การบริหารจัดการความขัดแย้งด้วยความสมานฉันท์ (3)

ไม่มีความคิดเห็น โดย จอมป่วน เมื่อ 2 ตุลาคม 2011 เวลา 17:18 ในหมวดหมู่ จอมป่วน #
อ่าน: 1714

ศาสตราจารย์ ดร.ชัยวัฒน์ สถาอานันท์

จากการร่วมทำงานกับคณะกรรมการอิสระเพื่อความสมานฉันท์แห่งชาติ  พยว่าความลับของการสมานฉันท์ประกอบหรือปรองดองด้วยองค์ประกอบต่างๆ 9 อย่าง

  1. ความยุติธรรม
  2. ความจริง
  3. ความพร้อมรับผิด (Accountability)
  4. การให้อภัย (Forgiveness)
  5. สันติวิธี
  6. การสานเสวนา
  7. จินตนาการ
  8. ความทรงจำ
  9. ความเสี่ยง

ทั้งหมดนี้แบ่งเป็น 5 พวก

  1. ทฤษฎีและภาคปฏิบัติทั่วโลกจะ focus 3 เรื่อแรกคือความยุติธรรม ความจริงและความพร้อมรับผิด
  2. การให้อภัย (Forgiveness)  คณะกรรมการอิสระเพื่อความสมานฉันท์แห่งชาติคิดว่าถ้าจะให้ได้ผลต้องเพิ่มการให้อภัย  แต่จะให้อภัยก่อนการค้นหาความจริงและความยุติธรรมได้ไหม?  “ยังไม่รู้ความจริง  ไม่รู้ว่าใครผิด  ไม่รู้ว่าจะให้อภัยใคร” , “ไม่ต้องรู้อะไร  ให้อภัยไปเลย”, “เป็นประเด็นที่ไม่ต้องการให้มีเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นอีก  ต้องรู้ความจริง  ทำความจริงให้ปรากฏ  ถ้าเอะอะให้อภัย  ในอนาคตก็จะเกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้นอีก” ,”ให้อภัยเลย  ความจริงก็ไม่ปรากฏ  ความยุติธรรมก็ไม่เกิดจะมีความรู้สึกว่าไม่เป็นธรรม”
  3. สันติวิธีและการสานเสวนา พลเอกเอกชัยกับอาจารย์วันชัย  อาจารย์โคทม อาจารย์ปาริชาต  มหาวิทยาลัยมหิดลก็ให้ความสนใจเป็นพิเศษ  สันติวิธีและการสานเสวนาหรือ Dialogue เป็นกลไก เป็นเครื่องมือของขบวนการสมานฉันท์ซึ่งจะบังคับให้เกิดโดยกฏหมายไม่ได้  รัฐสภาออกกฏหมายให้สังคมไทยมีความสมานฉันท์ไม่ได้
  4. สมานฉันท์ต้องมีจินตนาการและความทรงจำ จินตนาการหมายถึงต้องคิดถึงความเป็นไปได้และต้องพูดถึงความทรงจำด้วยซึ่งจะไปสัมพันธ์กับความจริง
  5. และประเด็นสุดท้ายที่ต้องมีคือความเสี่ยง (Risk)

วันนี้ต้องการพูดแค่ การปรองดองเป็น Business ที่เสี่ยง  (Reconciliation is a risky business)  การปรองดองหรือการสมานฉันท์เป็นเรื่องเสี่ยง  ตอนนี้สังคมไทยเป็นสังคมความเสี่ยง (Risk Society)  ที่เราเจอตอนนี้เป็นความเสี่ยง 2 ชั้น

การปรองดองในสังคมไทยตอนนี้ยาก  เพราะ

  1. ใครจะปรองดองกับใคร ?  พรรคประชาธิปัตย์กับพรรคเพื่อไทยเหรอ?  ใช่รึเปล่า?  หรือปัญหาภาคใต้จะปรองดองกับใคร?
  2. ความจริง  ถ้าพูดว่าความจริงสำคัญ  ความจริงเกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้น  ความจริงอะไร?  พฤษภา 53 ใครยิงคุณร่มเกล้า ?  ใครยิง 6 ศพในวัดปทุมฯ ?  ความจริงของใคร?  ถามนักข่าวที่อยู่ในพื้นที่ นักข่าวที่อยู่กับทหารบอกว่ากระสุนยิงมาจากฝั่งตรงข้าม  เห็นมั๊ยว่าใครยิง?….ไม่เห็น  ภาคใต้คนตายไปแล้วสี่พันกว่าคน  ใครทำ ?  ขบวนการก่อความไม่สงบทำทั้งหมดเลยเหรอ?  มันยุ่งกว่าที่เราคิด การจัดการความจริง (Truth Management) ไทยเราจัดการได้พิลึกพิลั่นมาก
  3. ต้องฟื้นฟูสายสัมพันธ์หรือต้องสร้างสายสัมพันธ์ขึ้นมาใหม่เพราะของเดิมถูกทำลายไปหมดแล้ว  ใครครอบครัวก็ทะเลาะกัน อยู่คนละข้างอยู่คนละฝ่าย ในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้  คนไทยพุทธกับอิสลามเคยอยู่ด้วยกันมาดีๆ  ตอนนี้เป็นอย่างไร?  ต้องมาเริ่มกันใหม่
  4. ถ้าจะทำเรื่องปรองดองจะทำเมื่อไหร่?  ทำตอนนี้กรณีขัดแย้งของประเทศ เสื้อแดงเสื้อเหลือง  หรือกรณีใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้จะทำเมื่อไหร่?
  5. สุดท้ายเลยที่สำคัญมีเจตนาที่จะปรองดองรึเปล่า? มีเจตน์จำนงทางการเมืองพอที่จะปรองดองไหม?

2-10-2554 16-42-13

ขบวนการปรองดอง คือขบวนการซึ่งเอื้อให้สังคมเคลื่อนจากอดีตที่แตกแยก ขัดแย้งไปสู่อนาคตที่ทุกฝ่ายมีส่วนร่วมกันได้  มี 3 องค์ประกอบ

  1. มีอดีตที่แตกแยกขัดแย้ง (Divisive Past)
  2. มีความสามารถที่จะคืนชีวิตชีวาให้กับสังคม (Revitalizing capabilities present)
  3. มีศักยภาพที่จะจินตนาการถึงอนาคตร่วมกันได้ (Shared future(s) imaginable)

3 เรื่องนี้อดีตที่ขัดแย้งเข้าใจง่าย  ความสามารถที่จะคืนชีวิตชีวาให้กับสังคมตอนนี้เมืองไทยเรามีไหม?  หรือมีแต่ความขมขื่น  ไม่พอใจ  มีเรื่องอยู่ในใจแต่ไม่อยากพูดให้ฟังและในขณะนี่เราสร้างอนาคตที่จะอยู่ร่วมกันได้ไหม?  อันนี้เป็นโจทย์ของการปรองดอง  ปัจจุบันในครอบครัว  ในชุมชน ที่ทำงาน  ในสังคม  พอจะพูดเรื่องการเมืองต้องรู้ก่อนว่าสีอะไรถึงจะพูดกันได้อย่างจริงใจ  แล้วจะปรองดองกันอย่างไร?

กรณีของอัฟริกาใต้มีอดีตที่แบ่งแยกสีผิวรุนแรง มีคนผิวขาวเป็นผู้ปกครองเป็นเวลานาน พอมีการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองคนผิวดำซึ่งเป็นคนส่วนใหญ่ขึ้นมาปกครองประเทศ

โจทย์มันคือในหมู่บ้านซึ่งมีคนผิวขาว  ต่อไปนี้จะมีคนผิวดำมาอยู่ข้างบ้านจะรู้สึกอย่างไร?

โจทย์คือคนที่อยู่ใกล้กันเคยทรมานญาติหรือเพื่อนเรา จะอยู่ด้วยกันอย่างไร?

มันไม่ใช่แค่ยิ้มให้กัน  ตบหลังตบใหล่แล้วจบ

ทำไมการปรองดองถึงต้องใช้สันติวิธี  เพราะถ้าใช้ความรุนแรงมันทำให้เรื่องยากขึ้นทุกวัน  มีคนเจ็บคนตาย ขาขาด  เราจะจินตนาการอนาคตที่จะอยู่ด้วยกันได้ไหม?

ในไนจีเรีย  ตอนที่ทำเรื่องนี้พบว่ามีการใช้ทหารเด็กอายุตั้งแต่ 5 ขวบขึ้นไปแจกอาวุธสงครามให้  ให้กระสุน 100 นัด  ให้ไปตามหมู่บ้านต่างๆเด็กเหล่านี้ทำให้เกิดความรุนแรงยิ่งกว่าใช้กองทัพบุกมากมาย  ปัญหาคือหลังจากเกิดเหตุแล้ว  มีการปรองดอง  นึกภาพเด็กพวกนี้ต้องกลับมาอยู่ในหมู่บ้าน  จะทำอย่างไร?  จะเรียกเด็กพวกนี้มากินข้าวที่บ้านไหม? จะทำได้ไหม?  ถ้าทำไม่ก็ปรองดองไม่ได้เพราะเราไม่สามารถจินตนาการว่าจะอยู่ร่วมกันได้อย่างไร?  การปรองดองก็จะกลายเป็นของเล่น  ในข้อเท็จจริงมันมีของพวกนี้อยู่  มือระเบิดที่ทำให้คนตายไปแล้ว อาจไม่มีหลักฐานถูกปล่อยตัวออกมาอยู่ในหมู่บ้าน  จะทำอย่างไร?

Post to Facebook Facebook


การบริหารจัดการความขัดแย้งด้วยความสมานฉันท์ (2)

ไม่มีความคิดเห็น โดย จอมป่วน เมื่อ 2 ตุลาคม 2011 เวลา 2:01 ในหมวดหมู่ จอมป่วน #
อ่าน: 1757

ศาสตราจารย์ ดร.ชัยวัฒน์ สถาอานันท์

โจทย์ :จะอยู่กับความขัดแย้งและป้องกันไม่ให้เป็นความรุนแรงได้อย่างไร? ต้องทำอะไรบ้าง?

เพื่อแก้โจทย์นี้ต้องเข้าใจ 3 อย่าง

  1. ความขัดแย้งขณะนี้เป็นอย่างไร?
  2. จะสมานฉันท์หรือปรองดองอะไรกับอะไร?
  3. ทำอย่างไร?

ความขัดแย้งในปัจจุบันเป็นอย่างไร?  อาจเข้าใจแตกต่างกันอีก  จะเข้าใจได้ต้องมองรัฐธรรมนูญทั้ง 18 ฉบับ  และรัฐประหารทั้ง 24 ครั้ง (สำเร็จ 13 ครั้ง)  เกี่ยวกับอัตชีวประวัติของสังคมไทยถ้าจะให้เข้าใจต้องดูผ่านรัฐธรรมนูญ

รัฐธรรมนูญแต่ละฉบับเกิดขึ้นในบริบทที่แตกต่างกัน

รัฐธรรมนูญ 2550 เกิดในบริบทของช่วงเวลา 2549-2550

รัฐธรรมนูญก่อนหน้านั้นคือรัฐธรรมนูญ 2540 ก็เกิดขึ้นในบริบทของการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองตั้งแต่ปี 2535 เป็นต้นมา(พฤษภา 35)

รัฐธรรมนูญก่อนหน้านั้นคือรัฐธรรมนูญ 2521  ก็เกิดหลังเหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2520 เป็นต้นมา

แม้แต่รัฐธรรมนูญฉบับแรกเลยคือรัฐธรรมนูญ ปี 2475  ก็เกิดในบริบทการเปลี่ยนแปลง 2475

รัฐธรรมนูญทุกฉบับอยู่ในบริบทบางอย่าง  มันบอกความสัมพันธ์ทางอำนาจบางอย่าง  นายกรัฐมนตรีที่มาจากการเลือกตั้งมันเกิดไม่ได้ในรัฐธรรมนูญปี 2521  แต่มีอยู่ได้ในรัฐธรรมนูญปี 2540  เพราะรัฐธรรมนูญ 2540 เป็นผลจากการต่อสู้ทางอำนาจตั้งแต่ปี 35 มา  ประเด็นสำคัญในพฤษา 35 คือพลตรีจำลองและคณะต่อสู้กับรัฐบาลพลเอกสุจินดาซึ่งตอนแรกบอกว่าจะไม่เป็นนายกฯแล้วก็มาเป็น  ในขณะที่อีกฝ่ายหนึ่งเรียกร้องให้นายกรัฐมนตรีมาจากการเลือกตั้ง เรื่องนี้จึงมาปรากฏในรัฐธรรมนูญ 2540 รัฐธรรมนูญเป็นผลของการต่อสู้ทางการเมืองหรือบริบททางการเมือง สว. ก็มาจากการเลือกตั้งในรัฐธรรมนูญ 2540  ก่อนหน้านั้นมาจากการแต่งตั้ง  มันจะสะท้อนภาพออกมา

ตั้งแต่ 2476 ถึงปัจจุบันมีรัฐธรรมนูญถึง 18 ฉบับ  ได้ความสัมพันธ์ทางอำนาจ 18 ชุด  ได้ชีวิตทางการเมืองไทยซึ่งความสัมพันธ์ทางอำนาจเปลี่ยนมาตั้งแต่ 2476  นี่คืออัตชีวประวัติของการเมืองไทย  อยากรู้ว่าสังคมไทยเป็นอย่างไรก็ดูรัฐธรรมนูญ  แต่ไม่ได้ดูในแง่กฏหมาย  ดูในฐานะที่มันสะท้อนภาวะอำนาจทางการเมือง เป็นการต่อสู้ทางอำนาจ

รัฐธรรมนูญแต่ละฉบับหน้าตาไม่เหมือนกัน  รัฐธรรมนูญ 2540 กับ 2550  ต่างกันอย่างไร?

รัฐธรรมนูญ 2540 โจทย์คือทำอย่างไรจะให้มีรัฐบาลที่มีเสถียรภาพสูง   ก็ได้รัฐธรรมนูญ 2540

รัฐธรรมนูญ 2550 โจทย์คือทำอย่างไรจะมีรัฐบาลที่ถูกควบคุมได้มาก  เลยให้ความสำคัญกับการตรวจสอบ  ก็ได้รัฐธรรมนูญ 2550

ถ้าจะมีการแก้รัฐธรรมนูญในครั้งต่อไปก็จะเป็นผลของอำนาจปัจจุบัน  อำนาจมันเปลี่ยนไป เป็นลักษณะของการเมืองไทย

ถ้าจะเข้าใจความขัดแย้งปัจจุบันต้องดูว่าใครขัดกับใคร?  เรื่องอะไร?

