Jun 14

พอดีคุณโยมจอมป่วนชวนไปดู คลิกที่นี้ ให้ความเห็นแล้วก็รู้สึกว่าพอใช้ได้ (เยงออ ยอเอง 5 5 5…) เพิ่งเห็นว่าบันทึกนั้นเ่ก่าแล้ว จึงคัดลอกความเห็นมาตั้งเป็นบันทึกใหม่…

…………

  • กมฺมํ สตฺเต วิภชฺชติ กรรมย่อมจำแนกสัตว์ทั้งหลาย

นักเรียนนักศึกษาตามสถานศึกษา… พระ-เณรในวัด… คนงานกรรมกรในสถานที่ทำงาน… หรือแม้แต่บรรดาบล็อกเกอร์ทั้งหลายในเวบบล็อกต่างๆ… เมื่อแรกมานั้น เกือบจะไม่ค่อยรู้จักคุ้นเคยกันมาก่อน แต่พออยู่ไปสักระยะหนึ่ง ก็ค่อยๆ จับกลุ่มเป็นกลุ่มเป็นแก๊งค์ นั่นก็เพราะกรรม…

  • ยํ เว เสวติ ตาทิโส คบคนเช่นใด ก็เป็นคนเช่นนั้นแล

ในแต่ละกลุ่มแก๊งค์เหล่านั้น มักจะมีพื้นฐานบางอย่างหรือหลายๆ อย่างๆ เหมือนกันในเบื้องต้น แต่พอนานๆ ไป ก็มักจะเหมือนๆ กันโดยภาพรวม…

ตอนแรกบวช มีโยมท่านหนึ่ง ชอบช่วยเหลือเพื่อนบ้าน เมื่อก่อนก็ดื่มเหล้า เวลามีงานก็มักจะไปช่วยหุงข้าวอยู่หน้าเตาไฟ… ต่อมา ขัดลูกไม่ได้ (ลูกบ่นว่า ถ้าพ่อไม่เลิกเหล้าจะบวชชีไม่สึก 5 5 5) จึงเลิกเหล้าเด็ดขาดเพราะรักลูก แต่มีปัญหาว่า เวลามาช่วยงานจะไปอยู่ที่หน้าโรงเตาหุงข้าวไม่ได้ จึงต้องมาอยู่หน้าที่พระ ได้ค่อยๆ เรียนบทอารธนาบทสวดต่างๆ ฝึกหัดเป็นพิธีกรงานวัด กลายเป็นคนธัมมธัมโมไปในที่สุด…

สรุปว่า หมวดหมู่ของคนเกิดจากกรรม และเมื่อเปลี่ยนกรรม หมวดหมู่ของคนนั้นๆ จะค่อยๆ เปลื่ยนไป…

Jun 05

ปี ๒๕๑๘ ครอบครัวผู้เขียนก็ได้ย้ายมาอยู่ในตัวเมืองสงขลา สาเหตุก็คือ ปีนั้นน้าท่วมใหญ่ หมู เป็ด และไก่ จะนำมาไว้นอกชานบนเรือนก็ไม่สะดวก ดังนั้น จึงจับใส่รถบรรทุกเพื่อจะพาไปฝากไว้ที่กระดังงาบ้านก๋ง แต่เหตุบังเอิญว่าคนรถเข้าใจผิดว่าจะนำมาขายในตัวเมืองสงขลา จึงพาเลยเข้าไปในตัวเมืองแล้วทิ้งไว้แถวคิวรถ โยมพ่อจึงตามหมูเป็ดไก่มา ขายก็ไม่มีใครรับซื้อเพราะน้ำท่วม จึงนำไปฝากไว้บริเวณหลังบ้านของญาติห่างๆ แถว วังเขียว … ครั้งแรกนั้นโยมพ่อบ้างโยมแม่บ้างผลัดเปลี่ยนกันมาดูแล และต่อมาครอบครัวจึงค่อยขยับขยายมาอยู่ในตัวเมือง…

