การใช้ประชาเสวนาในพื้นที่ความขัดแย้ง(1)

โดย จอมป่วน เมื่อ 27 กันยายน 2011 เวลา 1:13 ในหมวดหมู่ จอมป่วน #
อ่าน: 1969

วันศุกร์ที่ 2 กันยายน 2554  9.30-12.30 น.

ศาสตราจารย์ นพ. วันชัย วัฒนศัพท์

images

อาจารย์จะเริ่มด้วยการเปิด VDO ให้ดู 2 เรื่อง

  • เรื่องแรกเกี่ยวกับเสื้อแดงเสื้อเหลือง  (การประชาเสวนาหาทางออกสู่ประชาธิปไตยและสังคมที่คนไทยพึงปราถนา)
  • เรื่องที่ 2 เป็นเรื่องความขัดแย้งของประชาชนชาวระยองกับโรงงานอุตสาหกรรม

ตอนบ่าย  ทีมงานของอาจารย์จะทำเวทีเกี่ยวกับฉันทามติและสานเสวนา

VDO เรื่องแรก เป็นเวทีที่สภาวิจัยแห่งชาติจัดร่วมกับสถาบันพระปกเกล้าในหัวข้อ “การประชาเสวนาหาทางออกสู่ประชาธิปไตยและสังคมที่คนไทยพึงปราถนา”  เพื่อตอบโจทย์การเมืองหรือประชาธิปไตยที่พึงปราถนาหน้าตาจะเป็นอย่างไร?

เวทีที่ทั้ง 2 สถาบันจัดขึ้นเป็นเวทีที่มองไปข้างหน้า  มีอดึตเป็นบทเรียน  ไม่ชี้หน้าด่ากัน  ทำให้เสื้อสีต่างๆมานั่งคุยกันและมีคำตอบให้กับรัฐบาล  ซึ่งจะทำให้เห็นทางออก

อำนาจทางการเมืองหลัง พ.ศ. 2475 อำนาจก็ตกเป็นของกลุ่มทหาร ราชการ กลุ่มธุรกิจการเมือง  ประชาชนหรือภาคประชาสังคมแทบไม่มีบทบาทและไม่เคยเป็นประชาธิปไตยอย่างแท้จริง  ความขัดแย้งในระยะหลังเริ่มจากความขัดแย้งของบุคคล  ขยายเป็นกลุ่มคนและสังคมโดยรวม  มีความคิดเห็นทางการเมืองที่สุดโต่ง  ไม่ยอมรับฟังกัน

ความรุนแรงก็มากขึ้น  ทำอย่างไรที่จะแก้ปัญหา? เวทีประชาเสวนาอาจเป็นคำตอบที่จะแก้ปัญหา  ถ้าฟังกันอย่างตั้งใจ  ร่วมกันแก้ปัญหา

ได้จัดเวทีขึ้น 5 ครั้งคือที่ ขอนแก่น กำแพงเพชร ระยอง สงขลา  และครั้งสุดท้ายก็จัดขึ้นที่ กทม.  โดยเชิญผู้ที่ร่วมทั้ง 4 ครั้งมาร่วม  เป้าหมายเพื่อเปิดโอกาสให้คนที่มีส่วนได้ส่วนเสียได้มาพูดคุยกัน  ฟังกัน  ว่าอีกฝ่ายหนึ่งคิดอย่างไร?  ทำไมถึงคิดอย่างนั้น?

“โครงการประชาเสวนาหาทางออกสู่ประชาธิปไตยและสังคมที่คนไทยพึงปราถนา”

ส่วนใหญ่เป็นนักวิชาการ  ประชาชนน้อย  ก่อนเสวนามีการพบปะกัน  ชี้แจงกติกา  ให้รู้จักกัน  ให้มีส่วนร่วม  ส่วนใหญ่ก็อยากให้เปิดเผยข้อมูล  ความจริงไม่ปิดบังกัน  เปิดใจพูดคุยกัน  ใช้เหตุใช้ผลก็จะแก้ปัญหาได้

ขั้นตอนแรกก็ให้ข้อมูลพื้นฐานของประชาธิปไตย  ให้ความรู้ด้านการเมืองทั้งไทยและต่างประเทศ  ประชาธิปไตยรูปแบบต่างๆ  แบบตัวแทน  แบบมีส่วนร่วม  และแบบสานเสวนาหาทางออก

ต่อมาจึงจัดกระบวนการกลุ่มย่อยเพื่อให้ทุกฝ่ายได้มีโอกาสแสดงความคิดเห็น  เพื่อหาฉันทามติกลุ่ม  แล้วนำฉันทามติของแต่ละกลุ่มมานำเสนอในกลุ่มใหญ่เพื่อแลกเปลี่ยนความคิดเห็นซึ่งกันและกัน  ผลที่ออกมาปรากฏว่าไม่มีใครอยากใช้ความรุนแรง  มีการพูดคุยแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารกัน  มีการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นและปรับทิศทางการเสวนาให้ชัดเจนขึ้นเพื่อหาทางออก

