือไง?”

นักศึกษาคนอื่นๆต่างงุนงงในคำถามของหนุ่มคนนั้น

นักศึกษาหนุ่มพูดต่อ “ความจริงนะครับ  ความเย็นไม่มีอยู่จริง  ตามกฎทางฟิสิกส์  สิ่งที่เราเรียกว่าความเย็นนั้นแท้ที่จริงคือการขาดความร้อน  สสารสามารถส่งผ่านและถ่ายเทความร้อนกันได้  และความร้อนก็ถ่ายเทจากสสารหนึ่งไปสู่สสารหนึ่ง

ศูนย์องศาสมบูรณ์ (Absolute zero = -460 degrees F) ก็คือการขาดความร้อนโดยสิ้นเชิง

ในสภาวะเช่นนั้นสสารจะเฉื่อยและไม่มีปฏิกิริยาต่ออุณหภูมิ–ความเย็นไม่มีอยู่จริง

เรานิยามคำนี้ขึ้นเพื่ออธิบายถึงความรู้สึกเมื่อเราขาดความร้อนเท่านั้นครับ”

และนักศึกษาหนุ่มก็พูดต่ออีก “ศาสตราจารย์ครับ แล้วความมืดมีอยู่จริงหรือไม่ครับ? ”

ศาสตราจารย์ตอบ “ใช่……มันมีอยู่จริง”

นักศึกษาจึงพูดขึ้น “ท่านตอบผิดอีกครั้งแล้วครับ ความมืดไม่มีอยู่จริงหรอก  แท้จริงความมืดก็คือการขาดแสงสว่าง
เราสามารถศึกษาเรื่องของแสงได้ แต่เราไม่สามารถศึกษาเรื่องความมืดได้เลย

เราใช้แก้วปริซึมในการแยกแสงออกเป็นหลายสีและศึกษาช่วงความถี่ของแสงแต่ละสีได้ แต่คุณไม่สามารถวัดค่าของความมืด  รังสีของแสงสามารถเข้าไปในโลกของความมืดและทำให้มันสว่างไสว 

ท่านจะรู้ได้อย่างไรว่าอวกาศมืดมากน้อยแค่ไหน?

ก็โดยการวัดปริมาณของแสงสว่างที่มีอยู่ใช่ไหม?

ความมืดเป็นคำนิยามที่มนุษย์ใช้เพื่ออธิบายถึงสิ่งเกิดขึ้นเมื่อไม่มีแสงสว่างนั่นเอง”

นักศึกษาหนุ่มคนนี้ก็ถามคำถามอีก “ท่านครับ แล้วความชั่วมีอยู่จริงหรือไม่ครับ ?”

คราวนี้ศาสตราจารย์ตอบอย่างไม่ค่อยมั่นใจ “แน่นอนตามที่ฉันบอกเอาไว้แล้ว เราก็เห็นอยู่ทุกๆวันนี่นา ในชีวิตประจำวันของเรามีอาชญากรรมและความรุนแรงอยู่ทุกหนทุกแห่งในโลกซึ่งก็คือความชั่วร้ายนั่นแหละ”

นักศึกษาตอบอีก “ความชั่วไม่ มีอยู่จริงหรอกครับท่าน  หรือมิฉะนั้นมันก็ไม่มีอยู่ด้วยตัวของมันเอง ความชั่วก็คือการขาดพระเป็นเจ้า

มันก็เหมือนกับความมืดและความเย็นนั้นแหละครับ

มันเป็นคำนิยามที่มนุษย์ใช้อธิบายถึงการขาดพระเป็นเจ้า  พระเป็นเจ้าไม่ได้สร้างความชั่วร้ายขึ้นมา

ความชั่วร้ายแตกต่างจากความเชื่อหรือความรักซึ่งมีอยู่จริง เช่นเดียวกับแสงสว่างและความร้อน

ความชั่วร้ายเป็นผลลัพท์ที่เกิดขึ้นเมื่อมนุษย์ไม่มีความรักของพระเป็นเจ้าในหัวใจของเขา เช่นเดียวกับความเย็นที่เกิดขึ้นเมื่อไม่มีความร้อน  หรือความมืดที่เกิดขึ้นเมื่อไม่มีความสว่างนั้นแหละครับ”

ศาสตราจารย์หย่อนตัวลงนั่ง นิ่งอึ้งไป

นักศึกษาหนุ่มผู้นั้นมีชื่อว่า - อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์

Albert Einstein with friends Habicht and Solovine, ca. 1903

 


Reasons to smile !!!!

