ไปตามใจฝัน

7 ความคิดเห็น โดย หลงป่า เมื่อ 6 มีนาคม 2012 เวลา 12:47 (เย็น) ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 1875

หลายสิบปีกับการช่วยเหลือสังคม กับงานประจำ กับความมั่นคง แย่งเวลาครอบครัว จนวันหนึ่งได้เห็นเพื่อนบ้านนอนเสียชีวิต ภายใต้ทรัพย์สมบัติที่เอาไปไม่ได้แม้แต่ชิ้นเดียว กว่าลูกเมีย เพื่อนฝูงจะรู้ก็ล่วงเลยไปข้ามคืนจนสาย  ณ ห้วงภวังค์นั้น หวนให้คิดถึงตัวเอง เราจะตายวันตายพรุ่งก็ไม่รู้ หันกลับไปดูลูก ๆ ซึ่งกำลังอ่านหนังสือบ้าง บางครั้งก็วางหนังสือแล้วก็เล่นเกมส์ในคอมพิวเตอร์ บางครั้งก็วิ่งเล่นไล่จับกัน  ทะเลาะกันบ้าง ร้องไห้และหัวเราะบ้าง  หันไปมองภรรยา กำลังยุ่งกับการเตรียมมื้อเย็น มันเป็นความวุ่นวายส่วนหนึ่งในกิจวัตรประจำวันของแต่ละครอบครัว นี่ผมลืมไปแล้วหรือว่า เรายังมีสังคมที่เรียกว่าครอบครัวอยู่

วันหนึ่งซึ่งเป็นวันหยุด นั่งทบทวนเหตุการณ์รอบข้างที่มักเกิดขึ้นเป็นรายวัน ภายใต้เสียงนกพร้อมจิบกาแฟในยามเช้าที่เฉลียงหน้าบ้าน ชีวิตที่ดำเนินในแต่ละช่วงของแต่ละวัน ในพื้นที่นี้ ไม่มีอะไรที่แน่นอนที่จะมาการันตีถึงความปลอดภัยได้ แล้วจะใช้เวลาที่เหลืออยู่เพื่ออะไร  จึงตัดสินใจทันทีว่า เวลาที่เหลืออยู่นอกจากครอบครัวแล้ว คงต้องมีเวลาให้กับตัวเองบ้าง 

จวบจนวันนี้ ความสุขที่เคยฝัน ไม่ต้องรอ ไม่ต้องหา มีความสุขกับการฟังเสียงนก เล่นดนตรี อยู่กับลูก อยู่กับครอบครัว ไปเที่ยวพักผ่อน สัมผัสธรรมชาติที่นับวันถูกทำลายไปมาก ผมได้ทำตามใจฝันทั้งของตัวเอง ของลูกและภรรยา ซึ่งไม่สามารถแลกกับสิ่งมีค่าใด ๆ ได้เลย

 


สื่อนกสื่อสันติภาพ

10 ความคิดเห็น โดย หลงป่า เมื่อ 28 มิถุนายน 2011 เวลา 11:21 (เช้า) ในหมวดหมู่ อยากเล่า #
อ่าน: 2160

                  ต้นปี(2554)ที่ผ่านมา ผมได้เห็นกิจกรรมหนึ่งที่จังหวัดยะลาจัดขึ้น  นั่นคือกิจกรรม สื่อนกสื่อสันติภาพ  เมื่อผมเห็นป้ายประชาสัมพันธ์ อดไม่ได้ที่จะหวนคิดไปถึงอดีตที่มาตั้งรกรากที่นี่  ผมไม่ใช่คนยะลาตั้งแต่เกิด แต่ก็วนเวียนผ่านไปผ่านมาที่นี่ ผมเป็นคนชอบเลี้ยงนกตั้งแต่เด็ก คำว่า สื่อนกสื่อสันติภาพจึงทำให้คิดถึงครั้งมาที่ยะลาครั้งแรก ผมไม่มีเพื่อน ไม่รู้จักใคร แต่การเลี้ยงนกเพื่อแข่งขัน จำเป็นต้องพานกไปเที่ยวไปซ้อม  และเมื่อเจอคอเดียวกันแล้ว  จึงเริ่มมีสังคมและขยายวงกว้างออกไป  จนได้มีส่วนร่วมในการพัฒนาและดูแลท้องถิ่นตามศักยภาพและสมควร และนี่คือความเป็นมิตรในความแตกต่าง แต่มีสื่อที่พาเรามายังจุดยืนร่วมกันและเข้าใจกัน


