เยี่ยมโรงเรียนเทศบาลของขอนแก่น

โดย maeyai เมื่อ 28 กรกฏาคม 2011 เวลา 9:43 (เช้า) ในหมวดหมู่ ชีวิตกับโรงเรียน, เด็กไร้เดียงสา #
อ่าน: 1641

คุณสุทธิ ศศิพงศ์อนันต์  สมาชิกเทศบาลนครขอนแก่น  เรียนจบวิศวะ จากมหาวิทยาลัยขอนแก่น  เป็นคนมีจิตอาสา  ได้อาสาเข้ามาทำโครงการ “ต้นกล้า แห่งปัญญา”  กับแผนกอนุบาลของโรงเรียนเทศบาลสังกัดนครขอนแก่นทั้ง 11 โรง มาเป็นเวลา 4 ปีแล้ว  คุณสุทธิ  เป็นคนมีจิตใจมุ่งมั่นมาก  และเห็นความสำคัญของการศึกษาระดับปฐมวัย ว่าเป็นช่วงวัยที่สำคัญ เป็นรากฐานชีวิตของเด็กๆทุกคน    เธอเป็นคนหนุ่ม  ที่มีความตั้งใจดี  ศึกษาธรรมะ มีลูกเล็กๆน่ารักสองคน และเมื่อมาทำงานกับเด็กอนุบาล   เธอบอกว่า เธอได้เรียนรู้  และนำสิ่งที่ได้เรียนรู้ไปใช้กับลูกๆด้วย

โดยลักษณะนิสัย ที่มีความมุ่งมั่นสูง ใจร้อน  คงจะมีนิสัย”กระทิง”หน่อยๆ แบบพวกวิศวกรทั่วไป  เธอจึงเริ่มโครงการด้วยการปรับปรุงทางด้านกายภาพของสถานที่เรียนก่อน   จากห้องเรียนมืดๆมุมอับๆ  เธอของบจากสภาเทศบาลมาปรับปรุงจนได้ห้องเรียนที่สวยงาม ได้มาตรฐาน     มีประโยชน์ใช้สอยอย่างครบครัน       แล้วเธอก็ตั้งเกณฑ์   ไว้ว่า นักเรียนอนุบาลทุกโรงของเทศบาลนครขอนแก่น จะต้อง  มีบุคลิกครบคือ  อดทน  มีวินัย เอื้อเฟื้อ เผื่อแผ่ รับผิดชอบ และกตัญญู  

แต่เนื่องจากที่เธอได้ไปศึกษาธรรมะจากหลวงพ่อคำเขียน ที่วัดป่าสุขะโตมาระยะหนึ่ง   ด้านอ่อนโยนของเธอ จึงปรากฏออกมาให้เห็นเวลาที่เธอมาทำงานในโครงการนี้   เธอบอกว่า   เธอเริ่มเข้าใจ คุณครูผู้สอน  ที่ถูกส่งมาที่แผนกอนุบาล (เพราะไม่มีใครอยากมา) เธอเปลี่ยนจากการออกคำสั้ง หรือติเตียน  การจัดการเรียนการสอนของครู  มาเป็นการให้ความเข้าใจ  ให้กำลังใจ ส่งไปเพิ่มเติมความรู้  จัดกลุ่มกรรมการตรวจเยี่ยมโรงเรียนอย่างเป็นกัลยาณมิตร ปีละสองครั้ง   ซึ่งแม่ใหญ่ ก็เป็นหนึ่งในคณะกรรมการนี้   คณะกรรมการส่วนใหญ่ เกือบยี่สิบคน  เป็นผู้นำชุมชนต่างๆในเทศบาลนครขอนแก่น

เมื่อเทศบาลโทรศัพท์มาเชิญให้เข้าร่วมเป็นกรรมการ  แม่ใหญ่ตอบรับด้วยความเต็มใจ ด้วยเห็นว่าเป็นโอกาสที่เราจะได้ใช้ประสบการณ์ที่มีกับโรงเรียนอนุบาลมายาวนาน ได้เข้าไปแต่งเติมเสริมแต่งให้กับชุมชนด้วย   ดังนั้น ในช่วงสามเดือนต่อจากนี้  แม่ใหญ่มีกำหนดการที่จะไปเยี่ยมเยียนโรงเรียนทั้ง 11 โรง

