ขอบใจลูกที่ให้โอกาส

3 ความคิดเห็น โดย maeyai เมื่อ 9 สิงหาคม 2011 เวลา 12:04 (เย็น) ในหมวดหมู่ งานอดิเรก, ชีวิตกับโรงเรียน, เรื่องที่เรียนรู้ #
อ่าน: 1746

ที่นาที่แม่ใหญ่ใช้เป็น  “ศูนย์ทดลองทำนาพัฒนาเด็ก”  นั้น  ลูกชายให้ชื่อว่า “สวนสามศร”  เพราะเจ้าของผู้ถือกรรมสิทธิ์ ซึ่งได้แก่ลูกและหลาน   นามสกุล “สุวรรณศร” เหมือนกัน สามคน  ตอนนี้เราก็เลยเรียกได้สองอย่าง จะเรียกว่า  “ศูนย์ทดลอง” หรือจะเรียกว่า สวนสามศร  ก็ไม่ผิดกติกาใดใด  และคงจะทำมากกว่า ทำนา  เพราะได้ผสมผสานการปลูกป่า และการปลูกต้นไม้ต่างๆเอาไว้ด้วย

เมื่อจัดรูปที่ดินให้ตรงกับประโยชน์ใช้สอยที่เราต้องการแล้ว  ก้ได้เป็นที่นาสองแปลง  แปลงละ หนึ่งไร่  ทำถนนตัดผ่าเข้าไปตรงกลางถึงสระขนาดใหญ่ เนื้อที่เกือบสองไร่  ที่ลูกชายตั้งใจจะทำเป็นบ่อปลา    ตามขอบบ่อ คันนา และขอบถนน  เราจะใช้เป็นที่ปลูกต้นไม้ หลากหลายชนิด   รวมถึงพวกผักผลไม้ ต่างๆที่ตอนนี้ แม่ใหญ่ก็ทะยอยขนไปปลูกอยู่อย่างต่อเนื่อง คาดว่าภายในสองสามปี  ต้นไม้ที่โตเร็วๆทั้งหลาย คงจะงอกงามเขียวชอุ่มให้เราได้เห็นมากกว่าในปัจจุบัน

ในรูปนี้ตอนเขียนผังเองค่อนข้างผิดส่วน จริงๆแล้ว บ่อน้ำใหญ่เท่าๆกันกับนาสองไร่

   

ปลูกหญ้าแฝกกันดินพัง  และลงต้นอะคาเซียรอบที่ดิน

 ต้น อะคาเซีย นี้ เป็นตระกูลผสมระหว่างกระถินณรงค์ กับยูคาลิปตัส ไปได้มาจากศูนย์ทดลองพันธ์ไม้สะแกราช  ก่อนปลูกได้ไปศึกษา ทีศูนย์วิจัยก่อน  เขาพาไปดูต้นที่ปลูกแล้วเห็นว่า  มีลักษณะเป็นต้นสูงตรง  เจ็ดปีสามารถนำมาเลื่อยปลูกบ้านได้เลย และมีเนื้อไม้สวยงามไม่แพ้ไม้สักด้วย ถือเป็นไม้เศรษฐกิจได้  แม่ใหญ่จึงขอกล้าไม้เขามาปลูก   เขาให้มาห้าร้อยต้น   เอามาลงปลูกไว้รอบคันนาและรอบขอบบ่อ  จำนวน สองร้อยกว่าต้น  อีกเจ็ดปี บริเวณรอบๆสวนคงจะร่มครึ้มสวยงามทีเดียว (กล้าที่เหลือยังมีอยู่ ใครต้องการมาแบ่งไปปลูกได้ )

ไปนาบ่อยๆไม่มีที่พัก จึงไปปลูกเถียงนา และพาลูกหลานไปนาในวันหยุดตามที่เขียนไว้ในบล็อคที่แล้ว  และตัวเองก็ซื้อต้นไม้ต่างๆไปลงไว้เรื่อยๆ จะขอเอาพื้นที่ของ  ลานโรงเรียน  บันทึกจำนวนต้นไม้เอาไว้เลย  เมื่อต้นโตแล้วจะได้ถ่ายรูปมาอวดกันอีกครั้ง ขณะนี้ได้ลงต้นไม้ต่างๆไว้แล้วดังนี้

