บางตอนของวิถีชีวิตชาวใต้
อ่าน: 2172ทุกๆเช้าสมาชิกคอเดียวกัน จะมานั่งกินน้ำชาเพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสาร และนำกลับไปพัฒนา อาทิเช่น กลุ่มเลี้ยงนกเขาชวาเสียง นกปรอดหัวโขน(นกกรงหัวจุก) ซึ่งป็นกลุ่มใหญ่ที่สุดก็ว่าได้ และนี่เป็นจุดเริ่มต้นของบันทึกนี้
สามจังหวัดชายแดนใต้ เป็นดินแดนที่อุดมสมบูรณ์ไปด้วยทรัพยาการทางธรรมชาติที่หลากหลาย ด้วยเหตุนี้ ชาวบ้านจึงไม่ค่อยขยัน เนื่องจากมีกินมีใช้อย่างพอเพียง หลังจากกรีดยางเสร็จ หรือส่งภรรยาที่ร้านอาหารเพื่อขายข้าวแกงแล้ว พวกผู้ชายก็จะมีเวลาว่างตั้งแต่หกโมงไปถึงเที่ยง ก่อนที่จะไปช่วยเก็บล้าง ( ตั้งแต่เล็กจนโตจนป่านนี้ผมก็ยังเห็นสภาพที่ส่วนใหญ่พ่อบ้านเอาเปรียบแม่บ้าน ) ช่วงที่ว่างจึงมานั่งคุยกันที่ร้านน้ำชา โดยแต่ละคนก็จะมีนกตัวเก่งมาอวด และก็คุยโม้โอ้อวดกันต่างๆนาๆ การที่ผมไปนั่งคลุกคลี ในร้านน้ำชาตั้งแต่เล็ก ผมจึงหลงใหลในเสียงของนกและมีความรู้ในการฟังเสียงและแยกแยะคุณภาพนกที่จะแข่ง จวบจนเข้าทำงานจึงลงทุนซื้อนกเขาชวาเสียงมาตัวหนึ่ง เป็นนกเสียงกลางอายุประมาณ 4 เดือน จังหวะการวางเม็ด ( คำร้อง ) และน้ำเสียงใช้ได้ทีเดียว จึงตกลงซื้อมาในราคา 15,000 บาท ผมเลี้ยงอยู่ 5 เดือน จนอายุนกเป็น 9 เดือน จึงเริ่มรู้ถึงความเปลี่ยนแปลงทุกอย่างเปลี่ยนไปในทางลบ กล่าวคือเสียงแหบ ทิ้งจังหวะ หลังจากนั้นก็เสาะแสวงหาไปเรื่อยๆ ทั้งนำมาผสม ก็ยังไม่ได้นกที่จะแข่งได้ จึงหยุดเพราะนกเต็มบ้านและเสียเงินไปหลายบาท อีกอย่างลูกเป็นภูมิแพ้ จึงปล่อยไปหมด นี่แหละเป็นสาเหตุว่าทำไมนกเขาชวาเสียง ที่เสียงดีจึงมีราคาแพง และนี่ก็เป็นสาเหตุที่ชาวบ้านเปลี่ยนมาเลี้ยงนกกรงหัวจุกมากขึ้น มีการแข่งขันทุกวัน ส่วนใหญ่แข่งขันประเภทนับดอก ( นับว่าใครร้องมากกว่ากัน ) ทำให้ธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับนกประเภทนี้เติบโตและขยายไปทั่ว ถึงกับตั้งเป็นสมาคมทีเดียว
วิถีชีวิตของชาวใต้เป็นชีวิตที่เรียบง่าย ช่วยเหลือเกื้อกูลกัน ไม่มีการแบ่งชนชั้น ศาสนา และเชื้อชาติ นั่นเป็นอดีตที่ยังมีหลงเหลือให้เห็นอยู่บ้าง เพราะความหวาดกลัวจากเหตุการณ์ความไม่สงบ ทำให้การใช้ชีวิตประจำวันเปลี่ยนไป ห่างเหินจากเพื่อนฝูง เพื่อนต่างศาสนา ร้านน้ำชาก็เงียบเหงาลงไป
ชีวิตในเมืองมีแต่ความวุ่นวายและขาดความจริงใจ ผมจึงรักและผูกพันกับที่นี่ และอยากจะเห็นที่นี่กลับมาเช่นเดิม !!!วิถีชีวิต วิถีแห่งสันติสุข !!!