และเมื่อวันที่ 27 กรกฎาคม  โรงเรียนเทศบาลบ้านสามเหลี่ยมก็เป็นโรงเรียนแรกที่เรามาเยือน

เราไปอยู่ที่โรงเรียนนี้ ตั้งแต่9.00-11.00 น.  สังเกตการณ์ การจัดการเรียนการสอน  สองคาบด้วยกัน  และอยู่จนถึงเด็กทานข้าวกลางวัน  จะเห็นคุณครูค่อนข้างเกร็งกับการมาเยี่ยมของเรา  ดังนั้นการจัดกิจกรรมวันนี้ จึงไม่เป็นธรรมชาตินัก  ครึ่งชั่วโมงแรก เป็นการ สวดมนต์ กิจกรรมเข้าจังหวะ ร้องเพลง ทำโยคะ นับนิ้ว และเล่านิทาน  และจบลงด้วยการ จับคู่ กอดกันและกล่าวคำขอบคุณ  ครูนำหนึ่งคน พร้อมไมโครโฟน มีครูอีก 3 คน คอยดูแลให้เด็กประมาณ 100 คน ทำกิจกรรมให้เป็นระเบียบ  พอจบกิจกรรมนี้ เด็กทั้งหมดก็ออกไปเล่นพละกับครูพละ  ไปกระโดดตบ นับหนึ่งถึงสิบ แล้วก็กระโดดกบ   หลังจากนั้นก็ไปทานข้าว

ช่วงเด็กเล่นพละ พวกเราคณะกรรมการและคุณครูก็มาล้อมวง เพื่อแสดงความคิดเห็น   แม่ใหญ่เห็นคุณครูนั่งเครียดแล้วสงสาร  เมื่อเขาเชิญพูด จึงพยายามเลี่ยงการวิจารณ์กิจกรรม   แต่พยายามพูดให้ทุกคนตระหนักว่า  ควรให้ความสำคัญกับการเรียนรู้ของเด็กวัยนี้ให้มากๆ ครูที่มาสอนก็ขอให้ภูมิใจในตัวเองที่ได้มาเป็นคนลงรากปักฐานให้กับเด็ก  และขออนุญาตฝากไปเติมเกณฑ์บุคลิกนักเรียนปฐมวัยของเทศบาลอีกสักข้อจะได้ไหม คือให้ “คิดเป็น”ด้วย

 ก่อนจากกันแม่ใหญ่ไปกอดให้กำลังใจครูที่เป็นหัวหน้ากลุ่ม เพื่อให้กำลังใจ เธอออกตัวว่า เธอเป็นครูคอมพิวเตอร์ที่ถูกสั่งให้มา  เธอไม่มั่นใจจริงๆ  แม่ใหญ่ก็บอกเธอว่า  ขอให้มีใจรักเด็ก  ขอให้ให้ความรักก่อนให้ความรู้  เรื่องต่างๆที่เป็นเนื้อหากิจกรรม เราแสวงหาเอาได้  และบอกว่าถ้าจะใช้โรงเรียนแม่ใหญ่ เป็นที่แสวงหาละก็เชิญได้ตลอดเวลา

สิ่งที่ประทับใจกับการเยี่ยมชมครั้งนี้ คือการเห็นเด็กเล็กๆอายุ สี่ห้าขวบ ทานข้าวแล้วล้างจานให้ตัวเอง ซึ่งคุณสุทธิบอกว่า ได้เริ่มให้ทุกโรงเรียนในเทศบาลนครขอนแก่น  ทำเรื่องนี้  และบอกว่าแม่ใหญ่ก็จะได้เห็นอีก จากทุกๆโรงเรียน