หลังจากที่มีการนำเสนอผลการเสวนากลุ่มย่อย  ขั้นตอนสุดท้ายก็เป็นการหาฉันทามติร่วมเพื่อนำเสนอต่อผู้ที่มีอำนาจและสังคมไทยต่อไป

หลังจากดู VDO จบ  อาจารย์ก็เริ่มชวนคุย……

กติกา มีกติกาเพื่อจะได้คาดหวังให้ตรงกัน  กติกาที่ดีที่สุดคือมาตรการทางสังคม

ทุกวันนี้การมีส่วนร่วมในประเทศไทยเรายังไม่ใช่การมีส่วนร่วมอย่างแท้จริง  การจัดเวทีประชาพิจารณ์  ถ้าขาดการมีส่วนร่วมตั้งแต่ต้น  แทนที่จะมารับฟังกันก็จะกลายเป็นมาชี้หน้าด่ากัน

เครืองมือสำคัญของการแก้ไขความขัดแย้งคือการสื่อสารซึ่งประกอบด้วย

  1. ผู้ส่งสาร  หรือผู้พูด
  2. ผู้รับสาร  หรือผู้ฟัง
  3. ภาษา ท่าทาง

สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการฟัง –ภาษา ท่าทาง  อาจารย์เลยเน้นการฟังอย่างตั้งใจ (Active Listening)

การฟังที่ดี  ต้องมีการใช้สายตา  สบตากัน  มีท่าทางที่แสดงออกว่าสนใจฟัง  เช่นการพยักหน้า ฯ  และที่สำคัญคือฟัง  ไม่พูดสวนหรือพูดขัด

อาจารย์เปรียบเทียบสานเสวนา (Dialogue)  กับการถกเถียง(Debate)  ว่าแตกต่างกัน

(สานเสวนาหรือสุนทรียสนทนา  โสเหล่  โซะกั๋น  สุมหัว  จังกาบ)

Debate   การถกเถียง

Dialogue   สานเสวนา

- เชื่อว่ามีคำตอบที่ถูกต้องเพียงคำตอบเดียว(คำตอบของฉัน) -เชื่อว่าคนอื่นก็มีบางส่วนของคำตอบ
- พร้อมรบ: พยายามพิสูจน์ว่าคนอื่นผิด
- พร้อมร่วมมือ: พยายามหาความเข้าใจ ร่วมมือ
- เอาชนะกัน
- พิจารณาหาสิ่งที่ร่วมกัน
- ฟังเพื่อหาช่องโหว่หรือข้อบกพร่อง - ฟังเพื่อที่จะทำความเข้าใจ
- ปกป้องสมมติฐานของเรา - หยิบยกสมมติฐานของเราเพื่อรับการตรวจสอบและอภิปราย
-จับผิดมุมมองของฝ่ายอื่น - ตรวจสอบมุมมองของทุกๆฝ่าย
- ปกป้องมุมมองเดียวจากมุมมองอื่น - ยอมรับความคิดของคนอื่นเพื่อนำมาปรับปรุงความคิดของตน
- แสวงหาจุดอ่อนและข้อบกพร่องในจุดยืนของฝ่ายอื่น - แสวงหาจุดแข็งและคุณค่าในจุดยืนของฝ่ายอื่น
- แสวงหาทางออกที่ตอบสนองจุดยืนของเรา - ค้นพบโอกาสและความเป็นไปได้ใหม่ๆที่หลากหลาย

Public Deliberation หรือประชาเสวนาหาทางออก  เป็น Dialogue + Choices

  • มีกติกาที่เกิดจากการตัดสินใจร่วม
  • การรู้จักฟังกันอย่างตั้งใจ
  • ไม่ชี้หน้าด่ากัน (แยกคนออกจากปัญหา)
  • มองอดึตเป็นบทเรียน  มองอนาคตเพื่อหาทางออก
  • ตัดสินใจโดยใช้ฉันทามติ้  ที่ไม่ใช่ยกมือโหวตถ้าไม่รีบด่วน

อาจารย์พูดถึงจุดยืน (Position)  และจุดสนใจ (Interest)

จุดสนใจหรือความต้องการ คือสิ่งที่กลุ่มต้องการ หรือ มีความจำเป็นต้องได้จริงๆจากการเจรจา

จุดสนใจหรือความต้องการ คือความจำเป็น  ความหวัง  ความกลัว  ความห่วงกังวล  ความปราถนาที่อยู่เบื้องหลังจุดยืน

จุดยืน คือ ทางออกที่เหมาะสมของข้อพิพาทในสายตาของกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง

จุดยืน คือ ทางแก้ไขปัญหาที่เตรียมการไว้แล้วไม่ว่าจะเป็นผลลัพท์สุดท้าย หรือการแสดงความต้องการอย่างเปิดเผย