แม้จะฝากหมูเป็ดและไก่ไว้แถววังเขียว แต่ครอบครัวย้ายมาครั้งแรกก็มาอยู่ที่ ซอย๑๐.วชิรา เป็นเรือนไม้ยกพื้น บ้านหลังนั้นโยมพ่อซื้อไว้ แต่ที่ดินนั้นเป็นของอีกเจ้าหนึ่ง เค้าไม่ขาย จึงต้องเช่าที่ดินหรือย้าย… อยู่ซอย ๑๐ วชิรา ไม่กิ่เดือนทางบ้านก็ตัดสินใจรื้อบ้านไม้หลังนั้นมาปลูกใหม่แถว วังขาว เป็นดินเปล่าสองห้องของน้าสาวซึ่งเป็นน้องของแม่ โดยเรือนนั้นปลูกอยู่ด้านหน้าส่วนด้านหลังจะเป็นเล้าเป็ดไก่และคอกหมู… บริเวณที่เรียกว่าวังขาวสมัยนั้น มีบ้านคนอยู่ไม่ถึงสิบหลังคาเรือน ยังเป็นพื้นที่ลุ่มในบางจุดก็มีน้ำท่วมขังในฤดูฝน…

เมื่อแรกมาอยู่ ผู้เขียนก็สงสัยว่าทำไมเค้าจึงเรียกว่า วังขาว วังเขียว (นอกจากเพราะทาสีขาวและสีเขียวแล้ว) เพิ่งมาทราบไม่นานนักว่า สมัยเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ.๒๔๗๕ ราชสกูลระดับสูงได้มาสร้างไว้เพื่ออาจเป็นที่หลีกเร้นในคราวมีภัย เพราะเหตุการณ์ข้างหน้าไม่อาจคาดคะเนได้ ซึ่งบ้านหรือวังทำนองนี้ บรรดาเชื้อเจ้าหรือราชสกูลได้สั่งให้บริวารสร้างไว้ตามท้องถิ่นต่างๆ… เฉพาะวังขาวกับวังเขียวนี้ ระยะห่างก็น่าจะไม่เกินหนึ่งกิโลเมตร ผู้เขียนก็ไม่ทราบว่าเดิมที่เป็นของใคร ซึ่งเมื่อแรกมาอยู่นั้น วังขาวเป็นหอพักของเอกชน แต่ปัจจุบันวังขาวสภาพโทรมมากแล้วไม่อาจใช้อยู่อาศัยได้… ส่วนวังเขียวอยู่ในค่ายทหาร เมื่อก่อนเป็นของทหารอากาศ แต่ปัจจุบันโอนเป็นของทหารเรือ ได้รับการบูรณะใหม่…

เมื่อแรกมาอยู่ ก็ต้องลองผิดลองถูกหลายเรื่องว่าจะประกอบอาชีพอะไร จำได้ว่าเคยทดลองขายข้าวต้มโจ๊กที่หน้าบ้านตอนเช้า และเคยขายของชำ แต่ก็ไม่ได้ผล (ลูกค้าเซ็นต์เชื่อ ไม่จ่าย หนี้สูญ)… ต่อมาโยมพ่อก็ไปเป็นกรรมกรเข็นปลาที่ท่าประมงเพื่อจะได้ซื้อเศษปลามาเป็นอาหารเป็ดด้วยตอนกลับ ฝ่ายโยมแม่ก็ยึดอาชีพขายปลา.. และเมื่อหมูขุนลงราคาเหลือหาบละ ๙๐๐ บาท ทางบ้านก็ขายหมูเป็ดไก่หมด หันมายึดอาชีพขายปลาในตลาดอย่างเดียว…

จำได้ว่าปีนั้นเลี้ยงหมูขุนประมาณ ๑๐ ตัว และผูกเศษอาหารของโรงครัวทหารเรือ ผู้เขียนต้องปั่นสามล้อไปเก็บเศษอาหาร ต้องใ้ห้หมูกินข้าวและล้างคอกหมูเป็นต้น ด้วยความหวังว่าจะได้กางเกงยีนส์สักตัว (แต่ก็ไม่ได้)… จนกระทั้งทุกวันนี้ คราวใดที่มีปัญหาหมูราคาถูก ผู้เขียนจะนึกถึงเหตุการณ์ช่วงนี้ทุกครั้ง รู้ซึ้งถึงทุกข์ของคนเลี้ยงหมู…

