บรรยากาศ 4ส3

ไม่มีความคิดเห็น โดย จอมป่วน เมื่อ 10 สิงหาคม 2011 เวลา 0:51 ในหมวดหมู่ จอมป่วน #
อ่าน: 2578

หลังจากสมัครเรียนแล้วก็มานั่งลุ้นนอนลุ้นว่าจะได้เรียนไหม?  ในที่สุดก็มีชื่อนัดไปสัมภาษณ์  วันที่ไปสัมภาษณ์ต้องออกจากบ้านตั้งแต่ตีสี่ครึ่ง  ไปถึงสถาบันพระปกเกล้าก่อนเก้าโมงเล็กน้อย  ลงชื่อเสร็จก็มานั่งรอสัมภาษณ์  เจอที่คุ้นหน้าคนเดียวคือพี่โด่ง (ดร. สุนทรียา เหมือนพะวงศ์  ผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์ เพราะเป็นลูกศิษย์อาจารย์ ดร. นิกร วัฒนพนม  ในหลักสูตร Leadership Development and Networking ตั้ง 1 สัปดาห์มาด้วยกัน)

001 10-8-2554 0-29-35

พี่ธนเสกข์ ยงศุภมงคล (น้ำ) ใจดีพิมพ์ทำเนียบรุ่นให้ด้วย

ที่นั่งรอด้วยกันที่จำได้ก็มี พี่ซุ่น (อวยชัย คูหากาญจน์ ท่านคณบดีคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยหัวเฉียวเฉลิมพระเกียรติ), พี่ต่อ (อรรฆชัย ตระการศาสตร์ กรรมการบริหารและนายทะเบียนสมาชิกพรรค พรรคมาตุภูมิ), พี่พล (ผศ. ว่าที่ร.ต. สุรพล สินธุนาวา อุปนายกฝ่ายสวัสดิการและสิทธิประโยชน์ สภาทนายความ ในพระบรมราชูปถัมภ์), พี่ซิด (อับดุลอซิซ ตาเดอินทร์  ประธานฝ่ายสิทธิมนุษยชน สมาคมยุวมุสลิมแห่งประเทศไทย)…..มีใครอีกก็จำไม่ได้ละ

วันที่สัมภาษณ์อาจารย์ก็ฝากว่านักศึกษาควรให้เกียรติอาจารย์หน่อย  จะซักถามหรือแสดงความคิดเห็นก็ควรจะสุภาพ  ไม่ก้าวร้าว  ให้ตั้งใจเรียน  อย่าขาดเรียนบ่อย  ก็เลยสงสัยอยู่ในใจว่ารุ่นก่อนๆมีวีรกรรมอะไรไว้  อาจารย์ถึงได้เตือนแบบนี้

หลังจากนั้นก็มีการประกาศชื่อให้ไปรายงานตัว  วันรายงานตัวก็ไปแป๊บเดียว  เสร็จแล้วก็กลับพิษณุโลกเลย

002

วันปฐมนิเทศน์  วันนี้เจอกันพร้อมหน้าพร้อมตาหน่อย  เพราะกติกาคือ  ใครไม่มาปฐมนิเทศน์ก็จะคัดชื่อออก  วันนี้หล่อ สวยกันทุกคนเพราะแต่งสูทสถาบันกัน

เช้าไปที่พิพิธภัณฑ์พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว  มีพิธีเปิดเป็นทางการ  มีการแนะนำหลักสูตร  การปฏิบัติตัวแล้วก็เดินทางไปพัทยาเพื่อทำกิจกรรมกลุ่มให้เกิดความสนิทสนมกัน  และมีการแนะนำการปฏิบัติตัวการเรียน  การทำรายงาน  และทำโครงการของกลุ่ม

005

กิจกรรมก็สนุกดี  เริ่มรู้จักกันมากขึ้น  แต่ก็ยังไม่คุ้นกันมากนัก  อาจารย์ก็เตือนอีกว่าให้สนใจกฏกติกาหน่อย  ความจริงกติกาก็ไม่มีอะไรมาก  ปฏิบัติไม่ยาก  แต่ทำไมอาจารย์เตือนจัง  โดยเฉพาะเรื่องการเดินทางไปศึกษาดูงาน  จะเดินทางเอง  ตามไปทีหลัง  กลับก่อน  หรือไม่ไปตามตามตารางที่กำหนดไว้ก็ขอให้แจ้งล่วงหน้า  ทางสถาบันกำหนดตารางการเรียนการสอนและการศึกษาดูงานล่วงหน้าไว้เลย  แล้วแจ้งว่าให้ไปจัดตารางเวลาของตัวเองให้ว่างไว้  เพราะตารางการเรียนการสอน   การศึกษาดูงานจะไม่มีการเลื่อน  ยกเว้นที่จำเป็นมากๆจริงๆ  ที่ผ่านมายังไม่มีการเลื่อนเลย

อีกอย่างอาจารย์ก็เตือนว่า  อย่าดุน้องๆเจ้าหน้าที่ที่มาช่วยอำนวยความสดวก  ทั้งในการเรียนการสอน  การเดินทางไปศึกษาดูงาน  ดูๆแล้ว น้องๆทุกคนก็น่ารักดีออก

เริ่มเรียนกันสักพักก็เริ่มสนิทสนมกันมากขึ้น  พี่ๆ(หมายถึงพี่ๆและเพื่อนๆ  แต่ขอเรียกพี่ๆ  ยกเว้นหลวงพี่ทั้งสาม   อิอิ) ทุกคนก็น่ารักดี  สนใจการเรียน  อาจมีขาดบ้างเพราะการจัดภารกิจในช่วงแรกๆไม่ลงตัว  มีหลับบ้าง(ก็ธรรมดาของคนนอนดึก)  การซักถาม  แลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับอาจารย์และเพื่อนๆนักศึกษาด้วยกันก็ดูจะเป็นไปด้วยความเรียบร้อย   หนักไปทางสนุกสนานมากกว่า  หรือว่ายังไม่ถึงเวลา…….อิอิ

003

เช้าก่อนเข้าเรียนจะมากันค่อนข้างเช้าเพราะหนีรถติด  เวลาพักเบรกเช้า  พักกลางวัน  และเบรกบ่ายก็เริ่มคุยกัน  ถกกัน  แลกเปลี่ยนความ คิดเห็นกัน  แต่พอเลิกเรียนก็ยังไม่ค่อยคุยกัน  ต่างรีบกลับกัน  แต่ก็เริ่มมีก๊วนนัดกันไปคุย  ไปกินข้าว  เห็นวางแผนกันว่าจะพยายามจัดให้มีรายการช่วงเย็น ค่ำและดึกทุกวันที่เรียน  สองครั้งครั้งแรกลุงเอกก็ไปคุยด้วย

006

พี่เป๊กเป็นดาราภาคค่ำกับพี่เกรทครับ อิอิ

ทางสถาบันจัดกลุ่มเพื่อสื่อสารกันผ่าน e-mail  เป็น mailgroup เพื่อใช้ติดต่อสื่อสารกันในกลุ่ม  ก็มีการส่งบทความที่น่าสนใจ  ส่งลิงก์ที่น่าสนใจให้อ่าน  ใช้นัดหมายกิจกรรมทางสังคม  ปรึกษาหารือกัน  และเป็นช่องทางแลกเปลี่ยนเรียนรู้กัน  ก็ได้ผลดีมากครับ  มีเจ้าประจำมาคุยกันและขยายวงไปเรื่อยๆ

004

ถ้าขยันเรียนเหมือนขยันโยนก็จะดีเน๊าะ  อิอิ

เท่าที่ผ่านมาเกือบสองเดือนบรรยากาศก็ดีมากๆ  ยังไม่มีบรรยากาศเป็นพิษ  ราบรื่นน่ารักทั้งในกลุ่มนักศึกษาด้วยกัน  กับอาจารย์  น้องๆเจ้าหน้าที่  รวมทั้งพี่ๆ  4ส1  และ 4ส2

หวังว่าบรรยากาศคงจะดีขึ้นเรื่อยๆจนจบการศึกษา  เป็นที่รักของอาจารย์  น้องๆเจ้าหน้าที่  4ส1  4ส2  และมีผลงานเป็นที่ยอมรับของสังคม  ช่วยกันทำงานจนเกิดสังคมสันติสุขตามเจตนารมณ์ของสถาบันพระปกเกล้า

Post to Facebook Facebook


เปิดเวทีพูดคุยกับอาจารย์บัณฑร อ่อนดำ

ไม่มีความคิดเห็น โดย จอมป่วน เมื่อ 9 สิงหาคม 2011 เวลา 0:13 ในหมวดหมู่ จอมป่วน #
อ่าน: 2952

ดร. สมหมาย ปรีชาศิลป์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดมุกดาหาร

ชุมชนาภิวัฒน์คือ Localization ใช่ไหม?