นี่หรือประเทศไทย

5 ความคิดเห็น โดย หลงป่า เมื่อ 28 มิถุนายน 2011 เวลา 10:44 (เช้า) ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 1700

              ชีวิตคนเรานอกจากวัฏจักร เกิด แก่ เจ็บและตาย แล้วยังมีอะไรอีก นั่นเป็นการมองในสังขารว่าไม่เที่ยง  แล้วความสุข ความทุกข์ ซึ่งเกิดจากกิเลศภายในจิตใจ ยากที่จะละ โลภ โกรธ  หลงได้ นี่ก็อีกประการหนึ่งที่คอยบั่นทอนสังขาร  สำหรับสิ่งที่จำเป็นขั้นพื้นฐานของคนเรา นั่นคือปัจจัยสี่ ( อาหาร ที่อยู่อาศัย เครื่องนุ่งห่ม และยารักษาโรค )  แต่ปัจจุบันค่าครองชีพสูงขึ้น  ราคาของกินของใช้สูงขึ้น ค่าใช้จ่ายมาก รายได้ลดลง เกิดทุกข์ ขึ้นมาในใจ  ส่งผลให้สุขภาพหรือสังขารป่วย อันเนื่องมาจากความเครียด ก่อให้เกิดโรคชุดต่างๆ  เข้าโรงพยาบาลก็มีค่าใช้จ่าย ท้ายสุดก็หนีไม่พ้นที่หาทางออกสักทาง เพื่อให้หลุดพ้นวงเวียนนี้ ทำงานพิเศษ คอร์รัปชั่น โกงกิน เพื่อให้ได้มาซึ่งเงิน  เงินจริงหรือที่จะแก้ปัญหาทุกอย่างได้ ถ้าเป็นชีวิตในชนบท อาจจะได้รับคำตอบว่าไม่ใช่  เพราะเทคโนโลยีและวัตถุนิยม ยังมีบทบาทน้อย ทุกชีวิตอยู่แบบเรียบง่าย ฉันญาติมิตร มีน้ำใจถ้อยทีถ้อยอาศัย  แต่เมื่อมองชีวิตในระดับจังหวัดในสังคมเมือง การแข่งขันเพื่อความก้าวหน้า ต้องเกาะติดสถานการณ์ ต้องพึ่งพาเทคโนโลยี ยึดติดกับวัตถุนิยม จึงพบว่าความเครียดจะเกิดขึ้นในสังคมเมืองมากกว่าในชนบท รวมทั้งสุขภาพกายและใจด้วย  แล้วเราจะทำอย่างไร  ให้สังคมเมืองเป็นสังคมที่ใกล้เคียงกับชนบท

การแก้ปัญหาประเทศด้วยการปรองดองนั้น เป็นการแก้ปัญหาที่ต้นเหตุจริงหรือ  ถ้าประชาชนมีอาชีพ มีรายได้ มีงานทำ ไม่มีภาระหนี้สิน การว่าจ้างเพื่อให้มากระทำการใดๆ อาจจะไม่ได้รับการตอบสนองจากประชาชน ทุกวันนี้ ทุกคนต้องการรายได้เพิ่ม  เพื่อให้ทันกับรายจ่าย รัฐต้องแก้ปัญหาทุกด้านที่เกี่ยวข้องกับค่าครองชีพที่นับวันยิ่งสูงขึ้น  ราคาน้ำมัน ราคาทองคำ ราคาเนื้อสัตว์ ไข่ไก่ น้ำตาล น้ำมัน ปุ๋ย และอีกจิปาถะ การควมคุมสินค้า ต้นทุนต่างๆที่เกี่ยวข้องกับปัจจัยสี่  จะส่งผลให้ประชาชนมีชีวิตที่ดีขึ้น เมื่อสุขภาพจิตดี ความคิดก็ดี ความรักก็เกิด ความสามัคคีก็จะตามมา

การศึกษาในสามจังหวัดชยแดนใต้ เป็นการแก้ปัญหาในระยะยาว แต่ไม่ได้รับการสนับสนุนจากภาครัฐเท่าที่ควร  มีแต่เน้นการใช้กำลัง สู้กันไปตอบโต้กัมา แก้แค้นกันไปมาระหว่างรัฐกับชาวบ้าน คนก็ไม่กล้าไปทำสวน ครูก็ไม่กล้าไปสอน เด็กขาดความรู้ โตขึ้นมาไม่มีรายได้ ไม่มีงานทำ ก็ถูกชักจูงไปในทางที่ผิด  การศึกษาจะต้องนำการทหาร  การสร้างงานสร้างอาชีพจะนำมาซึ่งความมั่นคง ความเสมอภาคเท่าเทียมกันจะนำมาซึ่งความปรองดอง 