ส่วนการเลี้ยงเป็ดนั้น อาหารของเป็ดก็คือเศษปลากับข้าวเปลือก โดยโยมพ่อจะเอาปลาเป็ดมาจากท่าเรือ ซึ่งบางครั้งถ้ามีปลาตัวใหญ่ก็ต้องสับ (หั่น) เป็นชิ้นเล็กๆ โยนให้เป็ดกิน ส่วนผู้เขียนมีหน้าที่ต้องเก็บไข่เป็ดในตอนเช้านำไปขายที่ตลาดหลาลุงแสง แล้วก็ซื้อข้าวเปลือกใส่รถเข็นกลับมาตอนสายๆ… สำหรับไก่บ้านทั่วไปนั้น ปล่อยทิ้งไว้ในเล้าเป็ด ไม่ต้องดูแลเรื่องอาหาร เพียงแต่ทำรังให้เมื่อมันจะออกไข่แล้วฟักเป็นตัวเท่านั้น นอกจากนี้ทางบ้านเคยเลี้ยงไก่พันธุ์เนื้อและไก่พันธุ์ไข่ โดยซื้ออาหารกระสอบให้กิน แต่ก็ไม่คุ้ม จึงเลิกไปไม่นานนัก…

ตลาดหลาลุงแสงอยู่ปากซอย เช้าตรู่พวกจากนอกเมืองเช่น เขาแก้ว เกาะถ้ำ บางด่าน จะนำสินค้ามาขายแล้วซื้อของบางอย่างกลับไป สินค้าอย่างหนึ่งที่จะนำมาก็คือข้าวเปลือกบรรจุอยู่ในสอบปุ๋ย… เช้าตรู่ ผู้เขียนจะเก็บไข่เป็ดร้อยกว่าฟองใส่เข่งแล้วบรรทุกรถเข็นไปวางขายที่นี้ ก็ขายตามราคาที่พอใจ (พ่อเล้ามาเอง 5 5 5) พลางสำรวจดูว่าข้าวเปลือกมากหรือไม่ ถ้าข้าวเปลือกมากค่อยซื้อเพราะจะราคาถูกเมื่อสายๆ แต่ถ้าข้าวเปลือกน้อยก็ต้องรีบซื้อเพราะสายๆ จะหมด ซึ่งเป็ดที่เล้าจะกินข้าวเปลือกวันละปี๊ปกว่าๆ (เป็ดประมาณสองร้อย)… ไข่เป็ดที่เหลือนั้น ผู้เขียนก็จะไปติดต่อตามร้านของชำในตลาดบ้างในซอยบ้าง เพื่อให้เค้านำไปขายต่ออีกครั้ง… ตอนนั้นผู้เขียนอยู่เพียง ป.๖-๗ ก็คิดไปตามประสา แต่เมื่อโตขึ้นมา รู้สึกภูมิใจว่าสิ่งที่ผู้เขียนคิดตอนนั้นมีสอนอยู่ในวิชาเศรษฐศาสตร์… ยังคิดอยู่ถึงปัจจุบันว่า เศรษฐศาสตร์น่าจะเป็นวิชาที่เหมาะสมที่สุดสำหรับผู้เขียน

เมื่อเลิกเลี้ยงหมูเลี้ยงเป็ดหันมาค้าขาย… บ้านเล้าเป็ดเดิม ก็ค่อยๆ อัปเกรดขึ้นมา โดยเรือนไม้ยกพื้นเก่าก็ยกไปไว้ด้านหลัง ด้านหน้าก็สร้างบ้านชั้นครึ่งสองห้อง แต่ไม่ค่อยมาตรฐานนัก อยู่เองหนึ่งห้อง ส่วนเรือนไม้ด้านหลังและอีกห้องให้เค้าเช่าถูกๆ… ต่อมาเรือนไม้ยกพื้นด้านหลังก็รื้อออก สร้างเป็นเรือนสองชั้น แต่ก็ไม่ค่อยมาตรฐานนัก แล้วครอบครัวก็ย้ายมาอยู่ด้านหลัง ด้านหน้าให้เค้าเช่าถูกๆ… และก็อยู่สภาพนี้มาถึงปัจจุบัน เพียงแต่ซ่อมแซ่มบ้างตามสมควรเท่านั้น…