อาจารย์บัณฑร อ่อนดำ

ใช่

อินเดียเป็นตัวอย่างที่ดี  ถ้าเอาหลักทฤษฎีของตะวันตกมาหมดคงใช้ไม่ได้  เราถูกตะวันตกครอบงำมา 40 ปี  การแก้ไขทีเดียวคงยาก  ต้องค่อยๆลด ละ เลิก

ถ้าจะปรับโครงสร้างไม่สำเร็จหรอก

อาจารย์ถามกลับว่า  ได้ข้อคิดบ้างไหม?

วิชชุกร คำจันทร์ นักบิน บริษัทการบินไทย จำกัด

วิชชุกร1

ได้ แต่มันช้าถ้าจะนำไปใช้

การสร้างเขื่อน  ปักเสาไฟฟ้าแรงสูงผ่านที่ชาวบ้าน  จะไปผ่านจุดที่ประชาชนไม่ได้ประโยชน์  แต่ส่งกระแสไฟฟ้าให้คนที่อื่นใช้  ไม่รู้ว่าจะเอาภูมิปัญญาชาวบ้านตัวไหนมาใช้?

น่าจะเป็นการทำความเข้าใจกับชาวบ้าน

นโยบายรัฐบาลที่ไปกระทบชาวบ้านไม่ได้ไปทำความเข้าใจกับชาวบ้าน

อาจารย์บัณฑร อ่อนดำ

ชาวบ้านยังไม่เข้มแข็ง ต้องใช้เวลาอีกนาน  ที่การรวมกลุ่มต่อสู้จะเข้มแข็ง  การรวมกลุ่มภาคประชาชนเพื่อทำกิจกรรม  ต้องหาข้อมูลและปลูกจิตสำนึกไปด้วย  การรวมกลุ่มแบบไทยๆมันบิดเบี้ยวไป

ที่ทำกันไม่ใช่ Public Participation  แล้วอันไหนใช่

การตีความของรัฐ  การรวมกลุ่มแล้วให้แต่เทคนิค  ไม่ได้ให้ความเป็นคน  เป็นการจัดตั้งกลุ่ม  การรวมกลุ่มต้องมี Public Information  มี Public Consultation

เผ่าพงษ์ เต็มสัมฤทธิ์ ผู้อำนวนการฝ่ายชุมชนสัมพันธ์ การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย

เผ่าพงษ์

ขอใช้สิทธิพาดพิง  ให้ข้อมูลเพิ่มเติม

การสร้างเสาไฟฟ้าแรงสูง เดิมไม่ได้ให้ความรู้  ปัจจุบัน ช่วงสำรวจก็จะให้ความรู้ประชาชนไปล่วงหน้า ประมาณ 2 ปี

มีการส่งเสริมพัฒนาอาชีพเสริมให้ มีการชี้แจง  แต่ชาวบ้านก็ไม่ค่อยอยากเปลี่ยนอาชีพ  แต่ก็เพิ่มเรื่องการใช้ปุ๋ยธรรมชาติ  เศรษฐกิจพอเพียง

การปักเสาพาดสาย 100 กิโลเมตร  อาจกระทบชาวบ้าน 1,000 หลังคาเรือน  ปัจจุบันใช้การมีส่วนร่วมและชดเชยการรอนสิทธิ  มีการก่อสร้างสายส่งมากขึ้นเรื่อยๆตามแผน

อาจารย์บัณฑร อ่อนดำ

ปกติก็พาชาวบ้านรบกับการไฟฟ้าฝ่ายผลิตมาตลอด

ปตท. ก็ให้ NGO มาช่วยมาก   CSR ได้รับการปฏิบัติมากขึ้น  มีแนวโน้มที่ดีขึ้น  ในระยะยาวอยากฝากเรื่อง Sustainbility (ความยั่งยืน) ไว้ด้วย

เผ่าพงษ์ เต็มสัมฤทธิ์

มีการพัฒนาเทคโนโลยีที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากขึ้น

อาจารย์บัณฑร อ่อนดำ

ตะวันตกเป็นเรื่องของเทคโนโลยี  ตะวันออกเป็นเรื่องของจิตวิญญาณ  แต่ต้องใช้ร่วมกัน  ต้องพัฒนาการมีส่วนร่วม

พันเอก ดร. พิเชษฐ คงศรี นายทหารปฏิบัติการกองบัญชาการกองทัพไทย

ขณะนี้ความหลากหลายของภูมิปัญญาไทย  และภูมิปัญญาท้องถิ่นจำกัดอยู่ในบางชุมชนเท่านั้น  การขยายผลขึ้นไปอีกระดับหนึ่ีง ในฐานะที่ทำงานกับ กอ. รมน.  มันติดเพราะระบบการบริหารราชการ  ทั้งท้องถิ่น  ภูมิภาค  และรัฐบาลกลาง

ระดับจุลภาคดี  แต่ขยายในภาพรวมไม่ได้  จะมีแนวทางหรือมาตรการอย่างไร?

อาจารย์บัณฑร อ่อนดำ

มันเป็นจุลภาคจริงๆ  ไม่เป็นมหภาค  มีปัจจัยต่างๆทั้งที่เป็นปัจจัยของรัฐบาล  และเป็นปัจจัยของชุมชนด้วย

คนไม่ค่อยสนใจเพราะมันเล็กไป  แต่ปัจจุบัน นักวิชาการ  NGO   สกว. ก็อยากให้ทำวิจัยร่วม

มีนักวิชาการ (ดร.) บางคนไปฝังตัวทำงานอยู่  มีนโยบายให้มหาวิทยาลัยราชภัฏ Focus ตรงนี้ได้มั๊ย?

มหาวิทยาลัยต่างๆสู้มห่วิทยาลัยราชภัฏไม่ได้  เพราะราชภัฏศึกษาชุมชนมาตลอด  แต่ก็ขาดบุคลากร  คงต้องใช้เวลาอีกนาน  แต่ราชภัฏก็ทำแบบครู  ขาด Participation  ต้องอาศัยพลังอีกมาก  ที่จะทำให้มันเป็น Macro

ดร. สุเมธ ตันติเวชกุล  อาจารย์สุธาวัลย์ เสถียรไทย  และอีกหลายๆท่านก็พยายามอยู่  ทั้ง สกว.  สสส.   พอช. ก็พยายามอยู่  ต้องใช้วิธีพัฒนาชุมชน  ต้องทำงานกับคน  ต้องปรับเรื่องการวิจัย

เรามัวแต่แก้ปัญหา  แต่ไม่นำปัญญามาใช้  ไม่ได้ Intregate  จะเอาองค์ความรู้ไปพัฒนาชุมชนอย่างไร?

รศ. ดร. ประเสริฐ ชิตพงศ์ สมาชิกวุฒิสภา

ภูมิปัญญาท้องถิ่น เป็นฐานรากที่สำคัญของสังคมไทย  ท้องถิ่น  ชาวบ้านมีความขัดแย้งทางด้าน

  • ทรัพยากรธรรมชาติ
  • เศรษฐกิจ
  • การเมือง

การเมืองท้องถิ่นต้องต่อสู้กันอย่างรุนแรง

อยากถามว่า  การขับเคลื่อนเอาภูมิปัญญาท้องถิ่นไปแก้ไขความขัดแย้งในท้องถิ่น  มีหลักการ  มีตัวอย่างที่ประสบความสำเร็จบ้างไหม?

จะนำไปสู่ความเข้าใจและปฏิบัติอย่างไร?

อาจารย์บัณฑร อ่อนดำ

ตอนแรกก็ประเมินว่าแก้อย่างอื่นได้หมด แต่คงแก้การเมืองไม่ได้  แต่ 4-5 ปีมานี้  ที่ตำบลควนรู  อ.รัตภูมิ จ.สงขลา  มีตัวอย่างการปรองดองของชาวบ้าน  มีกระบวนการ  แบบเกิดปาฏิหาริย์  วิธีการน่าจะนำมาเสนอ  มันมีภูมิปัญญาซ่อนอยู่  แต่ยังถอดออกมาไม่ได้

รศ. ดร. ประเสริฐ ชิตพงศ์

กรณีควนรู จังหวัดสงขลาเป็นตัวอย่างการแก้ไขความขัดแย้งด้านการเมืองท้องถิ่น  อบต. นี้ตายกันมาเยอะ  ยิงกันตายไปมาก  ชาวบ้านเลยจัดระบบ  ผู้ที่จะเข้าสู่อำนาจ  ผู้ที่จะมาเป็นผู้นำท้องถิ่น  ต้องได้รับฉันทานุมัติจากชาวบ้านก่อน  จึงจะลงเลือกตั้งได้  ถ้าใครสนใจก็ลงไปศึกษาได้

อาจารย์บัณฑร อ่อนดำ

คุณสมนึก หนูเงิน ประธานสภาองค์กรชุมชนที่ควนรูทำเรื่องยาเสพติดและอีกหลายๆเรื่อง  นอกจากเรื่องการเมืองท้องถิ่น