อีกนานแค่ไหน เราจะเห็นคนไทย ประเทศไทยรักกัน สามัคคีกัน ทุกวันนี้มีทั้งศึกใน ศึกนอก  คงต้องภาวนาให้ใครสักคนที่ได้อ่านบทความนี้ และเป็นบุคคลที่เป็นที่เคารพรัก และได้รับการศรัทธาจากประชาชน ช่วยแก้ไขปัญหา ผมในฐานะประชาชนคนหนึ่งพร้อมที่จะสนับสนุนและผลักดันให้ ประเทศชาติสงบสุขทั่วทุกตารางนิ้ว สาธุ

 


รู้ธรรมชาติแล้วจะอยู่อย่างไร

2 ความคิดเห็น โดย หลงป่า เมื่อ 1 พฤศจิกายน 2010 เวลา 9:51 (เช้า) ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 1693

ปีนี้น้ำมาก และท่วมขังนาน  เราจะป้องกันอย่างไร  ในเมื่อเราไม่สามารถห้ามปรากฏการณ์ธรรมชาติได้  เราจะปรับตัวอย่างไร หลายคนทุกข์ เพราะหนี้สิน หลายคนกลัว เพราะน้ำหลาก แล้วจะเยียวยาจิตใจอย่างไร


เช้าวันหยุด (เช้าวันเรียนรู้ของลูกๆ)

1 ความคิดเห็น โดย หลงป่า เมื่อ 12 กันยายน 2010 เวลา 11:31 (เช้า) ในหมวดหมู่ อยากเล่า #
อ่าน: 1521

เช้าวันอาทิตย์เป็นวันหยุดของคนทำงานส่วนใหญ่  ซึ่งก็ล้วนเป็นมนุษย์เงินเดือน  หลายคนตื่นสาย  หลายคนตื่นเช้า ทำตัวสบายๆ  กว่าจะอาบน้ำ  ทำตัวเรื่อยๆอย่างไม่เร่งรีบ  ให้เวลากับครอบครัว กับตัวเอง อย่างเต็มที่  ผมก็เช่นกัน ตื่นช้ากว่าปกติ ตั้งใจจะตื่นสาย เพราะเมื่อคืนทั้งลมกรรโชกแรงและฝนตกหนัก  ภารกิจเข้าเวรยามต้องเลิกเร็วกว่าทุกคืน  สาเหตุก็เจ้านกเขาใหญ่ตัวโปรดขันสะเทือนเลื่อนลั่น เช้านี้เลยชวนลูกสาวคนเล็กอายุ 5 ขวบกว่า เดินเก็บผักริมรั้ว ( ตามสไตล์ ออกกำลังกายแบบชาวบ้านตามที่ได้เรียนรู้ที่สวนป่า )  ระหว่างนั้นก็ทักทายเพื่อนบ้านไปทั่ว มีคนต่างซอยนำวัวพันธุ์มาผูกให้กินหญ้า 2 ตัวรูปร่างสวยมาก  เห็นแล้วอยากจะเข้าไปแนะนำให้กินใบไม้บ้าง ( จะได้ถ่ายทอดความรู้จากสวนป่าเช่นกัน )  เก็บผักตำลึงมาได้ 1 ตะกร้า นำมาผัดน้ำมันกระเทียมเจียวใส่ซีอิ้วขาวสูตรสวนป่า  มื้อเช้าแบบบ้านๆ แต่ถูกใจศรีภรรยา  ทำให้ชวนคิดถึงครูบาจัง  ครูบาคงสบายดีนะ เจ้าบทเจ้ากลอนเชียว

 

                   ทุกวันหยุดถ้าไม่ได้ไปเที่ยวไหน ก็จะออกกำลังกายแบบนี้  นี่แหละวิถีชีวิตพอเพียงของผมที่กำลังถ่ายทอดให้กับลูกๆ


คืนนี้ไม่เหมือนคืนนั้น

3 ความคิดเห็น โดย หลงป่า เมื่อ 11 กันยายน 2010 เวลา 11:06 (เย็น) ในหมวดหมู่ อยากเล่า #
อ่าน: 1421