เรื่องการเรียน เมื่อครอบครัวย้ายมาแล้วนั้น น้องๆ ยังมิได้เข้าโรงเรียนอย่างจริงจัง จึงไม่มีปัญหาเมื่อต้องออกจากโรงเรียนมาอยู่ในเมือง แล้วค่อยย้ายสำมะโนครัวมาเรียนใหม่ในปีหน้า… แต่ผู้เขียนยังอยู่ในช่วงปลายปีของ ป.๕ ดังนั้น บางคราวก็พักอยู่บ้านเดิมที่คูขุดโดยฝากท้องไว้กับบ้านตาๆ ยายๆ เท่าที่จำเป็น บางคราวก็ไปนอนบ้านก๋งที่กระดังงา หรือบางช่วงก็มาอยู่ในตัวเมือง โดยตอนเช้าก็นั่งรถตุ๊กๆ ไปขึ้นรถประจำทาง จากตัวเมืองไปลงปากทางแล้วต่อรถเครื่องรับจ้างลงไปคูขุด ตอนเย็นก็ขึ้นรับจ้างแล้วมาต่อรถประจำทางก่อนที่จะนั่งตุ๊กๆ หรือบางครั้งก็เดินกลับบ้าน… สมัยนั้นยังเป็นถนนลูกรัง มีฝุ่นแดงฟุ้งไปทั่ว เฉพาะระยะทางจากตัวเมืองไปสทิงพระปากทางลงคูขุดก็ ๓๗ กม. จึงค่อนข้างจะตรากตรำและแปลกเกินไปสำหรับเด็กในยุคนั้น… และจากเหตุการณ์ที่ผู้เขียนไม่รู้นอนที่ไหนในช่วงนี้ น่าจะเป็นจุดเริ่มต้นที่ทางบ้านไม่ค่อยห่วงหรือกังวลนัก เมื่อผู้เขียนไม่อยู่บ้าน…

จบป.๕ ก็ย้ายมาเรียนป.๖ ที่โรงเรียนเทศบาล๓. วัดศาลาหัวยาง ซึ่งห่างจากบ้านกิโลกว่าๆ ก็เดินตัดผ่านทางวังขาวบ้างวังเขียวบ้าง (เดินหลีกที่น้ำท่วมตามฤดูกาล) เมื่อจบป.๗ ก็เข้าเรียนต่อ ม.ศ. ๑ โรงเรียนมหาวชิราวุธ…

มีสนิมใจที่ไม่อาจแก้ได้ก็เรื่องภาษาอังกฤษ นั่นคือ ตอนเรียนป.๕ นั้นจะเริ่มเรียนภาษาอังกฤษ ซึ่งจำได้ว่าระยะแรกนั้นผู้เขียนก็ชอบและสนใจดี ท่องศัพท์ใหม่ทุกวัน เพราะคุณครูจะเฆี่ยนทุกวันถ้าจำศัพท์ใหม่ไม่ได้ ศัพท์ละ ๑ ที… แต่เทอมปลายของปีนั้น ครูภาษาอังกฤษลาคลอดทำให้ขาดครู ครูคนไหนว่างก็มักจะเข้ามาสอนหรือพูดอะไรตามใจของท่าน พวกเราจึงมักมิค่อยได้เรียน และเมื่อย้ายมาเรียนป.๖ ในเมือง ผู้เขียนก็เรียนไม่ทันคนอื่น ไม่ชอบครูอังกฤษคนใหม่ และเกลียดภาษาอังกฤษตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา… เพิ่งมาสนใจเรียนภาษาอังกฤษใหม่เมื่อเรียนมจร.เป็นทั่นมหาฯ แล้วนี้เอง แต่เรียนยังไงก็ยังไม่เป็นที่พอใจ รู้สึกว่ามีปมด้อยด้านภาษาอังกฤษกระทั้งปัจจุบัน….

เรื่องอ่านหนังสือ ผู้เขียนชอบอ่านหนังสือมาตั้งแต่พออ่านหนังสือออก ไม่เคยรู้เลยว่าอ่านหนังสือมากระดับไหน เพิ่งมาทราบเมื่อบวชแล้วนี้เอง เมื่อมีเพื่อนสหธรรมิกรูปหนึ่งซึ่งเคยเป็นนักเขียนเรื่องสั้น ด้วยผู้เขียนสามารถพูดคุยเรื่องหนังสือกับเค้าได้โดยไม่รู้สึกว่าเป็นปมด้อย…

ย้อนกลับไปยังบ้านคูขุด โยมพ่อชอบอ่านหนังสือบางกอกรายสัปดาห์ และเป็นหน้าที่ของผู้เขียนจะต้องไปเอาจากบ้านโน้นมาบ้านนี้ ตอนเดินไปเดินมาเปิดดูไปพลาง นี้น่าจะเป็นจุดเริ่มต้นให้สนใจ และเมื่ออ่านหนังสือออกก็เริ่มอ่านนิยายในบางกอก… ที่บ้านคุขุดนี้มีญาติห่างๆ ซึ่งเป็นครูจะซื้อหนังสือเด็กก้าวหน้ามาให้ลูกหลานอ่าน ผู้เขียนก็ได้อาศัยอ่านกับเค้าด้วย จำได้ว่ามีเรื่องเจ้าอสรพิษ พระเอกชื่อพายุสุริยัน เป็นนิยายภาพวาด พวกเราติดกันมาก ต้องเข้าคิวจองกัน แต่พวกโตๆ มักจะถืออภิสิทธิ์แย่งไปอ่าน (น่าเจ็บใจจริงๆ)…