2490-2516:  ความขัดแย้งในช่วงนั้นเป็นความขัดแย้งกันเองระหว่างผู้นำ(มักเป็นผู้นำฝ่ายทหารทหาร)  โจทย์คือการแย่งชิงกันว่าใครจะได้เป็นนายกรัฐมนตรี

2516-2549:  2516 มีการเปลี่ยนแปลง (16 ตุลา) ความขัดแย้งหลักคือรัฐกับประชาสังคม  14 ตุลาคม 16,  6 ตุลาคม 2519 ,  พฤษภาคม 35 ก็คือประชาชนสู้กับเผด็จการทหาร

ตั้งแต่ 2549  ถึงเมื่อไหร่ก็ไม่มีใครรู้  ความขัดแย้งหลักระหว่างขบวนการสังคมขนาดใหญ่บวกพรรคการเมืองขนาดใหญ่  เป็นการต่อสู้ระหว่างสถาบันประเพณี (และประชาธิปไตยประเพณี) กับสถาบันทางการเมืองประชาธิปไตยใหม่

ถ้าอยากเข้าใจความขัดแย้งก็ต้องมองความขัดแย้งอย่างซึ่งหน้าให้เห็นว่ารากของมันคืออะไร? มิฉะนั้นก็จะเห็นแต่ยอดของภูเขาน้ำแข็งไม่เห็นส่วนที่จมอยู่ในน้ำ  ไม่รู้ว่ากำลังเจอกับอะไรอยู่

อาจารย์เอนก เหล่าธรรมทัศน์เคยพูดถึงเรื่องสองนคราประชาธิปไตยว่าเป็นความขัดแย้งระหว่างเมืองกับชนบท  แต่ปัจจุบันมันเปลี่ยนไปมากแล้ว   ปัจจุบันเป็นปัญหาของประชาธิปไตยอำนาจนิยม (Authoritarian Democracy) กับอำนาจนิยมประชาธิปไตย (Democracy Authoritarianism)  ต่างกันตรงที่ฝ่ายหนึ่งมีที่มาของอำนาจอย่างเป็นประชาธิปไตยแต่ใช้อำนาจเกิน  อีกฝ่ายหนึ่งมีที่มาไม่ค่อยเป็นประชาธิปไตยแต่ใช้อำนาจค่อนข้างเป็นประชาธิปไตย

รัฐบาลของคุณทักษิณ  พรรคไทยรักไทยเป็นประชาธิปไตยอำนาจนิยม ที่มาของรัฐบาลมีความชอบธรรมเพราะประชาชนเลือกเข้ามา   รัฐบาลต่อมา(พลเอกสุรยุทธ)หรือคุณอภิสิทธิ์เป็นอำนาจนิยมประชาธิปไตย  เหตุผลคือที่มาถูกตั้งข้อสงสัยว่าไม่ค่อยชอบธรรม

การชนะแบบถล่มทลายบางทีเกิดความลำพองก็เป็นปัญหาของประชาธิปไตยอำนาจนิยม  แต่ปัญหาของอำนาจนิยมประชาธิปไตยคือบางทีต้องตีสองหน้า  ปากก็บอกว่าเป็นประชาธิปไตยแต่ที่จริงเป็นอำนาจนิยม

ความขัดแย้งปัจจุบันเป็นความขัดแย้งระหว่างขบวนการสังคมขนาดใหญ่และอำนาจรัฐ  ขบวนการสังคมขนาดใหญ่มีทุน มีสื่อ มีความสามารถในการผลิตข่าวลือความเกลียดชัง  มีเบื้องหลังที่มีอิทธิพล มีคนจำนวนมหาศาลที่โกรธจริงๆและมีความสัมพันธ์กับพรรคการเมือง  ไม่ว่าจะเหลืองหรือแดงหรือหลากสี  เป็นขบวนการทางการเมืองขนาดใหญ่ที่มีคะแนนโหวตฝ่ายละเกินสิบล้านทั้งคู่  แค่สิบเปอร์เซ็นต์ก็หมายถึงคนเป็นล้านแล้ว โอกาสที่จะเผชิญกันก็สูงทั้ง 2 ฝ่ายมีทุน  มีสื่อสารพัดรูปแบบ มีอิทธิพลและมีคนที่โกรธจริงๆทั้งคู่เหมือนกันด้วยเหตุผลคนละแบบ

ผลกระทบต่อสังคมไทยเป็นอย่างไร? จะประเมินอย่างไร?  ต้องพิจารณาสิ่งที่เรียกว่า cartographic effects  เป็นผลเชิงแผนที่

เวลาเกิด Tsunami  จะเกิด geographical map เกิดเกาะใหม่ๆ  แผนที่ทางภูมิศาสตร์เปลี่ยน

ความรุนแรงทางภาคใต้  สิ่งที่เกิดเป็น cultural map  แผนที่ทางวัฒนธรรมไทยเปลี่ยน  ในอดีตมีความพยายามของรัฐไทยใหม่ที่อยากจะให้คนที่ไม่เหมือนเราเป็นเหมือนกับเรา  สมัยก่อนเราพยายามจะบอกว่าเขาเป็นคนไทย  เพราะทำให้เราต้องมาพิจารณามุมมองต่างๆให้ชัดเจนขึ้น  และความขัดแย้งนี้จะจัดการอย่างไร?

ระบอบทักษิณ (Thaksin regime) ตั้งแต่ 2533-2534  ทำให้แผนที่ความภักดีของคนไทย (Loyalty Map)  เปลี่ยนแปลงไป   ความภักดีนี้ถูกท้าทายในบางลักษณะนำมาสู่การปฏิวัติ 2549  และเกิดความขัดแย้งมาจนถึงทุกวันนี้

การรัฐประหาร 19 กันยนและการกระชับพื้นที่พฤษภาคม 2553  กระทบแผนที่ Instrumental Map คือแผนที่ของการจัดการ  พอตัดสินใจแบบนี้ก็เป็นการยอมรับหรือการใช้ความรุนแรงเป็นคำตอบของการจัดการความขัดแย้ง  แผนที่ของเครื่้องมือในสังคมก็เปลี่ยน

การเลือกตั้ง 3 กรกฏาคม 2554 ก็กระทบ Right Map หรือแผนที่สิทธิของคน    การเลือกตั้งที่เกิดขึ้น  ผลของการเลือกตั้งคนจำนวนหนึ่งก็บอกว่าพรรคเพื่อไทยชนะพรรคประชาธิปัตย์  สำหรับนักวิชาการจำนวนหนึ่งคิดว่าไม่ใช่ประเด็นสำคัญ  ประเด็นสำคัญคือการเปลี่ยนแปลงที่เกิด  แผนที่สิทธิที่ว่าหมายความว่า  สิ่งที่เกิดขึ้นคือการช่วงชิง  ยืนยันความหมายของสิทธิ  สิทธิที่จะเลือก  สิทธิที่จะบอกว่าไม่ได้เลือกผิด สิทธิที่จะบอกว่าคนเลือกเขาเลือกเอง  อันนี้ก็เป็นปัญหา  คนจำนวนหนึ่งมองการเลือกตั้งแล้วบอกว่าคนเหล่านี้ถูกชักจูง ถูกหลอกลวง  อีกพวกหนึ่งบอกว่า  ไม่มีใครมาหลอก  เลือกเอง  เป็นตัวตนของเขา เป็นอัตลักษณ์

ผลการเลือกตั้งไม่ใช่แค่ใครจะมาเป็นรัฐบาลเท่านั้น  แต่ประเด็นคือการออกแบบทางสถาบันการเมือง (Institutional Designs) ไม่สามารถยับยั้งหรือทำให้การเปลี่ยนแปลงในพฤติกรรมและวัฒนธรรมการเมืองสะดุดหยุดลงได้

…………

หมายความว่าตั้งแต่รัฐธรรมนูญ 2550 มา คงมีความพยายามที่จะเปลี่ยนแปลง มีความพยายามที่จะหยุดการเดินทางของพรรคการเมืองพรรคหนึ่ง  หยุดความพยายามของรัฐบาลหรืออิทธิพลของคุณทักษิณโดยใช้ Institutional Designs หลายอย่าง (การออกแบบทางสถาบันการเมือง)  แต่พฤติกรรมของคนเปลี่ยนไปแล้ว  จะออกแบบอย่างไร?  ใช้กฏอะไร?  ใช้ผู้คนยังไง?  ใช้องค์กรอะไร? ก็หยุดไม่อยู่   ผลของมันก็คือผลของการเลือกตั้ง 3 กรกฏาคม ถึงแม้รัฐบาลที่มีอำนาจในเวลานั้นจะทำอย่างไร  ผลก็คือพรรคเพื่อไทยชนะ  เวลาชนะแปลว่าอะไร  แปลว่า Institutional Designs ทั้งหลายไม่ work คนเปลี่ยนไปแล้ว สังคมไทยเปลี่ยนไปแล้ว

จะมีโรงเรียนการเมือง  จูงใจหรือไม่จูง  พรรคการเมืองทั้งหลายก็พยายามทำกันอยู่  ประเด็นอยู่ที่ว่าคนเลือก  สุดท้ายเขาต้องตัดสินใจว่าจะเอายังไง  บังคับได้จริงรึเปล่าก็น่าสงสัย  ทำด้วยเหตุผลอะไรไม่ใช่ปัญหา แต่เขาตัดสินใจ  คนที่ทำมีเหตุผลทั้งสิ้น  แต่เราเข้าใจเหตุผลของเขารึเปล่า ?

Post to Facebook Facebook


การบริหารจัดการความขัดแย้งด้วยความสมานฉันท์ (1)

ไม่มีความคิดเห็น โดย จอมป่วน เมื่อ 1 ตุลาคม 2011 เวลา 23:46 ในหมวดหมู่ จอมป่วน #
อ่าน: 2619

วันศุกร์ที่ 16 กันยายน 2554  13.30-16.30 น.

ศาสตราจารย์ ดร.ชัยวัฒน์ สถาอานันท์

Chaivat

อาจารย์บอกว่าอยากพูดเรื่องที่อยากพูด  วันนี้ไม่พูดตามที่เชิญมาให้พูดแต่อยากพูดเรื่องความปรองดอง  อาจารย์ไม่ชอบบรรยายเลยใช้แบบถามให้นักศึกษาตอบหรือบางมีก็ไม่ต้องการคำตอบ

จะบริหารจัดการความขัดแย้งไปทำไม?

ดร.สมหมาย ปรีชาศิลป์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดมุกดาหาร

ตอนนี้มีความขัดแย้งในประเทศ  เรียนไปจะได้ไปแก้ปัญหาความขัดแย้งทางภาคใต้และแก้ปัญหาความแตกต่างทางความคิด

ศาสตราจารย์ ดร.ชัยวัฒน์ สถาอานันท์

แล้วจะบริหารจัดการความขัดแย้งได้หรือไม่?

อาจได้  อาจไม่ได้  แล้วจะทำไปทำไม? ความขัดแย้งเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับสังคม  ยังไงก็ต้องเกิด  เป็นไปได้ไหมว่าว่าปล่อยมันให้เกิดจะดีกว่า  เราอาจจะคิดผิดที่จะไปทำให้มันหายไป  เพราะถ้าหน่วยราชการมีปัญหามีความขัดแย้ง  แต่ผู้น้อยกลัวผู้ใหญ่ตลอดเวลา  ไม่กล้าจะบอกเลยคิดว่าหน่วยราชการหน่วยนั้นจะเป็นหน่วยราชการที่ดีไหม?  บอกยังไงเป็นอีกเรื่องหนึ่ง  ไม่ใช่ไปบอกในที่ประชุมใหญ่ก็ไม่ดี

ถ้าตั้งโจทย์เรื่องการบริหารความขัดแย้ง เรากำลังเปลี่ยนเรื่องของความขัดแย้งไปเป็นเรื่องของการบริหาร  ไม่ใช่เรื่องของการเมือง  การเมืองกับการบริหารต่างกันอย่างไร?

อับดุลอซิซ ตาเดอินทร์ ประธานฝ่ายสิทธิมนุษยชน  สมาคมยุวมุสลิมแห่งประเทศไทย

การเมืองเอาชนะกัน  แต่การบริหารความขัดแย้งต้องมานั่งคุยกันว่าความขัดแย้งเกิดจากอะไร? จะจัดการอย่างไร?

ศาสตราจารย์ ดร.ชัยวัฒน์ สถาอานันท์

ในทางทฤษฎี  การบริหารสามารถคิดในเชิงเทคนิค  การบริหารมีขั้นตอน  มีคำตอบทีค่อนข้างแน่นอน  แต่ถ้าเป็นปัญหาทางการเมืองคล้ายๆมันยุ่งกว่านั้น  มีผลประโยชน์มีอะไรอื่นๆเยอะแยะไปหมด

ไม่ใช่เรื่องการบริหารความขัดแย้ง  เป็นว่าเราจะอยู่กับความขัดแย้งและป้องกันไม่ให้ความขัดแย้งกลายเป็นความรุนแรง ต้องอาศัยความสมานฉันท์อย่างไร?  ไม่ใช่เป็นการบริหารจัดการทำให้มันหายไป

ความคิดเรื่องการบริหารความขัดแย้งในโลกนี่มี 2 ตระกูลหลัก ตระกูลหนึ่ง เชื่อว่าความขัดแย้งเป็นปัญหาต้องทำให้มันหมดไป  ตระกูลที่ 2 เชื่อว่าความขัดแย้งเป็นธรรมชาติ ทำยังไงก็ไม่หายแต่เปลี่ยนรูปไป

บางพวกเชื่อว่าความขัดแย้งเป็นของดี  ถ้าไม่มีความขัดแย้งก็ไม่มีความก้าวหน้า เช่นการสอนหนังสือในมหาวิทยาลัย   ถ้าสอนแล้วลูกศิษย์ทุกคนได้เท่ากับอาจารย์ก็ควรปิดมหาวิทยาลัย  ความรู้จะเจริญก้าวหน้าบางครั้งนักศุกษาต้องไม่เชื่อสิ่งที่อาจารย์บอกแล้วค้นหาสิ่งใหม่เอง  การเปลี่ยนแปลงกับการจัดการกับการเปลี่ยนแปลง การอยู่กับคนที่เห็นต่างเป็นเรื่องธรรมชาติ  โจทย์ไม่ใช่ทำให้ความขัดแย้งหายไป ไม่ใช่บริหารความขัดแย้งให้มันสงบราบคาบ  แต่เป็นการป้องกันความขัดแย้งไม่ให้เปลี่ยนเป็นความรุนแรง

เคยดูหนังเรื่อง Avatar  ไหม?