เวลาเถียงกันจะเอาจุดยืนมาเถียงกัน  เป็นการเอาคำตอบมาเป็นโจทย์  เช่นกรณีเขื่อนแก่งเสือเต้น  เถียงกันว่าจะสร้างหรือไม่สร้าง  ถ้าดูที่จุดสนใจ  ดูความห่วงใยของทุกๆฝ่าย  เช่นจะบริหารจัดการน้ำอย่างไรไม่ให้เกิดน้ำท่วม  จะทำอย่างไรไม่ให้มีการทำลายทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมมากเกินไป  คำตอบก็อาจจะมีได้หลายทางเลือก

ตัวอย่างการกระจายอำนาจ  การถ่ายโอนโรงเรียนให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น  เป็นจุดยืน  เป็นคำตอบ  เอามาเถียงกัน  ต้องคุยกันที่จุดสนใจ  เช่นเราจะทำอย่างไรให้โรงเรียนมีคุณภาพที่ดี เหมาะสมสำหรับเด็กๆในแต่ละท้องถิ่น  อาจจะได้คำตอบที่เหมาะสมก็ได้

กรณีทางการเมืองที่ผ่านมา  ยุบสภาหรือไม่ยุบสภา  เป็นจุดยืน  เป็นคำตอบ  ไม่ใช่จุดสนใจ  แต่ควรจะเป็นประชาเสวนาหาทางออกสู่ประชาธิปไตยและสังคมที่คนไทยพึงปราถนา

กิจจา อาลีอิสเฮาะ

ปัญหาชายแดนภาคใต้ใช้การเจรจาไกล่เกลี่ยได้ไหม?  เพราะต้องมี 2 ฝ่าย  ฝ่ายก่อความไม่สงบก็ไม่รู้ว่าเป็นใคร?  ใครเป็นหัวหน้า?

อาจารย์นายแพทย์วันชัย

เมื่อ 4 ปีที่แล้ว สภาความมั่นคงแห่งชาติ (อ.จิราพร บุนนาค) ให้นำชุมชน  ผู้นำท้องถิ่น  จาก 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้จำนวน 69 คน  ไปนั่งคุย  แลกเปลี่ยนเรียนรู้กัน  ใช้ประชาเสวนา 7 วัน

ทั้ง 69 ชีวิตบอกว่านี่คือกระบวนการที่ต้องนำมาใช้ใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้  ทำไปทั่วทั้งพื้นที่  ไม่จำเป็นต้องรู้ตัวแกนนำก็ได้

ที่ฟิลิปปินส์  มินดาเนา  พบว่ารบกันไปก็มีแต่แพ้กับแพ้ทั้ง 2 ฝ่าย  คำตอบคือต้องเจรจากัน  โชคดีที่มีกลุ่ม NGO ช่วยเจรจา  และมีผู้นำกลุ่มต่างๆแสดงตัวมาร่วมเจรจา

นักศึกษา 4ส1 ก็ไปที่ไอร์แลนด์เหนือซึ่งก็จบด้วยการเจรจา

ข้อสรุปไม่ใช่จากคนนอกว่าต้องทำอย่างนั้น  ต้องทำอย่างนี้  แต่คนในพื้นที่ที่มีคว่มขัดแย้งจึงจะรู้ว่าอะไรเป็นทางออกที่จะแก้ปัญหา

ทั้ง 69 ชีวิตไปดูงานที่ตำบลปากดุก อ.หล่มสัก จ. เพชรบูรณ์  ก่อนนั้นเวลามีงาน  มีหมอลำจะมีการตีกัน  เลยมาตั้งวงคุยกัน  ตกลงกติกาว่าถ้าใครก่อกวนต้องจ่ายเงิน  ถ้าเด็กไม่มีพ่อแม่ก็ต้องจ่ายแทน  เลยเลิกตีกันได้

การมีส่วนร่วมมีหลายระดับ  ตั้งแต่ตัดสินใจแล้วแจ้งให้ทราบในกรณีที่ไม่มีผลกระทบกับประชาชน  ถ้ามีผลกระทบกับประชาชน  กระทบวิถีชีวิตและปากท้องต้องให้มีส่วนร่วมตั้งแต่ต้น  และให้มีส่วนร่วมในการตัดสินใจ  ไปจนถึงการกระจายอำนาจสู่ประชาชน

….ยังมีต่อ……

Post to Facebook Facebook

« « Prev : ถอดบทเรียนการศึกษาดูงานภาคกลาง

Next : การใช้ประชาเสวนาในพื้นที่ความขัดแย้ง (2) » »


ผู้ใช้ Facebook สามารถให้ความเห็นที่นี่ได้ โดยกด Like เพื่อแสดงตัว

ความคิดเห็นสำหรับ "การใช้ประชาเสวนาในพื้นที่ความขัดแย้ง(1)"

ไม่มีความคิดเห็น

แสดงความคิดเห็น

ท่านอยากจะเข้าระบบหรือไม่


*
To prove you're a person (not a spam script), type the security word shown in the picture. Click on the picture to hear an audio file of the word.
Click to hear an audio file of the anti-spam word


Main: 0.046559810638428 sec
Sidebar: 0.053838014602661 sec