               ในทุกภารกิจที่เร่งรีบ เพื่อปากท้อง  เพื่ออนาคตลูก และเพื่อสนองปัจจัย 4 , 5 , 6  แล้วแต่ความอยากของแต่ละคน  เมื่อเลิกงาน ผู้คนส่วนใหญ่ ก็ได้พักผ่อนตามอัธยาศัย  ค่ำคืนนอนหลับได้สนิทไร้ความกังวล  จะมีคนสักกี่คนบ้างที่รับรู้ถึงสภาพจิตใจของคนในบ้านเรา  นอนหลับๆตื่นๆ  ต้องคอยฝังเสียงรถที่แล่นผ่านหน้าบ้านว่าเงียบ ( มาจอด ) หรือวิ่งผ่าน  ต้องสะดุ้งตื่นกับเสียงประหลาด  เพราะความหวาดระแวง  แล้วเราจะอยู่อย่างไร

 

                ทุกค่ำคืนที่น่าหวาดกลัว ต่างคนต่างเข้าบ้าน ไม่กล้าที่จะออกไปไหน ธุรกิจยามค่ำคืน ร้านอาหาร เริ่มทยอยปิดกิจการ กระทบกันเป็นลูกโซ่ ในที่สุดจึงมีกลุ่มคนที่รวมตัวกัน  เพื่อรักษาความปลอดภัยให้กับผู้คนและบ้านเมือง ด้วยวิธีใต้ดินชนิดตาต่อตา ฟันต่อฟัน  เมื่อทางการรับรู้ จึงนำพาไปสู่โครงการต่างๆที่สนับสนุนให้ภาคประชาชนได้มีส่วนร่วมในการป้องกันและรักษาความปลอดภัยให้กับบ้านเมืองอย่างถูกต้องและถูกกฎหมาย  ปัจจุบันโครงการชุมชนเข้มแข็งได้ ขยายผลไปยังจังหวัดอื่นๆ เพื่อป้องกันอาชญากรรมทุกรูปแบบ

 

                ค่ำคืนนี้ไม่เหมือนค่ำคืนนั้น พวกผู้ใหญ่ได้ออกมาพูดคุย เด็กๆได้ออกมาวิ่งเล่น ความสัมพันธ์ระดับชุมชนเริ่มกลับมา  ฝากบ้านดูแลบ้านให้กัน ถามไถ่สารทุกข์สุกดิบ และที่สำคัญคือการพัฒนาไปสู่การนับถือเสมือนหนึ่งเป็นเครือญาติ  การเสียสละของคนบางคนบางกลุ่มในการทำหน้าที่เข้าเวรยามรักษาความปลอดภัยด้วยจิตอาสา จะมีใครสักกี่คนที่รับรู้ถึงความเสียสละ ภายใต้ผ้าห่มที่แสนจะอบอุ่น  จะมีใครสักกี่คนจะแบ่งปันน้ำใจมาช่วยกันหมุนเปลี่ยนเวรยาม เพื่อที่จะได้สลับกันพักผ่อนและมีแรงที่จะทำงานต่อในวันรุ่งขึ้น  สังคมก็เป็นเช่นนี้ ธุระไม่ใช่ อยากเหนื่อยเอง ใครใช้ให้ทำ  แต่เมื่อใดที่ตัวเองเดือดร้อนหรือภัยมาถึงตัว จึงจะออกมาขอความช่วยเหลือ ( หวังผลประโยชน์ตัวเองมากกว่าส่วนรวม ) แต่ไม่มีส่วนร่วม ทุกวันนี้ผมภูมิใจที่เป็นส่วนหนึ่งในการทำให้บ้านเมืองสงบสุขในระดับที่ทุกคนสามารถกล้าที่จะใช้ชีวิตอย่างเป็นปกติสุข ภายใต้เงื่อนไขแห่งความไม่ประมาท  บ้านเมืองอยู่ได้ ชุมชนอยู่ได้  ครอบครัวอยู่ได้  เรามีความสุข นี่แหละตัวผม


ตั้งใจเรียนนะลูก

2 ความคิดเห็น โดย หลงป่า เมื่อ 7 กันยายน 2010 เวลา 3:45 (เย็น) ในหมวดหมู่ อยากเล่า #
อ่าน: 1558

               วันนี้เกิดความสงสัยขึ้นมาว่า คนสมัยก่อนใช้ชีวิตกันตามวิถีชาวบ้าน แล้วเหตุไฉน คนสมัยนี้จึงเปลี่ยนแปลงวิถีทางของตนไปสู่ความเร่งรีบ  การแข่งขัน  การฉวยโอกาส  และอะไรอีกมากมาย  แล้วรุ่นลูกรุ่นหลานจะอยู่อย่างไร ถ้าสังคมปัจจุบันเพิ่มระดับความกดดันทุกวิถีทางมากขึ้น  ผมชักเป็นห่วงอนาคตของชาติขึ้นมาแล้วซิ

 