Avatar

ดูหนังเรื่อง Avatar  แล้วชอบไหม?  ให้เหตุผลว่าทำไมชอบ

นฤมล ศิริวัฒน์ สมาชิกวุฒิสภา

ชอบเพราะมันมีความคาดฝัน  สร้างสรร มนุษย์มีความต้องการมาก  ไม่สนใจคนอีกกลุ่มหนึ่งตั้งใจจะครอบครอง

ดร. แสนศักดิ์ ศิริพานิช รองอธิการบดีฝ่ายวิจัยและชุมชนสัมพันธ์ มหาวิทยาลัยราชภัฏสงขลา

เนื้อเรื่องดูแล้วเร้าใจ เป็นเรื่องการแก่งแย่งทรัพยากร  ความขัดแย้งในใจของคน  มีแง่คิดและมุมมอง

ศาสตราจารย์ ดร.ชัยวัฒน์ สถาอานันท์

Avatar เป็นเรื่องที่ว่าด้วยดาวเคราะห์อีกดวงหนึ่ง  ชาวโลกซึ่งได้ทำลายโลกไปจนหมดแล้วก้าวหน้ามากไปอยู่ในอวกาศ  เห็นดาวดวงนี้มีทรัพยากรที่โลกต้องการมาก  แต่คนในดาวเคราะห์ดวงนี้วิถีชีวิตแตกต่างกับชาวโลกมาก เป็นวิถีชีวิตที่ผูกพันกับดาวที่เขาอยู่  แผ่นดินที่เขาอยู่ สิ่งแวดล้อมที่เขาอยู่

เวลาขึ้นไปขี่ม้าต้องเอาผมไปเสียบเข้ากับตัวม้า เป็นการเชื่อมตัวเองเข้ากับธรรมชาติ  อาศัยอยู่ในต้นไม้  มีต้นไม้ขนาดใหญ่ที่ถือว่าเป็นเทพหรือพระเจ้า  ตรงต้นไม้เป็นที่ที่มีแร่ธาตุ  ทางโลกเราก็๋มีฝ่ายทหารฝ่ายความมั่นคงฝ่ายหนึ่ง  กับอีกฝ่ายหนึ่งก็ถอดร่างเข้าไปดูว่าเขาอยู่กันอย่างไร?  เข้าไปดูแล้วก็เข้าใจว่าเขาอยู่กันอย่างไร  ยอมรับความเป็นอยู่ของเขา  (เวลาเราจะดูกลุ่มอื่นให้เข้าใจความขัดแย้ง  เข้าใจสังคมของเขาก็ต้องถอดร่างเข้าไปดู)

ฝ่ายนี้ก็จะไม่เห็นด้วยกับอีกฝ่ายหนึ่งซึ่งเป็นผู้บริหาร นายทุน  ทหาร  ฝ่ายความมั่นคงที่เห็นว่ามันก็เป็นแค่ต้นไม้  เป็นของไม่มีค่า  เห็นชาวดาวเคราะห์นี้เป็นคนป่าเถื่อน  โลกก้าวหน้ากว่ามาก  มีหุ่นยนต์ มีระเบิด มีอาวุธร้ายแรง  อีกฝ่ายยังใช้ธนู  สิ่งที่ทำคือพยายามเข้าไปครอบครอง  ใช้กำลัง  ใช้ความรุนแรงเลยเกิดสงคราม

หนังเรื่องนี้ให้อะไรมากมายเกี่ยวกับความขัดแย้ง  ที่สำคัญคือในสายตาชาวโลกสิ่งที่เห็นไม่มีค่าอะไรเลย เป็นคนป่าคนเถื่อนเป็นต้นหมากรากไม้  แต่ในสายตาของชาวบ้าน  นั่นเป็นบ้านเขา เป็นวิถีชีวิตเขา เป็นอัตลักษณ์ของเขา

คำถามคือสังคมไทยถึงตรงนี้หรือยัง? หมายความว่าคนจำนวนหนึ่งเห็นว่าเรื่องนี้สำคัญ  คนอีกจำนวนหนึ่งบอกว่าไม่เลย  เช่นเรื่องน้ำ  ฝ่ายหนึ่งต้องการให้สร้างเขื่อน  อีกฝ่ายหนึ่งบอกว่าสร้างเขื่อนจะทำลายทุกอย่างที่เป็นอยู่ ถ้าไม่สร่างเขื่อนน้ำจะท่วม  ไม่ใช่หลายปีหน  แต่ท่วมปีละหลายหนและท่วมนาน  สภาวะแบบนี้คิดว่าคนจะทนได้นานเท่าไหร่?  ปัญหาก็คือมองกันคนละด้าน

ประเด็นสำคัญคือคนกลุ่มหนึ่งเห็นธรรมชาติเป็นของใช้  คนอีกกลุ่มหนึ่งเห็นธรรมชาติเป็นวิถีชีวิตเป็นของศักดฺ์สิทธิ  ความเชื่อแบบนี้กำลังปะทะกัน

กรณีท่อก๊าซมีปัญหา ปตท. กับฝ่ายชาวบ้าน

ปตท. บอกว่าในการสร้างท่อก๊าซยานาดาจากฝั่งพม่ามาที่ราชบุรีต้องผ่านพื้นที่ป่าเขาทุ่งใหญ่นเรศวรซึ่งเป็นพื้นที่ลุ่มน้ำชั้นหนึ่ง ในกระบวนการที่ทำได้พยายามป้องกันต้นไม้ทุกต้นในพื้นที่นั้น

ชาวบ้านถามว่าต้นไม้ทุกต้นใช่ไหม?

ปตท. บอกว่าต้นไม้ทุกต้นที่มีค่าตามที่ระบุไว้ของกรมป่าไม้  เป็นต้นไม้ที่มีราคา (Commercial Value)

ต้นไม้ที่มีค่าของกรมป่าไม้และ ปตท. กับของชาวบ้านก็แตกต่างกัน

สังคมไทยอยู่ตรงนั้นหรือยัง?

มาเรื่อง Titanic

titanic_2

Titanic  เรื่องใหญ่คือเรือล่มเพราะชนภูเขาน้ำแข็ง  ธรรมชาติของภูเขาน้ำแข็งส่วนที่เห็นพ้นน้ำเพียง 1 ใน 11  เวลามองความขัดแย้งสิ่งที่เห็นมีเพียงส่วนหนึ่ง  ส่วนที่มองไม่เห็นอีก 10 ส่วน  ทำอย่างไรจึงจะเห็นส่วนที่มองไม่เห็น  ถ้าจะทำงานด้านความขัดแย้งไม่ใช่มองแต่สิ่งที่เห็น  ต้องมองให้เห็นส่วนที่ไม่เห็นด้วย  และสิ่งที่มองเห็นสัมพันธ์กับสิ่งที่มองไม่เห็นอย่างไร?  ถ้าตอบตรงนี้ไม่ได้ก็จัดการความขัดแย้งไม่ได้  อยู่กับความขัดแย้งก็ไม่ได้

Post to Facebook Facebook


ประวัติศาสตร์ความสัมพันธ์จังหวัดชายแดนภาคใต้กับส่วนกลาง

ไม่มีความคิดเห็น โดย จอมป่วน เมื่อ 29 กันยายน 2011 เวลา 19:02 ในหมวดหมู่ จอมป่วน #
อ่าน: 2910

วันที่ 9 กันยายน 2554  13.30-16.30 น.

ศาสตราจารย์ ดร. ครองชัย หัตถา

ประวัติศาสตร์ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้เป็นประวัติศาสตร์ที่มีชีวิต  ยังมีปัญหา  ยังไม่จบรัฐปัตตานีก็มีประวัติศาสตร์แต่ไม่มีในบทเรียนของประวัติศาสตร์ชาติไทย

คนมลายูปัตตานีเคยมีความภูมิใจในศักดิ์ศรีของตน ในรัชสมัยสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช   กองทัพไทยได้ยกเข้าไปยึดปัตตานีมาเป็นของไทย  และนำปืนใหญ่ที่ชื่อนางพญาตานีมาตั้งอยู่หน้ากระทรวงกลาโหม

ตลอดเวลา 200 กว่าปีของปัตตานีในราชอาณาจักรไทย คือประวัติศาสตร์แห่งความขมขื่นของคนมลายูปัตตานี  ลองนึกถึงอกเขาอกเราแม้พม่าปกครองไทยอยู่เพียง 15 ปี  หลังเสียกรุงครั้งที่ 1  เมื่อ พ.ศ. 2112  และไม่กี่เดือนหลังเสียกรุงครั้งที่ 2  เมื่อ พ.ศ. 2310  และก็เพียงยึดกรุงศรีอยุธยาเท่านั้น  พม่าไม่ได้ปกครองทั้งประเทศ  เรายังมีความทรงจำแห่งความขมขื่นกับพม่ามาจนถึงทุกวันนี้

……คนไทยเชื้อสายมลายูปัตตานีไม่ใช่ “แขก” ที่เข้ามาอาศัยแผ่นดินไทย  แต่เขาอยู่ในดินแดนของเขาที่เคยเป็นประเทศของเขา  แต่ไทยไปยึดมา  นโยบายของรัฐบาลไทยต่อปัตตานีส่วนใหญ่เป็นความพยายามที่จะ “กลืนชาติ” เช่นเดียวกับที่เคยทำกับคนภาคเหนือและภาคอีสาน  ซึ่งเดิมก็เป็นรัฐอิสระ  การถูกกลืนชาติเป็นเรื่องใหญ่

….…ศาสตราจารย์นายแพทย์ประเวศ วะสี

คำว่าซีแย หรือเซียม (siam)  หรือซีเยียง (Siang) เป็นคำเรียกคนไทยหรือชนชาติพันธุ์สยามที่นับถือศาสนาพุทธ  เป็นคำที่ใช้เรียกศัตรู  คำเชิงบวกเป็นคำว่า ลือกอ

ทางใต้ก็จะสอนประวัติศาสตร์กันไปอีกแบบหนึ่ง

ปัตตานีก็เคยเป็นอาณาจักรที่รุ่งเรืองมาก่อน  น่าจะสืบเนื่องไปถึงยุคลังกาสุกะ (พุทธศตวรรษที่ 11)  เดิมทางปัตตานีก็นับถือศาสนาพุทธนิกายมหายาน  แต่ราวพุทธศตวรรษที่ 21 ได้เริ่มเปลี่ยนไปนับถือศาสนาอิสลาม

ในปีพ.ศ. 2106 พม่ายกทัพมาล้อมกรุงศรีอยุธยา   รายามุซซอฟาร์ได้ส่งทัพไปช่วย  แต่เมื่อมาถึงปรากฏว่ากองทัพปัตตานีกลับบุกเข้าไปในเมืองจะบุกจับตัวสมเด็จพระเจ้าจักรพรรดิ์  แม้จะยึดพระราชวังไว่ได้  แต่สุดท้ายก็ถูกตีโต้กลับมา  รายามุซซอฟาร์สิ้นพระชนม์ขณะยกทัพกลับ  พระศพถูกฝังไว้ที่ปากอ่าวริมแม่น้ำเจ้าพระยา  เป็นที่มาของชุมชนปากลัด


แถวนี้ก็มีนครศรีธรรมราชที่เป็นเมืองที่มีมาก่อนสุโขทัยนับถือศาสนาพุทธ  เพราะทางสุโขทัยมาขอพระสงฆ์จากนครศรีธรรมราชไปเผยแผ่ศาสนา   เป็นเมืองสำคัญทางใต้  สมัยพ่อขุนราม (1837) ก็อยู่ในอาณาจักรสุโขทัย

นักประวัติศาสตร์ต้องค้นหาความจริง  โดยไม่มีอคติ  วางเชื้อชาติ ศาสนา วัฒนธรรมลง  มีการนำประวัติศาสตร์มาใช้ทางการเมืองการปกครอง  กรณีศาลเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยวกับเรื่องราวของคำสาปแช่งและเรื่องราวของมัสยิดกรือเซะ  ก็เป็นการปลุกระดมให้ไม่ชอบชาวจีน  การหยิบประวัติศาสตร์เป็นตอนๆแล้วนำมาใช้จะเกิดอันตรายต้องสร้างพลเมืองให้ทราบความจริง  ประเด็นได้ดินแดน  เสียดินแดนก็เป็นเรื่องที่น่าศึกษาและทำความเข้าใจกับประชาชน  เพราะตามประวัติศาสตร์ของทั้งโลก  ก็มีอาณาจักรต่างๆเกิดขึ้นแต่ละยุค  แต่ละสมัย  ใครได้ดินแดน  ใครเสียดินแดน  นับกันตั้งแต่เมื่อไหร่? อย่างไร?

บทเรียนการจัดการหัวเมือง กรณีของสงขลาให้คนในพื้นที่เป็นเจ้าเมือง  เป็นแม่ทัพเรือ  ไม่มีปัญหากระด้างกระเดื่อง  การเข้าใจปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ต้องเข้าใจคน  ปัญหาเกิดจากการไม่ให้เกียรติทายาทคนเดิมๆในพื้นที่ไหม?

ปัตตานีเคยยิ่งใหญ่กว่าอยุธยาในสมัยแรกๆ  อังกฤษ ฮอลันดา สเปนมีเรื่องราวของปัตตานีมากมาย  ไม่มีการศึกษาประวัติศาสตร์ของปัตตานีอย่างจริงจัง  เขียนประวัติศาสตร์ให้ชัดเจนเลยทำให้ไม่รู้เรื่องราวของรัฐปัตตานี  เป็นจุดอ่อนเป็นประวัติศาสตร์แยกส่วน  ไม่มีประวัติทางใต้  ก่อนสุโขทัยก็มีคนไทยอยู่ทางใต้มานานแล้ว  ควรศึกษาค้นคว้าเมืองต่างๆของภาคใต้

ขาดการศึกษาเรื่องรัฐปัตตานีอย่างจริงจัง  การมีกริช  มีอักษายาวี  เป็นเครื่องบอกตระกูล  แต่ทางราชการไทยถือว่าเป็นอาวุธ  เจอก็จะยึดเพราะไม่เข้าใจประเพณีวัฒนธรรมของกันและกัน

เยาวชนถูกสอนให้เกลียดกองทัพแรกของสยามที่ถูกส่งไปปราบปัตตานีคือสมัยสมเด็จพระนเรศวรมหาราช  เขามองสมเด็จพระนเรศวรเป็นศัตรู  ดังนั้นถ้ามีกำหนดภาพยนตร์พระนเรศวรฉายเมื่อไหร่  ให้ระวังการก่อความไม่สงบ  ไม่ว่าที่ภูเก็ตหรือหาดใหญ่  เพราะประวัติศาสตร์ที่เขารับรู้กับที่เรารับรู้ไม่เหมือนกัน

การมีปฏิกริยากับรัฐ  มีการแสดงสัญญลักษณ์ของความไม่พอใจรัฐ  เช่น

….เอาแผ่นดินกูคืนมา….เป็นอารมณ์ความรู้สึกของเด็ก  เยาวชนทาง 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้

…ปัตตานีต้องได้รับเอกราช…..

…สยามยึดปัตตานี เมื่อ พ.ศ. 2327…..

…ฟาตอนีเป็นส่วนหนึ่งของมาเลเซีย….

เป็นการใช้ประวัติศาสตร์เป็นเครื่องมือ  วิชาที่ขบวนการก่อความไม่สงบใช้สอนให้เยาวชนใต้ต่อต้านรัฐคือวิชาประวัติศาสตร์  แต่ทางด้านรัฐไม่ค่อยศึกษาประวัติศาสตร์อย่างจริงจัง  ไม่มีคนสอน แล้วจะสู้กันได้อย่างไร?