อะคาเซีย 200 ต้น  ไผ่บงหวาน 20 ต้น ต้นแค 2 ต้น ชะอม 2 ต้น ต้นสัก 5 ต้น มะละกอ 2 ต้น มะนาว 2 ต้น มะเฟือง 2 ต้น ฝรั่ง 2 ต้น มะม่วงน้ำดอกไม้ 2 ต้น ขนุน 2 ต้น ชมพู่ 1 ต้น  ประเภทสวยงาม มี ต้นคูณ 1 ต้น ต้นลำโพง 4 ต้น กระดุมทอง 10 ต้น กระเจียว 4 ต้น และมีต้นไม้เดิมติดที่อยู่แล้ว  เป็นต้นจาน  หรือทองกวาวต้นใหญ่ที่แม่ใหญ่ไปอาศัยร่มเงาปลูกเถียงนา   และมีต้นเล็กๆที่ขึ้นอยู่ริมขอบบ่ออีก 4-5 ต้น ทีแม่ใหญ่สั่งห้าม ขุดทิ้งเด็ดขาด  นอกจากนี้เจ้าของที่เดิมได้ปลูกต้นกล้วยไว้หลายกอ  ต้นมะมวงที่โตแล้วสองสามต้น  และมีมะพร้าวอีกสองสามต้น

แม่ใหญ่ยังหาต้น พังเพย มะพลับ ตะโก มะกอก  ตามที่ท่านวอญ่า แนะนำไม่ได้  แต่อีกไม่นานต้องหาจนได้  เพื่อ จะได้ชี้ชวนให้เด็กดูว่า

  นี่ต้นพังเพยนะ  แล้วนั่นก็ต้น ที่มาของคำว่า “ต่อหน้ามะพลับ ลับหลังตะโก” 

โน่นต้น  “มะกอกสามตะกร้าปาไม่ถูก”

นั่นต้น  “มะม่วงหาว มะนาวโห่”

(ที่เด็กๆเคยเรียนในวิชาภาษาไทย แต่ไม่เคยได้เห็นต้นจริงก็จะได้เห็นกันละคราวนี้  )

 ฝนนี้ ตกชุก ต้นไม้ต่างๆที่ปลูกไปแล้ว  คงได้ชุ่มฉ่ำเต็มที่  รวมทั้งข้าวที่พานักเรียนมาโยนไปแล้วเมื่อวันที่ 22 ก.ค.ก็เติบโตแข็งแรง  ที่จมน้ำเพราะทำเทือกไม่เรียบเสมอ  ก็จะดำซ่อมแซมกันในวันที่ 12 ส.ค.นี้ แม่ใหญ่จะถือเป็นวันร่วมมือร่วมใจลงแขกดำนากัน  วันเดียวคงเสร็จ ได้ป่าวร้องน้องพี่ พนักงาน ครูและเด็กๆทั้งโรงเรียน ที่สมัครใจมาลงแขกกันในวันอม่    คาดว่าจะมากันหลายคนอยู่ เพราะให้สโลแกนในการป่าวร้องไปว่า “ถ้ารักแม่ใหญ่ ต้องไปดำนา” (คราวนี้คงจะรู้ละว่าใครรักเรา อิอิ)

   ปีนี้จะทดลองแบบเดิมๆ ใช้คนไปก่อน  แต่เที่ยวหน้าจะใช้รถดำตามที่ได้ไปเรียนมาจากคุณต้นกล้า ชาวนาวันหยุด เพราะได้ชื่อเครือข่ายรถดำนามาเรียบร้อยแล้ว

แหม   ชีวิตวัยหลังเกษียณนี่มีอะไรมาให้เล่นสนุกจริงๆ  รูปข้างล่างนี้ คือเมื่อได้ไปเรียนรู้เรื่องทำนา  กับการไปเรียนรู้เรื่องปลูกป่า  ก่อนที่จะมาทำในศูนย์ทดลองของโรงเรียนพัฒนาเด็ก…..ก่อนทำอะไรต้องเรียนรู้ของจริงเสียก่อน

