เยี่ยมอนุบาลโรงเรียนบ้านตูม

2 ความคิดเห็น โดย maeyai เมื่อ 29 กรกฏาคม 2011 เวลา 3:08 (เย็น) ในหมวดหมู่ ชีวิตกับโรงเรียน, เด็กไร้เดียงสา #
อ่าน: 1606

โรงเรียนบ้านตูมเป็นหนึ่งในสิบเอ็ดโรงเรียนที่สังกัดเทศบาลนครขอนแก่น  มีนักเรียนตั้งแต่ชั้นอนุบาลถึงชั้น มัธยม 3 รวม 500 คนเศษ  ท่านผู้อำนวยการชื่อ อาจารย์ นิกร นวโชติรส  เป็นโรงเรียนที่ต้องเรียกว่าชายขอบของเทศบาล  ดังนั้นจึงมีเด็กไม่มาก  มีนักเรียนอนุบาลห้องละ ไม่เกิน 25 คน  และมีเพียงอนุบาลสองและสามเท่านั้น    สถานที่ไม่ทันสมัยเท่าไหร่ เป็นห้องสี่เหลี่ยมเหมือนโรงเรียนรัฐบาลทั่วไป  และดูออกจะเก่า  เพราะคงถูกใช้งานมาเป็นเวลานานหลายสิบปี   แต่สิ่งที่น่าประทับใจ คือความสะอาดของบริเวณโรงเรียน  และห้องเรียน  สอบถามดูก็ได้รับคำตอบว่า ผู้อำนวยการมีนโยบายเด่นเรื่องขยะรีไซเคิล  และเรื่องความสะอาดจนได้คว้ารางวัลระดับชาติมาแล้ว

สิ่งที่น่าประทับใจอีกเรื่องก็คือ  ตัวผู้อำนวยการเอง ในวัย 57 ปี มีหนวดเรียวบางที่ริมฝีปาก  ท่าทางคล้ายนักแสดงที่จะเป็นผู้ร้ายตามภาพยนต์ ไทยมากกว่าจะเป็นนักการศึกษา   แต่ท่านมีความเป็นกันเองกับเด็กๆนักเรียนอย่างใกล้ชิด  แบบไม่ใช่ผักชีโรยหน้า สังเกตเห็นเด็กอนุบาลตัวเล็กๆวิ่งเข้ามากอดผู้อำนวยการอย่างสนิทใจ  และผู้อำนวยการเองก็เรียกชื่อเด็กได้อย่างถูกต้อง   แสดงให้เห็นความเอาใจใส่ อย่างใกล้ชิดตลอดมาอย่างไม่ต้องสงสัย

เด็กๆหน้าตาเบิกบาน  กล้าพูดกล้าแสดงออก  และมีอิสระในการเรียนรู้  ครูเจี๊ยบ ครูจุ๋ม และครูหยาด  ทั้งสามคนเป็นครูผู้มีประสบการณ์ และสองในสามจบการศึกษาด้านปฐมวัย  ดังนั้น การเรียนการสอนจึงลื่นไหล  ครู ใช้เสียงปกติในการสอน  และบูรณาการวิชาการเข้ากับกิจกรรมได้เป็นอย่างดีในเนื้อหาเดียวกัน  สัปดาห์นี้กำลังจะถึงวันแม่ ดังนั้นจึงมีการเปิดเพลง”อิ่มอุ่น” คลอเบาๆ  ขณะที่เด็กๆนำเอาดอกรักพลาสติค  มาเรียงร้อยเป็นรูปทรงต่างๆ เช่น สี่เหลี่ยม หรือวงกลม   ตามจุดประสงค์ที่ครูตั้งใจจะสอนเรื่องรูปทรง 

คณะกรรมการ ต้นกล้าแห่งปัญญา  ซึ่งมาเยี่ยมชมในวันนี้จึงปลาบปลื้มไปตามๆกัน  ที่ได้เห็นกิจกรรมดีดี  จนมองข้ามด้านห้องเรียน ที่อาจจะไม่ได้สวยหรูหราได้มาตรฐานนัก  