ทำไมสตูลไม่มีปัญหา  ไม่มีการเคลื่อนไหวทั้งๆที่เป็นชายแดนใต้เหมือนกัน ?  ล้วนเป็นคำถามที่ต้องการการศึกษาวิจัยเหมือนกัน  น่าศึกษาประวัติศาสตร์ดู

ผศ. ดร.จงรัก พลาศัย อธิการบดีมหาวิทยาลัยนราธิวาสราชนครินทร์

จงรัก

ฟังอาจารย์พูดแล้วชื่นชมอาจารย์มาก  อยากให้มีการพัฒนาหลักสูตรประวัติศาสตร์  อาจารย์ควรนำเสนอการค้นคว้าทางวิชาการด้านประวัติศาสตร์ให้มีความชัดเจนและนำเสนอต่อคนทั้งประเทศ  ไม่ใช่เฉพาะ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้  เพื่อจะได้มีความรู้ความเข้าใจที่ตรงกัน

เกียรติเกริกไกร ใจสมุทร รองเลขาธิการมูลนิธิ อัศนี พลจันทร (นายผี)

อยากถามว่า  ถ้ามีการชำระประวัติศาสตร์จะช่วยแก้ไขสถานการณ์ภาคใต้ได้ไหม?  กระบวนการชำระประวัติศาสตร์ควรจะเป็นขบวนการอย่างไร?  ควรจะมีองค์กรหรือหน่วยงานใดเข้ามามีส่วนร่วม ?

ศาสตราจารย์ ดร. ครองชัย หัตถา

กรมศิลปากรก็มีคณะกรรมการชำระฯ  กระทรวงศึกษาธิการก็มีกรรมการฯ ชำระ หลายคณะกรรมการ  คงจะค่อนข้างสกปรก  จึงต้องมีหลายกรรมการชำระ  คงไม่หลวมตัวเข้าไปเป็นกรรมการชำระฯ  จริงๆต้องชำระคนที่ไม่เข้าใจประวัติศาสตร์  เคยฝันว่ากระทรวงศึกษาธิการน่าจะเป็นเจ้าภาพแต่ฝันไม่เคยเป็นจริง

สุเทพ โกมลภมร ผู้ว่าราชการจังหวัดราชบุรี

สุเทพ1

อยากทราบว่า 4ส3 (คณะนักศึกษาหลักสูตรเสริมสร้างสังคมสันติสุขรุ่นที่ 3) ที่จะลงพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้  โรงเรียนปอเนาะได้รับความชื่นชมจากหลายๆฝ่าย  ทั้งมาเลเซีย  อินโดนีเซีย  มีการสอนเรื่องศาสนาและวิถีชีวิตซึ่งเป็นเรื่องที่ดี  แต่สังคมภายนอกมองว่าปอเนาะเป็นแหล่งซ่องสุมของผู้ก่อความไม่สงบ  อุสตาซจบมาจากไหนและสอนอะไรให้เยาวชนบ้าง?  สอนได้อย่างเสรีหรือไม่?  เพราะจุดชี้ขาดหรือจุดแตกหักของ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้อยู่ที่การบ่มเพาะเยาวชน

ศาสตราจารย์ ดร. ครองชัย หัตถา

มีการปลูกฝังจริงแต่ไม่ใช่เป็นแบบนั้นทุกคน  ส่วนมากจบการศึกษาจากต่างประเทศแต่ทำไมรัฐไม่ให้เงินเดือน  ไม่ยอมรับว่าเป็นคนไทย  เคยอบรมอุสตาซๆก็ชอบประวัติศาสตร์ที่เป็นความจริง  เขารู้สึกว่ามีส่วนร่วมในประวัติศาสตร์ไทย  มีส่วนที่เป็นศัตรูกันแต่ก่อนหน้านั้นและหลังจากนั้นมาเป็นมิตรไมตรีกันอย่างไร?

ปัจจุบันมีการสอนเป็นบางส่วนเด็กๆก็เจ็บปวดต่อรัฐ  จะต่อต้านทุกครั้งที่รัฐทำผิดพลาด  นักศึกษาที่เรียนในมหาวิทยาลัยมีปมในใจจากประวัติศาสตร์ที่เข้าใจกันอยู่ รับรู้ไม่ตรงกับที่เราต้องการให้รับทราบ  มีการค้นคว้าทางประวัติศาสตร์เป็นชิ้นๆ  แต่ยังไม่ได้ต่อเป็นชิ้นใหญ่ที่มีความต่อเนื่องที่ให้ภาพรวม

มีเรื่องราวของลังกาสุกะ  อาณาจักรตามพรลิงค์ นครศรีธรรมราช  มีพูดถึงตะกั่วป่า

เดิมเลยคนที่นี่นับถือศาสนาพราหมณ์  มีพิธีกรรมต่างๆมาก  คนทางใต้ก็ยังมีพิธีกรรมต่างๆมาก  มีการสวดเสดาะเคราะห์ ฯ  จากพราหมณ์มาเป็นพุทธ  แล้วมาเป็นอิสลาม  ในช่วงที่เป็นรัฐปัตตานีก็มีวัดอยู่ 20 กว่าวัด

งานประเพณีทางใต้ไม่ชอบพิธีกรรมที่ยิ่งใหญ่  ชอบเรียบง่าย  การปกครองที่เป็นอยู่ไปได้  ไม่ต้องไปคิดเรื่องเขจปกครองพิเศษ  ทางนี้ไม่ชอบให้เกณฑ์ไปร่วมพิธี  การบังคับให้กราบไหว้พระพุทธรูป  ต้องแต่งตัวแบบยุโรปในการติดต่อราชการ  ห้ามโกนศีรษะ(สมัยจอมพล ป.)  เกิดขึ้นก็เพราะไม่เข้าใจวัฒนธรรมของเขา

รศ. ดร. ประเสริฐ ชิตพงศ์ สมาชิกวุฒิสภา

ถ้าไม่ได้มาเรียนหลักสูตรนี้ก็จะไม่ทราบเรื่องราวต่างๆที่ได้รับฟังในวันนี้  อาจารย์เรียนทางภูมิศาสตร์แต่มาสนใจศึกษาทางประวัติศาสตร์  ทางใต้มีแต่ประวัติศาสตร์บาดหมาง  แต่การค้นหาความจริงมีคนทำน้อย  นักประวัติศาสตร์ก็จะสนใจเฉพาะช่วงเวลา  แต่อาจารย์เขียนประวัติศาสตร์ที่มีความเชื่อมโยงกันหมดทั้งวัฒนธรรม ศาสนาที่ครอบคลุมอยู่ในพื้นที่ปัตตานีดารุสสลาม

วิชชุกร คำจันทร์ นักบิน บริษัท การบินไทย จำกัด

30-40 ปีที่แล้วภูมิภาคนี้มีปัญหาภัยคุกคามจากคอมมิวนิสต์  แต่ด้วยความร่วมมืออย่างดีระหว่าง 2 ประเทศปัญหาก็สงบลง  แต่เกี่ยวกับประเด็นการก่อความไม่สงบใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ประเทศมาเลเซียมีท่าทีและให้ความร่วมมืออย่างไร?

ศาสตราจารย์ ดร. ครองชัย หัตถา

มาเลเซียมองว่าเป็นปัญหาภายในของประเทศไทย  นอกจากจะมีปัญหาข้ามแดนไปทางมาเลเซีย  แต่การที่มีจุดตรวจ  มีการลาดตระเวณถี่ยิบ  แสดงว่าเวลามีเหตุการณ์เป็นคนในพื้นที่  ไม่มีการข้ามแดน

ไทยต้องมีเพื่อนมากๆถ้ามีปัญหาต้องขึ้นศาลโลก  แต่เราจะไปมีปัญหากับประเทศเพื่อนบ้านไปหมด

ดร. สุนทรียา เหมือนพะวงศ์ ผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์

ที่อินเดียมีการฟื้นฟูมหาวิทยาลัยนาลันทา  อยากให้ฟื้นฟูที่นครศรีธรรมราชซึ่งเคยเป็นศูนย์กลางของภาคใต้

ศาสตราจารย์ ดร. ครองชัย หัตถา

จากแผนที่ของอินเดีย  ลังกาสุกะในสมัยพระเจ้าราเชนทร์ของแคว้นโจฬะ     สมัยนั้นยังไม่มีคำว่าสยาม  อาณาจักรศรีวิชัยก็เพิ่งจะเริ่มเกิดขึ้นที่สุมาตรา  ลังกาสุกะเกิดก่อนศรีวิชัย  ลังกาสุกะเป็นรัฐพื้นเมืองคู่กับตามพรลิงค์  อาณาจักรโจฬะมาตีศรีวิชัยซึ่งเป็นอาณาจักรพุทธด้วยกัน  แต่ขัดแย้งกันทางการค้าเป้าหมายของโจฬะต้องการทำการค้ากับจีนจึงส่งกองทัพมายึดหัวเมืองต่างๆตั้งแต่ไชยา  ชุมพร ตะกั่วป่า นครศรีธรรมราช

อาเต็ป โซ๊ะโก ประธานเครือข่ายเยาวชนนักศึกษาเพื่อพิทักษ์ประชาชน

พื้นที่ที่มีปัญหาเรียก 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้  จริงๆแล้วจะรวม 5 อำเภอในจังหวัดสงขลาด้วย

ปอเนาะดั้งเดิม(สำนักสอนศาสนาอิสลามที่มีที่พักอยู่ในบริเวณสำนัก) ที่คนในพื้นที่จะเรียกว่าปอเนาะเฉยๆ  ส่วนโรงเรียนเอกชนสอนศาสนาอิสลามก็เป็นเรื่องราวที่ทางราชการมากำหนดขึ้นมาใหม่ให้เปลี่ยนสภาพแล้วจะได้รับเงินอุดหนุน

กรณีที่มีปัญหาการก่อความไม่สงบแล้วถูกจับเป็นผู้ต้องหาต่างๆมักจะเป็นนักศึกษาของโรงเรียนเอกชนสอนศาสนาอิสลามซึ่งคนในพื้นที่จะไม่เรียกว่าปอเนาะ  แต่คนนอกพื้นที่จะเรียกปอเนาะเหมือนกัน  ครูสอนศาสนาอิสลามในโรงเรียนเอกชนสอนศาสนาอิสลามจะเรียกอุสตาซซึ่งส่วนมากจะจบจากตะวันออกกลาง

พล.ต.ต. วิศิษฐ์ เอมประณีตร รองผู้บัญชาการโรงเรียนนายร้อยตำรวจ

เอกสารหน้า 34-37  มีขบวนการที่สนับสนุนการก่อความไม่สงบ  กล่าวถึงกลุ่มมูจาฮีดดีนปัตตานี  ตอนนี้ขบวนการที่มีปัญหาอยู่ในปัจจุบันเป็นกลุ่มไหน?  มีการยกเลิก ศอ.บต.แล้วตั้งใหม่  โครงสร้างควรเป็นอย่างไร?

ศาสตราจารย์ ดร. ครองชัย หัตถา

คนเดิมไม่มีใครเหลือแล้ว  คนรุ่นฮัจยีสุหลงไม่มีใครเหลือแล้ว  แต่ที่เหลือคือความคิดและการรับรู้ ฮัจยีสุหลงเป็นคนที่อาสาถือมติของกรรมการอิสลามปัตตานีร้อยกว่าคน  ซึ่งประชุมกันและมีมติ 7 ข้อไปยื่นต่อรัฐในฐานะที่เป็นประธานเลยหายตัวไปตั้งแต่ปี 2491

สิ่งที่ผิดพลาด

  1. เราทุ่มไปที่คนคนเดียว คือฮัจยีสุหลงว่าเป็นเจ้าของข้อเรียกร้อง 7 ข้อ
  2. ที่ว่ารัฐบาลไทยปฏิเสธข้อเสนอทั้งหมดก็ไม่ใช่  เพราะหลังจากนั้นอีก 6 เดือนก็มีมติ ครม.ออกมา  ให้เบี้ยตอบแทนพิเศษให้กับข้าราชการที่พูดภาษามลายูได้เรียกเบี้ยภาษา (ปัจจุบันก็มีการจ่ายจริง 200 บาทต่อเดือน (- สามารถ วราดิศัย  รองผู้ว่าราชการจังหวัดนราธิวาส)  แสดงว่ารัฐบาลไทยสนใจข้อเรียกร้อง  การให้ผู้นำเป็นคนมลายูก็เป็นไปได้แต่คนมลายูไม่นิยมเรียนโรงเรียนของรัฐหรือเรียนในระบบ  จึงหาข้าราชการที่เป็นคนมลายูได้ยาก

เรื่องประวัติศาสตร์  มีหนังสือที่เขียนด้วยอักษรยาวี  คนไทยเป็นคนเล่า  เขียนให้สุลต่าน  เราพูดกันน้อยไปรึเปล่า?  ขาดประวัติศาสตร์ที่เป็นความจริงที่จะเอาความจริงมาพูดจากัน  จึงมีแต่ประวัติศาสตร์ต่อต้านรัฐ  ประวัติศาสตร์บาดหมาง

กานต์ ยืนยง กรรมการผู้อำนวยการ บจ. สยามอินเทลลิเจนซ์ ยูนิต

เรื่องมาเลเซียกับไทย  มาเลเซียช่วยไทยหลายเรื่องแต่ก็ไม่อยากเปิดเผยเพราะกลัวมีปัญหาการเมืองภายใน

ศาสตราจารย์ ดร. ครองชัย หัตถา

ถูกต้อง  มีการช่วยเหลือกัน  มีการค้นพบหลักเขตเมืองไทรบุรีซึ่งเป็นของสยามในอดีต  ในรัฐเคดะห์  ประวัติศาสตร์จบไปแล้ว  ความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับมาเลเซียก็ไม่มีปัญหาอะไรกัน

สามารถ วราดิศัย รองผู้ว่าราชการจังหวัดนราธิวาส

ตอนแบ่งดินแดนไทยกับมาเลเซียระหว่างไทยกับอังกฤษตกลงใช้แม่น้ำกลันตันเพราะเป็นแม่น้ำใหญ่ใช้แบ่งประเทศ  แต่มาใช้แม่น้ำสุไหงโกลกซึ่งเป็นแม่น้ำเล็กๆในการแบ่งดินแดน  ถ้าใช้แม่น้ำกลันตันจะได้ดินแดนมาอีกมาก

เผ่าพงษ์ เต็มสัมฤทธิ์ ผู้อำนวยการฝ่ายชุมชนสัมพันธ์ การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย

5 จังหวัดชายแดนภาคใต้ต้องรวมจังหวัดสงขลาและสตูลด้วย  แต่ที่มีปัญหาคือ 3 จังหวัดกับอีก 5 อำเภอในจังหวัดสงขลา   จังหวัดสตูลไม่มีประวัติศาสตร์ที่เกี่ยวข้องกับรัฐปัตตานีเลย  เป็นมุสลิมสยามเป็นส่วนใหญ่  จึงไม่มีปัญหาการก่อความไม่สงบ

Post to Facebook Facebook


การสื่อสารอย่างสันติเพื่อป้องกันและแก้ไขความขัดแย้ง(3)

ไม่มีความคิดเห็น โดย จอมป่วน เมื่อ 29 กันยายน 2011 เวลา 11:49 ในหมวดหมู่ จอมป่วน #
อ่าน: 2234

วันที่ 9 กันยายน 2554  9.30-12.30 น.