 วันเวลาในวัยนี้  ได้เติมเต็มในส่วนที่ไม่เคยได้ทำ   เมื่อครั้งยังมีหน้าที่การงานความรับผิดชอบ เต็มไม้เต็มมือ  เลี้ยงลูกๆทั้งห้าคน ด้วยสองมือแม่  พร้อมกับดำเนินกิจการโรงเรียนไปด้วย 

วันนี้ลูกสองคนเข้ามาช่วยบริหารเต็มตัว ขอเพียงแม่เข้าไปนั่งประชุมด้วยเพื่อให้ความคิดเห็นบ้างตามประสบการณ์ที่มีมานาน   แม่ใหญ่จึงมีเวลามาศึกษาหาความรู้เพิ่มเติมในเรื่องที่สนใจ 

ขอบใจลูกทั้งสองคนที่ให้แม่มีโอกาสดีดีในวันนี้” 

 


ชักจูงลูกหลานให้หันหาธรรมชาติ

อ่าน: 1557

         เมื่อสมัยแม่ใหญ่ยังเด็ก ที่พอจำความได้แล้ว   แม่เคยพาไปเที่ยวทุ่งนาของยายที่ดงละคร   นครนายก  ได้ไปพักอยู่ในกระต๊อบหลังหนึ่ง   เวลาลมฝนมา  หลังคามุงจากรั่ว และมีบางส่วนปลิวว่อน   เจ้าของบ้านวิ่งหากะละมังมารองน้ำ  แล้วเอาผ้าใบมาคลุมให้เราไปนั่งหลบกันอยู่ที่มุมบ้านซึ่งรั่วน้อยหน่อย    แทนที่จะกลัว   แม่ใหญ่ กลับจำได้ฝังใจว่าสนุกมากๆ  เพราะไม่เคยเจอแบบนี้มาก่อน  อาหารที่เขาทำให้ทานที่จำได้ และชอบมาจนบัดนี้คือ ขนมจีนคลุกน้ำปลา ใส่ผักกะเฉดและโหระพา อร่อยจนต้องขอทานเป็นจานที่สอง   วันไหนแดดดีดีก็ไปลงนากับเขา  คลุกโคลน ขี่ควาย   เป็นภาพที่ฝังจิตฝังใจ  ไมเคยลืม

มาวันนี้  ถึงแม้มาอยู่ต่างจังหวัด   แต่ก็อยู่แต่ในตัวเมือง  ไม่ได้ออกไปสัมผัสไร่นาอีกเลย  เมื่อมีเวลาว่างเพราะเกษียณตัวเองจากงานประจำ   จึงอยากไปคลุกคลีกับบรรยากาศ ทุ่งนาอีกสักครั้ง  และก็อยากชักจูงลูกหลานไปสัมผัสชีวิตชนบทด้วย      เมื่อมีคนบอกขายที่นา ราคาไม่แพงนัก เมื่อสองปีที่แล้ว    จึงไปขอแบ่งซื้อมา สี่ไร่  ยกให้เป็นชื่อลูก ชื่อหลาน ทั้งหมด    แล้วก็ชักชวนให้เขาไปเที่ยวไปเล่นในที่นาของเขาเอง    ที่นาซึ่งปลูกข้าวได้  มีสองไร่เศษๆ   อีกสองไร่เป็นบ่อน้ำใหญ่ซึ่งเจ้าของเก่า เขาขุดไว้

ช่วงสองปีที่แล้วต้องบอกว่าเป็นช่วงบ่มเพาะความรู้ต่างๆว่า จะทำอะไรกับที่นาตรงนี้ดี  ยังปล่อยให้เจ้าของเดิมเขาทำนาไปตามที่เขาเคยทำ   แต่ปีนี้ ได้เริ่มทดลองเอาสิ่งที่ศึกษามาปฏิบัติไปบ้างแล้ว   เป็นการลองผิดลองถูก  ไม่ได้นึกถึงผลผลิตเป็นข้าว  หรือเป็นเงินตอบแทนนัก   แต่อยากให้เป็นที่ซึ่งลูกหลานในเมือง  ได้มีโอกาสไปเรียนรู้และใกล้ชิดกับธรรมชาติ  ทั้งลูกหลานของเราเอง และลูกหลานในโรงเรียน ด้วย  ตอนนี้จึงตั้งเป็น  “ศูนย์ทำนาทดลองพัฒนาเด็ก”  เปิดหน้า เวปเพจใหม่ไว้ใน เฟสบุค  แล้วก็รวบรวมความรู้ต่างๆที่ได้ศึกษาจาก you tube และ google  มาไว้ที่หน้านี้   

