เยี่ยมโรงเรียนเทศบาลของขอนแก่น
อ่าน: 1693คุณสุทธิ ศศิพงศ์อนันต์ สมาชิกเทศบาลนครขอนแก่น เรียนจบวิศวะ จากมหาวิทยาลัยขอนแก่น เป็นคนมีจิตอาสา ได้อาสาเข้ามาทำโครงการ “ต้นกล้า แห่งปัญญา” กับแผนกอนุบาลของโรงเรียนเทศบาลสังกัดนครขอนแก่นทั้ง 11 โรง มาเป็นเวลา 4 ปีแล้ว คุณสุทธิ เป็นคนมีจิตใจมุ่งมั่นมาก และเห็นความสำคัญของการศึกษาระดับปฐมวัย ว่าเป็นช่วงวัยที่สำคัญ เป็นรากฐานชีวิตของเด็กๆทุกคน เธอเป็นคนหนุ่ม ที่มีความตั้งใจดี ศึกษาธรรมะ มีลูกเล็กๆน่ารักสองคน และเมื่อมาทำงานกับเด็กอนุบาล เธอบอกว่า เธอได้เรียนรู้ และนำสิ่งที่ได้เรียนรู้ไปใช้กับลูกๆด้วย
โดยลักษณะนิสัย ที่มีความมุ่งมั่นสูง ใจร้อน คงจะมีนิสัย”กระทิง”หน่อยๆ แบบพวกวิศวกรทั่วไป เธอจึงเริ่มโครงการด้วยการปรับปรุงทางด้านกายภาพของสถานที่เรียนก่อน จากห้องเรียนมืดๆมุมอับๆ เธอของบจากสภาเทศบาลมาปรับปรุงจนได้ห้องเรียนที่สวยงาม ได้มาตรฐาน มีประโยชน์ใช้สอยอย่างครบครัน แล้วเธอก็ตั้งเกณฑ์ ไว้ว่า นักเรียนอนุบาลทุกโรงของเทศบาลนครขอนแก่น จะต้อง มีบุคลิกครบคือ อดทน มีวินัย เอื้อเฟื้อ เผื่อแผ่ รับผิดชอบ และกตัญญู
แต่เนื่องจากที่เธอได้ไปศึกษาธรรมะจากหลวงพ่อคำเขียน ที่วัดป่าสุขะโตมาระยะหนึ่ง ด้านอ่อนโยนของเธอ จึงปรากฏออกมาให้เห็นเวลาที่เธอมาทำงานในโครงการนี้ เธอบอกว่า เธอเริ่มเข้าใจ คุณครูผู้สอน ที่ถูกส่งมาที่แผนกอนุบาล (เพราะไม่มีใครอยากมา) เธอเปลี่ยนจากการออกคำสั้ง หรือติเตียน การจัดการเรียนการสอนของครู มาเป็นการให้ความเข้าใจ ให้กำลังใจ ส่งไปเพิ่มเติมความรู้ จัดกลุ่มกรรมการตรวจเยี่ยมโรงเรียนอย่างเป็นกัลยาณมิตร ปีละสองครั้ง ซึ่งแม่ใหญ่ ก็เป็นหนึ่งในคณะกรรมการนี้ คณะกรรมการส่วนใหญ่ เกือบยี่สิบคน เป็นผู้นำชุมชนต่างๆในเทศบาลนครขอนแก่น
เมื่อเทศบาลโทรศัพท์มาเชิญให้เข้าร่วมเป็นกรรมการ แม่ใหญ่ตอบรับด้วยความเต็มใจ ด้วยเห็นว่าเป็นโอกาสที่เราจะได้ใช้ประสบการณ์ที่มีกับโรงเรียนอนุบาลมายาวนาน ได้เข้าไปแต่งเติมเสริมแต่งให้กับชุมชนด้วย ดังนั้น ในช่วงสามเดือนต่อจากนี้ แม่ใหญ่มีกำหนดการที่จะไปเยี่ยมเยียนโรงเรียนทั้ง 11 โรง
และเมื่อวันที่ 27 กรกฎาคม โรงเรียนเทศบาลบ้านสามเหลี่ยมก็เป็นโรงเรียนแรกที่เรามาเยือน