ที่ควนรูสามารถทำด้าน

  • ป้องกัน
  • บำบัดรักษา ฟื้นฟู
  • ป้องปราม  ไม่ใช้คำว่าปราบปราม  เน้นบำบัดรักษาโดยชุมชน  ประสบความสำเร็จมาก

ที่อื่นๆ   พูด  แต่ไม่ทำ

อาจารย์พูดถึงเรื่อง “กำปง ตักวา” หรือ เครือข่ายชุมชนศรัทธา   กรณีใช้ศาสนาพัฒนาชุมชน   คำว่า ตักวา หรือความยำเกรงต่อพระผู้เป็นเจ้า  อาจหมายความถึงศรัทธา

ความแตกต่างของ ตักวา ของแต่ละบุคคลหมายถึงความแตกต่างหลากหลายของความเชื่อ

พันเอก เอื้อชาติ หนุนภักดี นายทหารประจำกรมข่าวทหารบก

เห็นปัญหาความเป็นจริง  ภูมิปัญญาท้องถิ่นกำลังต่อสู้กับโลกาภิวัฒน์  การใช้ Social Media  ข้อมูลข่าวสาร  ภูมิปัญญาท้องถิ่นกลับสู้โลกาภิวัฒน์ไม่ได้

ภูมิปัญญาท้องถิ่นก็ต้องอาศัยเทคโนโลยีช่วย  ถ้าจะเอาแต่พออยู่  พอกิน  คงไม่พอ  จะผลิตเหลือกินแล้วแจกกัน  ยังขายไม่เป็น  ถ้าไม่ขายก็ทำไม่ได้  ต้องสนใจศึกษาตลาด  ภูมิปัญญาจะยั่งยืนต้องมีตลาด

อาจารย์บัณฑร อ่อนดำ

สังคมไทยชอบลอกเลียนแบบกัน  เรื่อง CSR นิด้าก็จะทำ CSR  นิด้าไม่ใช่องค์กรทางเศรษฐกิจ  ไม่ได้เอากำไรมาแบ่ง  นิด้าไม่มีกำไร

Post to Facebook Facebook


ภูมิปัญญาท้องถิ่น: ต้นทุนทางสังคมไทยในการจัดการความขัดแย้ง(2)

ไม่มีความคิดเห็น โดย จอมป่วน เมื่อ 8 สิงหาคม 2011 เวลา 22:18 ในหมวดหมู่ จอมป่วน #
อ่าน: 2279

กรณีศึกษา: ป่าชุมชน

พ.ศ. 2532 เหตุเกิดที่ บ้านห้วยแก้ว อุทยานแห่งชาติป่าแม่ออน อ.สันกำแพง จ. เชียงใหม่

ชาวบ้านที่บ้านห้วยแก้วกิ่ง อ.แม่ออน รวมพลังคัดค้านนายทุนที่เข้ามาเช่าพื้นที่ป่าสาธารณะเพื่อปลูกสวนป่าเศรษฐกิจจุดกระแสการเรียกร้องกฎหมายป่าชุมชนเป็นครั้งแรก และนำเสนอนโยบายสาธารณะ ในการจัดการทรัพยากรท้องถิ่นแบบมีส่วนร่วม ทำให้เกิด พรบ.ป่าชุมชนขึ้น เป็นการใช้ภูมิปัญญารักษาป่า

ภูมิปัญญาของชาวบ้าน  รวมทั้งปกาเกอะญอก็มีความคิด ความเชื่อที่จะดูแลรักษาป่า

……เราอยู่กับป่ามาหลายสิบปี มีภูมิปัญญา  ความเชื่อ ที่จะรักษาป่า  แล้วนำมาตั้งเป็นกฏ ระเบียบป่าที่เป็นรูปธรรม  เป็นป่าชุมชน

กรณีศึกษา: ภาคใต้  ป่าพรุคันธุลี อ.ท่าชนะ จ.สุราษฎร์ธานี

ตัวอย่างท่านพุทธทาสรักษาป่า  ธรรมะคือธรรมชาติ  พระเจ้าคือธรรมชาติ  ป่าคือธรรมชาติ  ความศักดิ์สิทธิ์  คนทำให้ศักดิ์สิทธิ์  บริบทที่ทำให้ศักดิ์สิทธิ์คือคน

ป่าพรุคันธุลีเดิมเป็นแหล่งทรัพยากรน้ำ  พืชพรรณ สัตว์น้ำและสัตว์ป่า  ต่อมามีปัญหาทั้งจากการใช้ประโยชน์ของชาวบ้านและทางราชการ   นับตั้งแต่การให้สัมปทานไม้เพื่อทำไม้หมอนรถไฟของการรถไฟแห่งประเทศไทย   ชาวบ้านก็อพยพเข้าจับจองพื้นที่ป่าพรุ  ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2470-2505  มีการทำลายป่าพรุอย่างต่อเนื่องทำให้เกิดปัญหาการขาดแคลนน้ำในการเพาะปลูก  เกิดไฟป่าอย่างรุนแรงในปี พ.ศ. 2525  ซึ่งทำลายป่าพรุไปมากกว่าครึ่ง

พ.ศ. 2533 มีนายทุนเข้ามากว้านซื้อที่ดินจากชาวบ้านเพื่อปลูกยางพาราและปาล์มน้ำมัน  ส่งผลต่อความเป็นอยู่ของชาวบ้าน  มีการตัดไม้เพื่อสร้างศูนย์วิจัยยาง  ส่งผลต่อการลดลงของน้ำและทำให้เกิดความไม่มีเสถียรภาพของป่าพรุ

ชาวบ้านจึงเริ่มมีแนวคิดที่จะรักษาพื้นที่ชุ่มน้ำพรุคันธุลี  ซึ่งมีพื้นที่ 875 ไร่  อาศัยแนวธรรมะคือธรรมชาติของท่านพุทธทาส  โดยคุณจันทโชติ ภู่ศิลป์  เป็นแกนนำก่อตั้งกลุ่มอนุรักษ์พรุขึ้นมา  เริ่มทำกิจกรรมฟื้นฟู  เริ่มจาก

  • ชุมนุมขับไล่นายทุนที่เข้ามากว้านซื้อที่ดินบริเวณพรุออกไปจากพื้นที่ในปี พ.ศ. 2534
  • ร่วมกันขุดคูน้ำจากคลองส่งน้ำของโครงการเร่งรัดพัฒนาชุมชนเข้ามาเก็บไว้ในพรุ
  • วางแผนอนุรักษ์พื้นที่ชุ่มน้ำพรุคันธุลี
  • เป็นแกนกลางในการติดต่อระหว่างชาวบ้านกับหน่วยงามที่รับผิดชอบดูแลพื้นที่ป่าพรุ
  • ปลูกจิตสำนึกแก่ชาวบ้านและเยาวชนที่อาศัยอยู่รอบๆพื้นที่ชุ่มน้ำพรุคันธุลี

ในปี พ.ศ. 2540 มูลนิธิคุ้มครองสัตว์ป่าและพันธุ์พืชแห่งประเทศไทย  พบพรรณพืข 36 ชนิด  พรรณปลา 29 ชนิด  สัตว์ป่า 98 ชนิด  นกประเภทต่างๆมากถึง 50 ชนิด  พบหอยทาก 2 ชนิดที่ไม่มีรายงานพบในประเทศไทยมาก่อน

ปัจจุบันป่าพรุคันธุลีเป็นเป็นแหล่งศึกษาด้านธรรมชาติวิทยา ในฐานะที่เป็นหนึ่งในพื้นที่ชุ่มน้ำของภาคใต้ตอนบน  มีหลักสูตรสิ่งแวดล้อมศึกษา เรื่องป่าพรุคันธุลีในโรงเรียนท่าชนะและเยาวชนในท้องถิ่นของตัวเอง

อีกกรณีหนึ่งของภาคใต้คือพื้นที่อ่าวปัตตานี

อ่าวปัตตานีซึ่งมี 30 หมู่บ้าน  ประชากรประมาณ 50,000 คน  เดิมก็มีความอุดมสมบูรณ์มาก  ต่อมาก็เริ่มมีเรืออวนรุนอวนลากเข้ามา  เกิดผลกระทบต่อจำนวนสัตว์น้ำมาก  รวมทั้งปัญหาโรงงานอุตสาหกรรม  การทำลายระบบนิเวศน์ชายฝั่งเพื่อเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ

เกิดความขัดแย้งระหว่างกลุ่มที่ทำอวนลากซึ่งมีฝ่ายราชการบางหน่วยงานและนายทุนหนุนหลัง  กับกลุ่มที่ทำประมงพื้นบ้านตามวิถีเดิมที่มีกรมประมงคอยช่วยเหลือ

จนในที่สุดชุมชนก็แตกสลายเพราะจับปลาไม่ได้  มีการอพยพไปประกอบอาชีพในพื้นที่อื่นรวมทั้งประเทศเพื่อนบ้าน(มาเลเซีย)