3 ความคิดเห็น
การเลี้ยงนก ชอบนก เป็นวิถีใต้ที่บ่งบอกถึงการแสวงหาความสุขแบบง่ายๆ
อยู่กับเหย้า เฝ้าดูแลนก คอยฟังเสียงนก
ระหว่างที่ฟังเสียงนก สติจะจดจ่ออยู่กับนก เข้าภวังค์ อยู่กับตัวเอง ไม่วุ่นวายกับภายนอก
ที่สวนป่า วันไหนแดดออกอากาศดี นกเขาป่าจะมาขันให้ฟังเสมอ
เป็นบรรณาการจากสวรรค์
>> ถ้าไม่สบาย >>เรื่องภูมิแพ้ก็ปล่อยไปเถอะ
วันหลังนกในธรรมชาติอาจจะมาขันให้เราฟังก็ได้
ด้วยความระลึกถึงนะ
ความคิดของคนแต่ละคน มีปัจจัยหลายอย่างในการแต่งแต้มสร้างสรรค์เส้นสมองในส่วนจิตใต้สำนึก และส่งผลออกมาให้เห็นเป็นพฤติกรรมและการแสดงออกต่างๆ กัน โดยเฉพาะการคิดเพื่อเอาตัวให้อยู่รอด ยกตัวอย่างเช่น นกที่เลี้ยงในกรง และนกที่อยู่ในป่า คิดต่างกันอย่างไรในพฤติกรรมการหาอาหาร นกที่เลี้ยงในกรง ไม่ต้องคิด ไม่ต้องวางแผนในการหาอาหาร เพราะอาหารมีรอพร้อมอยู่ในกรง แต่สิ่งที่ขาดคืออิสรภาพที่จะเลือก ทั้งที่อยู่ ชนิดอาหาร แสงแดด คู่ครอง ขึ้นอยู่กับผู้เลี้ยงจะหาให้ โดยไม่มีสิทธิออกเสียง ออกความเห็น หรือเป็นเพราะความพึงพอใจในสิ่งที่ตนได้รับ แลกกับความเป็นตัวของตัวเอง สิ่งที่พวกนี้กลัวมากที่สุดคือการต้องคิด ต้องวางแผน ความมั่นคงหรือความปลอดภัย เพราะเมื่อถึงเวลาต้องถูกปล่อยออกไปให้หากินเองแล้ว ไม่มีความมั่นใจ กลัวชีวิตจะผิดพลาด กลัวอันตราย เพราะไม่เคยถูกฝึกให้หากินเอง เปรียบเหมือนพนักงานบริษัทที่คิดว่าการไม่ทำอะไรเลย การทำตามนายสั่ง การไม่ออกความเห็น แล้วรับเงินเดือน เป็นสิ่งที่พาตัวเองรอด แต่บริษัทอาจไม่รอด แต่ถ้านกที่เลี้ยงเป็นนกเศรษฐกิจ เช่นทางใต้ เขานิยมเลี้ยงนกเสียง อาหารการกิน ย่อมถูกคัดสรรมาสำหรับนกที่เสียงดี แล้วเรามีดีที่สมควรจะได้รับรางวัลเยี่ยงนั้นหรือป่าว นกที่ร้องไม่ดีหรือเสียงไม่ดี จะถูกปล่อยคืนสู่ป่า หลายคนเคยเห็นมันพยายามบินกลับเข้ากรง เพราะมันหากินเองไม่เป็น และยอมที่จะอยู่รอด โดยแลกกับอิสรภาพของตัวเอง และไม่สนใจว่านายจะคิดอย่างไรกับมัน ต่างกับนกที่อยู่ในป่า ทุกอย่างตัวเองเลือกได้กำหนดได้ อดมื้ออิ่มมื้อ การหลบซ่อน การต่อสู้ การแสวงหาแหล่งอาหาร นั่นเป็นประสบการณ์ที่สั่งสม ยกตัวอย่างนกเขาใหญ่ นกเขาใหญ่เป็นนกที่หากินบนพื้นดิน มีอาณาเขตพอประมาณ การขันจะมี 3 ลักษณะคือขันโยน ขันเรียก และขันคู ความหมายของขันโยนคือการประกาศอาณาเขต ถ้ามีผู้บุกรุกเข้า มันจะโผน ( การบินขึ้นไปให้สูงแล้วร่อนลง เพื่อหาผู้บุกรุก ช่วงบินขึ้นจะได้ยินเสียงตีปีกตีดังพั่บๆๆ ) การขันเรียก แปลตามนั้นเลย ส่วนขันคู คือการท้ารบกันแล้ว เมื่อหิวจะบินลงสู่พื้นดิน พฤติกรรมเหล่านี้เป็นการสอนให้เรารู้จักปกป้องแหล่งอาหาร ที่อยู่ และฝูง เหมาะที่จะมาพัฒนาเป็นนกต่อ บริษัทต้องการคนประเภทนี้ และต้องการประสบการณ์จากพนักงานที่หลากหลายมาใช้ช่วยแก้ปัญหาและพัฒนาองค์กร แม้เพียงแค่ประสบการณ์จากคนเพียงคนเดียว อาจพลิกสถานการณ์ได้
การรับรู้ของคนก็เช่นกัน แต่ละคนจะรับรู้ไม่เท่ากัน ไม่เหมือนกัน ไม่เชื่อลองถามว่า ช่วยบอกหน่อยว่าข้างหน้ามีอะไร คำตอบที่ได้รับกลับมาอาจหลากหลาย แต่สิ่งหนึ่งที่อาจจะเจอเป็นคำตอบคือ !!! ไม่เห็นจะมีอะไร !!! อันนี้น่าคิด ผมกำลังจะบอกว่า ถ้าเราทำกิจกรรมใดกิจกรรมหนึ่งร่วมกัน แล้วเราไม่เห็นคุณค่าในกิจกรรมนั้น สิ่งที่จะขาดหายไปในทีมงานคือ การใส่ใจ น้ำใจ ความห่วงใย และเราจะรู้สึกว่าเราไม่มีค่า โดดเดี่ยว ความรู้สึกก็จะถูกถ่ายทอดให้กับคนรอบข้างที่ใกล้ชิดเรา เมื่อเราถ่ายทอดด้วยอารมณ์ที่เศร้า ผลที่ตามมาคนอื่นจะคล้อยตาม และกลายบรรยากาศที่หดหู่ ในที่สุดไม่ได้ทำกิจกรรมอะไรเลย เริ่มเบื่องานที่ทำ สร้างสรรค์งานอดิเรก องค์กรก็ไม่ก้าวหน้า
ประสบการณ์ทุกคนมีค่า จงเล่ามันออกมา จงถ่ายทอดมันออกมา มีใครอีกหลายคนที่ขาดประสบการณ์เช่นเรา เล่าให้เข้าฟัง เพราะเขารอคุณอยู่ และจงรับฟังประสบการณ์จากคนอื่นบ้าง ทุกอย่างจะถูกเก็บและตกผลึกภายใต้จิตใต้สำนึกของเรา และมันจะถูกดึงออกมาใช้เอง โดยที่เราไม่รู้ตัว เชื่อผมเพราะผมเชื่อว่า
!!! คุณคือคนสำคัญ !!!
นกเขามาขันให้ฟังผมไม่ค่อยห่วงหรอกครับ ไอ้ที่มันไม่ขันนี่ซิ หนักใจครับ