อาจารย์นารี เจริญผลพิริยะ

นารี

หลังจากอาจารย์ปาริชาตพูดเสร็จ  อาจารย์นารีก็ต่อด้วย

……ขอพากลับมาที่คน  เพราะคนเป็นตัวกำหนดว่าสื่อจะไปทางไหน?  คนที่มีอำนาจก็อยากควบคุมสื่อ ที่ยกตัวอย่างชินเจียงที่พยายามใช้สื่อของรัฐในการขจัดความขัดแย้ง  โดยการโฆษณาทิศทางของซินเจียงให้กินอิ่ม นอนอุ่น ให้ได้รับเกียรติ  จะสามารถลดความขัดแย้งได้

ประเทศไทยกรณีภาคใต้  นักศึกษาคิดว่า

  • มีความขัดแย้งระหว่างรัฐกับประชาชนในพื้นที่
  • ผลประโยชน์ไม่ลงตัว(งบประมาณ)-ระหว่างรัฐกับรัฐ  และระหว่างรัฐกับประชาชน
  • การใช้อำนาจรัฐ ความไม่เป็นธรรม
  • แบ่งแยกดินแดน
  • ไม่เข้าใจกันระหว่างประชาชน  ผู้นำท้องถิ่น  ครูสอนศาสนาท้องถิ่นกับส่วนกลาง
  • ความแตกต่างในเชื้อชาติ ศาสนา  ความเชื่อและวัฒนธรรม
  • มีเงินสนับสนุนจากภายนอกประเทศ
  • ความไม่เป็นเอกภาพของเจ้าหน้าที่รัฐ
  • มุมมองทางประวัติศาสตร์
  • ความจริงใจที่จะแก้ปัญหา
  • ปัญหาระบบการศึกษาในภาคใต้  ปอเนาะ โรงเรียนสอนศาสนาเอกชน
  • ความขัดแย้งของกรุงเทพฯ กับปัตตานี

ส่วนมากพวกเรารู้ข้อมูลข่าวสารจากสื่อมวลชน  การรับรู้แตกต่างกัน  เลยเกิดความเข้าใจแตกต่างกันไป  วาทะกรรมต่างๆนี้เป็นสื่อจากฝ่ายรัฐหรือสื่อกระแสหลักเป็นคนสื่อสารออกมา  สื่อกระแสหลักจะออกมาแนวขบวนการแบ่งแยกดินแดน  ถ้าลงในพื้นที่ก็จะได้ยินอีกแบบหนึ่ง  ใช้ภาษาที่แตกต่างกัน เช่นขบวนการต่อสู้เพื่อเอกราชรัฐปัตตานี  เป็นวาทะกรรมที่ต่างกัน  จุดยืนที่ต่างกัน ถ้อยคำที่ต่างกันซึ่งมีจุดมุ่งหมายในนั้น

การใช้คำว่าแบ่งแยกดินแดนทำให้คนมีความรู้สึกว่าต้องสูญเสียอะไรบางอย่าง ต้องไม่เห็นด้วย เป็นข่าวสารจากรัฐที่ต้องการให้ประชาชนสนับสนุนนโยบายที่รัฐจะเอาแผ่นดินคืนมา  ขบวนการก่อความไม่สงบก็ใช้วาทะกรรมอีกแบบหนึ่ง  ซึ่งล้วนแต่มีเป้าหมาย  ซึ่งต้องใช้วิจารณญาณในการรับฟังและตีความ  แต่ละฝ่ายก็มีมวลชนของตัวเอง ขบวนการก่อความไม่สงบใช้การสื่อสารที่ร้านน้ำชาและร้านกาแฟ

การใช้ Social Media ภายใต้สื่อเสรี  ข้อมูลจากสื่อต้องระมัดระวังมากๆ  ต้องมีจริยธรรมและมุ่งความสงบสุขของสังคมจึงจะทำให้การใช้สื่อมีประโยชน์  ฐานการเอาชีวิตรอดทำให้มีการโกหก  การให้ข้อมูลเท็จผ่านสื่อต่างๆ  ต้องให้การศึกษากับผู้คนในประเด็นจริยธรรมมุ่งสู่ความสุขมวลรวมของผู้คน

การสื่อสารอย่างสันติเป็นการสื่อสารแห่งความกรุณา  มีวิธีการที่จะพูดให้เกิดสันติ  อาจารย์พูดให้ฟังเรื่องภาษาหมาป่ากับภาษายีราฟ

ภาษาหมาป่าคือภาษาที่ตำหนิ  ตัดสิน  ตีความตนเองและผู้อื่น

  • มองใกล้ ใจแคบ
  • เป็นสัญญลักษณ์การสื่อสารที่กีดกันไม่ให้เราเข้าถึงความกรุณา
  • ตัวเตี้ย  ติดดิน  ไม่มองไกล  มองใกล้ตัว
  • สื่อสารแบบกล่าวโทษหรือตำหนิตัวเองหรือคนอื่น  ว่ากันไป ว่ากันมา

หมาป่าหูเข้าจะตำหนิตัวเอง  หมาป่าหูออกจะด่าคนอื่น ตำหนิคนอื่น

ภาษายีราฟคือภาษาที่เข้าใจความรู้สึกและความต้องการของตนเองและคนอื่น

  • มองไกล ใจกว้าง
  • ยีราฟเป็นสัตว์บกที่มีหัวใจโตที่สุด
  • คอยาว เห็นกาณ์ไกลมาก
  • พูดเข้าใจความรู้สึก  ความต้องการ

ยีราฟหูเข้าจะเข้าใจตัวเองเพื่อให้คนอื่นเข้าใจเรา  ยีราฟหูออกเข้าใจคนอื่น

การสื่อสารอย่างสันติควรใช้ภาษายีราฟ  มีการสังเกต  รู้สึก  ต้องการ  และขอร้อง  การใช้ภาษายีราฟจะทำให้คู่กรณีเข้าใจและให้ความร่วมมือ  ต้องเข้าใจคู่กรณีและทำให้คู่กรณีเข้าใจเราด้วย

ความขัดแย้งใหญ่ๆมาจากความขัดแย้งเล็กๆที่สะสมกันมา

การใช้คำพูดก็ต้องระมัดระวัง  การหยอกล้ออาจทำให้เกิดปัญหา  เช่นกรณีที่ถูกจำคุกในกรณีก่อความไม่สงบ

…..ไม่ดีใจเหรอที่เมียติดคุก?….

…..ยังสาวอยู่เลย  หาใหม่ไม่ดีกว่าเรอะ?

หรือในการตรวจค้น  การซักถามว่า

…..พาระเบิดมาด้วยรึเปล่า?…  ฟังดูอาจเหมือนเป็นการซักถามตามปกติ  แต่อาจทำให้เกิดความรู้สึกว่าหยาบคาย  ใส่ร้าย  กล่าวหากัน

การสื่อสารว่า

….ครูเขามาให้ความรู้  มาทำให้ฉลาดทันโลก  ไปยิงเขาทำไม?…..  ความหมายเหมือนคุณเป็นคนยิง

….ทำไมคนที่นี่ชอบความรุนแรง  มาคุยกันดีกว่า…..

….ทหารมาช่วยเรา  อย่ายิงเขาเลย…..

ซึ่งน่าจะใช้คำเหล่านี้แทน

…..พอรู้ไหมว่าอะไรทำให้เกิดการยิงครู?….

…..พอรู้ไหมว่าทำไมมีความรุนแรง ?…..

การลงพื้นที่ภาคใต้เพื่อให้ไปพบความจริง  แต่ต้องระมัดระวัง  มิฉะนั้นก็จะไม่ได้ความจริง

อาจารย์เปรียบเทียบปอเนาะเหมือนสำนักวิปัสนาของชาวพุทธ  อาจถูกกล่าวหาเป็นที่ซ่องสุมของผู้ก่อความไม่สงบ

Post to Facebook Facebook


การสื่อสารอย่างสันติเพื่อป้องกันและแก้ไขความขัดแย้ง (2)

ไม่มีความคิดเห็น โดย จอมป่วน เมื่อ 29 กันยายน 2011 เวลา 2:08 ในหมวดหมู่ จอมป่วน #
อ่าน: 3079

อาจารย์ปาริชาต

สภาวะแวดล้อมแห่งสันติภาพ:

หากผู้นำเห็นพ้องต้องกันในการสนับสนุนสันติภาพ  สื่อก็ย่อมพร้อมที่จะนำเสนอบทบาทเชิงบวกต่อสันติภาพ  แต่ถ้ายิ่งมีปริมาณวิกฤตการณ์และระดับความรุนแรงเพิ่มขึ้นมากเท่าไร  สื่อก็ยิ่งมีโอกาสจะนำเสนอสิ่งที่สวนทางกับกระบวนการสันติภาพ

ตัวอย่างกรณีสงครามเวียตนาม  สหรัฐอเมริกาต้องการภาพผู้พิทักษ์โลก  ผู้ปกป้องประชาธิปไตย  แต่ตอนนั้นกองทัพอเมริกันไม่ได้คิดถึงเรื่องการควบคุมสื่อ  คิดว่าสื่อมีอิสระเสรีภาพ  ไม่ได้คิดว่าการเสนอประเด็นข่าวจะมีผลอย่างไร  สื่อจึงนำเสนอข่าวความจริง  ไม่ใช่ภาพที่ตัดแต่ง เป็นภาพทหารอเมริกันล้มตาย ซ้ำๆๆๆๆ  นำเสนอในข่าวภาคค่ำ  ผู้คนรับไม่ได้  ท้ายที่สุดมีการลงมติให้ถอนทหารออกจากเวียตนาม  การปรับตัวของกองทัพ  ภาพของผู้สื่อข่าว  คนที่ทำงานด้านสันติภาพที่พยายามกันเต็มที่กลับออกมาเป็น New Left ฝ่ายซ้ายใหม่,  ผู้ทำลายประชาธิปไตย,  กลุ่ม Anti-War,  เป็นคู่ขัดแย้งกับรัฐไป

สงครามอ่าวเปอร์เซีย -Gulf War 1990-1991 กองทัพเปลี่ยนบทบาทใหม่  ทำงานร่วมกับผู้สื่อข่าวใกล้ชิดขึ้น  มีการบริหารประเด็นข่าว  มีการวางกรอบประเด็น  ให้เป็นสงครามการก่อการร้าย  อเมริกามีภาพเป็นผู้นำระดับโลกที่มีศีลธรรม  อิรักเป็นศัตรู  ซัดดัม ฮุสเซนคือฮิตเลอร์ที่กลับมาเกิดใหม่  คนที่เก่งด้านสื่อสารมวลชนต้องมาช่วยรัฐบาล มีการผลิตสื่อที่เท็กซัส  เป็นเรื่องเกี่ยวกับความมั่นคง  แต่คูเวตกลับจ้าง PR-Agency ที่เป็นบริษัทอเมริกัน  จัดฉาก สร้างเรื่ีองมีเด็กผู้หญิงร้องไห้  เห็นทหารอิรักบุกเข้ามาในคูเวต  อะไรคือจรรยาบรรณ?  อะไรคือจริยธรรม?  ไม่ใช่แค่นักข่าว  ผู้สื่อข่าว  แต่ผู้นำของประเทศด้วย  และอะไรคือสันติภาพ ?  สื่อรู้ไหม?  รู้ภายหลังและไม่พอใจถือว่าเป็นการดูถูกและผิดต่อจริยธรรม  ทำให้กองทัพต้องปรับวิธีทำงานร่วมกับสื่อใหม่อีก

11 มีนาคม  เหตุเกิดที่ญี่ปุ่น เสียชีวิตและความสูญเสียมากมายจากคลื่นยักษ์สึนามิ  ในขณะที่ทั่วโลกพยายามหาทางที่จะไปช่วยญี่ปุ่น  ก็มีกรณีของตะวันออกกลาง ลิเบีย  เป็นการสร้างความชอบธรรมของอเมริกันในการกำจัดศัตรู  ไม่มีข่าวเลยว่าในพื้นที่มีคนบาดเจ็บล้มตายเท่าไหร่  ภาพที่ออกมาเป็นภาพที่มุมกล้องสวยมาก  ถ้าต้องการข้อเท็จจริงต้องไปดูที่สำนักข่าวอัลจาซีร่า

ข่าวมักนำเสนอในทิศทางที่สวนทางกับความพยายามสร้างสันติภาพยกเว้นถ้ามีกระบวนการเรียกร้องสันติภาพสูง  มีกระบวนการสนับสนุนสันติภาพสูง  ข่าวจะเสนอในทิศทางที่สนับสนุนสันติภาพ  ถ้ามีจำนวนความเข้มข้นและจำนวนของวิกฤตการณ์ความรุนแรงต่ำ  พื้นที่ข่าวก็จะเปิดพื้นที่ให้สันติภาพ  ถ้าสมาคม  องค์กร  ผู้สื่อข่าวมีการพูดคุยแลกเปลี่ยนกันบ่อยก็จะเห็นว่าควรจะนำเสนอในทิศทางใด  การเปลี่ยนแปลงในเชิงสภาวะแวดล้อมทางการเมืองที่เอื้อต่อสันติภาพก็จะมีผลต่อพื้นที่ข่าว

ในประเทศไทย  อนาคตทิศทางของสื่อมวลชนก็จะเน้นในประเด็นของจริยธรรมและความรับผิดชอบ  สื่อมวลชนควรมีบทบาทในการสนับสนุนกระบวนการสันติภาพและงดการนำเสนอเรื่องราวที่เสี่ยงต่อความรุนแรงและสงคราม  ตอนมีวิกฤตกลุ่มผู้สื่อข่าวก็มีการออกมาเรียกร้องให้หยุดทำร้ายประเทศไทย

เส้นทางสู่อนาคตของกลุ่มคนและกิจกรรมเพื่อสันติภาพ  บทเพลง  การแสดงดนตรีและตราสัญญลักษณ์สันติภาพเป็นส่วนหนึ่งของการเรียกร้องสันติภาพ  บ้านเราก็มีกลุ่มต่างๆที่พยายามทำเรื่องสันติภาพอยู่มาก  ก็ทำอะไรที่แปลกๆเป็นเชิงสัญญลักษณ์เพื่อเป็นประเด็นข่าว  เช่น หยุดทำร้ายประเทศไทย,  Ignite Thailand- เวทีจุดพลังบวก ฯลฯ

PEACE

Internet  Social Media  ก็จะมีส่วนในการสร้างสันติภาพได้ถ้าใช้อย่างถูกต้อง  เพราะมีผู้ใช้หลากหลาย  แลกเปลี่ยนได้ง่าย  ลิงก์ได้ง่าย  สามารถแบ่งปัน  แลกเปลี่ยนเรียนรู้ร่วมกันได้ง่าย  สามารถเรียกร้องวาระของตนได้  แต่ก็มีจุดอ่อนมาก  ถ้ามีการใช้ไปในทางที่ผิด  ขาดภูมิต้านทาน

คนไทยไม่คิดที่จะช่วยตัวเอง  ยังรอผู้มีอำนาจมาให้ความช่วยเหลือ

Post to Facebook Facebook


การสื่อสารอย่างสันติเพื่อป้องกันและแก้ไขความขัดแย้ง (1)

ไม่มีความคิดเห็น โดย จอมป่วน เมื่อ 29 กันยายน 2011 เวลา 0:18 ในหมวดหมู่ จอมป่วน #
อ่าน: 3062

วันที่ 9 กันยายน 2554 9.30 -12.30 น.