แต่ในช่วงสรุปการประชุม ของคณะกรรมการ     คุณเบิ้ม ซึ่งเป็นสถาปนิกของโครงการ  ก็มีแจ้งข่าวดีให้คณะกรรมการทราบว่า   ตึกใหม่ เขียนแบบเสร็จแล้ว  ได้งบเรียบร้อย  รอการประกวดราคา  และลงมือก่อสร้าง   คาดว่าตึกใหม่จะสร้างเสร็จทันปีการศึกษาหน้านี้ 

ก็ต้องขอแสดงความยินดีล่วงหน้า   กับโรงเรียนบ้านตูม    ที่ในปีการศึกษาหน้า    จะมีพร้อมทั้งผู้บริหารที่มีความสามารถ  ครูผู้สอน ผู้มีประสบการณ์  กรรมการชุมชนที่เข้มแข็ง และที่สุดอาคารสถานที่ ที่ได้มาตรฐาน ต่อไป


เยี่ยมโรงเรียนเทศบาลของขอนแก่น

8 ความคิดเห็น โดย maeyai เมื่อ 28 กรกฏาคม 2011 เวลา 9:43 (เช้า) ในหมวดหมู่ ชีวิตกับโรงเรียน, เด็กไร้เดียงสา #
อ่าน: 1692

คุณสุทธิ ศศิพงศ์อนันต์  สมาชิกเทศบาลนครขอนแก่น  เรียนจบวิศวะ จากมหาวิทยาลัยขอนแก่น  เป็นคนมีจิตอาสา  ได้อาสาเข้ามาทำโครงการ “ต้นกล้า แห่งปัญญา”  กับแผนกอนุบาลของโรงเรียนเทศบาลสังกัดนครขอนแก่นทั้ง 11 โรง มาเป็นเวลา 4 ปีแล้ว  คุณสุทธิ  เป็นคนมีจิตใจมุ่งมั่นมาก  และเห็นความสำคัญของการศึกษาระดับปฐมวัย ว่าเป็นช่วงวัยที่สำคัญ เป็นรากฐานชีวิตของเด็กๆทุกคน    เธอเป็นคนหนุ่ม  ที่มีความตั้งใจดี  ศึกษาธรรมะ มีลูกเล็กๆน่ารักสองคน และเมื่อมาทำงานกับเด็กอนุบาล   เธอบอกว่า เธอได้เรียนรู้  และนำสิ่งที่ได้เรียนรู้ไปใช้กับลูกๆด้วย

โดยลักษณะนิสัย ที่มีความมุ่งมั่นสูง ใจร้อน  คงจะมีนิสัย”กระทิง”หน่อยๆ แบบพวกวิศวกรทั่วไป  เธอจึงเริ่มโครงการด้วยการปรับปรุงทางด้านกายภาพของสถานที่เรียนก่อน   จากห้องเรียนมืดๆมุมอับๆ  เธอของบจากสภาเทศบาลมาปรับปรุงจนได้ห้องเรียนที่สวยงาม ได้มาตรฐาน     มีประโยชน์ใช้สอยอย่างครบครัน       แล้วเธอก็ตั้งเกณฑ์   ไว้ว่า นักเรียนอนุบาลทุกโรงของเทศบาลนครขอนแก่น จะต้อง  มีบุคลิกครบคือ  อดทน  มีวินัย เอื้อเฟื้อ เผื่อแผ่ รับผิดชอบ และกตัญญู  

แต่เนื่องจากที่เธอได้ไปศึกษาธรรมะจากหลวงพ่อคำเขียน ที่วัดป่าสุขะโตมาระยะหนึ่ง   ด้านอ่อนโยนของเธอ จึงปรากฏออกมาให้เห็นเวลาที่เธอมาทำงานในโครงการนี้   เธอบอกว่า   เธอเริ่มเข้าใจ คุณครูผู้สอน  ที่ถูกส่งมาที่แผนกอนุบาล (เพราะไม่มีใครอยากมา) เธอเปลี่ยนจากการออกคำสั้ง หรือติเตียน  การจัดการเรียนการสอนของครู  มาเป็นการให้ความเข้าใจ  ให้กำลังใจ ส่งไปเพิ่มเติมความรู้  จัดกลุ่มกรรมการตรวจเยี่ยมโรงเรียนอย่างเป็นกัลยาณมิตร ปีละสองครั้ง   ซึ่งแม่ใหญ่ ก็เป็นหนึ่งในคณะกรรมการนี้   คณะกรรมการส่วนใหญ่ เกือบยี่สิบคน  เป็นผู้นำชุมชนต่างๆในเทศบาลนครขอนแก่น