                สองวันที่ผ่านมา ตื่นขึ้นมาแต่เช้า พานกขึ้นสู่เสา แล้วมานั่งจิบน้ำชากาแฟที่เฉลียงหน้าบ้าน ปล่อยให้ใจล่องลอยไปตามเสียงกล่อมของเจ้านกเขาใหญ่เสียงใหญ่ตัวโปรด  ดูมันมีความสุขมากนะที่ได้ขันข่มเพื่อน กังวานไปทั่วทั้งซอย  นกกระจอกตัวหนึ่งบินไปเกาะที่ข้างกรง เพื่อขอแบ่งปันเมล็ดธัญญาพืช  มันขันคู จนเจ้านกกระจอกคงรำคาญ จึงบินหนีไป  และแล้วเจ้าถิ่นก็มาเยี่ยมเยียน เป็นนกเขาป่า มาขันคูกันอยู่ใกล้ๆ แล้วก็บินจากไป เพราะมีรถยนต์แล่นผ่านมา  ทำให้ตัวเองต้องหลุดจากภวังค์นี้ไป เหลือบมองนาฬิกา ได้เวลาไปส่งลูกไปโรงเรียนและเข้าทำงานแล้ว ถึงหน้าโรงเรียนมองตามหลังลูก จนเดินผ่านเข้าประตูโรงเรียน  เจ้าจะรู้ไหมหนอว่า สังคมในภายภาคหน้าจะเป็นอย่างไร เจ้าจะเข้มแข็งและอดทนได้แค่ไหน  การศึกษาสมัยนี้สอนคนให้เป็นลูกจ้าง สอนคนให้เป็นทาสของเงิน และที่สำคัญครูสมัยนี้มีสักกี่คนที่จะเป็นผู้ให้  ตั้งใจเรียนนะลูก  แล้วก็บึ่งรถไปทำงาน ทักทายน้องๆ ทุกคน ถามถึงปัญหาในงานที่ผมพอจะช่วยได้บ้าง แล้วก็รีบขึ้นมาเคลียร์งาน  งานที่บริษัทก็ยุ่ง งานที่สมาคมก็ยุ่ง อ้อลืมบอกไปว่า ผมยังเป็นตัวละครในโลกมายานี้อีก คือนายกสมาคมวิทยุสมัครเล่น และประธานไทยอาสาป้องกันชาติรุ่นที่ 5  ดังนั้นในแต่ละวันจะวุ่นวายพอตัว แต่ทุกครั้งที่ได้รับใช้สังคมหรือตอบแทนคุณบ้านเกิด ผมจะมีความสุขและภาคภูมิใจมาก ไม่ว่างานนั้นจะเป็นงานบริษัทหรืองานอะไรก็ตาม ผมโชคดีที่ครอบครัวเข้าใจ แต่ก็อดที่จะเป็นห่วงความปลอดภัยไม่ได้  ก็ระวังตัวเหมือนกันนะ  ถึงแม้ผมจะเป็นคนพื้นที่โดยกำเนิด  แต่การก่อเหตุความรุนแรงมันได้เปลี่ยนแปลงไปแล้ว จากป่าสู่เมือง ช่างมันเถอะ ผมมองว่ามันเป็นปัญหาอาชญากรรมอย่างหนึ่งที่เรายกระดับให้อาชญากรเอง ทุกจังหวัด ทุกประเทศ มีอาชญากรรมทั้งนั้น คิดแล้วจะได้สบายใจ ( ในความระมัดระวัง )


บางตอนของวิถีชีวิตชาวใต้

3 ความคิดเห็น โดย หลงป่า เมื่อ 3 กันยายน 2010 เวลา 3:31 (เย็น) ในหมวดหมู่ วิถีชีวิตชุมชน, ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 2170

               ทุกๆเช้าสมาชิกคอเดียวกัน จะมานั่งกินน้ำชาเพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสาร และนำกลับไปพัฒนา อาทิเช่น กลุ่มเลี้ยงนกเขาชวาเสียง  นกปรอดหัวโขน(นกกรงหัวจุก)  ซึ่งป็นกลุ่มใหญ่ที่สุดก็ว่าได้ และนี่เป็นจุดเริ่มต้นของบันทึกนี้ 

 