ศาสตราจารย์ ดร.ปาริชาต สถาปิตานนท์


เริ่มด้วยอาจารย์ปาริชาตถามว่า “ท่านคิดว่าสื่อสารมวลชนเหมาะแค่ไหนในการทำงานสันติวิธี?”  แล้วเปิดเพลง รักเธอประเทศไทย ของหรั่ง ร็อคเคสตร้า (ชัชชัย สุขขาวดี)  ให้ฟัง  อาจารย์ถามว่ารู้สึกอย่างไรเมื่อฟังเพลงนี้ ?

ดร. สมหมาย ปรีชาศิลป์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดมุกดาหาร

ชอบเพลงนี้  แต่ไม่น่าจะมีเพลงนี้  ถ้าคนไทยรักกันก็ไม่จำเป็นต้องมีเพลงนี้

พันเอก เอื้อชาติ หนุนภักดี นายทหารประจำกรมข่าวทหารบก

เพลงจะเกิดขึ้นตลอด  เพลงจะมาทดแทนสิ่งที่หายไปเช่นจีนต้องการหาคนซื่อสัตย์ก็เกิดกวนอู  เพลงมักจะสะท้อนอะไรบางอย่าง

อาจารย์ปาริชาต

เพลงที่เอามาเปิดในช่วงที่มีความขัดแย้งแล้วมักจะถูกบิดเบือนตัดสินให้มีสี  ทั้งๆที่คนแต่งไม่มีเจตนา  บางคนบอกว่าฟังคุ้นๆเป็นเพลงเสื้อเหลือง

ทหารมีเพลงที่ปลุกใจให้รักชาติมาตลอดแต่หายไปช่วงเปลี่ยนสนามรบให้เป็นสนามการค้าสมัยน้าชาติ   จนเกิดเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ  ก็มีการร่วมมือกับบริษัทเอกชนผลิดสื่อและเพลงออกมาตลอด

วิชชุกร คำจันทร์ นักบิน บริษัท การบินไทย จำกัด

เพลงนี้แต่งมาตั้งแต่ปี 1986  หรั่งเคยเป็นทหารเรือ  ไม่ได้แต่งตอนมีความขัดแย้งทางการเมือง

อาจารย์ปาริชาต

ธรรมชาติของสื่อมีทั้ง Hardware และ Software   Hardware คืออุปกรณ์ เทคโนโลยีต่างๆ  ส่วน Software เป็นมิติด้านสาร  ตัวสาระ  เนื้อหา  ประเด็นที่ถูกผลิตขึ้นหรือหยิบเอาของเก่ามาใช้ให้เหมาะสมกับจังหวะและเหตุการณ์ในแต่ละช่วง

“ผู้ใดครองสื่อ  ผู้นั้นครอบครองอำนาจ” กรรมการด้านนี้ถึงมีการแย่งชิงกันจนป่านนี้ยังไม่จบ  มีเรื่องไปที่ DSI  ไม่รู้จะจบอย่างไร?  แต่ทุกท่านที่เป็นคนไทยสามารถมีสิทธิด้านสาร หรือ Message  หรือประเด็น  หรือข้อความ  ไม่ว่าจะเป็นการผลิต  การแต่งเรื่องราว  การนำเสนอ

การตั้งชื่อสื่อความหมาย (Naming is Framing)   การตั้งชื่อช่วยนำกรอบความคิดความเชื่อของเราที่มีต่อประเด็น   กลุ่ม P (นักศึกษากลุ่มที่ทำงานทางวิชาการเรื่อง “ความขัดแย้งทางการเมืองและการสร้างความสมานฉันท์ของคนในชาติ”) ตั้งชื่อโครงการว่า “Social Media กับการแก้ไขปัญหาความขัดแย้งทางการเมือง- อาทรเสวนา”  ก็ชัดเจนดี  ท่าทางจะไปไกลกว่ากลุ่ม S (ความขัดแย้งเชิงอัตลักษณ์และแนวทางสันติวิธีในการจัดการปัญหาความรุนแรง:กรณีความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้)

การครองสื่อคือการครองใจ  ไม่ใช่มองที่อุปกรณ์ต่างๆ  แต่เป็นการครองใจ  ด้านประเด็นเป็นสิ่งที่สำคัญ

“ที่ใดมีความขัดแย้ง  ที่นั่นย่อมมีการแสวงหาสันติภาพ” สื่อมีความสำคัญกับเรื่องนี้อย่างไร?  เวลาทำงานด้านนี้สื่อได้อะไร?   ได้ทั้งดอกไม้และก้อนหิน

สื่อเป็นความหวังของสังคม  ไม่ใช่นำไปสู่อำนาจ  ผลประโยชน์  ไปเป็นทุนนิยม

ด้านหนึ่งก็อยากให้สื่อมีเสรีภาพ  แต่ก็อาจขัดแย้งกับการที่หงุดหงิดเวลาถูกสื่อวิจารณ์  โจมตี  เลยอยากควบคุม เซ็นเซอร์สื่อ

ในช่วงที่มีความขัดแย้ง  สื่อมักจะเป็นกันชนหรือกระโถนท้องพระโรง  สื่อมวลชนเป็นความหวังของสังคม  ในการปฏิรูปประเทศ  มิติด้านสื่อจะมีการหยิบยกมาพูดถึงมาก

ถ้าสื่อมวลชนคือความหวัง  คิดว่าสื่อมวลชนควรให้ความสำคัญกับการนำเสนอเรื่องราวเกี่ยวกับอะไรสูงสุด ?

  • ความขัดแย้ง
  • สันติภาพ
  • นำเสนอเรื่องความขัดแย้งและสันติภาพพอๆกัน

งานวิจัยพบว่าสื่อมวลชนนับวันจะเลือกนำเสนอความขัดแย้งมากที่สุด

ยกตัวอย่างเขตปกครองตนเองซินเจียงอุยกูร์ในจีน  มีการรณรงค์ให้เกิดสันติภาพ  ไม่มีศัตรู  ป้ายชื่อสถานที่มี 2 ภาษา  ผู้นำทางความคิดพูดตรงกัน  ผ่านสื่อต่างๆ

พล.ต.ต. วิศิษฐ์ เอมประณีตร รองผู้บัญชาการโรงเรียนนายร้อยตำรวจ

วิศิษฐ์1

เสรีภาพของสื่อมวลชนในประเทศคอมมิวนิสต์มีการควบคุมสื่อ  การดำเนินการเป็นไปตามกลไกรัฐ  แต่ในบ้านเราสื่อมีหลายประเภท  มีทั้งสื่อที่มีเสรีภาพในการเสนอข่าวและสื่อที่มีกลไกการจัดตั้ง  สื่อที่มีจรรยาบรรณ  บ้านเราต่างกับประเทศจีนเพราะบ้านเรามีเสรีภาพ  แต่บ้านเราอาจมีเสรีภาพเกินขอบเขต  อาจมีเรื่องของผลประโยชน์  เรื่องการจัดตั้ง  ทำให้มีผลกระทบกับประชาชนเพราะได้รับข้อมูลข่าวสารที่ไม่ตรงกับข้อเท็จจริง

ขณะที่มีความขัดแย้ง  คนที่มีการศึกษาแทบจะไม่ดูข่าวในประเทศเลย  ไปดูข่าวจากต่างประเทศ เช่น CNN …..  แต่สื่อที่ดีๆควรเสนอข่าวที่เป็นความจริง  สื่อที่เสนอความขัดแย้งมักมีการจัดตั้ง  มีเบื้องหลัง

อาจารย์ปาริชาต

สื่อของจีนต่างจากไทย  สื่อในจีนเป็นของสื่อของรัฐจึงมีเอกภาพ  รวมทั้งการจัดลำดับที่จะเป็นประเด็นข่าว  คุณค่าข่าวจะเป็นไปในโทนเดียวกันหมด  แต่ก็เริ่มมีเสรีภาพมากขึ้นในเรื่องของธุรกิจ ความบันเทิง  กีฬา  ยกเว้นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับเรื่องความมั่นคง

ในประเทศไทยมีการปฏิรูปสื่อ  กำลังอยู่ในช่วงการต่อสู้  ตามรัฐธรรมนูญสิ่งที่เป็นสื่อเป็นของสาธารณะ  แต่ในทางปฏิบัติก็ยังมีปัญหาอยู่  ยังอยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่านทางอำนาจ  ยังรอ กสทช.  หวังว่าในที่สุดจะได้สื่อที่เน้นผลประโยชน์และความมั่นคงของประเทศชาติเป็นหลัก

ยกตัวอย่างประเทศอังกฤษที่คิดว่าควบคุมสื่อได้  แต่เจอสื่อที่คิดว่าเอาไว้เจ๊าะแจ๊ะ  คือ Facebook ที่คนเอาไปโพสต์ว่ารัฐ ตำรวจท้องถิ่นไม่มีความยุติธรรม ความจริงยังไม่ได้พิสูจน์  ยังไม่ได้ไปสู่กระบวนการยุติธรรม แต่คนรู้สึกว่าไม่ได้รับความเป็นธรรมก็ออกมาแสดงพลัง  นี่ก็เป็นอันตราย

ที่อิยิปต์  ลิเบีย  ผู้ครองอำนาจครอบครองสื่อได้  แต่ไม่ทั้งหมด อย่ามองแค่มิติด้านเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงเร็วมาก  แต่ให้ดูที่มิติของสาร

สื่อมวลชนมีส่วนส่งเสริมและทำลายสันติภาพ  เช่นการเน้นความเสี่ยงและอันตรายหากดำเนินมาตรการประนีประนอม  การตอกย้ำภาพฝังหัวที่เป็นลบเกี่ยวกับศัตรูหรือการสร้างความชอบธรรมให้กับกลุ่มที่ไม่ยอมอ่อนข้อก็จะเป็นการทำลายสันติภาพ

บทบาทสื่อมวลชน

สิ่งที่น่าสนใจคือคุณค่าของข่าว เรื่องที่จะเป็นข่าวต้องมี

  • ความเร่งด่วน เช่นเหตุการณ์หรือกิจกรรมพิเศษ
  • เป็นละคร (Drama) ความรุนแรง วิกฤต ความขัดแย้งในองค์กรที่สำคัญ  ความสุดโต่ง อันตราย  ความก้าวหน้าใหม่ๆ
  • ความเรียบง่าย
  • ความเป็นศูนย์กลาง ความเชื่อ  ความยากลำบาก  ความรุนแรง  ความเชื่อ

คนที่เข้าใจเรื่องนี้ก็สามารถแย่งพื้นที่ข่าวหรือเปิดพื้นที่ที่จะเป็นประเด็นข่าว

Post to Facebook Facebook


การฝึกปฏิบัติกระบวนการประชาเสวนา

ไม่มีความคิดเห็น โดย จอมป่วน เมื่อ 28 กันยายน 2011 เวลา 0:09 ในหมวดหมู่ จอมป่วน #
อ่าน: 2456

วันที่ 2 กันยายน 2554  13.30-16.30 น.

อาจารย์ นายแพทย์วันชัย วัฒนศัพท์

อาจารย์สุจินันท์ หรสิทธิ์

อาจารย์สุมานิการ์ จันทร์บรรเจิด

บ่ายนี้เป็นการฝึกปฏิบัติขบวนการฉันทามติและสานเสวนา

ปฏิบัติ

เริ่มจากการให้นั่งเป็นรูปตัวยู –U ให้ทำความรู้จักกัน  สร้างความสัมพันธ์ให้คุ้นเคยกัน  อาจารย์ให้แนะนำตัวด้วยชื่อเล่นแล้วตามด้วยของกินที่ไม่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ   เริ่มที่อาจารย์ก่อน  เช่น….

  • สุจินันท์  มีมะดันมาฝาก
  • ปุ้ย(อ.สุมานิการ์)  เอากุ้ยช่ายมาฝาก
  • บุญมา (เจ้าคุณบุญมา…..พระราชปฏิภาณมุนี) เอากล้วยน้ำว้ามาฝาก
  • ประเทือง (พระราชพุทธิวราภรณ์) เอามะเฟืองมาฝาก
  • พระครูวิจิตร (พระครูวิจิตรศีลาจาร) เอาลูกชิดมาฝาก
  • ดุ๊ก (เกียรติเกริกไกร ใจสมุทร) เอาปลาดุกมาฝาก …..