เมื่อเทศบาลโทรศัพท์มาเชิญให้เข้าร่วมเป็นกรรมการ  แม่ใหญ่ตอบรับด้วยความเต็มใจ ด้วยเห็นว่าเป็นโอกาสที่เราจะได้ใช้ประสบการณ์ที่มีกับโรงเรียนอนุบาลมายาวนาน ได้เข้าไปแต่งเติมเสริมแต่งให้กับชุมชนด้วย   ดังนั้น ในช่วงสามเดือนต่อจากนี้  แม่ใหญ่มีกำหนดการที่จะไปเยี่ยมเยียนโรงเรียนทั้ง 11 โรง

และเมื่อวันที่ 27 กรกฎาคม  โรงเรียนเทศบาลบ้านสามเหลี่ยมก็เป็นโรงเรียนแรกที่เรามาเยือน

เราไปอยู่ที่โรงเรียนนี้ ตั้งแต่9.00-11.00 น.  สังเกตการณ์ การจัดการเรียนการสอน  สองคาบด้วยกัน  และอยู่จนถึงเด็กทานข้าวกลางวัน  จะเห็นคุณครูค่อนข้างเกร็งกับการมาเยี่ยมของเรา  ดังนั้นการจัดกิจกรรมวันนี้ จึงไม่เป็นธรรมชาตินัก  ครึ่งชั่วโมงแรก เป็นการ สวดมนต์ กิจกรรมเข้าจังหวะ ร้องเพลง ทำโยคะ นับนิ้ว และเล่านิทาน  และจบลงด้วยการ จับคู่ กอดกันและกล่าวคำขอบคุณ  ครูนำหนึ่งคน พร้อมไมโครโฟน มีครูอีก 3 คน คอยดูแลให้เด็กประมาณ 100 คน ทำกิจกรรมให้เป็นระเบียบ  พอจบกิจกรรมนี้ เด็กทั้งหมดก็ออกไปเล่นพละกับครูพละ  ไปกระโดดตบ นับหนึ่งถึงสิบ แล้วก็กระโดดกบ   หลังจากนั้นก็ไปทานข้าว

ช่วงเด็กเล่นพละ พวกเราคณะกรรมการและคุณครูก็มาล้อมวง เพื่อแสดงความคิดเห็น   แม่ใหญ่เห็นคุณครูนั่งเครียดแล้วสงสาร  เมื่อเขาเชิญพูด จึงพยายามเลี่ยงการวิจารณ์กิจกรรม   แต่พยายามพูดให้ทุกคนตระหนักว่า  ควรให้ความสำคัญกับการเรียนรู้ของเด็กวัยนี้ให้มากๆ ครูที่มาสอนก็ขอให้ภูมิใจในตัวเองที่ได้มาเป็นคนลงรากปักฐานให้กับเด็ก  และขออนุญาตฝากไปเติมเกณฑ์บุคลิกนักเรียนปฐมวัยของเทศบาลอีกสักข้อจะได้ไหม คือให้ “คิดเป็น”ด้วย

 ก่อนจากกันแม่ใหญ่ไปกอดให้กำลังใจครูที่เป็นหัวหน้ากลุ่ม เพื่อให้กำลังใจ เธอออกตัวว่า เธอเป็นครูคอมพิวเตอร์ที่ถูกสั่งให้มา  เธอไม่มั่นใจจริงๆ  แม่ใหญ่ก็บอกเธอว่า  ขอให้มีใจรักเด็ก  ขอให้ให้ความรักก่อนให้ความรู้  เรื่องต่างๆที่เป็นเนื้อหากิจกรรม เราแสวงหาเอาได้  และบอกว่าถ้าจะใช้โรงเรียนแม่ใหญ่ เป็นที่แสวงหาละก็เชิญได้ตลอดเวลา

สิ่งที่ประทับใจกับการเยี่ยมชมครั้งนี้ คือการเห็นเด็กเล็กๆอายุ สี่ห้าขวบ ทานข้าวแล้วล้างจานให้ตัวเอง ซึ่งคุณสุทธิบอกว่า ได้เริ่มให้ทุกโรงเรียนในเทศบาลนครขอนแก่น  ทำเรื่องนี้  และบอกว่าแม่ใหญ่ก็จะได้เห็นอีก จากทุกๆโรงเรียน