 ส่วนทางด้านกายภาพ  ก็เริ่มด้วยการทำทางเข้าที่นา  ปลูกเถียงนา  โรงนา   และได้พาเด็กนักเรียนไปโยนข้าว แล้วเมื่อเดือนที่แล้ว  ขณะนี้  ข้าวเริ่มแตกเป็นกอ และแตกใบเป็นสี่ห้าใบแล้ว   ได้ ปลูกหญ้าแฝกกันดินพัง  ปลูกต้นอาคาเซีย บนคันนา รอบๆที่นา  หาพืชพันธ์ไม้ต่างๆไปปลูกไว้  ทั้ง ต้นไผ่บงหวาน   ต้นสัก  ต้นมะละกอ   มะกรูด  มะนาว  ขนุน  มะรุม ต้นแค  ชะอม   หวังว่าอีกไม่นานจะได้เห็น ต้นไม้ต่างๆเหล่านี้ เติบโต  ตั้งใจจะเลี้ยงเป็ดสักยี่สิบตัว  เอาไว้กินหอยเชอรี่ในนา  และ เลี้ยงวัวสักสองตัวเพื่อเอาปุ๋ยคอกมาบำรุงดิน

 เดี๋ยวนี้   พอวันเสาร์อาทิตย์ ก็ชวนลูกๆหลาน  ไปเที่ยวเล่นที่เถียงนาใหม่  แทนการไปเดินห้าง    เล่นเกมส์คอมพิวเตอร์   เอาอาหารไปทำทานกันบ้าง  ชวนไปวิ่งเล่นออกกำลังกัน     แม้ยังไม่ได้ลงมือเป็นเกษตรกรเต็มตัว  เพราะล้วนแต่ยังทำอะไรไม่เป็นกันสักคน  แต่อย่างน้อยก็ได้ไปเห็นลูกชาวนาข้างๆที่นาของเรา    อายุไล่เลี่ยกับหลานๆ  สามารถลงแปลงช่วยพ่อแม่ ถอนกล้า   แล้วมัดเป็นฟ่อน   และยังสามารถหาบเอากล้าไปดำนาช่วยพ่อแม่  ได้อย่างคล่องแคล่วว่องไว 

 ถือว่า   นี่เป็นพียงการเริ่มต้น  ที่จะให้เด็กๆได้เรียนรู้    ให้เขาได้ใกล้ชิดธรรมชาติ   ได้เห็นชีวิตจริงของชาวนาไทย      แม่ใหญ่ถือว่า การได้จัดประสบการณ์ชีวิตให้เขา   ได้พบ  ได้เห็นอะไรที่แตกต่างไปจากชีวิตประจำวันของเขา  ดีกว่าที่จะให้เขาเติบโตและใช้ชีวิตเป็นเด็กเมือง เพียงอย่างเดียว 

วันศุกรที่ 12 สิงหาคมนี้  เป็นวันหยุด    ต้นกล้าที่หว่านไว้   โตได้ที่พอดี   ก็จะนัดครู  พนักงาน   เด็กนักเรียน  และลูกหลาน  ไปลงแขกดำนา ในส่วนที่เหลืออีกหนึ่งไร่  กันอีกครั้ง   เอาให้ตรงกับที่ป้าจุ๋มเคยบอกไว้ว่า  “ปลูกวันแม่  แล้วเกี่ยววันพ่อ”  นั่นทีเดียว   ขออย่าให้มีพายุเข้าหรืออุปสรรคอื่นใดอีกก็แล้วกัน


