การบริหารจัดการความขัดแย้งด้วยความสมานฉันท์ (2)

โดย จอมป่วน เมื่อ 2 ตุลาคม 2011 เวลา 2:01 ในหมวดหมู่ จอมป่วน #
อ่าน: 1715

ศาสตราจารย์ ดร.ชัยวัฒน์ สถาอานันท์

โจทย์ :จะอยู่กับความขัดแย้งและป้องกันไม่ให้เป็นความรุนแรงได้อย่างไร? ต้องทำอะไรบ้าง?

เพื่อแก้โจทย์นี้ต้องเข้าใจ 3 อย่าง

  1. ความขัดแย้งขณะนี้เป็นอย่างไร?
  2. จะสมานฉันท์หรือปรองดองอะไรกับอะไร?
  3. ทำอย่างไร?

ความขัดแย้งในปัจจุบันเป็นอย่างไร?  อาจเข้าใจแตกต่างกันอีก  จะเข้าใจได้ต้องมองรัฐธรรมนูญทั้ง 18 ฉบับ  และรัฐประหารทั้ง 24 ครั้ง (สำเร็จ 13 ครั้ง)  เกี่ยวกับอัตชีวประวัติของสังคมไทยถ้าจะให้เข้าใจต้องดูผ่านรัฐธรรมนูญ

รัฐธรรมนูญแต่ละฉบับเกิดขึ้นในบริบทที่แตกต่างกัน

รัฐธรรมนูญ 2550 เกิดในบริบทของช่วงเวลา 2549-2550

รัฐธรรมนูญก่อนหน้านั้นคือรัฐธรรมนูญ 2540 ก็เกิดขึ้นในบริบทของการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองตั้งแต่ปี 2535 เป็นต้นมา(พฤษภา 35)

รัฐธรรมนูญก่อนหน้านั้นคือรัฐธรรมนูญ 2521  ก็เกิดหลังเหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2520 เป็นต้นมา

แม้แต่รัฐธรรมนูญฉบับแรกเลยคือรัฐธรรมนูญ ปี 2475  ก็เกิดในบริบทการเปลี่ยนแปลง 2475

รัฐธรรมนูญทุกฉบับอยู่ในบริบทบางอย่าง  มันบอกความสัมพันธ์ทางอำนาจบางอย่าง  นายกรัฐมนตรีที่มาจากการเลือกตั้งมันเกิดไม่ได้ในรัฐธรรมนูญปี 2521  แต่มีอยู่ได้ในรัฐธรรมนูญปี 2540  เพราะรัฐธรรมนูญ 2540 เป็นผลจากการต่อสู้ทางอำนาจตั้งแต่ปี 35 มา  ประเด็นสำคัญในพฤษา 35 คือพลตรีจำลองและคณะต่อสู้กับรัฐบาลพลเอกสุจินดาซึ่งตอนแรกบอกว่าจะไม่เป็นนายกฯแล้วก็มาเป็น  ในขณะที่อีกฝ่ายหนึ่งเรียกร้องให้นายกรัฐมนตรีมาจากการเลือกตั้ง เรื่องนี้จึงมาปรากฏในรัฐธรรมนูญ 2540 รัฐธรรมนูญเป็นผลของการต่อสู้ทางการเมืองหรือบริบททางการเมือง สว. ก็มาจากการเลือกตั้งในรัฐธรรมนูญ 2540  ก่อนหน้านั้นมาจากการแต่งตั้ง  มันจะสะท้อนภาพออกมา

ตั้งแต่ 2476 ถึงปัจจุบันมีรัฐธรรมนูญถึง 18 ฉบับ  ได้ความสัมพันธ์ทางอำนาจ 18 ชุด  ได้ชีวิตทางการเมืองไทยซึ่งความสัมพันธ์ทางอำนาจเปลี่ยนมาตั้งแต่ 2476  นี่คืออัตชีวประวัติของการเมืองไทย  อยากรู้ว่าสังคมไทยเป็นอย่างไรก็ดูรัฐธรรมนูญ  แต่ไม่ได้ดูในแง่กฏหมาย  ดูในฐานะที่มันสะท้อนภาวะอำนาจทางการเมือง เป็นการต่อสู้ทางอำนาจ

รัฐธรรมนูญแต่ละฉบับหน้าตาไม่เหมือนกัน  รัฐธรรมนูญ 2540 กับ 2550  ต่างกันอย่างไร?