เราไปอยู่ที่โรงเรียนนี้ ตั้งแต่9.00-11.00 น. สังเกตการณ์ การจัดการเรียนการสอน สองคาบด้วยกัน และอยู่จนถึงเด็กทานข้าวกลางวัน จะเห็นคุณครูค่อนข้างเกร็งกับการมาเยี่ยมของเรา ดังนั้นการจัดกิจกรรมวันนี้ จึงไม่เป็นธรรมชาตินัก ครึ่งชั่วโมงแรก เป็นการ สวดมนต์ กิจกรรมเข้าจังหวะ ร้องเพลง ทำโยคะ นับนิ้ว และเล่านิทาน และจบลงด้วยการ จับคู่ กอดกันและกล่าวคำขอบคุณ ครูนำหนึ่งคน พร้อมไมโครโฟน มีครูอีก 3 คน คอยดูแลให้เด็กประมาณ 100 คน ทำกิจกรรมให้เป็นระเบียบ พอจบกิจกรรมนี้ เด็กทั้งหมดก็ออกไปเล่นพละกับครูพละ ไปกระโดดตบ นับหนึ่งถึงสิบ แล้วก็กระโดดกบ หลังจากนั้นก็ไปทานข้าว
ช่วงเด็กเล่นพละ พวกเราคณะกรรมการและคุณครูก็มาล้อมวง เพื่อแสดงความคิดเห็น แม่ใหญ่เห็นคุณครูนั่งเครียดแล้วสงสาร เมื่อเขาเชิญพูด จึงพยายามเลี่ยงการวิจารณ์กิจกรรม แต่พยายามพูดให้ทุกคนตระหนักว่า ควรให้ความสำคัญกับการเรียนรู้ของเด็กวัยนี้ให้มากๆ ครูที่มาสอนก็ขอให้ภูมิใจในตัวเองที่ได้มาเป็นคนลงรากปักฐานให้กับเด็ก และขออนุญาตฝากไปเติมเกณฑ์บุคลิกนักเรียนปฐมวัยของเทศบาลอีกสักข้อจะได้ไหม คือให้ “คิดเป็น”ด้วย
ก่อนจากกันแม่ใหญ่ไปกอดให้กำลังใจครูที่เป็นหัวหน้ากลุ่ม เพื่อให้กำลังใจ เธอออกตัวว่า เธอเป็นครูคอมพิวเตอร์ที่ถูกสั่งให้มา เธอไม่มั่นใจจริงๆ แม่ใหญ่ก็บอกเธอว่า ขอให้มีใจรักเด็ก ขอให้ให้ความรักก่อนให้ความรู้ เรื่องต่างๆที่เป็นเนื้อหากิจกรรม เราแสวงหาเอาได้ และบอกว่าถ้าจะใช้โรงเรียนแม่ใหญ่ เป็นที่แสวงหาละก็เชิญได้ตลอดเวลา
สิ่งที่ประทับใจกับการเยี่ยมชมครั้งนี้ คือการเห็นเด็กเล็กๆอายุ สี่ห้าขวบ ทานข้าวแล้วล้างจานให้ตัวเอง ซึ่งคุณสุทธิบอกว่า ได้เริ่มให้ทุกโรงเรียนในเทศบาลนครขอนแก่น ทำเรื่องนี้ และบอกว่าแม่ใหญ่ก็จะได้เห็นอีก จากทุกๆโรงเรียน
เขาล้างได้สะอาดจริงๆ แม้จานจะใหญ่กว่าตัวสักหน่อยก็ตาม น่ารักมาก
« « Prev : ความภูมิใจของคนเป็นครู
Next : เยี่ยมอนุบาลโรงเรียนบ้านตูม » »
8 ความคิดเห็น
น่ารักจังค่ะ ขอเสนอนิดเดียวนะคะ ถ้าปรับให้มีอ่างล้างจานขนาดความสูงเท่าที่เด็กๆจะยืนล้างได้สะดวกจะดีกว่านี้อีกเยอะเลยค่ะ เพราะลดความเสี่ยงเรื่องน้ำหกเลอะเทอะแล้วอาจลื่นลงได้ …