                สามจังหวัดชายแดนใต้ เป็นดินแดนที่อุดมสมบูรณ์ไปด้วยทรัพยาการทางธรรมชาติที่หลากหลาย ด้วยเหตุนี้ ชาวบ้านจึงไม่ค่อยขยัน เนื่องจากมีกินมีใช้อย่างพอเพียง หลังจากกรีดยางเสร็จ หรือส่งภรรยาที่ร้านอาหารเพื่อขายข้าวแกงแล้ว  พวกผู้ชายก็จะมีเวลาว่างตั้งแต่หกโมงไปถึงเที่ยง ก่อนที่จะไปช่วยเก็บล้าง ( ตั้งแต่เล็กจนโตจนป่านนี้ผมก็ยังเห็นสภาพที่ส่วนใหญ่พ่อบ้านเอาเปรียบแม่บ้าน ) ช่วงที่ว่างจึงมานั่งคุยกันที่ร้านน้ำชา โดยแต่ละคนก็จะมีนกตัวเก่งมาอวด และก็คุยโม้โอ้อวดกันต่างๆนาๆ  การที่ผมไปนั่งคลุกคลี ในร้านน้ำชาตั้งแต่เล็ก  ผมจึงหลงใหลในเสียงของนกและมีความรู้ในการฟังเสียงและแยกแยะคุณภาพนกที่จะแข่ง  จวบจนเข้าทำงานจึงลงทุนซื้อนกเขาชวาเสียงมาตัวหนึ่ง เป็นนกเสียงกลางอายุประมาณ 4 เดือน จังหวะการวางเม็ด ( คำร้อง ) และน้ำเสียงใช้ได้ทีเดียว จึงตกลงซื้อมาในราคา 15,000 บาท  ผมเลี้ยงอยู่ 5 เดือน จนอายุนกเป็น 9 เดือน จึงเริ่มรู้ถึงความเปลี่ยนแปลงทุกอย่างเปลี่ยนไปในทางลบ กล่าวคือเสียงแหบ ทิ้งจังหวะ  หลังจากนั้นก็เสาะแสวงหาไปเรื่อยๆ ทั้งนำมาผสม ก็ยังไม่ได้นกที่จะแข่งได้  จึงหยุดเพราะนกเต็มบ้านและเสียเงินไปหลายบาท  อีกอย่างลูกเป็นภูมิแพ้ จึงปล่อยไปหมด นี่แหละเป็นสาเหตุว่าทำไมนกเขาชวาเสียง ที่เสียงดีจึงมีราคาแพง   และนี่ก็เป็นสาเหตุที่ชาวบ้านเปลี่ยนมาเลี้ยงนกกรงหัวจุกมากขึ้น มีการแข่งขันทุกวัน ส่วนใหญ่แข่งขันประเภทนับดอก ( นับว่าใครร้องมากกว่ากัน ) ทำให้ธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับนกประเภทนี้เติบโตและขยายไปทั่ว  ถึงกับตั้งเป็นสมาคมทีเดียว

 

                วิถีชีวิตของชาวใต้เป็นชีวิตที่เรียบง่าย ช่วยเหลือเกื้อกูลกัน ไม่มีการแบ่งชนชั้น ศาสนา และเชื้อชาติ นั่นเป็นอดีตที่ยังมีหลงเหลือให้เห็นอยู่บ้าง  เพราะความหวาดกลัวจากเหตุการณ์ความไม่สงบ ทำให้การใช้ชีวิตประจำวันเปลี่ยนไป ห่างเหินจากเพื่อนฝูง เพื่อนต่างศาสนา ร้านน้ำชาก็เงียบเหงาลงไป

 

ชีวิตในเมืองมีแต่ความวุ่นวายและขาดความจริงใจ  ผมจึงรักและผูกพันกับที่นี่  และอยากจะเห็นที่นี่กลับมาเช่นเดิม  !!!วิถีชีวิต วิถีแห่งสันติสุข !!!


ความดีมีจริงหรือ

4 ความคิดเห็น โดย หลงป่า เมื่อ 16 สิงหาคม 2010 เวลา 4:31 (เย็น) ในหมวดหมู่ อยากเล่า #
อ่าน: 1560