สุทธิ ศศิพงศ์อนันต์

เขาล้างได้สะอาดจริงๆ แม้จานจะใหญ่กว่าตัวสักหน่อยก็ตาม น่ารักมาก

« « Prev : ความภูมิใจของคนเป็นครู

Next : เยี่ยมอนุบาลโรงเรียนบ้านตูม » »


ผู้ใช้ Facebook สามารถให้ความเห็นที่นี่ได้ โดยกด Like เพื่อแสดงตัว

8 ความคิดเห็น

  • #1 น้ำฟ้าและปรายดาว ให้ความคิดเห็นเมื่อ 28 กรกฏาคม 2011 เวลา 10:48 (เช้า)

    น่ารักจังค่ะ ขอเสนอนิดเดียวนะคะ ถ้าปรับให้มีอ่างล้างจานขนาดความสูงเท่าที่เด็กๆจะยืนล้างได้สะดวกจะดีกว่านี้อีกเยอะเลยค่ะ เพราะลดความเสี่ยงเรื่องน้ำหกเลอะเทอะแล้วอาจลื่นลงได้ …

    ที่ตากจานสามารถเลื่อนไปตากแดดได้มั้ยคะ ถ้าได้ถือว่าเยี่ยมมากๆค่ะ (ทำเรื่องอาหารปลอดภัยมานานเลยติดนิสัยในการ”ปรับปรุง”ตั้งแต่สุขาภิบาลอาหาร ไปจนถึงความปลอดภัยของอาหารน่ะค่ะ แหะแหะ)

  • #2 maeyai ให้ความคิดเห็นเมื่อ 28 กรกฏาคม 2011 เวลา 9:11 (เย็น)
    ขอบคุณค่ะ จะแจ้งให้ทางโรงเรียนปรับปรุงต่อไป พรุ่งนี้จะได้ไปเยี่ยมอีกโรงเรียนหนึ่งค่ะ
  • #3 withwit ให้ความคิดเห็นเมื่อ 29 กรกฏาคม 2011 เวลา 12:39 (เช้า)

    วันนี้ เส้นตาย ต้องรีบ งานเสมืยน ไม่มีเวลาอ่านละเอียด

    เห็นรูป ว้าย…ตาเถร! ล้างจาน(โดยเฉพาะน้ำสุดท้าย) น้ำนิ่ง

    ผมว่าต้องน้ำไหลนะแม่ใหญ่ ไม่งั้นผมว่าเชื้อสะสม ระบบน้ำหยดที่ผมเคยเสนอไว้ก็ยิ่งดี ช่วยประหยัด

    ฝรั่งมันเคยวิจัยว่า ฝารองนั่งส้วม สะอาดกว่าเขียงในห้องครัว 10 เท่า …บ๋า แบบนี้เอาจานไปล้างในโถชักโครกคงดีกว่า อิอิ

  • #4 maeyai ให้ความคิดเห็นเมื่อ 29 กรกฏาคม 2011 เวลา 4:41 (เช้า)
    #3 วันนี้จะลองไปเล่าให้หัวหน้าโครงการเขาฟังนะคะ จะไปสังเกตอีกครั้งว่าเขาเปลี่ยนน้ำสุดท้ายบ่อยแค่ไหน
  • #5 withwit ให้ความคิดเห็นเมื่อ 29 กรกฏาคม 2011 เวลา 8:23 (เช้า)

    น้ำไหล น้ำสุดท้ายอย่าปล่อยทิ้ง เอามาเป็นน้ำหนึ่ง น้าสองได้ นะครับ แม่ใหญ่ ส่วนน้ำหนึ่ง น้ำสอง ก็เอาไปรดผักได้ หรือเอาราดส้วม ก็ดีครับ