ไปเรียนรู้เรื่องทำนา

5 ความคิดเห็น โดย maeyai เมื่อ 3 สิงหาคม 2011 เวลา 10:03 (เช้า) ในหมวดหมู่ งานอดิเรก, เรื่องที่เรียนรู้ #
อ่าน: 2273

 

วันนี้มีโอกาสได้ไปเข้าร่วมฟังชาวนาตัวจริง   และชาวนาวันหยุด  มาเล่าเรื่องความรู้เกี่ยวกับการทำนา  ที่งาน go green  go organic    ได้ความรู้มาหลายเรื่องจากตัวจริงเสียงจริง  หลังจากที่ได้ติดตามอ่านใน gotoknow มาพักใหญ่แล้ว  ได้พบคุณต้นกล้า  ชาวนาวันหยุด  ลุงมี  คุณสมปอง คุณฉับพลัน คุณตั้ม ชาวนาร่วมสมัยที่ได้ ใช้ชีวิตชาวนาอย่างเป็นสุข และได้ผล  มาคนละหลายๆปี  ได้พบคุณสุวัฒน์ วิศวกรอีกคน มาทักว่าเคยเป็นนักศึกษาวิศว มหาวิทยาลัยขอนแก่นรุ่นหก  อุตส่าห์จำแม่ใหญ่ได้ (ขอบคุณมากค่ะ)  มาร่วมฟังอย่างสนใจและบอกแม่ใหญ่ ว่าอีกสองสามปี จะใช้ชีวิตบั้นปลายไปทำนา     อาม่า และคุณแพนด้า   ที่คุ้นเคยกันดีอยู่แล้วจากการอ่านบทความในลานปัญญา

งานนี้ได้ประโยชน์ ได้ความรู้ เสียดายที่ไม่มีชาวนาตัวจริงๆ มารับฟังเพื่อนำไปปรับปรุงการทำนาของตัวเอง ให้เป็นชาวนาร่วมสมัยให้จงได้  จะมีก็แต่ ลุงพงศ์  ครูสอนทำนาของแม่ใหญ่ที่แม่ใหญ่พาไปด้วย  ลุงพงศ์บอกว่าทำนามานานปี  หลายๆเรื่องเพิ่งได้เรียนรู้เหมือนกัน

สำหรับแม่ใหญ่ที่ยังไม่เคยทำนาจริงๆ  เคยแต่อ่าน และเพิ่งเริ่มทดลองทำนาโยนเป็นครั้งแรก  จับประเด็นใหญ่ๆได้ ดังนี้

  • ทำนาดำดีที่สุด
  • เวลาดำนาไม่จำเป็นต้องดำสับหว่าง ดำเป็นแถวตรงๆ จะง่ายต่อการ แถกหญ้าด้วยเครื่องที่คุณสมปองคิดขึ้น  และเป็นเส้นทางให้เป็ด  เดินทางเข้าไปหาหอยเชื่อรี่กินง่ายขึ้น
  • การทำนา ใช้น้ำไม่ต้องมาก ให้มีการสลับเปียกแห้ง จะทำให้ข้าวขยายราก เติบโตเร็ว  เวลาให้ปุ๋ยให้ให้ตอนที่น้ำแห้งดินแตกระแหง  ใส่ปุ๋ยไปตามรอยแตกแล้วค่อยปล่อยน้ำเข้า
  • แหนแดง นำไปเลี้ยงในนา ให้ไนโตรเจน และช่วยคลุมดิน

ก็คงจะได้นำมาทดลองทำต่อไป  เพราะแม่ใหญ่ถือเป็นโครงการระยะยาวของโรงเรียนพัฒนาเด็กแล้ว

ขอบคุณอาม่าผู้ส่งข่าวมากๆค่ะ  แต่เสียดายไม่ได้เจอ อาจารย์ทวิช  เพราะงานเลิกห้าโมงเย็น ฟ้าครึ้มฝน เมฆดำทมึน เลยตัดสินใจรีบกลับขอนแก่น    เจอฝนตลอดทาง มาถึงบ้านเอาเกือบสามทุ่ม  คุ้มค่าที่ไปฟัง