3 ความคิดเห็น โดย ถัง เมื่อ 16 เมษายน 2010 เวลา 20:54 ในหมวดหมู่ ข้อคิด/ปรัชญา #
อ่าน: 2277

When life gives you a 100 reasons to cry,

show life that you have 1000 reasons to smile.

Face your past without regret.

Handle your present with confidence.

Prepare for the future without fear.

Keep the faith and drop the fear.

The most beautiful thing is to see a person smiling…

And even more beautiful is, knowing that you are the reason behind it!!!

Enjoy your day with a heart of gratitude.

 


Be thankful for what you have..

1 ความคิดเห็น โดย ถัง เมื่อ 16 เมษายน 2010 เวลา 20:40 ในหมวดหมู่ ข้อคิด/ปรัชญา #
อ่าน: 2308

          ชายตาบอดคนหนึ่งนั่งอยู่ที่เชิงบันไดตึกข้างถนน มีหมวกวางหงายอยู่บนพื้นข้างเท้าของเขา และมีป้ายเขียนว่า “ฉันเป็นคนตาบอด โปรดช่วยฉันด้วย” ภายในหมวกนั้น มีเหรียญสตางค์อยู่เพียงไม่กี่เหรียญ

          ชายคนหนึ่งเดินผ่านมา  เขาล้วงกระเป๋าหยิบเหรียญสตางค์จำนวนหนึ่งใส่ลงไปในหมวกของชายขอทาน  แล้วหยิบป้ายขึ้นมาดู  เขาพลิกป้ายนั้นกลับหลังแล้วเขียนข้อความบางอย่างลงไป  จากนั้นวางป้ายนั้นลงไว้ที่เดิม แต่คราวนี้ผู้ที่เดินผ่านไปมาจะเห็นข้อความใหม่บนป้ายนั้น  ไม่นาน  หมวกของชายขอทานก็เต็มไปด้วยเหรียญเพราะมีผู้ให้ทานจำนวนมากขึ้น

          ตกเย็น  ชายผู้เปลี่ยนข้อความบนป้ายกลับมาสำรวจความเปลี่ยนแปลง ชายขอทานจำเสียงฝีเท้าของเขาได้  จึงถามขึ้นว่า “ท่านคือผู้เปลี่ยนป้ายของผมเมื่อเช้านี้ใช่หรือไม่? ท่านเขียนข้อความอะไรบนป้ายนั้น?”

          ชายผู้นั้นตอบว่า  “ฉันเพียงเขียนสิ่งที่เป็นจริง บอกเรื่องเดียวกับที่เธอบอก แต่บอกคนละแนวเท่านั้น” ฉันเขียนว่า “วันนี้เป็นวันที่สวยงาม  แต่ฉันไม่สามารถมองเห็นได้”

          ป้ายทั้งสอง บอกผู้คนเหมือนกันว่า ชายผู้นั้นตาบอด แต่ป้ายแรกบอกเฉยๆ ว่า ตาบอด  ส่วนป้ายที่สอง บอกคนอื่นว่า พวกเขาโชคดีที่ตาไม่บอด 

          ป้ายที่สอง กระตุ้นความรู้สึกของผู้คนที่อ่านให้รู้สึกสงสารได้มากกว่า…………เพราะอะไร???

 ——————————————————————————-

love your job.


ความปรารถนาครั้งสุดท้ายของอเล็กซานเดอร์มหาราช

ไม่มีความคิดเห็น โดย ถัง เมื่อ 4 เมษายน 2010 เวลา 11:53 ในหมวดหมู่ ข้อคิด/ปรัชญา #
อ่าน: 1426

อเล็กซานเดอร์มหาราช  จักพรรดิ์ผู้เกรียงไกรแห่งกรีก  ตรัสแก่ข้าราชบริพารก่อนสิ้นพระชนม์ชีพว่า “จงฝังร่างของข้าโดยไม่ต้องสร้างอนุสาวรีย์  ปล่อยให้มือของข้าปรากฎออกมาภายนอก  เพื่อให้ผู้คนรู้ว่า  แม้ผู้ที่เคยมีชัยมาทั่วปฐพี  ก็มีเพียงมือที่ว่างเปล่าเมื่อยามละไปจากโลกนี้”