รัฐธรรมนูญ 2540 โจทย์คือทำอย่างไรจะให้มีรัฐบาลที่มีเสถียรภาพสูง   ก็ได้รัฐธรรมนูญ 2540

รัฐธรรมนูญ 2550 โจทย์คือทำอย่างไรจะมีรัฐบาลที่ถูกควบคุมได้มาก  เลยให้ความสำคัญกับการตรวจสอบ  ก็ได้รัฐธรรมนูญ 2550

ถ้าจะมีการแก้รัฐธรรมนูญในครั้งต่อไปก็จะเป็นผลของอำนาจปัจจุบัน  อำนาจมันเปลี่ยนไป เป็นลักษณะของการเมืองไทย

ถ้าจะเข้าใจความขัดแย้งปัจจุบันต้องดูว่าใครขัดกับใคร?  เรื่องอะไร?

2490-2516:  ความขัดแย้งในช่วงนั้นเป็นความขัดแย้งกันเองระหว่างผู้นำ(มักเป็นผู้นำฝ่ายทหารทหาร)  โจทย์คือการแย่งชิงกันว่าใครจะได้เป็นนายกรัฐมนตรี

2516-2549:  2516 มีการเปลี่ยนแปลง (16 ตุลา) ความขัดแย้งหลักคือรัฐกับประชาสังคม  14 ตุลาคม 16,  6 ตุลาคม 2519 ,  พฤษภาคม 35 ก็คือประชาชนสู้กับเผด็จการทหาร

ตั้งแต่ 2549  ถึงเมื่อไหร่ก็ไม่มีใครรู้  ความขัดแย้งหลักระหว่างขบวนการสังคมขนาดใหญ่บวกพรรคการเมืองขนาดใหญ่  เป็นการต่อสู้ระหว่างสถาบันประเพณี (และประชาธิปไตยประเพณี) กับสถาบันทางการเมืองประชาธิปไตยใหม่

ถ้าอยากเข้าใจความขัดแย้งก็ต้องมองความขัดแย้งอย่างซึ่งหน้าให้เห็นว่ารากของมันคืออะไร? มิฉะนั้นก็จะเห็นแต่ยอดของภูเขาน้ำแข็งไม่เห็นส่วนที่จมอยู่ในน้ำ  ไม่รู้ว่ากำลังเจอกับอะไรอยู่

อาจารย์เอนก เหล่าธรรมทัศน์เคยพูดถึงเรื่องสองนคราประชาธิปไตยว่าเป็นความขัดแย้งระหว่างเมืองกับชนบท  แต่ปัจจุบันมันเปลี่ยนไปมากแล้ว   ปัจจุบันเป็นปัญหาของประชาธิปไตยอำนาจนิยม (Authoritarian Democracy) กับอำนาจนิยมประชาธิปไตย (Democracy Authoritarianism)  ต่างกันตรงที่ฝ่ายหนึ่งมีที่มาของอำนาจอย่างเป็นประชาธิปไตยแต่ใช้อำนาจเกิน  อีกฝ่ายหนึ่งมีที่มาไม่ค่อยเป็นประชาธิปไตยแต่ใช้อำนาจค่อนข้างเป็นประชาธิปไตย

รัฐบาลของคุณทักษิณ  พรรคไทยรักไทยเป็นประชาธิปไตยอำนาจนิยม ที่มาของรัฐบาลมีความชอบธรรมเพราะประชาชนเลือกเข้ามา   รัฐบาลต่อมา(พลเอกสุรยุทธ)หรือคุณอภิสิทธิ์เป็นอำนาจนิยมประชาธิปไตย  เหตุผลคือที่มาถูกตั้งข้อสงสัยว่าไม่ค่อยชอบธรรม