ปัจจุบันชาวบ้านก็เริ่มหันกลับมาแก้ปัญหาใหม่  ด้วยการปลูกจิตสำนึก  ศึกษาเรื่องราววัฒนธรรมชุมชน  ใช้ลิเกฮูลู  เป็นสื่อชาวบ้านเพื่อปลูกจิตสำนึก  นำไปสู่การมีเครือข่ายฟื้นฟูอ่าวปัตตานี  ใช้ภูมิปัญญาเป็นสื่อในการปลูกจิตสำนึก

เริ่มจากเครือข่าย 13 ชุมชน  แล้วจะขยายอีก 22 ชุมชน

……….นักวิชาการมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี กลุ่มหนึ่ง นำโดย อ.นุกูล รัตนดากูล ได้ร่วมกันทำวิจัยลุ่มน้ำสายบุรี ซึ่งเป็นอู่ข้าวอู่น้ำสำหรับคนในพื้นที่ยะลา นราธิวาส และปัตตานี
“ชาว บ้านที่นี่ยังมีความผูกพันอยู่กับความเชื่อทางศาสนาอยู่มาก และวิถีชีวิตของพวกเขาเชื่อมโยงอยู่กับธรรมชาติ แต่เพราะความบริสุทธิ์ของพวกเขาทำให้กลายเป็นจุดอ่อนที่ถูกเอารัดเอาเปรียบ อยู่เสมอ” การคลุกคลีอยู่กับชาวบ้านในชุมชนมาหลายสิบปี ทำให้ อ.นุกูลเข้าใจและเข้าถึงชาวบ้านเป็นอย่างดี “เหมือนนิทานเรื่องม้าอารี พอชาวบ้านยอมให้คนนอกเข้ามา แต่ในที่สุดตัวเองก็อยู่ไม่ได้ ที่เห็นเป็นตัวอย่างคือ เรื่องการเลี้ยงกุ้ง เลี้ยงหอย ที่เอาที่ส่วนรวมของชุมชนไปใช้ สุดท้ายก็ตกไปเป็นของนายทุน”
แม้การ ทำลายทรัพยากรธรรมชาติของทุกที่ทั่วประเทศไทยจะตกอยู่ในอาการเดียวกัน แต่ อ.นุกูลมองว่าในส่วนของแม่น้ำสายบุรียังถูกทำลายน้อยกว่าแม่น้ำสายอื่น เนื่องจากมีเงื่อนไขบางประการที่ช่วยปกป้องเอาไว้
“การจัดการฐาน ทรัพยากรให้เกิดความเป็นธรรมเป็นเรื่องที่สำคัญ การที่ภาครัฐจะเข้ามาดำเนินการอย่างหนึ่งอย่างใดควรให้ชุมชนเข้าไปมีส่วน ร่วม และกลไกของรัฐต้องปรับวัฒนธรรมการทำงาน ที่สำคัญคือต้องแสดงให้เห็นถึงความจริงใจ ไม่ใช่ทำงานกันแบบฉาบฉวย”….

จาก จากต้นน้ำสู่ปากอ่าว “สายบุรี” ลัดเลาะชุมชนมุสลิมมลายู(จบ)
โดย ภาสกร จำลองราช padsakorn@hotmail.com

อีกกรณีหนึ่งจากอีสานคือเรื่องเกลือโปแตซ

เกลือมีความสำคัญต่อมนุษย์มาก บางคนเรียกเกลือเป็นทองคำขาว

  • สมัยโรมัน  ใช้เกลือเป็นค่าจ้างทหาร (บางคนว่า Salary มาจากคำว่า Salt)
  • สมัยก่อนมีพ่อค้าที่เดินทางในทะเลทรายจำนวนมาก  ราคาเกลือแพงพอๆกับทองคำ
  • ประเทศฝรั่งเศส(สมัยพระเจ้าหลุยส์ที่ 16) มีเหตุการณ์วุ่นวายเนื่องจากเก็บภาษีเกลือสูงเกินไป
  • อินเดีย สมัยที่อังกฤษปกครองอยู่  ห้ามคนอินเดียทำเกลือ  คานธีเลยประท้วงอย่างสงบจนเป็นเอกราชพ้นจากการปกครองของอังกฤษ
  • ในสงครามกลางเมืองของอเมริกา  ฝ่ายเหนือคุมโรงงานผลิตเกลือได้  เป็นเหตุให้ชนะสงคราม
  • สมัยอยุธยา สนธิสัญญาเบาว์ริง  รัฐบาลสยามสงวนสิทธิในการส่งออก ข้าว เกลือและปลา  ถ้าเห็นว่าจะขาดแคลน

อาณาจักรเกลือในดินแดนอีสาน คือหลักฐานที่ห้วงทะเลได้ฝากทิ้งไว้ ราว ๑๐๐ ล้านปีมาแล้ว น้ำทะเลที่ไหลท่วมดินแดนแห่งนี้ได้ถูกปิดกั้นด้วยเทือกเขา การยกตัวของเทือกเขาภูพานตอนกลางของภาค ได้ทำให้เกิดการแบ่งดินแดนอีสานเป็น ๒ ส่วน มีลักษณะเป็นแอ่งคล้าย ๆ ก้นกะทะ ประกอบด้วย ส่วนที่อยู่ทางเหนือเรียกว่า “แอ่งสกลนคร” และส่วนทางตอนใต้ที่เรียกว่า “แอ่งโคราช”

ขอบแอ่งที่ยกตัวขึ้นนั้นก็ได้กั้นให้เกิดเป็นทะเลปิด น้ำทะเลที่ถูกขังอยู่ใน “แอ่ง” นานวันเข้าน้ำเค็มเหล่านี้ก็ถูกแสงแดดแผดเผาจนเหลือเป็นเพียงตะกอนเกลือหิน และ แร่โพแตชที่เป็นแร่ที่พบไม่กี่แห่งในโลกอยู่บนแผ่นดิน และจากการเปลี่ยนแปลงทางธรณีวิทยาตลอดเวลาน้ำบาดาลก็ได้กัดเซาะโดมเกลือ (dome) ใต้ดินจนทรุดตัวลงกลายเป็นทะเลสาบต่างๆ ดังนั้นหากพบหนองน้ำหรือทะเลสาบที่ไหนในภาคอีสาน เช่น บึงกาฬ (หนองคาย) หนองหาร ( สกลนคร) และหนองหาน ( อุดรธานี) จึงให้สันนิษฐานได้ว่าข้างล่างเป็นโดมเกลือนั้นเอง

“ผลึกเกลือ” อันเกิดขึ้นจากการเกาะเกี่ยวกันอยู่ระหว่างโมเลกุลของโซเดียมกับคลอไรด์ (NaCI) นี้ มนุษย์รู้จักมันมานานนับพันๆปี ตั้งแต่ก่อนยุคประวัติศาสตร์ เกลือเป็นสิ่งมีค่ายิ่งนอกจากเป็นแร่ธาตุจำเป็นต่อร่างกายที่ช่วยรักษาสมดุล ในร่างกายแล้ว เกลือยังมีบทบาทในชีวิตประจำวันอย่างมาก เป็นวัตถุดิบที่สำคัญในข้าวของเครื่องอุปโภคบริโภคจำนวนไม่น้อย เช่น น้ำปลา สบู่ ผงชูรส น้ำหอม ฟอกสีกระดาษและสิ่งทอ การฟอกหนัง ทำวัตถุระเบิด ใช้ในอุตสาหกรรมเหล็กกล้าและรถยนต์ อุตสาหกรรมด้านอาหาร ทำฝนเทียม เป็นต้น

จาก แอ่งเกลือ ขุมทรัพย์อีสาน โดยบัวอีน

นอกจากนี้ ประโยชน์ที่สำคัญที่สุดของแร่โปแตชคือ การนำไปสกัดให้ได้เป็นโพแทสเซียมในการผลิตปุ๋ย   ซึ่งมีค่ามหาศาล

clip_image002

ภาพ Pimai Salt Mining;โรงงานเกลือที่ใหญ่ที่สุดในประเทศอยู่ที่โคราชที่อำเภอพิมาย
ที่มา
www.nesac.go.th

clip_image001

กลุ่มอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมอุดรธานี เรียกร้องให้ยุติบทบาทกรรมการแก้ไขปัญหาการดำเนินโครงการเหมืองแร่โปแตซ

ภาคอีสานเป็นแหล่งที่มีเกลือและโปแตซมาก  แต่การนำมาใช้ประโยชน์ก็จะก่อปัญหากับสิ่งแวดล้อมและวิถีชีวิตของชุมชนอย่างมากมายเช่นกัน  ก็เป็นปัญหาที่ท้าทายในอนาคต

เราจะใช้ภูมิปัญญาท้องถิ่นแก้ปัญหานี้ได้ไหม?

เราจะให้ประชาชนมีส่วนร่วม  พูดคุยกันว่าจะนำทรัพยากรธรรมชาติจำนวนมหาศาลนี้มาใช้ประโยชน์ร่วมกันอย่างไร?