Alexander’s last word: “Burry my body, do not build any monument, keep my hands outside so that the world knows the person who won the world had nothing in his hands when dying”

 

The great Greek king, Alexander, after conquering many kingdoms, was returning home. On the way, he fell ill and he was bedridden for months. With death drawing close, Alexander realized how his conquests, his great army, his sharp sward and all his wealth were of no use.

He called his generals and said,  ”I will depart from this world soon. But I have three wishes. Please fullfill my wishes without fail.”  With tears flowing down their cheeks, the generals agreed to abide their king’s last wishes

“My first desire is that,” said Alexander, “my physicians alone must carry my coffin” “Secondly, when my coffin is being carried to the grave, the path leading to the graveyard should be strewn with gold, silver and precious stones which I have collected in my treasury. My third and last wish is that both my hands should be kept dangling out of my coffin.” The people who had gathered there wonder at the king’s strange wishes. But no one dareed to question. Alexander’s favorite general kissed his hand and pressed them to his heart. “O king, we assure you that your wishes will all be fullfilled. But tell us why do you make such stannge wishes?”

At this Alexander took a deep breath and said, “I would like the world to know of the three lessons I have just learnt. I want my physicians to carry my coffin because people should realize that no doctor can really cure anybody. They are powerless and cannot save person from the clutches of death. So let not people take life for granted.

The second wish of strewing gold and other riches on the way to graveyard is to tell people that not even a fraction of gold can be taken by me. Let people realize that it is a sheer waste of time to chase wealth.

And about my third wish of having my hands dangling out of the coffin, I want people to know that I came empty handed into this world and empty handed I go out of this world.”


นิทานเรื่อง เด็กผู้ชายกับต้นแอ็ปเปิ้ล

61 ความคิดเห็น โดย ถัง เมื่อ 25 มกราคม 2010 เวลา 18:43 ในหมวดหมู่ ข้อคิด/ปรัชญา #
อ่าน: 2496

Everybody has an apple tree in his life. And its your Parents !!!


เผยไต๋ ๑๐ ข้อ สร้างสุข ปี ๒๕๕๓

3 ความคิดเห็น โดย ถัง เมื่อ 5 มกราคม 2010 เวลา 23:20 ในหมวดหมู่ ข้อคิด/ปรัชญา, บันเทิง #
อ่าน: 1653

1. Stay out of trouble.


 

2. Aim for greater heights.


 

3. Stay focused on your job.


 

4. Exercise to maintain good health.

5. Practice team work..


 

6. Rely on your trusted partner to watch your back. Take your time trusting others.


 

7. Save for rainy days.


 

8. Rest and relax.

 

9. Always take time to smile.


 

AND
10.. Realize that nothing is impossible.


พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระราชทาน ส.ค.ส.ปีพุทธศักราช 2553 แก่ประชาชนชาวไทย

ไม่มีความคิดเห็น โดย ถัง เมื่อ 1 มกราคม 2010 เวลา 10:32 ในหมวดหมู่ ข้อคิด/ปรัชญา, ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 1618

 


ทำไมต้องเปลี่ยนแปลง?

4 ความคิดเห็น โดย ถัง เมื่อ 26 ธันวาคม 2009 เวลา 16:27 ในหมวดหมู่ ข้อคิด/ปรัชญา #
อ่าน: 1950

talons = เล็บbeak = จะงอยปากfeathers = ขนทำลายปากตัวเองดึงเขี้ยวเล็บออกให้หมดปลดเปลือกที่ห่อหุ้มตัวตน


The happiest people

4 ความคิดเห็น โดย ถัง เมื่อ 17 ธันวาคม 2009 เวลา 21:56 ในหมวดหมู่ ข้อคิด/ปรัชญา #
อ่าน: 1485

The happiest people in the world are not those who have no problems,

but those who learn to live with things that are less than perfect.

Keep Smiling Always.