สุทธิ ศศิพงศ์อนันต์

เขาล้างได้สะอาดจริงๆ แม้จานจะใหญ่กว่าตัวสักหน่อยก็ตาม น่ารักมาก


ความภูมิใจของคนเป็นครู

7 ความคิดเห็น โดย maeyai เมื่อ 27 กรกฏาคม 2011 เวลา 7:54 (เช้า) ในหมวดหมู่ ชีวิตกับโรงเรียน #
อ่าน: 1367

หลานส่งภาคภาษาอังกฤษมาให้อ่าน  รู้สึกชอบใจจึงขอแปลและเผื่อแผ่มายังครูทุกท่านด้วย

To all the teachers.

ถึงคุณครูทุกคน

 

Who is a teacher??     ใครคือครู


This is a very good one !
very moving !

เรื่องนี้เป็นเรื่องดีที่น่าจะเป็นแรงบันดาลใจให้แก่ครู

From A School Principal’s speech at a  graduation..
จากการกล่าวของครูใหญ่ในวันจบการศึกษา
He said  “Doctor wants his child to become a doctor……… เขาพูดว่า  หมอ อยากให้ลูกเป็นหมอ
                Engineer wants his child to become engineer……วิศวกรอยากให้ลูกเรียนวิศวะ
                Businessman wants his ward to become CEO…..นักธุรกิจอยากให้ลูกได้เป็นผู้บริหารระดับสูง
                BUT a teacher also wants his child to become one of them..!!!! แต่ครูก็อยากให้เด็กๆของครูเป็นอย่างที่กล่าวมาแล้วด้วย
Nobody wants to become a teacher BY CHOICE” ….Very sad but that’s the truth…..!!! ไม่มีใครเลือกอยากเป็นครู  น่าศร้าไหมล่ะ   แต่นี่คือความจริงThe dinner guests were sitting around the table discussing life.  แขกที่มาในงานวันจบการศึกษา  สนทนากันเกี่ยวกับเนื้อหาของชีวิตตามที่ครูใหญ่เพิ่งพูดจบลง
One man, a CEO, decided to explain the problem with education. He argued, ผู้บริหารคนหนึ่ง  ลุกขึ้นพูดถึงปัญหาด้านการศึกษา  เขาแย้งขึ้นว่า
“What’s a kid going to learn from someone who decided his best option in life was to become a teacher?”แล้วเด็กจะได้เรียนรู้อะไรบ้างล่ะ      จากคนที่เลือกดำเนินชีวิตที่จะเป็นครู

To stress his point he said to another guest;
“You’re a teacher, Bonnie.  Be honest. What do you make?” และเพื่อนจะเน้นวัตถุประสงค์ของการถาม   ที่เขาพยายามจะชี้ให้แขกอื่นๆเข้าใจ เขาหันไปถามครูบอนนี่   “พูดจริงๆนะครู   ครู ทำอะไรได้บ้างน่ะ”  Teacher Bonnie, who had a reputation for honesty and frankness replied, ครูบอนนี่ ที่ได้ชื่อว่าเป็นคนตรง คนซื่อสัตย์ คนจริงได้ตอบคำถามดังนี้
“You want to know what I make?
(She paused for a second, then began…) คุณอยากรู้หรือว่าฉันทำอะไรบ้าง……. เขาหยุดนิ่งชั่วขณะ ก่อนจะเริ่มตอบ