กระบวนทัศน์ทุนนิยม  โลกาภิวัฒน์  หรือวิถีตะวันตกจะมองโลกแบบแยกส่วน  มองเป็นการแข่งขัน  ผู้ที่แข็งแรงเท่านั้นที่จะอยู่รอด  เชื่อว่าวิทยาศาสตร์สามารถเอาชนะธรรมชาติได้  ยอมรับว่าทฤษฎีความรู้เหนือกว่าสิ่งใด  เชื่อเรื่องการรวมศูนย์อำนาจ  และมีวิวัฒนาการเป็นเส้นตรง  มุ่งไปข้างหน้าอย่างไม่หยุดยั้ง

ส่วนกระบวนทัศน์ชุมชนาภิวัฒน์ หรือวิถีตะวันออก  จะมองตรงข้าม คือมองโลกเป็นองค์รวม  เชื่อในความร่วมมือ  ประสานเป็นหนึ่งกับธรรมชาติ  เชื่อในวิถีปฏิบัติ  เชื่อในการกระจายอำนาจไปสู่ท้องถิ่นและชุมชน  และเน้นความสำคัญทางจิตวิญญาณ

แต่อาจารย์ก็สรุปว่า  คงต้องดำเนินไปโดยยึดทางสายกลาง  ประยุกต์ใช้ทั้งสองทาง

Post to Facebook Facebook


ภูมิปัญญาท้องถิ่น: ต้นทุนทางสังคมไทยในการจัดการความขัดแย้ง

ไม่มีความคิดเห็น โดย จอมป่วน เมื่อ 7 สิงหาคม 2011 เวลา 21:31 ในหมวดหมู่ จอมป่วน #
อ่าน: 2384

อาจารย์ บัณฑร อ่อนดำ ผู้เชี่ยวชาญด้านการมีส่วนร่วมของประชาชน

อดีตกรรมการปฏิรูป

บัณฑูร อ่อนดำ

อาจารย์เริ่มทำความเข้าใจกับแนวความคิดวัฒนธรรมชุมชนก่อน

อาจารย์ให้รายชื่อหนังสือให้ไปอ่าน  เช่น

  • แนวคิดวัฒนธรรมและเศรษฐกิจชุมชนกับการเปลี่ยนแปลงสังคมไทย (บริษัท สำนักพิมพ์สร้างสรรค์ จำกัด)
  • ภูมิปัญญา วิถีชุมชน  วิถีธรรมชาติ (ศยามล ไกยูรวงศ์และคณะ)
  • ภูมิปัญญาตะวันออกฝ่ามรสุมโลกาภิวัฒน์ (ยุค ศรีอาริยะ)
  • ภูมิปัญญาบูรณาการ (ยุค ศรีอาริยะ)
  • เกลืออีสาน….องค์ความรู้สู่ยุทธศาสตร์การจัดการอย่างยั่งยืน (เครือข่ายนักวิชาการนิเวศวัฒนธรรมอีสาน)
  • ราษีไศล ภูมิปัญญา สิทธิ และวิถีแห่งป่าทามแม่น้ำมูน (งานวิจัยไทบ้าน)
  • ฟื้นภูมิปัญญา ฝ่าวิกฤติโลก (เครือข่ายเกษตรกรรมทางเลือกภาคอีสาน)
  • ชุมชนปายกับกระบวนการสร้างวาทกรรมการพัฒนาและการกำหนดชะตากรรมของตนเองในแนวทางสิทธิมนุษยชน (คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ปี 2546-2549)
  • เยียวยาแผ่นดิน (คณะทำงานวาระทางสังคม สถาบันวิจัยสังคม จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย)

อาจารย์เล่าให้ฟังถึงเรื่อง สังคายนาวาติกันครั้งที่ 2

Altar-at-Vatican-II

……….ในสังคายนาครั้งนี้ มีพระสังฆราชเข้าร่วม 2860 องค์ พระสันตะปาปายอห์นที่ 23 ซึ่งเป็นผู้ประกาศให้มีสังคายนาครั้งนี้และได้ให้มีการเตรียมการก่อนถึงสาม ปีเศษ ได้เป็นผู้เปิดการประชุมเมื่อวันที่ 11 ตุลาคม 1962 ซึ่งได้ดำเนินไปจนถึงวันที่ 8 ธันวาคม 1965 จึงได้ปิดลง โดยพระสันตะปาปาปอลที่ 6 เป็นประธาน (เพราะพระสันตะปาปายอห์นที่ 23 ได้ถึงแก่อสัญกรรมในปี 1963 เมื่อสังคายนาได้ดำเนินมาเพียงภาคเดียว)

สังคายนาวาติกันที่ 2 สิ้นสุดลงพร้อมกับเอกสารสำคัญ 16 ฉบับ ซึ่งบรรดาพระสังฆราชได้ลงมติด้วยการออกเสียงสนับสนุนเป็นเอกฉันท์ ประกอบด้วยพระธรรมนูญ (Constitution) 4 ฉบับ กฤษฎีกา (Decrete) 9 ฉบับและปฏิญญา (Declaration) 3 ฉบับ……

จาก สังคายนาวาติกันครั้งที่ 2 เสรี พงศ์พิศ

อาจารย์สรุปว่า  ศาสนาคริสต์หันมามองในบริบทสังคมยุคใหม่  ศาสนาไม่ได้ช่วยอะไรเลย  ต้องปฏิรูปศาสนา

ศาสนาทำอะไรอยู่  รอคนเข้ามาหา  จะมีบทบาทอะไร?

แนวคิดการปฏิรูปศาสนา  ถ้าเป็นพระก็ต้องเป็นพระอยู่ในโลกนี้  ไม่ใช่อยู่นอกโลก  สรุปว่าต้องเปลี่ยนยุทธศาสตร์

ต้องลงไปหาประชาชน  ไปกิน  ไปอยู่ พลังของการปลดปล่อย  กอบกู้  หลุดพ้นอยู่ที่ประชาชน  ไปหามาให้เจอ

ทุกศาสนาค้นพบคล้ายๆกัน  “ความคิดของประชาชน แตกต่างจากพระและข้าราชการ”

อาจารย์พูดถึง

  • คุณพ่อนิพจน์ เทียนวิหาร จากศูนย์วิจัยและฝึกอบรมศาสนาและวัฒนธรรม อ. ดอยสะเก็ด เชียงใหม่  ที่ทำงานด้านคนลาวอพยพ
  • อาจารย์ฉัตรทิพย์ นาถสุภา  สนใจชุมชนด้านเศรษฐศาสตร์การเมือง
  • อาจารย์เทียนชัย วงศ์ชัยสุวรรณ หรือ ยุค ศรีอารยะ

ที่เริ่มสนใจวัฒนธรรมชุมชน  เริ่มค้นหาแนวความคิดของประชาชนตั้งแต่ทศวรรต ที่ 20 (ตั้งแต่ 2520..)

ชัชวาลย์ ทองดีเลิศ…….

…..แนวความคิดของชาวบ้านมีลักษณะเด่น 3 อย่าง

  1. เคารพธรรมชาติ  รวมถึงความเชื่อเรื่องผีสาง
  2. อยู่กันแบบพี่น้อง ญาติ
  3. มีการพึ่งพากันในชุมชน

แนวความคิดของคนข้างล่างมีอุดมการณ์  มีวัฒนธรรมเป็นทุนทางสังคม  และเปิดพื้นที่ทางสังคมใหม่ๆ

ภูมิปัญญาไม่ใช่เรื่องอดีตเท่านั้น  มีปัจจุบันด้วย  ไม่จำเป็นต้องเป็นภูมิปัญญาเก่า  แต่มีกระบวนการเรียนรู้ร่วมกัน  เกิดองค์ความรู้ใหม่ๆ

อาจารย์เล่าให้ฟังว่าเป็นที่ปรึกษาสมัชชาคนจน  และเกษตกรรายย่อยด้วย  เดิมก็ทำงานเกี่ยวกับภูมิปัญญาด้านการเกษตร  ภูมิปัญญาด้านยารักษาโรค(ยาสมุนไพร)

ไปทำงานด้านการมีส่วนร่วมที่ฮ่องกงอยู่พักนึง

การรวมกลุ่มมีทั้งการรวมกลุ่มเพื่อผลประโยชน์และการรวมกลุ่มเพื่อช่วยเหลือซึ่งกันและกัน

เดิมก็เข้าใจผิดเพราะเรียนมา  นึกว่าวิชาการใหม่ๆถูกต้อง  เชื่อและสอนแต่ทฤษฎีตะวันตก

ตอนหลังเปลี่ยนจากนักวิชาการมาเป็นนักปฏิบัติ – Activist

การลงแขกของเราก็เป็นการรวมกลุ่มอยู่แล้ว

ต่อสู้ระหว่างแนวความคิดสองด้าน  การเกษตรที่ใช้สารเคมี CP- เกษตรพันธะสัญญา vs เกษตรธรรมชาติ(ยั่งยืน)

