บางตอนของวิถีชีวิตชาวใต้
ทุกๆเช้าสมาชิกคอเดียวกัน จะมานั่งกินน้ำชาเพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสาร และนำกลับไปพัฒนา อาทิเช่น กลุ่มเลี้ยงนกเขาชวาเสียง นกปรอดหัวโขน(นกกรงหัวจุก) ซึ่งป็นกลุ่มใหญ่ที่สุดก็ว่าได้ และนี่เป็นจุดเริ่มต้นของบันทึกนี้
สามจังหวัดชายแดนใต้ เป็นดินแดนที่อุดมสมบูรณ์ไปด้วยทรัพยาการทางธรรมชาติที่หลากหลาย ด้วยเหตุนี้ ชาวบ้านจึงไม่ค่อยขยัน เนื่องจากมีกินมีใช้อย่างพอเพียง หลังจากกรีดยางเสร็จ หรือส่งภรรยาที่ร้านอาหารเพื่อขายข้าวแกงแล้ว พวกผู้ชายก็จะมีเวลาว่างตั้งแต่หกโมงไปถึงเที่ยง ก่อนที่จะไปช่วยเก็บล้าง ( ตั้งแต่เล็กจนโตจนป่านนี้ผมก็ยังเห็นสภาพที่ส่วนใหญ่พ่อบ้านเอาเปรียบแม่บ้าน ) ช่วงที่ว่างจึงมานั่งคุยกันที่ร้านน้ำชา โดยแต่ละคนก็จะมีนกตัวเก่งมาอวด และก็คุยโม้โอ้อวดกันต่างๆนาๆ การที่ผมไปนั่งคลุกคลี ในร้านน้ำชาตั้งแต่เล็ก ผมจึงหลงใหลในเสียงของนกและมีความรู้ในการฟังเสียงและแยกแยะคุณภาพนกที่จะแข่ง จวบจนเข้าทำงานจึงลงทุนซื้อนกเขาชวาเสียงมาตัวหนึ่ง เป็นนกเสียงกลางอายุประมาณ 4 เดือน จังหวะการวางเม็ด ( คำร้อง ) และน้ำเสียงใช้ได้ทีเดียว จึงตกลงซื้อมาในราคา 15,000 บาท ผมเลี้ยงอยู่ 5 เดือน จนอายุนกเป็น 9 เดือน จึงเริ่มรู้ถึงความเปลี่ยนแปลงทุกอย่างเปลี่ยนไปในทางลบ กล่าวคือเสียงแหบ ทิ้งจังหวะ หลังจากนั้นก็เสาะแสวงหาไปเรื่อยๆ ทั้งนำมาผสม ก็ยังไม่ได้นกที่จะแข่งได้ จึงหยุดเพราะนกเต็มบ้านและเสียเงินไปหลายบาท อีกอย่างลูกเป็นภูมิแพ้ จึงปล่อยไปหมด นี่แหละเป็นสาเหตุว่าทำไมนกเขาชวาเสียง ที่เสียงดีจึงมีราคาแพง และนี่ก็เป็นสาเหตุที่ชาวบ้านเปลี่ยนมาเลี้ยงนกกรงหัวจุกมากขึ้น มีการแข่งขันทุกวัน ส่วนใหญ่แข่งขันประเภทนับดอก ( นับว่าใครร้องมากกว่ากัน ) ทำให้ธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับนกประเภทนี้เติบโตและขยายไปทั่ว ถึงกับตั้งเป็นสมาคมทีเดียว
วิถีชีวิตของชาวใต้เป็นชีวิตที่เรียบง่าย ช่วยเหลือเกื้อกูลกัน ไม่มีการแบ่งชนชั้น ศาสนา และเชื้อชาติ นั่นเป็นอดีตที่ยังมีหลงเหลือให้เห็นอยู่บ้าง เพราะความหวาดกลัวจากเหตุการณ์ความไม่สงบ ทำให้การใช้ชีวิตประจำวันเปลี่ยนไป ห่างเหินจากเพื่อนฝูง เพื่อนต่างศาสนา ร้านน้ำชาก็เงียบเหงาลงไป
ชีวิตในเมืองมีแต่ความวุ่นวายและขาดความจริงใจ ผมจึงรักและผูกพันกับที่นี่ และอยากจะเห็นที่นี่กลับมาเช่นเดิม !!!วิถีชีวิต วิถีแห่งสันติสุข !!!