“Well, I make kids work harder than they ever thought they could.  ฉันทำให้เด็กทำงานเข้มแข็งขึ้น   มากกว่าที่เขาคิดว่าเขาทำได้I make a C+ feel like the Congressional Medal of Honor winner.ฉันทำให้คนที่ได้คะแนน้อยๆแค่ ซีบวก รู้สึกภูมิใจเท่ากับการได้รับรางวัลใหญ่I make kids sit through 40 minutes of class time when their parents can’t ฉันทำให้เด็กนั่งในห้องเรียนสีสิบนาทีได้ในขณะที่ปกครองไม่สามารถ
make them sit for 5 min. without an I Pod, Game Cube or movie rental.ฉันทำให้เขานั่งอยู่ 5 นาทีโดยไม่มีไอพอต ไม่มีเกมส์ หรือหนังที่เช่ามาดูYou want to know what I make? คุณอยากรู้ว่าฉันทำอะไรได้อีกใช่ไหม?
(She paused again and looked at each and every person at the table) เธอหยุดนิ่งอีกชั่วขณะหนึ่ง มองแขกทุกๆคนที่นั่งอยู่รอบๆI make kids wonder. ฉันทำให้เขาสงสัยใคร่รู้I make them question.ฉันทำให้เขาถามI make them apologize and mean it  ฉันทำให้เขาขอโทษด้วยความรู้สึกที่แท้จริง
I make them have respect and take responsibility for their actions.ฉันทำให้เขารู้จักเคารพ และมีความรับผิดชอบต่อการกระทำของตัวเองI teach them how to write and then I make them write.
Keyboarding isn’t everything.ฉันสอนให้เขาเขียน และทำให้เขาเขียนได้I make them read, read, read.ฉันทำให้เขาอ่าน. อ่าน และ อ่านI make them show all their work in math.
They use their God given brain, not the man-made calculator.ฉันทำให้เขาสามารถแสดงความสามารถทางคณิตศาสตร์จากสมองของเขาไม่ใช่จากเครื่องคิดเลขI make my students from other countries learn everything they need
to know about English while preserving their unique cultural identity.  ฉันทำให้เด็กจากประเทศอื่นได้เรียนรู้สิ่งที่ต้องการ  รู้ภาษาอังกฤษ ขณะที่ยังคงอัตลักษณ์และวัฒนธรรมของตนเองI make my classroom a place where all my students feel safe.ฉันทำให้ห้องเรียนเป็นที่ที่ปลอดภัยสำหรับเด็กๆนักเรียนFinally, I make them understand that if they use the gifts they
were given, work hard, and follow their hearts, they can succeed in lifeและสุดท้าย ฉันทำให้เขาเข้าใจว่า ถ้าเขาใช้พรสวรรค์ที่เขามี ขยันขันแข็ง และทำตามที่ใจปรารถนา  เขาจะประสบความสำเร็จในชีวิต( Bonnie paused one last time and then continued.) ครูบอนนี่หยุดนิ่งอีกเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะพูดต่อว่าThen, when people try to judge me by what I make, with me knowing money isn’t everything, I can hold my head up high and pay no attention because they are ignorant. You want to know what I make?และถ้าคนทั่วไปจะตัดสินฉันจากสิ่งที่ฉันทำ  สำหรับฉันแล้ว การรู้เกี่ยวกับเรื่องการเงินไม่ใช่ทุกสิ่งทุกอย่าง    ฉันสามารถยืดอกเงยหน้าได้อย่างภาคภูมิใจและไม่สนใจกับความไม่รู้ของคนรอบข้าง  คุณอยากรู้ใช่ไหมว่าฉันได้ทำอะไรไปบ้าง

I MAKE A DIFFERENCE IN ALL YOUR LIVES,EDUCATING KIDS AND PREPARING THEM TO BECOME CEO’s ,AND DOCTORS AND ENGINEERS………. ฉันได้สร้างความแตกต่างให้กับชีวิตของพวกคุณทุกคน   ฉันให้การศึกษาแก่เด็กๆ  และเตรียมเขาให้ไปเป็นผู้บริหาร  ไปเป็นหมอ ไปเป็นวิศวกร
 
What do you make Mr.CEO? แล้วคุณล่ะ  คุณ CEO คุณได้ทำอะไรบ้าง   

His jaw dropped; he went silent. ไม่มีคำตอบจากCEO ที่นั่งเงียบงัน

THIS IS WORTH SENDING TO EVERY PERSON YOU KNOW. Even all personal teachers like mother, father, brother, sister, coach and spiritual leader/teacher.