ทศวรรตที่ 30

สมัยนายกฯ ชาติชาย  มีการแย่งชิงทรัพยากรธรรมชาติ  มีตัวละคร 3 ตัว

  1. ราชการ
  2. พ่อค้า นายทุน นักธุรกิจ
  3. ชาวบ้าน (ซึ่งแพ้มาตลอด)

อาจารย์พูดถึงการต่อสู้ทางแนวความคิดของ 2 ทฤษฎี คือ

  • กระบวนทัศน์ของชุมชนาภิวัฒน์- ตะวันออก
  • กระบวนทัศน์ของโลกาภิวัฒน์- ตะวันตก (ทุนนิยม)  ซึ่งทำให้ก้าวไปข้างหน้าแต่ขาดความเป็นมนุษย์

อาจารย์บอกว่าทางตะวันออกอธิบายด้วย เกิด แก่ เจ็บ ตาย เป็นวัฏจักร  แต่ของตะวันตก  ไปข้างหน้า  แล้วตกทะเลตาย

ความแตกต่างของความคิดของชาวบ้านกับระบบนายทุน  ไม่มีวันอธิบายได้ด้วยทฤษฎีของทางตะวันตก  ต้องใช้ทฤษฎีทางตะวันออกมาอธิบาย

ถ้ามีความขัดแย้งเกิดขึ้น  ภูมิปัญญาจะช่วยอะไรได้ไหม?

ต้องการศึกษาว่า ภูมิปัญญาจะช่วยแก้ไขความขัดแย้งอะไรได้บ้าง?  อย่างไร?

Post to Facebook Facebook


แลกเปลี่ยนเรียนรู้กับอาจารย์นพพร โพธิรังสิยากร

ไม่มีความคิดเห็น โดย จอมป่วน เมื่อ 6 สิงหาคม 2011 เวลา 23:43 ในหมวดหมู่ จอมป่วน #
อ่าน: 2275

ดร. สมหมาย ปรีชาศิลป์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดมุกดาหาร

ถ้าการเจรจาใช้กลุ่มจะได้ผลไหม?

อาจารย์นพพร โพธิรังสิยากร

ถ้าเจรจากับกลุ่มก็ใช้การเจรจากับตัวแทน  มีการจัดแบ่ง Stakeholder จะลดจำนวนคนที่จะเจรจาให้เหลือน้อยลง  เป็นอีกวิชาหนึ่งว่าด้วยการจัดการอารมณ์  การเปลี่ยนประเด็น การลดทุนทรัพย์  คงจะเป็นอาจารย์หมอวันชัยมาพูดเรื่องนี้

อับดุลอซิซ ตาเดอินทร์ ประธานฝ่ายสิทธิมนุษยชน สมาคมยุวมุสลิมแห่งประเทศไทย

การเจรจาต้องมี 2 ฝ่าย  สำหรับกรณีสามจังหวักชายแดนภาคใต้  ไม่ทราบว่าใครจะเป็นคู่เจรจา  หรือรัฐบาลไม่ยอมรับคู่เจรจา

อาจารย์นพพร โพธิรังสิยากร

ที่อาเจะห์ มินดาเนา ไอร์แลนด์เหนือ  อัฟริกาใต้ก็มีตัวแทนมาเจรจา  แต่ประเทศไทยการเมืองยังไม่นิ่ง  เลยไม่รู้จะเจรจากับใคร

หะยีสุหลงก็เป็นคนที่เรียกร้องให้กับ 4 จังหวัดภาคใต้ในขณะนั้น  แต่โอกาสไม่เอื้ออำนวย  ถูกจับ ถูกจำคุก  หลังจากพ้นโทษก็หายสาปสูญไปในปี 2497

แล้วใครล่ะจะกล้ามาเป็นตัวแทนมาเจรจา

ทำไมไม่ทำเหมือนในต่างประเทศ ?  การเมืองต้องนิ่งก่อน

…………อาจารย์คงหมายถึงรัฐบาลต้องมีเสถียรภาพ  มีอำนาจที่แท้จริง  สามารถกำหนดนโยบายต่างๆ  และทุกฝ่ายต้องดำเนินการตามนโยบายที่รัฐบาลได้เสนอต่อประชาชนและนโยบายที่ได้แถลงต่อสภาฯ ไว้

Post to Facebook Facebook


ศาสตร์และศิลป์แห่งการเจรจาไกล่เกลี่ย(3)

ไม่มีความคิดเห็น โดย จอมป่วน เมื่อ 6 สิงหาคม 2011 เวลา 22:18 ในหมวดหมู่ จอมป่วน #
อ่าน: 1781

ความสัมพันธ์มีความสำคัญในเรื่องของความขัดแย้ง

circle_of_conflict1

Circle of Conflict

จะเห็นว่าคนเราจะมีความขัดแย้งกัน

  • ด้านความสัมพันธ์
  • ข้อมูล
  • ผลประโยชน์
  • โครงสร้าง
  • ค่านิยม

ความสัมพันธืเป็นสิ่งที่สร้างได้ง่ายและสามารถทำลายได้ง่ายที่สุดด้วย

ความเสี่ยงช่วยสร้างและทำลายความสัมพันธ์  ความเสี่ยงน้อยความสัมพันธ์ก็จะดี  ความเสี่ยงมากความสัมพันธ์จะไม่ดี

ความหวง ความห่วงและความกังวลทำให้เกิดความเสี่ยง  ถ้าต้องการลดความเสี่ยงก็จะต้องลดความหวง ความห่วง  และความกังวลลงให้เหลือน้อยที่สุด  แล้วความสัมพันธืจะดีขึ้น  ความใส่ใจก็จะกลับมา

ในกรณีที่คนไข้ฟ้องหมอ  ก็เป็นเพราะความสัมพันธ์ไม่ดี  เพราะหมอทำให้เกิดความเสี่ยงมาก  พ่อแม่ ญาติพี่น้องพาคนไข้ไปโรงพยาบาลจะมีความเป็นห่วง  ความกังวลมาก  แต่ไปเจอหมอ  พยาบาล  บุคลากรในโรงพยาบาลท่าทีเฉยๆเพราะเจอมามาก  เห็นมามาก  รู้ว่าไม่เป็นอะไรมากก็มีท่าทีเฉยๆ  อาจจะรอผลแลป  ผลการตรวจเอกซ์เรย์  แต่ญาติเห็นไม่ทำอะไร  รู้สึกว่าไม่ใส่ใจ  ไม่เอาใจใส่  ห่วงมาก  กังวลมาก  ทำให้เกิดความเสี่ยงมาก

ต้องทำให้ความเสี่ยงน้อยลง  ในต่างประเทศโรงพยาบาลจะมีหลักสูตรบริหารความเสี่ยง  ลดความเสี่ยง  ทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างโรงพยาบาล  บุคลากรของโรงพยาบาลกับคนไข้และญาติดีขึ้น

การจะพบกันครึ่งทางหรือหารสองต้องสร้างโอกาสเริ่มจากลดความเสี่ยง  ทำให้ความสัมพันธ์ดีขึ้น

มนุษย์เรามีกิเลสซ่อนอยู่ในตัว  มนุษย์เรายากหรือจะไม่มีวันที่จะมองเห็นหรือยอมรับความดี  ประโยชน์ ความเป็นธรรม  ที่ผู้อื่นหยิบยื่นให้ ถ้าจะให้ผู้อื่นยอมรับต้องให้มีส่วนร่วม

6-8-2554 21-42-56

ความจริงเส้นดำทั้งสองเส้นเท่ากัน  แต่คนเรามักจะมองว่ามันไม่เท่ากัน

การเจรจาที่ไม่สำเร็จมักเกิดเพราะติดจุดยืน ถ้าไม่เอาหารสอง  ไม่เอาเกลี้ยกล่อม  ต้องการ win-win  ก็ต้องเจรจาที่เหตุ  ไม่ใช่เริ่มที่ผล  ยกตัวอย่างกรณีเขื่อนแก่งเสือเต้น  มีคนอยู่ 2 ฝ่าย  คือสร้าง กับไม่สร้าง

สร้างก็เป็นผล  ไม่สร้างก็เป็นผล  เจรจากันที่ผล  จึงไม่สำเร็จ  ต้องดึงมาเจรจาที่เหตุ

สร้าง(ผล) ทำไมอยากจะสร้าง เพราะจะได้บริหารน้ำและได้กระแสไฟฟ้า (เหตุ)

ไม่สร้าง(ผล) ไม่อยากให้สร้างเพราะกลัวสิ่งแวดล้อมจะเสียหาย  วิถีชุมชนจะเสียหาย

น้ำต้องบริหารไหม?  ต้อง

ไฟฟ้าจำเป็นไหม?   จำเป็น

สิ่งแวดล้อมเสียเอาไหม?    ไม่เอา

วิถีชุมชนเสียหายเอาไหม?  ไม่เอา

ก็คุยกัน  น่าจะเป็น win-win

ที่บราซิล  เจรจากันนานสิบปี  ตอนนี้สร้างเสร็จแล้วเพราะคุยกันที่เหตุ  เหตุเปลี่ยน  ผลก็เปลี่ยน