ที่ตากจานสามารถเลื่อนไปตากแดดได้มั้ยคะ ถ้าได้ถือว่าเยี่ยมมากๆค่ะ (ทำเรื่องอาหารปลอดภัยมานานเลยติดนิสัยในการ”ปรับปรุง”ตั้งแต่สุขาภิบาลอาหาร ไปจนถึงความปลอดภัยของอาหารน่ะค่ะ แหะแหะ)
วันนี้ เส้นตาย ต้องรีบ งานเสมืยน ไม่มีเวลาอ่านละเอียด
เห็นรูป ว้าย…ตาเถร! ล้างจาน(โดยเฉพาะน้ำสุดท้าย) น้ำนิ่ง
ผมว่าต้องน้ำไหลนะแม่ใหญ่ ไม่งั้นผมว่าเชื้อสะสม ระบบน้ำหยดที่ผมเคยเสนอไว้ก็ยิ่งดี ช่วยประหยัด
ฝรั่งมันเคยวิจัยว่า ฝารองนั่งส้วม สะอาดกว่าเขียงในห้องครัว 10 เท่า …บ๋า แบบนี้เอาจานไปล้างในโถชักโครกคงดีกว่า อิอิ
น้ำไหล น้ำสุดท้ายอย่าปล่อยทิ้ง เอามาเป็นน้ำหนึ่ง น้าสองได้ นะครับ แม่ใหญ่ ส่วนน้ำหนึ่ง น้ำสอง ก็เอาไปรดผักได้ หรือเอาราดส้วม ก็ดีครับ
ดีมากครับ วันหลังหากมีเวลาจะแอบไปดูบ้าง ผมเคยเขียนบันทึกเรื่อง Kindergarten ในเดนมาร์ค บังเอิญได้ไปดูงานอื่นๆแต่แถมรายการนี้ ผมติดใจมาก มันแตกต่างจากบ้านเราสิ้นเชิง ดูเหมือนเขาจะใช้หลักสูตรที่กลับไปสู่ระบบยุคแรกของการเรียนรู้จากสิ่งรอบตัว เขาไม่มีหลักสูตร……ความจริงมี แต่มีแบบไม่มี เอะมันยังไง แม่ใหญ่อาจทราบมาแล้วเพราะแม่ใหญ่อยู่ในวงการนี้มานาน ทำมากับมือด้วย หรือบางทีอาจทำแบบนั้นแล้วแต่ผมตกข่าวสารด้านนี้ไป
ขอสรุปสั้นๆว่า ครูหรือพี่เลี้ยงจะไม่กางตารางสอน แต่จะถามเด็กว่าใครอยากทำอะไรบ้าง ใครอยากเล่นอะไรบ้าง ไม่จำเป็นต้องถามทุกคน เมื่อได้สักสองสาม สี่กลุ่ม ก็ถามว่า ใครอยากเข้ากลุ่มไหนบ้าง ก็จะให้กลุ่มนั้นทำในสิ่งที่กลุ่มต้องการ โดยครูเป็นพี่เลี้ยงคอยเติมความรู้ ข้อพึงระวัง กติการ่วมกัน ฯลฯ ทั้งหลาย มันสนุกจริงๆเด็กทำกิจกรรมนั้นๆในห้องก็ได้ นอกห้องก็ได้ เห็นเด็กแล้วเขาเติบโตทางปัญญาและแจ่มใสมาก…
เทศบาลขอนแก่นทำในสิ่งที่ควรสนับสนุนมากครับ
ผมขอยืนยันนะครับแม่ใหญ่ว่า น้ำสุดท้ายควรเป็นน้ำไหล ไหลเบาๆ ติดฝักบัว จะสะอาดกว่าเดิมมาก แล้วถาทำดีๆ จะประหยัดกว่าใช้น้ำนิ่งด้วยซ้าไป เช่น เอาน้ำสามไปเป็นน้ำสอง นำสองไปเป็นน้ำหนึ่ง น้ำหนึ่งไปรดสวน
ถ้าผมเป็นรมว. สาธาฯ ผมจะผลักดันกฎหมายให้ร้านอาหาร รร. รพ. ต้องทำแบบนี้หมด ที่เมกาเขามีกฎหมายน้ำสุดท้ายเป็นนำไหลมานานแล้วครับ (ที่ผมรู้เพราะไปเล่นดนตรีไทยที่ร้านอาหารเพื่อนกัน ไปกะพี่ชายสุดที่รักนั่นแหละครับ)