การชนะแบบถล่มทลายบางทีเกิดความลำพองก็เป็นปัญหาของประชาธิปไตยอำนาจนิยม  แต่ปัญหาของอำนาจนิยมประชาธิปไตยคือบางทีต้องตีสองหน้า  ปากก็บอกว่าเป็นประชาธิปไตยแต่ที่จริงเป็นอำนาจนิยม

ความขัดแย้งปัจจุบันเป็นความขัดแย้งระหว่างขบวนการสังคมขนาดใหญ่และอำนาจรัฐ  ขบวนการสังคมขนาดใหญ่มีทุน มีสื่อ มีความสามารถในการผลิตข่าวลือความเกลียดชัง  มีเบื้องหลังที่มีอิทธิพล มีคนจำนวนมหาศาลที่โกรธจริงๆและมีความสัมพันธ์กับพรรคการเมือง  ไม่ว่าจะเหลืองหรือแดงหรือหลากสี  เป็นขบวนการทางการเมืองขนาดใหญ่ที่มีคะแนนโหวตฝ่ายละเกินสิบล้านทั้งคู่  แค่สิบเปอร์เซ็นต์ก็หมายถึงคนเป็นล้านแล้ว โอกาสที่จะเผชิญกันก็สูงทั้ง 2 ฝ่ายมีทุน  มีสื่อสารพัดรูปแบบ มีอิทธิพลและมีคนที่โกรธจริงๆทั้งคู่เหมือนกันด้วยเหตุผลคนละแบบ

ผลกระทบต่อสังคมไทยเป็นอย่างไร? จะประเมินอย่างไร?  ต้องพิจารณาสิ่งที่เรียกว่า cartographic effects  เป็นผลเชิงแผนที่

เวลาเกิด Tsunami  จะเกิด geographical map เกิดเกาะใหม่ๆ  แผนที่ทางภูมิศาสตร์เปลี่ยน

ความรุนแรงทางภาคใต้  สิ่งที่เกิดเป็น cultural map  แผนที่ทางวัฒนธรรมไทยเปลี่ยน  ในอดีตมีความพยายามของรัฐไทยใหม่ที่อยากจะให้คนที่ไม่เหมือนเราเป็นเหมือนกับเรา  สมัยก่อนเราพยายามจะบอกว่าเขาเป็นคนไทย  เพราะทำให้เราต้องมาพิจารณามุมมองต่างๆให้ชัดเจนขึ้น  และความขัดแย้งนี้จะจัดการอย่างไร?

ระบอบทักษิณ (Thaksin regime) ตั้งแต่ 2533-2534  ทำให้แผนที่ความภักดีของคนไทย (Loyalty Map)  เปลี่ยนแปลงไป   ความภักดีนี้ถูกท้าทายในบางลักษณะนำมาสู่การปฏิวัติ 2549  และเกิดความขัดแย้งมาจนถึงทุกวันนี้

การรัฐประหาร 19 กันยนและการกระชับพื้นที่พฤษภาคม 2553  กระทบแผนที่ Instrumental Map คือแผนที่ของการจัดการ  พอตัดสินใจแบบนี้ก็เป็นการยอมรับหรือการใช้ความรุนแรงเป็นคำตอบของการจัดการความขัดแย้ง  แผนที่ของเครื่้องมือในสังคมก็เปลี่ยน