ยกตัวอย่างคดีมรดก  ทั้ง 2 ฝ่ายต้องการเป็นผู้จัดการมรดก  การหารสองป่านอาจทะเลาะกันหนักกว่าเดิม  ไม่จบกันง่ายๆ  ถ้าเริ่มที่หาความต้องการ  ทั้งสองฝ่ายต้องการหลักประกันว่าจะรวบรวมมรดกอย่างไร?  จะแบ่งอย่างไร?  ตกลงกันได้ตรงนี้  ใครจะเป็นผู้จัดการมรดกก็ไม่สำคัญแล้ว

กรณีคนสองคนทะเลาะกัน คนหนึ่งต้องการเปิดหน้าต่าง  อีกคนหนึ่งต้องการปิดหน้าต่าง  หาความต้องการ

คนหนึ่งอึดอัด  อยากให้อากาศระบาย  อีกคนหนึ่งบอกว่าลมพัด  กระดาษปลิว  ทำงานไม่ได้  คงไม่ตกลงกันว่างั้นก็แง้มๆหน้าต่างก็แล้วกัน  แต่ควรจะมานั่งคุยกันว่าทำอย่างไรถึงจะมีการระบายอากาศ  และลมก็ไม่พัดกระดาษปลิวจนทำงานไม่ได้

กรณีที่เจอศพเด็ก  2002 ศพ  ก็เกิดประเด็นทำแท้งดี  หรือไม่ให้ทำแท้ง  ซึ่งไปมองที่ผล  เถียงกันก็ไม่จบ  แต่ถ้ามามองที่เหตุ  ฝ่ายทำแท้งเพราะไม่อยากมีลูก ฝ่ายไม่ให้ทำเพราะกลัวผิดศีลธรรม  กลัวเป็นอันตราย  หันมาคุยกันว่าทำอย่างไรไม่ให้มีลูก  ไม่ผิดศีลธรรม  ไม่เป็นอันตราย  ก็พบคำตอบ  ทำอย่างไรไม่ให้มีเพศสัมพันธ์หรือให้มี Safe Sex  ไปเปลี่ยนที่ค่านิยม  หันมารณรงค์ให้ความรู้เพศศึกษาดีกว่า

นักศึกษาโอกาสในการไกล่เกลี่ยระดับชาติ  ระดับหน่วยงานน้อย  แต่โอกาสไกล่เกลี่ยเรื่องครอบครัว  เรื่องการหย่าร้าง  อาจมีพรรคพวกเพื่อนฝูงมาปรึกษา  ยึดหลักเหตุเปลี่ยน  ผลเปลี่ยน

คุยทีละฝ่าย

หาความต้องการของภรรยา

  • ไม่ต้องการให้เตะ  ซ้อม
  • ไม่อยากให้เมา
  • ไม่กลับบ้านดึก
  • ให้เกียรติกันบ้าง
  • ให้เงินใช้ตามสมควร
  • ทำการบ้านมั่ง
  • ฯลฯ

คุยกับทางสามีบ้าง

  • เตะทำไม? ซ้อมทำไม?
  • ทำไมเมา?
  • ทำไมกลับบ้านดึก?
  • ทำไมไม่ให้เกียรติ
  • ทำไมไม่ให้เงินใช้
  • ทำไมไม่ทำการบ้าน
  • ฯลฯ

ถ้าเปลี่ยนเหตุได้ก็จะเปลี่ยนผลได้

Post to Facebook Facebook


ศาสตร์และศิลป์แห่งการเจรจาไกล่เกลี่ย(2)

ไม่มีความคิดเห็น โดย จอมป่วน เมื่อ 6 สิงหาคม 2011 เวลา 21:00 ในหมวดหมู่ จอมป่วน #
อ่าน: 2468

ทำที่เหตุ   /   ทำที่ผล

เวลามีปัญหาต้องเข้าใจเหตุผล  แต่จริงๆมันแยกกัน  ต่างกัน  ต้องแยกเหตุออกจากผล  เหตุกับผลเกี่ยวข้องกัน

เหตุ คือสิ่งที่ก่อให้เกิดผล

ผล คือสิ่งที่สร้างมาจากเหตุ

6-8-2554 20-17-02

คนทะเลาะกัน  เจรจาให้ดีกันไม่มีทาง  เพราะเหตุไม่มี  ผลไม่เกิด

ถ้าต้องการทำที่ผล  ก็จะไม่เกิด  ต้องไปทำที่เหตุ  เช่นอยากให้ลูกนอน  บังคับให้ลูกนอน  ลูกก็จะนอนไม่หลับ    แต่ลองให้นั่งอ่านหนังสือ  อ่านแป๊บเดียวก็ง่วง  เพราะการอ่านหนังสือเป็นเหตุให้ง่วงนอน  ทำที่เหตุก็สำเร็จ

ผู้ชายเจอผู้หญิงแล้วชอบ  รัก  ถ้าลุยไปบอกรักทันที  ผู้หญิงเดินหนีแน่นอน  เพราะถ้าต้องการให้รัก  ไปทำที่ผล  ไม่ได้สร้างเหตุ

อะไรเป็นเหตุให้เกิดความรัก

  1. ความใกล้ชิด
  2. พิเศษ
  3. ความผูกพัน

ถ้าทำ 3 อย่างนี้ได้  รักแน่นอน

แต่บางครั้งก็ต้องสร้างเหตุซ้อนเหตุ  แล้วก็จะได้ผล

ผู้หญิงถ้าอยากบอกเลิกฝ่ายชาย  ไปบอกเลิกไม่ได้ผลเพราะไปทำที่เหตุ  จะไม่สำเร็จ  ถ้าจะเลิกได้สำเร็จต้องทำที่เหตุ  เช่นอยากเลิกกับแฟนก็ต้องทำสิ่งที่ผู้ชายไม่ชอบอย่างเคร่งครัด  3 เดือนเลิกแน่นอน  ไม่ต้องไปบอกเลิก

หรือต้องรักอย่างที่สุด เช่นไปหาทุกวัน  อะไรที่วิเศษที่สุดก็กระตุ้นให้ทำ  ให้เลิกเหล้า  ให้เลิกบุหรี่  ให้เลิกกลับบ้านดึก  ให้ออกกำลังกายทุกวัน  จู้จี้ๆๆๆๆ  บังคับให้ทำสิ่งที่ดีๆ  อย่างนี้ก็เลิกได้แน่นอน

6-8-2554 20-37-55

สิ่งที่ทำให้มนุษย์มีปัญหาเกิดจากจิตสำนึก 10%  เกิดจาดจิตใต้สำนึก 90%

จิตสำนึกไม่ได้ทำงานตลอดเวลา  แต่จิตใต้สำนึกทำงานตลอดเวลา

สิ่งที่ซ่อนอยู่ในจิตใต้สำนึกคือความเห็นแก่ตัว  ความเห็นแก่ได้  หรือก็คือความโลภนั่นเอง  ความโลภมีอยู่ในตัวคน 24 ชั้วโมง  โกรธ หลง  ไม่ได้อยู่ตลอด 24 ชั่วโมง

ถ้าตัดความโลภได้หมด  จะบรรลุจุดมุ่งหมายสูงสุดในแต่ละศาสนา

การแก้ปัญหาด้วยการเจรจาด้วยวิธีต่างๆ เช่น

  • ลุยให้แหลกไปข้าง (Contending, Conpeting)
  • ยอม (Yielding, Accommodating)
  • เฉยๆ (Inaction)
  • พบกันครึ่งทาง, หารสอง (Compromising)
  • ร่วมมือกันแก้ไขปัญหา (Collaborating)

อาจารย์ยกตัวอย่างเวลาไปซื้อส้มจากแม่ค้า  ก็จะเลือกส้มลูกที่ดีๆ  เวลาจ่ายตังก็จะเลือกเอาแบงค์เก่าๆจ่าย  ไม่มีใครเลือกส้มเน่าๆแล้วเอาแบงค์ใบใหม่สุดจ่ายแม่ค้า

ในการเจรจาไกล่เกลี่ย  การหารสองหรือพบกันครึ่งทางไม่ได้ผล  เพราะทุกคนอยากได้สิ่งที่ดี  และไม่อยากได้สิ่งที่ไม่ดี  มนุษย์เราไม่รู้ว่าตัวเองโลภ

ยกตัวอย่างเวลาซื้อของจากแม่ค้า ครึ่งกิโล  แม่ค้าจะหยิบหรือตักมาขาดก่อน  แล้วจะค่อยๆเติมจนครบครึ่งโล  แต่ถ้าหยิบหรือตักเกินครึ่งโลแล้วค่อยๆหยิบออกให้เหลือครึ่งโล  เราจะรู้สึกไม่ดี