………….ก็สนุกสนานและจดจำชื่อเล่นกันได้ดีพอสมควร….อิอิ

จากนั้นก็ให้ทำกิจกรรมฉันทามติ  หลักของการมีส่วนร่วมที่สำคัญมี 5 ประการคือ

  1. ร่วมให้ข้อมูล
  2. ร่วมรับรู้ข้อมูล
  3. ร่วมรับผลประโยชน์
  4. ร่วมตัดสินใจ
  5. ร่วมติดตามประเมินผล

ที่สำคัญที่สุดคือร่วมตัดสินใจ  ในการจัดการความขัดแย้งจะใช้หลัก “ฉันทามติ”  ให้ร่วมกับลองทำกิจกรรมฉันทามติโดยใช้เรื่องสมมติ “นักท่องเที่ยวเกาะสวาทหาดสวรรค์”  โจทย์ที่อาจารย์ให้มีดังนี้

นักท่องเที่ยวเกาะสวาทหาดสวรรค์

เกาะสวาทหาดสวรรค์ตั้งอยู่ทางตอนใต้ของฮาวาย  มีเสียงเล่าลือว่าเป็นเกาะที่สวยงามมาก  ถ้าใครได้ไปเที่ยวชมแล้วถือว่ามีบุญวาสนาไม่เสียชาติเกิด  แต่ ณ เกาะแห่งนี้ไม่มีคนอาศัยอยู่เลย  วันหนึ่งมีนักท่องเที่ยว 7 คนได้เช่าเครื่องบินเล็กเพื่อเข้าไปเที่ยวชม  ปรากฏว่าเครื่องบินดังกล่าวตกลงไปในป่าลึกที่เกาะแห่งนี้  โดยไม่มีผู้ใดเสียชีวิต   7 วันต่อมาได้มีเคื่องบินลำหนึ่งบินผ่านมาและได้พบสัญญาณที่นักท่องเที่ยวกลุ่มนี้ส่งมาเพื่อขอความช่วยเหลือ  นักบินจึงนำเครื่องลงจอด ณ ที่แห่งนี้  ปรากฏว่าเครื่องบินลำนี้สามารถช่วยเหลือนักท่องเที่ยวกลุ่มนี้ได้เพียง 1 คนเท่านั้น  และอาหารที่เหลืออยู่ก็สามารถประทังชีวิตพวกเขาได้เพียง 7 วันเท่านั้น

“ขอให้ท่านช่วยวิเคราะห์ด้วยเถอะว่าเครื่องบินลำนี้ควรจะช่วยเหลือใครมากที่สุด”

1. สมสี ผู้หญิงท้องแก่ใกล้คลอด  มีประวัติคลอดยาก  ต้องไปพบแพทย์อย่างสม่ำเสมอ

2. สมชาย หมอผ่าตัดฝีมือดี  เขาวางแผนว่าจะต้องเดินทางไปผ่าตัดเปลี่ยนหัวใจให้กับเด็กที่อเมริกาในเดือนหน้า

3. สมพิศ เด็กผู้หญิงวัยรุ่น กำพร้า  จิตใจไม่มั่นคง

4. สมคิด เป็นรองประธานาธิบดีประเทศสหรัฐอเมริกา  ซึ่งขณะนี้ประธานาธิบดีกำลังป่วยหนักต้องการให้สมคิดกลับประเทศด่วน

5. สมศักดิ์ เป็นคนแก่อายุ 87 ปี  มีอาชีพขายอาหารทะเล ได้รับบาดเจ็บหลังหัก

6. สมหญิง เป็นนักวิทยาศาสตร์นิวเคลียร์ ซึ่งกำลังเป็นที่ต้องการตัวด่วนในประเทศญี่ปุ่นเพื่อให้ไปช่วยแก้ปัญหาเตาเผาที่กำลังจะระเบิดและเป็นอันตรายมาก

7. สมใจ เป็นลูกสาวของสมหญิง อายุ 3 ขวบ

ให้ร่วมกันตัดสินใจโดยเริ่มจากกลุ่มเล็กประมาณ 7 คน  แล้วค่อยมาเข้ากลุ่มใหญ่  ในกลุ่มเล็กให้ทุกท่านหันหน้าเข้าหากัน  พูดคุยกัน  อาจตกลงกันได้หรือตกลงไม่ได้  ถ้าตกลงไม่ได้ค่อยมาคุยกันในกลุ่มใหญ่อีกครั้งหนึ่ง  ให้เวลากลุ่มละ 15 นาที

หลังจากนั้นก็ให้มาเข้ากลุ่มใหญ่ซึ่งจะให้พูดทุกคนในเวลาเท่าๆกัน  คนที่ไม่พูดอาจยกเวลาของตัวเองให้คนอื่นพูดแทนก็ได้  หรือถ้าในกลุ่มเล็กตกลงกันได้ก็ให้ตัวแทนมานำเสนอเป็นตัวแทนกลุ่มก็ได้ 

มีการมอบสติ๊กเกอร์ให้  ถ้าตกลงกันไม่ได้ก็จะให้เอาสติ๊กเกอร์มาลงคะแนนในกลุ่มใหญ่หลังจากพูดคุยกันในกลุ่มใหญ่  แต่ละคนอาจเปลี่ยนใจ  เลือกคนที่ไม่ได้เลือกในกลุ่มเล็กก็ได้ถ้ารับฟังคนอื่นแล้วเห็นว่ามีเหตุผลดีกว่า  เป็นการหาฉันทามติในเวลาสั้นๆถ้าตกลงกันไม่ได้  แต่ถ้ามีเวลามากก็พูดคุยกันไปเรื่อยๆก็จะได้ฉันทามติที่ไม่ต้องโหวต

สุดท้ายก็ต้องโหวต  ปรากฏว่า  สมหญิงได้คะแนน 30 คะแนน  สมพิศได้ 22 คะแนน  คะแนนสูสี  ยังสรุปว่าเป็นฉันทามติไม่ดีนัก  ถ้ามีเวลาก็อาจจะเอา 2 คนนี้มาคุยกันต่อ  จนสรุปกันได้  นี่คือหลักฉันทามติ

รอบแรกอาจสรุปไม่ได้  ถือว่ายังไม่เป็นฉันทามติ  ให้คนที่มีความคิดเห็นแตกต่างกันมีโอกาสแสดงความคิดเห็น

มีนักศึกษาแสดงความคิดเห็น

…….ก่อนลงฉันทามติมีการพูดคุยเหตุผลกันก่อน  ถ้ายกมือกันเลยจะใช้เวลาสั้นๆ  แต่วิธีนี้มีเวลาฟังความเห็นของคนอื่นประกอบด้วย…..

อาจารย์ นายแพทย์วันชัย วัฒนศัพท์

ใช้เวลาตั้งนานยังตัดสินใจอะไรกันไม่ได้  ประเทศก็กำลังลุกเป็นไฟ…….

มีใครเปลี่ยนใจบ้าง?  คนเราเปลี่ยนใจได้ถ้าได้รับฟังความคิดเห็นและเหตุผลของคนอื่น  แต่เป็นเพราะฟังแล้วต้องการเปลี่ยนการตัดสินใจเอง  ถ้ามีใครมาบังคับให้เปลี่ยนการตัดสินใจก็จะไม่ยอม  ในสังคมที่ไม่ค่อยแตกต่างกัน (Homogenous) ฉันทามติจะเกิดได้เร็ว  ถ้าสังคมมีความแตกต่างหลากหลายทั้งด้านความคิด  ความรู้  เชื้อชาติ ศาสนา  จะใช้เวลานาน  แต่ก็จะค่อยๆเกิดขึ้นได้ถ้ามีการพูดคุยกัน

เวลาให้เราเลือกอะไร 2 อย่าง  เรามักจะว่าของเราดีกว่า

ทางหลวงถ้ามี U-turn แล้วเกิดอุบัติเหตุสูง  แขวงการทางก็จะปิด  ยกเลิก U-turn  โดยเอาแท่งคอนกรีตมากั้น  แขวงการทางก็มีเหตุผลของแขวงการทาง  แต่ชาวบ้านไม่ชอบใจ  ไม่พอใจเพราะต้องขับรถไกลขึ้นกว่าจะไปถึงอีก U-turn   ก็จะยกขบวนไปล้อมแขวงการทาง

ชาวบ้านก็มีเหตุผล  แขวงการทางก็มีเหตุผล  เหตุผลใครดีกว่า?  จะหาทางออกอย่างไร?

 

 

อ.นายแพทย์ประเวศ วะสี   เวลามาเป็นเจ้าภาพงานแต่งงานก็จะพูดว่า  สามีภรรยาเวลามีปัญหากัน  อย่าใช้เหตุใช้ผล

 

สามีกลับบ้านดึกก็จะอ้างว่า  งานยุ่ง  ต้องรับรองลูกค้า  ต้องประชุมแก้ปัญหาด่วน..ฯ

ภรรยาก็จะว่าดูแลแต่คนอื่น  ไม่ดูแลคนที่บ้านบ้าง  อุตส่าห์ทำกับข้าวรอก็ไม่กลับมากิน..ฯ

ทั้งคู่ต่างใช้เหตุผลก็จะมีปัญหาแน่นอน  ต้องใช้ความรักและความเข้าใจ  

 

ในกระบวนการสานเสวนา (Dialogue)ไม่ใช่การถกเถียงเพื่อเอาชนะ(Debate)   คนเราปกติมักจะตัดสินใจเร็ว  ฟังปุ๊บตัดสินใจปั๊บ  แต่ถ้ามีการรับฟัง  พูดคุยกับคนอื่นมากๆก็อาจเปลี่ยนใจ  เปลี่ยนความคิดได้  สื่อมวลชนก็จะมีส่วนอย่างมาก  นักการเมืองถึงต้องการควบคุมสื่อ  เพราะคนเราถ้าฟังอยู่ทุกวันๆก็จะเชื่อ  ต้องใช้สติปัญญาในการติดตามข่าวสาร

Post to Facebook Facebook


การใช้ประชาเสวนาในพื้นที่ความขัดแย้ง (2)

ไม่มีความคิดเห็น โดย จอมป่วน เมื่อ 27 กันยายน 2011 เวลา 21:55 ในหมวดหมู่ จอมป่วน #
อ่าน: 2360

VDO เรื่องที่ 2  เป็นเรื่อง “โครงการประชาเสวนาหาทางออกของการพัฒนาอุตสาหกรรมอย่างยั่งยืน: อารยะอุตสาหกรรมเพื่อป้องกันและแก้ปัญหาผลกระทบด้านสังคม สุขภาพและสิ่งแวดล้อมอย่างสมานฉันท์”  ซึ่งทางวิทยาลัยการปกครองท้องถิ่น มหาวิทยาลัยขอนแก่นร่วมกับมูลนิธิหัวใจอาสาร่วมกันดำเนินการ

3 กันยายน พ.ศ. 2550 ที่ระยองมีปัญหาะหว่างชุมชนกับโรงงานอุตสาหกรรม  มีโครงการก่อสร้างโรงไฟฟ้าใช้ถ่านหินที่ระยองโดย IRPC (บริษัท ไออาร์พีซี จำกัด (มหาชน) เดิมคือบริษัท อุตสาหกรรมปิโตรเคมิกัลไทย จำกัด (มหาชน) หรือทีพีไอ )  ซึ่งตั้งอยู่ในอำเภอเมืองระยอง  อยู่นอกเขตอุตสาหกรรม  อยู่ใกล้ชุมชนและวัด

IRPC

ทางบริษัทและชาวบ้านมีความเชื่อต่างกัน  ยืนยันที่จะเอาแพ้เอาชนะกันจึงเกิดความขัดแย้งขึ้น    ชาวบ้านกว่า 10,000 คนก็มาปิดล้อมโรงงาน  และนำเรือมาปิดปากอ่าว  เพราะห่วงจะมีผลกระทบทั้งด้านสุขภาพและด้านเกษตรกรรม  เป็นที่มาของโครงการประชาเสวนาหาทางออกฯ  เพื่อหาทางออกร่วมหรือฉันทามติ

ระยะแรกได้รับการสนับสนุนจาก สสส. มูลนิธิหัวใจอาสาได้เริ่มโครงการศึกษาขบวนการสมานฉันท์เพื่อเสริมสร้างสุขภาวะในสังคมในพื้นที่จังหวัดระยอง  มีการสร้างเครือข่ายสมานฉันท์ในพื้นที่  คนในระยองสามารถมาพูดจากันอย่างสันติวิธี

ทั้งส่วนราชการ  ภาคอุตสาหกรรมและประชาชนในท้องถิ่นมากำหนดแนวทางกันเพื่อลดผลกระทบ  มีการสร้างสัมพันธ์ที่ดี  สร้างความคุ้นเคย  หาปัญหาเชิงลึก  ฟื้นความเข้าใจกัน  อยู่กับชุมชน  พูดจา  ประชุมกันบ่อยๆ  แลกเปลี่ยนความคิดเห็นกัน  เมื่อเข้าใจกันความขัดแย้งต่างๆก็ลดลง

มีการอบรมหลักสูตร การจัดการความขัดแย้งขั้นพื้นฐานโดยสันติวิธี สร้างความสัมพันธ์ที่หลากหลาย  การสื่อสาร  ให้เข้าใจพื้นฐาน  แนวคิดการจัดการความขัดแย้ง  มีการใช้เกมส์ต่างๆ  หลังจากที่มีความรู้พื้นฐานและมีการปรับเปลี่ยนทัศนคติแล้วก็ลงพื้นที่จัดเสวนากลุ่มย่อย  สร้างความคุ้นเคยกับชุมชน  มีการค้นหาปัญหาที่ต้องการแก้ไข  มีการฝึกปฏิบัติจริงในชุมชนต่างๆหลายแห่ง  ให้ผู้ผ่านการฝึกอบรมได้ฝึกหัด  ฝึกแก้ไขปัญหาเองโดยมีวิทยากรคอยดูแลและให้คำแนะนำ

…….ความเห็นของชาวบ้าน…..

..ถ้าใช้ความรุนแรง  ไม่มีการชนะถาวร  จะต้องพูดคุยเสวนากัน  ต้องเปิดเผยข้อมูลอย่างชัดเจนของทุกภาคส่วน…….

หลังจากนั้นก็มีการอบรมหลักสูตร  “นักเจรจาไกล่เกลี่ย” เป็นหลักสูตรที่ 2 โดยคัดเลือกคนที่ผ่านหลักสูตรที่ 1 มาแล้ว  มีการทบทวนพื้นฐานและการจัดการความขัดแย้ง  กิจกรรมกลุ่มสัมพันธ์  ฉันทามติ  กิจกรรมบทบาทสมมติ  และรับฟังการวิจารณ์จากวิทยากร  เพื่อให้เข้าใจกระบวนการและพัฒนาเป็นนักเจรจาไกล่เกลี่ยที่ดี

ในการอบรมได้ไปดูงานที่ศาลจังหวัดและศาลแขวงชลบุรี  ฟังการบรรยายจากท่านผู้พิพากษา  ได้เข้าร่วมสังเกตการณ์การเจรจาไกล่เกลี่ยที่ศาลจังหวัดชลบุรี

23 เมษายน 2554   มีการเสวนาโต๊ะกลมครั้งใหญ่  เป็นการรวมหน่วยงานภาครัฐ  ประชาชนและโรงงานเพื่อหาฉันทามติและร่วมกันทำข้อตกลงเพิ่มเติมเพื่อเสนอเป็นข้อตกลงที่เป็นทางออกของข้อขัดแย้ง  มีความคืบหน้า  จากเดิมโรงงานกับประชาชนเป็นศัตรูกันเลย  แต่ภายหลังกระบวนการ  ก็มีกิจกรรมร่วมกัน  มีฉันทามติ  ตอนนี้ชุมชน  หน่วยราชการและโรงงานก็เข้ามาคุยกัน  ไม่ใช่มาตะโกนชี้หน้าด่ากัน มีการคุยกันทุกเดือน  โรงงานจะรายงานว่าได้ทำอะไรไปบ้างแล้ว  และกำลังจะทำอะไรต่อไปอีก

28 มิถุนายน 2554  โรงงาน IRPC ซึ่งประกอบธุรกิจด้านปิโตรเลียมและปิโตรเคมีด้วยก็ได้หยุดการใช้น้ำมันเตา (ซึ่งก่อมลพิษและกลิ่นอย่างรุนแรง)ในการผลิต  มีการตัดปล่องไฟ  ชาวบ้านก็เอามังคุดมาให้ทางโรงงาน  มีการช่วยกันปลูกต้นไม้เป็นแนวป้องกัน (Protection Strip) ระหว่างโรงงานกับชุมชนเป็นระยะทางประมาณ 9 กิโลเมตร  มีการร่วมกันเพาะเมล็ดเพื่อเอามาปลูกร่วมกัน

ทางโรงงานได้ช่วยตั้งศูนย์วิจัยการเกษตรเพื่อพัฒนาการเพาะปลูกของชาวบ้าน  เป็นจุดเริ่มต้นที่มีการแก้ไขปัญหาร่วมกัน  มีการตรวจสุขภาพเป็นการเฝ้าระวัง  ช่วยกันป้องกันปัญหาสิ่งแวดล้อมและสังคม  เป็นต้นแบบอารยะอุตสาหกรรม  เกิดเป็นระยองโมเดล ที่สามารถจะขยายผลต่อไปได้

Post to Facebook Facebook


การใช้ประชาเสวนาในพื้นที่ความขัดแย้ง(1)

ไม่มีความคิดเห็น โดย จอมป่วน เมื่อ 27 กันยายน 2011 เวลา 1:13 ในหมวดหมู่ จอมป่วน #
อ่าน: 2014

วันศุกร์ที่ 2 กันยายน 2554  9.30-12.30 น.