นอกนั้น ที่คูขุดยังมีบ้านคุณตาอีกหลังหนึ่ง ซึ่งลูกของท่านที่กำลังเรียนระดับมัธยมมักจะซื้อหนังสือเด็กก้าวหน้ามาอ่าน ผู้เขียนก็มักจะไปเที่ยว เผื่อได้อ่านอย่างสบายใจ (ไม่มีใครแย่ง) บ้านคุณตาที่นี้จะมีชั้นวางหนังสืออยู่ด้วย มีหนังสือมากพอสมควร ซึ่งผู้เขียนมักจะไปนั่งพลิกอ่านเล่นได้เป็นครึ่งวัน… เกือบสิบปีก่อน เมื่อได้คุยกับพวกหนอนหนังสือซึ่งแก่กว่าผู้เขียนสักสิบปี ก็คุยแรกเปลี่ยนกันได้โดยผู้เขียนไม่รู้สึกว่าอ่อนกว่าด้านหนังสือ เมื่อทบทวนว่าหนังสือเหล่านั้นเคยเห็นเคยอ่านที่ไหน ก็มานึกถึงบ้านคุณตาที่นี้ได้ ดังนั้น จึงเป็นไปได้ว่าที่นี้น่าจะคล้ายห้องสมุดแห่งแรกในชีวิตของผู้เขียน…

เมื่อมาอยู่ในเมือง หนังสือบางกอกก็ซื้อได้ที่ปากซอยวังขาว โดยทุกเย็นของวันจันทร์ผู้เขียนจะขอตังโยมแม่มาซื้อหนังสือบางกอก แล้วก็นั่งอ่านอยู่แถวใต้ต้นมะขามข้างๆ วัง เพราะถ้ากลับถึงบ้านอาจถูกโยมพ่อใช้อภิสิทธิ์ไปอ่านก่อน หรือโยมแม่ขอคั่นเวลาเพียงเรื่องเดียวในบางครั้ง ดังนั้น ผู้เขียนจึงรีบอ่านให้ได้มากที่สุดก่อนที่จะค่ำดูตัวหนังสือไม่เห็น และนี้น่าสาเหตุหนึ่งที่ผู้เขียนอ่านหนังสือได้เร็วโดยไม่รู้ตัว…

ตอนเรียนเทศบาล ๓. ขณะอยู่ ป.๗ ทางโรงเรียนเริ่มโครงการสร้างห้องสมุด โดยมอบหมายให้ครูที่มาอยู่ใหม่เป็นผู้รับผิดชอบ ผู้เขียนมักไปขลุกอยู่กับคุณครูคนนี้ สามเกลอพลนิกรกิมหงวน พวกเรารู้จักกันตอนนี้… และเมื่อไปอยู่ม.ศ.๑ มหาวชิราวุธ ผู้เขียนก็เลือกเข้าชมรมห้องสมุด โดยมิได้รับการชักชวนจากใคร คงจะเป็นวาสนาในบางก่อน หรือเพราะคุ้นเคยมาตั้งแต่เล็กๆ ก็ไม่อาจบอกได้ (หรือทั้งสองอย่าง) อยู่ชมรมห้องสมุด ก็ต้องไปช่วยงานห้องสมุด ได้อภิสิทธิ์ยืมหนังสือได้มากและระยะให้ยืมก็ยาวกว่าคนทั่วไป แต่ผู้เขียนก็ช่วยงานไม่นานนัก เริ่มเป็นวัยรุ่น เริ่มหนีโรงเรียน (5 5 5…)

ผู้เขียนมักทบทวนเรื่องราวในอดีต แต่ที่คลุมเครือและประติดประต่อไม่ค่อยได้ก็คือช่วงอยู่ ม.ศ.๑-๒ คล้ายกับช่วงความจำในตอนนี้เลอะเลือนหรือถูกไวรัสกินไป อาตมาเป็นไผ ถ้ามีตอนต่อไป จะลองกู้ข้อมูลตอนนี้มาบันทึกไว้สักครั้ง…