อินกับหัวอกชาวนา

11 ความคิดเห็น โดย maeyai เมื่อ 25 กรกฏาคม 2011 เวลา 7:59 (เช้า) ในหมวดหมู่ เรื่องที่เรียนรู้ #
อ่าน: 1783

ช่วงนี้คนรอบข้างแอบนินทาแม่ใหญ่ว่า  แกไม่พูดเรื่องอื่น นอกจากเรื่องทำนา ใครจะนินทา ก็ชั่งเขาเถอะ  เรากำลังได้เรียนรู้จริงๆ แต่ไม่ใช่แค่วิธีการปลูกข้าวต่างๆที่ทำการศึกษามาโดยลำดับเท่านั้น  แต่ตอนนี้กำลังเรียนรู้ความรู้สึกของชาวนาจริงๆ  ไม่ได้มาทำแล้วไม่รู้หรอก  เหมือนคนไม่เคยกินน้ำตาล ไม่เคยกินมะดัน  ใครบอกว่ามันหวาน  มันเปรี้ยว  ก็คงนึกไม่ออก

ตั้งแต่เริ่ม ปลูกต้นกล้า ในกระบะพลาสติค   เฝ้า รอดูมันงอกวันละเล็กละน้อย จนครบสิบห้าวัน    จนถึงวันที่พานักเรียนไปโยนเรียบร้อยไปเมื่ออาทิตย์ที่แล้ว  รู้สึกโล่งไปหนึ่งเปลาะ  แต่ก็ยังติดตามไปดูทุกเย็น   จนเห็นว่า  กล้าที่โยนไป เริ่มตั้งตัวขึ้นมาบ้างแล้ว   แต่พบว่า  พื้นนาที่เราให้เขาเอารถแทร๊กเตอร์มาไถและคราดนั้น   ยังทำพื้นไม่ได้ระดับ  เมื่อฝนตกมาคืนก่อนวันโยนกล้า  จึงเกิดเป็นแอ่งตื้นๆ  ไม่เป็นเทือกเรียบๆอย่างที่เราต้องการ ทำให้ต้นกล้าโผล่ขึ้นมาไม่เสมอกัน ( เป็นเรื่องที่ต้องแก้ไขกันในการทำนาคราวหน้า)

แต่เมื่อคืนนี้ ฝนตกหนักจริงๆ ตื่นกลางดึก พอรู้ว่าฝนตก ใจมันแว๊บไปที่นาทันที  ข้าวเพิ่งตั้งตัว ฝนตกขนาดนี้  กล้าจะลอยไหมหนอ  หรือว่ามันจะจมน้ำไปเลย    ขณะที่เขียนนี้ ยังเช้าอยู่จึงยังไม่ได้ไปดู ประเดี๋ยวคงต้องออกไป   แต่ได้รับความรู้สึกของชาวนาขึ้นมาเต็มๆว่า   ”ฝนตกน้อยก็กลัวข้าวไม่ขึ้น  พอฝนตกมาก ก็กลัวน้ำท่วมข้าว”  เขาคงต้องมีความรู้สึกแบบนี้มาทุกครั้ง  ทุกปี   ที่เขาลงมือปลูกข้าว เพราะขั้นตอนแทบทุกอย่างของเขา ต้องขึ้นกับดินฟ้าอากาศเท่านั้น    น่าเห็นใจจริงๆ

 

 


ลองอีกครั้ง

5 ความคิดเห็น โดย maeyai เมื่อ 2 กรกฏาคม 2011 เวลา 11:31 (เช้า) ในหมวดหมู่ เรื่องที่เรียนรู้ #
อ่าน: 1277

เขียนขอความช่วยเหลือคุณ Logos ไปแล้ว  แต่แรงฮึดที่จะแก้ไขยังพอมีอยู่ เลยเข้าไปหลังโรงไปคลิกๆคลำๆต่อ  จึงขอลองเขียนอีกครั้ง ถ้าคราวนี้มีทั้งเนื้อหา และหัวข้อก็แปลว่า แก้ไขสำเร็จแล้ว



Main: 0.067600011825562 sec
Sidebar: 0.042666912078857 sec