วันที่ 11 สิงหาคม 2553 ผมเดินทางไปให้กำลังใจน้องพนักงานท่านหนึ่งที่ศาลจังหวัดสงขลา ซึ่งนัดฟังคำพิพากษาเวลาประมาณ 10:00 น. ผ่านไปครึ่งชั่วโมง สรุปว่าศาลยกฟ้อง เนื่องจากพยากหลักฐานไม่ชัดเจน ทุกคนต่างดีใจมาก แสดงถึงความเป็นห่วงและการเอื้ออาทรอย่างไม่ต้องเสแสร้ง ความยุติธรรมมีอยู่จริง  ระหว่างทางขับรถกลับยะลา มีโทรศัพท์โทรเข้ามาแจ้งว่าแผนฟื้นฟูผ่านการโหวตแล้ว เหลือบดูนาฬิกาประมาณบ่ายโมงครึ่ง รีบบึ่งรถให้ถึงสำนักงานเร็วๆ  เมื่อมาถึงก็รีบไปซื้อประทัดมาจุดฉลองความสำเร็จร่วม 15,000 นัด พร้อมกันทั้ง 3 จชต. ในเวลาบ่ายสามโมง และแล้วความอึดอัด ความคับข้องใจก็ระเบิดออกมา พนักงานทุกคนมีความมุ่งมั่นที่จะนำพาองค์กรเข้าสู่การแข่งขันโดยยึดหลักคุณธรรม และความซื่อสัตย์  ผมมั่นใจว่าพวกเราทำได้ และสิ่งนั้นจะไม่เป็นการสร้างปัญหาให้กับสังคม เราจะร่วมสร้างสังคมและเป็นส่วนหนึ่งในการสนับสนุนสังคมแห่งการเรียนรู้ออนไลน์ สังคมดีเริ่มจากจิตสำนึกที่ดี


สวนป่าชีวาลัย

3 ความคิดเห็น โดย หลงป่า เมื่อ 16 สิงหาคม 2010 เวลา 3:58 (เย็น) ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 1742