ศาสตราจารย์ นพ. วันชัย วัฒนศัพท์

images

อาจารย์จะเริ่มด้วยการเปิด VDO ให้ดู 2 เรื่อง

  • เรื่องแรกเกี่ยวกับเสื้อแดงเสื้อเหลือง  (การประชาเสวนาหาทางออกสู่ประชาธิปไตยและสังคมที่คนไทยพึงปราถนา)
  • เรื่องที่ 2 เป็นเรื่องความขัดแย้งของประชาชนชาวระยองกับโรงงานอุตสาหกรรม

ตอนบ่าย  ทีมงานของอาจารย์จะทำเวทีเกี่ยวกับฉันทามติและสานเสวนา

VDO เรื่องแรก เป็นเวทีที่สภาวิจัยแห่งชาติจัดร่วมกับสถาบันพระปกเกล้าในหัวข้อ “การประชาเสวนาหาทางออกสู่ประชาธิปไตยและสังคมที่คนไทยพึงปราถนา”  เพื่อตอบโจทย์การเมืองหรือประชาธิปไตยที่พึงปราถนาหน้าตาจะเป็นอย่างไร?

เวทีที่ทั้ง 2 สถาบันจัดขึ้นเป็นเวทีที่มองไปข้างหน้า  มีอดึตเป็นบทเรียน  ไม่ชี้หน้าด่ากัน  ทำให้เสื้อสีต่างๆมานั่งคุยกันและมีคำตอบให้กับรัฐบาล  ซึ่งจะทำให้เห็นทางออก

อำนาจทางการเมืองหลัง พ.ศ. 2475 อำนาจก็ตกเป็นของกลุ่มทหาร ราชการ กลุ่มธุรกิจการเมือง  ประชาชนหรือภาคประชาสังคมแทบไม่มีบทบาทและไม่เคยเป็นประชาธิปไตยอย่างแท้จริง  ความขัดแย้งในระยะหลังเริ่มจากความขัดแย้งของบุคคล  ขยายเป็นกลุ่มคนและสังคมโดยรวม  มีความคิดเห็นทางการเมืองที่สุดโต่ง  ไม่ยอมรับฟังกัน

ความรุนแรงก็มากขึ้น  ทำอย่างไรที่จะแก้ปัญหา? เวทีประชาเสวนาอาจเป็นคำตอบที่จะแก้ปัญหา  ถ้าฟังกันอย่างตั้งใจ  ร่วมกันแก้ปัญหา

ได้จัดเวทีขึ้น 5 ครั้งคือที่ ขอนแก่น กำแพงเพชร ระยอง สงขลา  และครั้งสุดท้ายก็จัดขึ้นที่ กทม.  โดยเชิญผู้ที่ร่วมทั้ง 4 ครั้งมาร่วม  เป้าหมายเพื่อเปิดโอกาสให้คนที่มีส่วนได้ส่วนเสียได้มาพูดคุยกัน  ฟังกัน  ว่าอีกฝ่ายหนึ่งคิดอย่างไร?  ทำไมถึงคิดอย่างนั้น?

“โครงการประชาเสวนาหาทางออกสู่ประชาธิปไตยและสังคมที่คนไทยพึงปราถนา”

ส่วนใหญ่เป็นนักวิชาการ  ประชาชนน้อย  ก่อนเสวนามีการพบปะกัน  ชี้แจงกติกา  ให้รู้จักกัน  ให้มีส่วนร่วม  ส่วนใหญ่ก็อยากให้เปิดเผยข้อมูล  ความจริงไม่ปิดบังกัน  เปิดใจพูดคุยกัน  ใช้เหตุใช้ผลก็จะแก้ปัญหาได้

ขั้นตอนแรกก็ให้ข้อมูลพื้นฐานของประชาธิปไตย  ให้ความรู้ด้านการเมืองทั้งไทยและต่างประเทศ  ประชาธิปไตยรูปแบบต่างๆ  แบบตัวแทน  แบบมีส่วนร่วม  และแบบสานเสวนาหาทางออก

ต่อมาจึงจัดกระบวนการกลุ่มย่อยเพื่อให้ทุกฝ่ายได้มีโอกาสแสดงความคิดเห็น  เพื่อหาฉันทามติกลุ่ม  แล้วนำฉันทามติของแต่ละกลุ่มมานำเสนอในกลุ่มใหญ่เพื่อแลกเปลี่ยนความคิดเห็นซึ่งกันและกัน  ผลที่ออกมาปรากฏว่าไม่มีใครอยากใช้ความรุนแรง  มีการพูดคุยแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารกัน  มีการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นและปรับทิศทางการเสวนาให้ชัดเจนขึ้นเพื่อหาทางออก

หลังจากที่มีการนำเสนอผลการเสวนากลุ่มย่อย  ขั้นตอนสุดท้ายก็เป็นการหาฉันทามติร่วมเพื่อนำเสนอต่อผู้ที่มีอำนาจและสังคมไทยต่อไป

หลังจากดู VDO จบ  อาจารย์ก็เริ่มชวนคุย……

กติกา มีกติกาเพื่อจะได้คาดหวังให้ตรงกัน  กติกาที่ดีที่สุดคือมาตรการทางสังคม

ทุกวันนี้การมีส่วนร่วมในประเทศไทยเรายังไม่ใช่การมีส่วนร่วมอย่างแท้จริง  การจัดเวทีประชาพิจารณ์  ถ้าขาดการมีส่วนร่วมตั้งแต่ต้น  แทนที่จะมารับฟังกันก็จะกลายเป็นมาชี้หน้าด่ากัน

เครืองมือสำคัญของการแก้ไขความขัดแย้งคือการสื่อสารซึ่งประกอบด้วย

  1. ผู้ส่งสาร  หรือผู้พูด
  2. ผู้รับสาร  หรือผู้ฟัง
  3. ภาษา ท่าทาง

สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการฟัง –ภาษา ท่าทาง  อาจารย์เลยเน้นการฟังอย่างตั้งใจ (Active Listening)

การฟังที่ดี  ต้องมีการใช้สายตา  สบตากัน  มีท่าทางที่แสดงออกว่าสนใจฟัง  เช่นการพยักหน้า ฯ  และที่สำคัญคือฟัง  ไม่พูดสวนหรือพูดขัด

อาจารย์เปรียบเทียบสานเสวนา (Dialogue)  กับการถกเถียง(Debate)  ว่าแตกต่างกัน

(สานเสวนาหรือสุนทรียสนทนา  โสเหล่  โซะกั๋น  สุมหัว  จังกาบ)

Debate   การถกเถียง

Dialogue   สานเสวนา

- เชื่อว่ามีคำตอบที่ถูกต้องเพียงคำตอบเดียว(คำตอบของฉัน) -เชื่อว่าคนอื่นก็มีบางส่วนของคำตอบ
- พร้อมรบ: พยายามพิสูจน์ว่าคนอื่นผิด
- พร้อมร่วมมือ: พยายามหาความเข้าใจ ร่วมมือ
- เอาชนะกัน
- พิจารณาหาสิ่งที่ร่วมกัน
- ฟังเพื่อหาช่องโหว่หรือข้อบกพร่อง - ฟังเพื่อที่จะทำความเข้าใจ
- ปกป้องสมมติฐานของเรา - หยิบยกสมมติฐานของเราเพื่อรับการตรวจสอบและอภิปราย
-จับผิดมุมมองของฝ่ายอื่น - ตรวจสอบมุมมองของทุกๆฝ่าย
- ปกป้องมุมมองเดียวจากมุมมองอื่น - ยอมรับความคิดของคนอื่นเพื่อนำมาปรับปรุงความคิดของตน
- แสวงหาจุดอ่อนและข้อบกพร่องในจุดยืนของฝ่ายอื่น - แสวงหาจุดแข็งและคุณค่าในจุดยืนของฝ่ายอื่น
- แสวงหาทางออกที่ตอบสนองจุดยืนของเรา - ค้นพบโอกาสและความเป็นไปได้ใหม่ๆที่หลากหลาย

Public Deliberation หรือประชาเสวนาหาทางออก  เป็น Dialogue + Choices

  • มีกติกาที่เกิดจากการตัดสินใจร่วม
  • การรู้จักฟังกันอย่างตั้งใจ
  • ไม่ชี้หน้าด่ากัน (แยกคนออกจากปัญหา)
  • มองอดึตเป็นบทเรียน  มองอนาคตเพื่อหาทางออก
  • ตัดสินใจโดยใช้ฉันทามติ้  ที่ไม่ใช่ยกมือโหวตถ้าไม่รีบด่วน

อาจารย์พูดถึงจุดยืน (Position)  และจุดสนใจ (Interest)

จุดสนใจหรือความต้องการ คือสิ่งที่กลุ่มต้องการ หรือ มีความจำเป็นต้องได้จริงๆจากการเจรจา

จุดสนใจหรือความต้องการ คือความจำเป็น  ความหวัง  ความกลัว  ความห่วงกังวล  ความปราถนาที่อยู่เบื้องหลังจุดยืน

จุดยืน คือ ทางออกที่เหมาะสมของข้อพิพาทในสายตาของกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง

จุดยืน คือ ทางแก้ไขปัญหาที่เตรียมการไว้แล้วไม่ว่าจะเป็นผลลัพท์สุดท้าย หรือการแสดงความต้องการอย่างเปิดเผย

เวลาเถียงกันจะเอาจุดยืนมาเถียงกัน  เป็นการเอาคำตอบมาเป็นโจทย์  เช่นกรณีเขื่อนแก่งเสือเต้น  เถียงกันว่าจะสร้างหรือไม่สร้าง  ถ้าดูที่จุดสนใจ  ดูความห่วงใยของทุกๆฝ่าย  เช่นจะบริหารจัดการน้ำอย่างไรไม่ให้เกิดน้ำท่วม  จะทำอย่างไรไม่ให้มีการทำลายทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมมากเกินไป  คำตอบก็อาจจะมีได้หลายทางเลือก

ตัวอย่างการกระจายอำนาจ  การถ่ายโอนโรงเรียนให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น  เป็นจุดยืน  เป็นคำตอบ  เอามาเถียงกัน  ต้องคุยกันที่จุดสนใจ  เช่นเราจะทำอย่างไรให้โรงเรียนมีคุณภาพที่ดี เหมาะสมสำหรับเด็กๆในแต่ละท้องถิ่น  อาจจะได้คำตอบที่เหมาะสมก็ได้

กรณีทางการเมืองที่ผ่านมา  ยุบสภาหรือไม่ยุบสภา  เป็นจุดยืน  เป็นคำตอบ  ไม่ใช่จุดสนใจ  แต่ควรจะเป็นประชาเสวนาหาทางออกสู่ประชาธิปไตยและสังคมที่คนไทยพึงปราถนา

กิจจา อาลีอิสเฮาะ

ปัญหาชายแดนภาคใต้ใช้การเจรจาไกล่เกลี่ยได้ไหม?  เพราะต้องมี 2 ฝ่าย  ฝ่ายก่อความไม่สงบก็ไม่รู้ว่าเป็นใคร?  ใครเป็นหัวหน้า?

อาจารย์นายแพทย์วันชัย

เมื่อ 4 ปีที่แล้ว สภาความมั่นคงแห่งชาติ (อ.จิราพร บุนนาค) ให้นำชุมชน  ผู้นำท้องถิ่น  จาก 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้จำนวน 69 คน  ไปนั่งคุย  แลกเปลี่ยนเรียนรู้กัน  ใช้ประชาเสวนา 7 วัน

ทั้ง 69 ชีวิตบอกว่านี่คือกระบวนการที่ต้องนำมาใช้ใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้  ทำไปทั่วทั้งพื้นที่  ไม่จำเป็นต้องรู้ตัวแกนนำก็ได้

ที่ฟิลิปปินส์  มินดาเนา  พบว่ารบกันไปก็มีแต่แพ้กับแพ้ทั้ง 2 ฝ่าย  คำตอบคือต้องเจรจากัน  โชคดีที่มีกลุ่ม NGO ช่วยเจรจา  และมีผู้นำกลุ่มต่างๆแสดงตัวมาร่วมเจรจา

นักศึกษา 4ส1 ก็ไปที่ไอร์แลนด์เหนือซึ่งก็จบด้วยการเจรจา

ข้อสรุปไม่ใช่จากคนนอกว่าต้องทำอย่างนั้น  ต้องทำอย่างนี้  แต่คนในพื้นที่ที่มีคว่มขัดแย้งจึงจะรู้ว่าอะไรเป็นทางออกที่จะแก้ปัญหา

ทั้ง 69 ชีวิตไปดูงานที่ตำบลปากดุก อ.หล่มสัก จ. เพชรบูรณ์  ก่อนนั้นเวลามีงาน  มีหมอลำจะมีการตีกัน  เลยมาตั้งวงคุยกัน  ตกลงกติกาว่าถ้าใครก่อกวนต้องจ่ายเงิน  ถ้าเด็กไม่มีพ่อแม่ก็ต้องจ่ายแทน  เลยเลิกตีกันได้

การมีส่วนร่วมมีหลายระดับ  ตั้งแต่ตัดสินใจแล้วแจ้งให้ทราบในกรณีที่ไม่มีผลกระทบกับประชาชน  ถ้ามีผลกระทบกับประชาชน  กระทบวิถีชีวิตและปากท้องต้องให้มีส่วนร่วมตั้งแต่ต้น  และให้มีส่วนร่วมในการตัดสินใจ  ไปจนถึงการกระจายอำนาจสู่ประชาชน

….ยังมีต่อ……

Post to Facebook Facebook



Main: 0.2336220741272 sec
Sidebar: 0.20424604415894 sec