  • #6 maeyai ให้ความคิดเห็นเมื่อ 29 กรกฏาคม 2011 เวลา 2:33 (เย็น)
    วันนี้ไปติดตามเรื่องล้างชามที่ คุณwithwit กับ คุณน้ำฟ้าฯ เป็นห่วงแล้วนะคะ ได้ความว่า เขาให้เด็กเอาเศษอาหารทิ้งในถัง ที่เอาไปเป็นข้าวหมู แล้วล้างจานด้วยน้ำเปล่า ถังที่ 1 แล้วนำไปล้างในถังที่ผสมน้ำยาล้างชามถังที่ 2 ล้างน้ำสะอาด อีก 2ถัง ก่อนเอาไปคว่ำ เป็นการฝึกและสร้างสร้างนิสัย ความรับผิดชอบเบื้องต้น หลังจากนั้นแผนกครัวก็มาเก็บจานไป ดูว่าสะอาดจริงหรือไม่ ก่อนใช้ครั้งต่อไป ต้องลวกน้ำร้อนเพื่อฆ่าเชื้อโรคก่อนค่ะ
  • #7 bangsai ให้ความคิดเห็นเมื่อ 30 กรกฏาคม 2011 เวลา 10:35 (เย็น)

    ดีมากครับ วันหลังหากมีเวลาจะแอบไปดูบ้าง ผมเคยเขียนบันทึกเรื่อง Kindergarten ในเดนมาร์ค บังเอิญได้ไปดูงานอื่นๆแต่แถมรายการนี้ ผมติดใจมาก มันแตกต่างจากบ้านเราสิ้นเชิง ดูเหมือนเขาจะใช้หลักสูตรที่กลับไปสู่ระบบยุคแรกของการเรียนรู้จากสิ่งรอบตัว เขาไม่มีหลักสูตร……ความจริงมี แต่มีแบบไม่มี เอะมันยังไง แม่ใหญ่อาจทราบมาแล้วเพราะแม่ใหญ่อยู่ในวงการนี้มานาน ทำมากับมือด้วย หรือบางทีอาจทำแบบนั้นแล้วแต่ผมตกข่าวสารด้านนี้ไป

    ขอสรุปสั้นๆว่า ครูหรือพี่เลี้ยงจะไม่กางตารางสอน แต่จะถามเด็กว่าใครอยากทำอะไรบ้าง ใครอยากเล่นอะไรบ้าง ไม่จำเป็นต้องถามทุกคน เมื่อได้สักสองสาม สี่กลุ่ม ก็ถามว่า ใครอยากเข้ากลุ่มไหนบ้าง ก็จะให้กลุ่มนั้นทำในสิ่งที่กลุ่มต้องการ โดยครูเป็นพี่เลี้ยงคอยเติมความรู้ ข้อพึงระวัง กติการ่วมกัน ฯลฯ ทั้งหลาย มันสนุกจริงๆเด็กทำกิจกรรมนั้นๆในห้องก็ได้ นอกห้องก็ได้ เห็นเด็กแล้วเขาเติบโตทางปัญญาและแจ่มใสมาก…

    เทศบาลขอนแก่นทำในสิ่งที่ควรสนับสนุนมากครับ

  • #8 withwit ให้ความคิดเห็นเมื่อ 30 กรกฏาคม 2011 เวลา 11:03 (เย็น)

    ผมขอยืนยันนะครับแม่ใหญ่ว่า น้ำสุดท้ายควรเป็นน้ำไหล ไหลเบาๆ ติดฝักบัว จะสะอาดกว่าเดิมมาก แล้วถาทำดีๆ จะประหยัดกว่าใช้น้ำนิ่งด้วยซ้าไป เช่น เอาน้ำสามไปเป็นน้ำสอง นำสองไปเป็นน้ำหนึ่ง น้ำหนึ่งไปรดสวน

    ถ้าผมเป็นรมว. สาธาฯ ผมจะผลักดันกฎหมายให้ร้านอาหาร รร. รพ. ต้องทำแบบนี้หมด ที่เมกาเขามีกฎหมายน้ำสุดท้ายเป็นนำไหลมานานแล้วครับ (ที่ผมรู้เพราะไปเล่นดนตรีไทยที่ร้านอาหารเพื่อนกัน ไปกะพี่ชายสุดที่รักนั่นแหละครับ)


แสดงความคิดเห็น

ท่านอยากจะเข้าระบบหรือไม่
You must be logged in to post a comment.

Main: 0.60976886749268 sec
Sidebar: 0.14937615394592 sec