ถังแตก

4029 ความคิดเห็น โดย ถัง เมื่อ 15 ธันวาคม 2009 เวลา 20:07 ในหมวดหมู่ ข้อคิด/ปรัชญา #
อ่าน: 14637

ชายจีนคนหนึ่งแบกถังน้ำสองใบไว้บนบ่าเพื่อไปตักน้ำที่ริมลำธาร

 ถังน้ำใบหนึ่งมีรอยแตก

 ในขณะที่อีกใบหนึ่งไร้รอยตำหนิ และสามารถบรรจุน้ำกลับมาได้เต็มถัง

 แต่ด้วยระยะทางอันยาวไกล จากลำธารกลับสู่บ้าน

 จึงทำให้น้ำที่อยู่ในถังใบที่มีรอยแตกเหลืออยู่เพียงครึ่งเดียว

 Photobucket

  

เหตุการณ์ทั้งหมดนี้ดำเนินมาเป็นเวลา 2 ปีเต็ม  ที่คนตักน้ำสามารถตักน้ำกลับมาบ้านได้หนึ่งถังครึ่ง

 ซึ่งแน่นอนว่าถังน้ำใบที่ไม่มีตำหนิจะรู้สึกภาคภูมิใจ ในผลงานเป็นอย่างยิ่ง

 ในขณะเดียวกันถังน้ำที่มีรอยแตกก็รู้สึกอับอายต่อความบกพร่องของตัวเอง

 มันรู้สึกโศกเศร้ากับการที่มันสามารถทำหน้าที่ได้เพียงครึ่งเดียวของจุดประสงค์ที่มันถูกสร้างขึ้นมา

  

Photobucket

 

 หลังจากเวลา 2 ปี ที่ถังน้ำที่มีรอยแตกมองว่าเป็นความล้มเหลวอันขมขื่น

 วันหนึ่งที่ข้างลำธาร มันได้พูดกับคนตักน้ำว่า

 ’ข้ารู้สึกอับอายตัวเองเป็นเพราะรอยแตกที่ด้านข้างของตัวข้า

 ทำให้น้ำที่อยู่ข้างในไหลออกมาตลอดเส้นทางที่กลับไปยังบ้านของท่าน’

 Photobucket

  

คนตักน้ำตอบว่า ‘เจ้าเคยสังเกตหรือไม่ว่ามีดอกไม้เบ่งบานอยู่ตลอดเส้นทางในด้านของเจ้า

 แต่กลับไม่มีดอกไม้อยู่เลยในอีกด้านหนึ่ง

  

Photobucket

  

เพราะข้ารู้ว่าเจ้ามีรอยแตกอยู่ ข้าจึงได้หว่านเมล็ดพันธุ์ดอกไม้ลงข้างทางเดินด้านของเจ้า

 และทุกวันที่เราเดินกลับ … เจ้าก็เป็นผู้รดน้ำให้กับเมล็ดพันธุ์เหล่านั้น

 เป็นเวลา 2 ปี ที่ข้าสามารถเก็บดอกไม้สวย ๆ เหล่านั้นกลับมาแต่งโต๊ะกินข้าว

 ถ้าหากปราศจากเจ้าที่เป็นเจ้าแบบนี้แล้ว … เราก็คงไม่อาจได้รับความสวยงามแบบนี้ได้’

 Photobucket

  

คนเราแต่ละคนย่อมมีข้อบกพร่องที่เป็นเอกลักษณ์ของตัวเอง

แต่รอยตำหนิและข้อบกพร่องที่เราแต่ละคนมีนั้น

 อาจช่วยทำให้การอยู่ร่วมกันของเราน่าสนใจ และกลายเป็นบำเหน็จรางวัลของชีวิตได้

 สิ่งที่ต้องทำก็เพียงแค่ยอมรับคนแต่ละคนในแบบที่เขาเป็น

 และมองหาสิ่งที่ดีที่สุดในตัวของพวกเขาเหล่านั้นเท่านั้นเอง

  

Photobucket

  

มองโลกหลายๆ ด้าน เพราะคนเราไม่ได้มีแต่ข้อเสียเท่านั้น

 ———————————————————————————————

เพื่อนรักส่งมาให้ถังอ่าน

 

 

 



Main: 0.05501914024353 sec
Sidebar: 0.44753384590149 sec