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 


อินกับหัวอกชาวนา

11 ความคิดเห็น โดย maeyai เมื่อ 25 กรกฏาคม 2011 เวลา 7:59 (เช้า) ในหมวดหมู่ เรื่องที่เรียนรู้ #
อ่าน: 1782

ช่วงนี้คนรอบข้างแอบนินทาแม่ใหญ่ว่า  แกไม่พูดเรื่องอื่น นอกจากเรื่องทำนา ใครจะนินทา ก็ชั่งเขาเถอะ  เรากำลังได้เรียนรู้จริงๆ แต่ไม่ใช่แค่วิธีการปลูกข้าวต่างๆที่ทำการศึกษามาโดยลำดับเท่านั้น  แต่ตอนนี้กำลังเรียนรู้ความรู้สึกของชาวนาจริงๆ  ไม่ได้มาทำแล้วไม่รู้หรอก  เหมือนคนไม่เคยกินน้ำตาล ไม่เคยกินมะดัน  ใครบอกว่ามันหวาน  มันเปรี้ยว  ก็คงนึกไม่ออก

ตั้งแต่เริ่ม ปลูกต้นกล้า ในกระบะพลาสติค   เฝ้า รอดูมันงอกวันละเล็กละน้อย จนครบสิบห้าวัน    จนถึงวันที่พานักเรียนไปโยนเรียบร้อยไปเมื่ออาทิตย์ที่แล้ว  รู้สึกโล่งไปหนึ่งเปลาะ  แต่ก็ยังติดตามไปดูทุกเย็น   จนเห็นว่า  กล้าที่โยนไป เริ่มตั้งตัวขึ้นมาบ้างแล้ว   แต่พบว่า  พื้นนาที่เราให้เขาเอารถแทร๊กเตอร์มาไถและคราดนั้น   ยังทำพื้นไม่ได้ระดับ  เมื่อฝนตกมาคืนก่อนวันโยนกล้า  จึงเกิดเป็นแอ่งตื้นๆ  ไม่เป็นเทือกเรียบๆอย่างที่เราต้องการ ทำให้ต้นกล้าโผล่ขึ้นมาไม่เสมอกัน ( เป็นเรื่องที่ต้องแก้ไขกันในการทำนาคราวหน้า)

แต่เมื่อคืนนี้ ฝนตกหนักจริงๆ ตื่นกลางดึก พอรู้ว่าฝนตก ใจมันแว๊บไปที่นาทันที  ข้าวเพิ่งตั้งตัว ฝนตกขนาดนี้  กล้าจะลอยไหมหนอ  หรือว่ามันจะจมน้ำไปเลย    ขณะที่เขียนนี้ ยังเช้าอยู่จึงยังไม่ได้ไปดู ประเดี๋ยวคงต้องออกไป   แต่ได้รับความรู้สึกของชาวนาขึ้นมาเต็มๆว่า   ”ฝนตกน้อยก็กลัวข้าวไม่ขึ้น  พอฝนตกมาก ก็กลัวน้ำท่วมข้าว”  เขาคงต้องมีความรู้สึกแบบนี้มาทุกครั้ง  ทุกปี   ที่เขาลงมือปลูกข้าว เพราะขั้นตอนแทบทุกอย่างของเขา ต้องขึ้นกับดินฟ้าอากาศเท่านั้น    น่าเห็นใจจริงๆ

 

 


วันนี้ที่รอคอย (ภาค 1)

10 ความคิดเห็น โดย maeyai เมื่อ 22 กรกฏาคม 2011 เวลา 4:30 (เย็น) ในหมวดหมู่ ชีวิตกับโรงเรียน #
อ่าน: 1622

หลังจากลงมือเพาะกล้าในกระบะพลาสติคกันมาได้ราวๆ 15 วัน  ต้นกล้ากำลังสวยสดงดงามจริงๆ  วันนี้ก็มาถึงวันที่เด็กๆได้มาลงมือมาโยนกล้ากันเสียที

แรกๆเด็กบางคนทำท่าแหยงๆ บ่นว่าเหม็นขี้ตม  แต่สักพักพอคุ้นชิน ก็กลายเป็นสนุก จนแทบจะลงไปลุยโคลนด้วย  แต่แม่ใหญ่คงปล่อยให้ลงไม่ได้  เพราะไม่ได้ขออนุญาตผู้ปกครองขนาดนั้น   ก็เลยแค่ให้โยนกล้าที่เด็กๆเป็นคนปลูกเองกับมือ   พอได้โยนเข้าหน่อย ชักมัน  ทำท่าไม่อยากกลับโรงเรียนกันเป็นแถว



Main: 0.066725015640259 sec
Sidebar: 0.18384695053101 sec