การเลือกตั้ง 3 กรกฏาคม 2554 ก็กระทบ Right Map หรือแผนที่สิทธิของคน    การเลือกตั้งที่เกิดขึ้น  ผลของการเลือกตั้งคนจำนวนหนึ่งก็บอกว่าพรรคเพื่อไทยชนะพรรคประชาธิปัตย์  สำหรับนักวิชาการจำนวนหนึ่งคิดว่าไม่ใช่ประเด็นสำคัญ  ประเด็นสำคัญคือการเปลี่ยนแปลงที่เกิด  แผนที่สิทธิที่ว่าหมายความว่า  สิ่งที่เกิดขึ้นคือการช่วงชิง  ยืนยันความหมายของสิทธิ  สิทธิที่จะเลือก  สิทธิที่จะบอกว่าไม่ได้เลือกผิด สิทธิที่จะบอกว่าคนเลือกเขาเลือกเอง  อันนี้ก็เป็นปัญหา  คนจำนวนหนึ่งมองการเลือกตั้งแล้วบอกว่าคนเหล่านี้ถูกชักจูง ถูกหลอกลวง  อีกพวกหนึ่งบอกว่า  ไม่มีใครมาหลอก  เลือกเอง  เป็นตัวตนของเขา เป็นอัตลักษณ์

ผลการเลือกตั้งไม่ใช่แค่ใครจะมาเป็นรัฐบาลเท่านั้น  แต่ประเด็นคือการออกแบบทางสถาบันการเมือง (Institutional Designs) ไม่สามารถยับยั้งหรือทำให้การเปลี่ยนแปลงในพฤติกรรมและวัฒนธรรมการเมืองสะดุดหยุดลงได้

…………

หมายความว่าตั้งแต่รัฐธรรมนูญ 2550 มา คงมีความพยายามที่จะเปลี่ยนแปลง มีความพยายามที่จะหยุดการเดินทางของพรรคการเมืองพรรคหนึ่ง  หยุดความพยายามของรัฐบาลหรืออิทธิพลของคุณทักษิณโดยใช้ Institutional Designs หลายอย่าง (การออกแบบทางสถาบันการเมือง)  แต่พฤติกรรมของคนเปลี่ยนไปแล้ว  จะออกแบบอย่างไร?  ใช้กฏอะไร?  ใช้ผู้คนยังไง?  ใช้องค์กรอะไร? ก็หยุดไม่อยู่   ผลของมันก็คือผลของการเลือกตั้ง 3 กรกฏาคม ถึงแม้รัฐบาลที่มีอำนาจในเวลานั้นจะทำอย่างไร  ผลก็คือพรรคเพื่อไทยชนะ  เวลาชนะแปลว่าอะไร  แปลว่า Institutional Designs ทั้งหลายไม่ work คนเปลี่ยนไปแล้ว สังคมไทยเปลี่ยนไปแล้ว

จะมีโรงเรียนการเมือง  จูงใจหรือไม่จูง  พรรคการเมืองทั้งหลายก็พยายามทำกันอยู่  ประเด็นอยู่ที่ว่าคนเลือก  สุดท้ายเขาต้องตัดสินใจว่าจะเอายังไง  บังคับได้จริงรึเปล่าก็น่าสงสัย  ทำด้วยเหตุผลอะไรไม่ใช่ปัญหา แต่เขาตัดสินใจ  คนที่ทำมีเหตุผลทั้งสิ้น  แต่เราเข้าใจเหตุผลของเขารึเปล่า ?

Post to Facebook Facebook

« « Prev : การบริหารจัดการความขัดแย้งด้วยความสมานฉันท์ (1)

Next : การบริหารจัดการความขัดแย้งด้วยความสมานฉันท์ (3) » »


ผู้ใช้ Facebook สามารถให้ความเห็นที่นี่ได้ โดยกด Like เพื่อแสดงตัว

ความคิดเห็นสำหรับ "การบริหารจัดการความขัดแย้งด้วยความสมานฉันท์ (2)"

ไม่มีความคิดเห็น

แสดงความคิดเห็น

ท่านอยากจะเข้าระบบหรือไม่


*
To prove you're a person (not a spam script), type the security word shown in the picture. Click on the picture to hear an audio file of the word.
Click to hear an audio file of the anti-spam word


Main: 0.16664290428162 sec
Sidebar: 0.22622203826904 sec