ผมได้รับการประสานแจ้งรายชื่อจากศูนย์ฝึกอบรมว่าให้เข้ารับการอบรมหลักสูตร TT&T Leader Transformation ที่สวนป่าชีวาลัยอีสาน อ.สตึก จ.บุรีรัมย์  ณ วินาทีที่รู้ ผมรู้สึกสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้นกับ TT&T อยู่ๆจะพาพนักงานระดับบริหารไปศึกษาพระธรรม หรือวิปัสสนา  ก็ไม่ได้ติดใจอะไรมาก  คิดว่าไร้สาระ เพราะบริษัทกำลังฟื้นไข้ คิดอะไรแปลกๆ ความรู้สึก ณ ตอนนั้น ผ่านไปสองสัปดาห์เห็นจะได้ เริ่มมีการพูดคุยถึงการเดินทาง วันเวลาที่แน่นอน ทำให้อดคิดไม่ได้ ว่ามันมีดีตรงไหนนะ จึงเข้าสู่โลกอินเตอร์เน็ต ค้นหาคำว่าครูบาสุทธินันท์และสวนป่า  พออ่านบันทึกของปราชญ์ชาวบ้าน รู้สึกถึงมนต์สะกดและอยากรู้จัก  จากนั้นจึงนั่งนับวันเพื่อมาพบครูบา และแล้ววันที่รอคอยก็มาถึง ผมออกเดินทางจากยะลาประมาณตีห้าของวันที่ 3 สิงหาคม 2553 และมาถึงศูนย์ฝึกอบรมของทีทีแอนด์ทีราวสามทุ่มครึ่งของวันเดียวกัน นอนคืนนึงที่นี่ เช้าวันที่ 4 สิงหาคม 2553 ออกเดินทางจากศูนย์ฝึกฯ ประมาณหกโมง พอใกล้เที่ยงก็ถึง อ.สตึก หาทางไปบ้านครูบาไม่เจอ ( หลงทางซิครับ ) ถามทางมาตลอด เมื่อเจอป้ายบอกทางใจเริ่มชื้น และก็มาถึงเกือบบ่ายโมง ความรู้สึกแรกที่เข้ามารับรู้ถึงความเงียบสงบ แล้วไหนหละครูบา แอบกวาดสายตาไปรอบๆ เห็นชายสูงอายุกำลังนั่งที่โต๊ะ มีโน๊ตบุ๊ควางไว้ตรงหน้า  นึกในใจว่าคงเตรียม Present วิชาการด้านการเกษตรล้วนๆ  อ้อ ลืมบอกไปว่า สมัยเรียนมัธยม ผมเลือกวิชาเกษตรเป็นวิชาเลือกเสรีนะครับ จึงมีความรู้บ้าง หลงตัวเองว่างั้นเหอะ หลังจากทานข้าวเที่ยงเสร็จ ก็เริ่มเข้าสู่การสัมมนา ผิดคาดครับ ปรัชญาล้วนๆ อึ้งครับ อึ้งกิมกี่ไปเลย ผมเป็นคนชอบแนวคิดใหม่ๆ แต่ไม่เคยเจอนักปรัชญาคนไหนที่เรียนรู้จากธรรมชาติ แล้วนำมาใช้กับชุมชน สังคม จนถึงระดับประเทศ พอคนเราเริ่มสนใจก็มีสมาธิและความตั้งใจ ช่วงที่เดินชมต้นไม้ผมแอบเห็นครูบาพ่นยาบ่อย สงสัยน่าจะเป็นภูมิแพ้หรือหอบหืด แต่ก็ไม่ได้ถาม จากการพบปะพูดคุย ทำให้ผมรู้ว่าผมมาที่นี่ด้วยความไม่รู้ และก็ได้ความไม่รู้กลับไปอีกมาก ที่ต้องแสวงหาคำตอบ แต่ที่ผมรู้ตอนนี้คือผมรู้ว่าการศึกษา สังคม วัฒนธรรมของประเทศกำลังเปลี่ยนไป ความห่างเหินของคนในชุมชนเริ่มมากขึ้น วัดคนเขาวัดกันที่ฐานะการเงิน ความมั่งคั่งทางวัตถุที่อุปโลกขึ้นมาว่ามีค่ามหาศาล เกิดกิเลส เกิดความอยาก เริ่มแสวงหา ไขว่คว้า เกิดการเอารัดเอาเปรียบ ชิงไหวชิงพริบ ขาดคุณธรรม ขาดจริยธรรม ความเห็นแก่ตัวได้เริ่มก่อตัวสะสมมากขึ้นมากขึ้น และนำไปสู่ความขัดแย้งที่รุนแรง ไม่ใช่เฉพาะมนุษย์ด้วยกันเท่านั้น แม้แต่ธรรมชาติเมื่อถูกความเห็นแก่ตัวของมนุษย์ที่มีกิเลสและความอยากทำร้าย เอารัดเอาเปรียบ เมื่อถึงจุดหนึ่งก็จะเกิดความขัดแย้งขึ้นมาด้วย ที่เราเรียกว่าภัยพิบัติ ภัยธรรมชาติ ปรากฏการณ์ต่างๆที่ส่งผลต่อการดำรงชีวิต และก็หนีไม่พ้นการใช้เงินแก้ปัญหา ตั้งทีมวิจัย มีโครงการรณรงค์ต่างๆมากมาย แต่จะมีใครสักกี่คนที่หวนกลับไปยังจุดเริ่มต้น วิถีชีวิตชาวบ้านในสังคมชนบทในอดีตเป็นวิถีชีวิตที่เกื้อกูลกัน เหมือนต้นไม้ที่โตในป่าผืนเดียวกัน ถ้อยทีถ้อยอาศัย งดงามไปทั้งผืนป่าและชุมชน วิถีชีวิตในชุมชนก็คือรากเหง้าของวัฒนธรรม ณ ที่นั้นๆ  เมื่อการศึกษาไม่สอดคล้องกับวิถีชีวิตชุมชน ผลที่ตามมาวัฒนธรรมก็จะถูกทำลายและหายไปในที่สุด  ผมเริ่มเรียนรู้ปัญหาต่างๆ ตั้งแต่ระดับชุมชน สังคมและประเทศ จากครูบา ที่ยกตัวอย่างการแก้ไขปัญหาอ้างอิงจากหลักธรรมชาติ แง่คิดที่ได้จากการอยู่กับธรรมชาติแบบธรรมชาติ  ทำให้ผมเริ่มมองโลกในแง่ดีขึ้น มีความสุขมากขึ้น รู้จักให้มากขึ้นเท่าที่ตัวเองไม่เดือดร้อน มองเพื่อนข้างๆมากขึ้น เงินนั่นมันซื้อความสุขทางใจในระยะยาวไม่ได้หรอก ผมเห็นสัจธรรมแล้ว วันสุดท้ายของการสัมมนาก่อนที่ครูบาจะออกเดินทางไปประชุม ผมได้กอดกับครูบา ความรู้สึก ความประทับใจ เต็มเปี่ยมในใจจนคับพอง  ผมบอกครูบาว่า   ขอให้ครูบามีสุขภาพที่แข็งแรงนะครับ เออ ผมลืมไปว่า คุณตฤณ มาด้วยน่าจะเป็นคืนที่สองนะ เพราะรุ่งขึ้นก็แจกลายเซ็น โดยนิสัยส่วนตัวมีอะไรที่คล้ายกัน แหละนี่เป็นส่วนหนึ่งของการเข้าไปค้นพบตัวเอง ณ สวนป่าชีวาลัยอีสาน และเป็นจุดเริ่มต้นที่จะพาตัวเองเข้าสู่บ้านหลังนี้ บ้านแห่งลานปัญญา มีโอกาสแล้วเจอกันใหม่ครับ  



Main: 0.21281313896179 sec
Sidebar: 0.069057941436768 sec