การหารสองหรือพบกันครึ่งทางทำให้รู้สึกสูญเสีย  ไม่ดี

หารสองได้ความสัมพันธ์ต้องดี  ถ้าความสัมพันธ์ไม่ดี  หารสองไม่สำเร็จ

Post to Facebook Facebook


ศาสตร์และศิลป์แห่งการเจรจาไกล่เกลี่ย(1)

ไม่มีความคิดเห็น โดย จอมป่วน เมื่อ 6 สิงหาคม 2011 เวลา 19:51 ในหมวดหมู่ จอมป่วน #
อ่าน: 2333

 

อาจารย์นพพร โพธิรังสิยากร ท่านเป็นผู้พิพากษาศาลฎีกา  เป็นผู้ที่สนใจและทำงานด้านการเจรจาไกล่เกลี่ยของวงการยุติธรรมของประเทศไทยมาตั้งแต่เริ่มต้น  เป็นผู้ที่มีความสามารถและมีประสบการณ์  แถมบรรยายสนุก จนอับดุลอซิซ กล่าวขอบคุณอาจารย์ที่มาให้ทั้งความรู้และความบันเทิง

นพพร2

 

อาจารย์เริ่มจาก……

สัตว์มีความสามารถในการสื่อสารกัน  แต่มีเพียงมนุษย์ที่มีความสามารถในการเจรจา  แต่จะเจรจาเป็นหรือไม่เป็น  จะรู้วิธีเจรจารหรือไม่ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง

เวลาคนขับรถเฉี่ยวชนกัน  ก็ทะเลาะกัน  ผู้นำเจรจากับม็อบไม่สำเร็จก็เป็นเรื่องปกติ  เวลามีเรื่องก็เจรจากันไป  แต่วิธีการเจรจาจะแตกต่างกับการสื่อสาร

หลักการจัดการความขัดแย้งด้วยสันติวิธีมีอยู่สองด้าน  คือด้านการป้องกันและการแก้ไข  ก็ต้องอาศัยการเจรจาทั้งคู่   วิธีการป้องกันที่ดีที่สุดคือกระบวนการมีส่วนร่วม  กระบวนการแก้ไขความขัดแย้งวิธีที่ดีที่สุดคือการเจรจาไกล่เกลี่ย

ถ้าจะเริ่มต้นเจรจาไกล่ไกลี่ยต้องทราบอะไรบ้าง

อาจารย์ก็อธิบายคำภาษาจีน  It-国 ซึ่งแปลว่าประเทศ 

มาจากเส้นสามเส้นที่หมายถึงดิน คนที่ยืนอยู่บนดิน  และสวรรค์

ถ้ามีเส้นเชื่อมสามเส้นนี้เข้าด้วยกันก็หมายถึงฮ่องเต้  และถ้ามีติ่งเล็กๆที่ฮ่องเต้ถือก็หมายถึงหยก

แต่ถ้าขีดเส้นสี่เหลี่ยมล้อมรอบก็จะหมายถึงประเทศ

 

วิกฤติ

แล้วอาจารย์ก็อธิบายคำว่า ถ้าเอาตัวแรกคำว่าวิกฤติ (Danger) มารวมกับคำแรกของคำว่าโอกาส (Opportunity)จะเป็นคำใหม่ว่า ความขัดแย้ง (Conflict)

* แต่ไปค้นมา  ถ้าเอาคำแรกของคำว่าอันตราย (Danger) มารวมกับคำแรกของโอกาส (Opportunity) จะได้คำว่าวิกฤติ (Crisis)

เพราะฉะนั้นความขัดแย้งก็มาจากวิกฤติและโอกาส  มนุษย์เราจะมองเห็นวิกฤติก่อนเพราะเป็นคำแรกของคำว่าความขัดแย้ง  ในทุกความขัดแย้ง  ถ้าเรามองเป็นความขัดแย้งเป็นวิกฤติก็จะเจอแต่วิกฤติเป็นคำตอบ  ถ้าเรามองความขัดแย้งเป็นโอกาสก็จะเจอโอกาสเป็นคำตอบ  อยู่ที่มุมที่เรามองและความประสงค์ที่เราต้องการ  ยกตัวอย่างเด็กที่ชอบเถียง  เราอาจมองว่าเป็นเด็กที่มีปัญหา เป็นเด็กดื้อ  หรือเป็นเด็กที่ฉลาด กล้าคิดกล้าแสดงออก

หรือถ้ากลับบ้าน เมียบ่นๆๆๆๆๆ เราหงุดหงิดก็ทะเลาะกันแน่นอน แต่ถ้ากลับบ้าน  เมียบ่นๆๆๆๆๆ  ….โอ้ พระเจ้าได้บอกความบกพร่องของเราผ่านเมีย ….ก็เกม  มีความสุข

ทุกวิกฤติสร้างโอกาส

ยกตัวอย่างประเทศเกาหลี เมื่อ 17 ปีที่แล้วเกาหลีมีปัญหาความขัดแย้งในประเทศมี่รุนแรงมาก  ตีกันทุกวันนานถึง 3 ปี  เหมือนประเทศไทยหมดยกเว้นเรื่องเผาบ้านเผาเมือง  แต่ปัจจุบันก็แก้ไขข้อขัดแย้งได้และพัฒนาประเทศจนเจริญไปมาก

ที่อาเจะห์ อินโดนีเซีย ฟิลลิปปินส์  ไอร์แลนด์เหนือ  อัฟริกาใต้ต่างก็สามารถแก้ไขปัญหาข้อขัดแย้งได้

วิกฤติเป็นตัวจั้งให้ผ่านไปสู่โอกาส  คนที่สำเร็จก็ต้องผ่านวิกฤติมาก่อน  ไม่มีวิกฤติก็ไม่มีโอกาส

 

6-8-2554 19-10-46 

ถ้ารู้ว่าอีก 5 วันฝนจะตก  คงไม่มีใครกางร่มตั้งแต่วันนี้  มนุษย์เรามีเวลาแค่ 7 วินาทีที่จะลืม  ถ้าอยากจะจำต้อง Save ข้อมูลไว้ภายใน 7 วินาทีนี้

ถ้าปล่อยทิ้งไว้วิกฤติจะมากขึ้นเรื่อยๆ ปัญหาจะมากขึ้นเรื่อยๆ  อารมณ์ก็จะเกิดมากขึ้น  คนที่เกี่ยวข้องก็จะมากขึ้น  ประเด็นก็จะมากขึ้น  ทุนทรัพย์ก็จะมากขึ้น  ซึางจะทำให้การแก้ปัญหายากขึ้นเรื่อยๆ

ในความเป็นจริงจะมีสัญญาณเตือนตลอด  แต่เรามักไม่ให้ความสนใจ  1…2…3….4…5….6…7…วินาที  เราก็ลืมไปแล้ว  มนุุษย์เราถึงต้องมาแก้ปัญหาในระยะที่ 4 มาตลอด  คือปล่อยให้มันสุกงอม  ปัญหาลุกลาม  ใหญ่เกินจะแก้  ความขัดแย้งแก้ไขยิ่งเร็วยิ่งดี

คนเราทำผิดพลาดกันทุกคน  มีใครไม่เคยทำผิด?  มีใครมีสติตลอดเวลา?  คนเราทำผิดพลาดกันบ้างทุกคน  แต่ถ้าแก้ไขปัญหาทันทีก็ไม่มีปัญหา

ยกตัวอย่างน้องผู้หญิง กรณีรถซีวิคชนรถตู้ มีผู้เสียชีวิต 9 คน  แก้ปัญหาช้าเลยถูกคนทั้งเมืองด่า  เปรียบเทียบกับอีกกรณีที่ขับรถพุ่งชนคนเสียชีวิตแต่แก้ไขเหตุการณ์อย่างรวดเร็ว  ปัญหาจึงน้อยกว่า สังคมเงียบ

20100110184010_KKH2010-01-09.1

วันที่ ๙ ม.ค. ๕๓  ผู้อำนวยการโรงพยาบาลขอนแก่นและคณะผู้บริหารโรงพยาบาล  
ได้มอบเงินเยียวยาช่วยเหลือแก่ครอบครัวผู้ป่วยผ่าตัดต้อกระจก จำนวน ๖ ครอบครัว
และ วันที่ ๑๐ ม.ค. ๕๓ จำนวน ๒ ครอบครัว และได้กล่าวขอโทษในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น 
โรงพยาบาลขอนแก่นจะให้การดูแลรักษาต่อเนื่องตลอดชีวิตต่อไป  โดยดูแลดุจญาติมิตร 
ร่วมทุกข์ร่วมสุข  พร้อมกันนี้ได้กล่าวขอขอบคุณครอบครัวผู้ป่วยที่ให้อภัยโรงพยาบาลขอนแก่น 
และสร้างความมั่นใจแก่ผู้ป่วยในการดูแลรักษาพยาบาลต่อไป

….จาก website โรงพยาบาลขอนแก่น

ปลัดกระทรวงสาธารณสุข  และทางโรงพยาบาลก็ขอโทษ  ปลอบขว้ญและแก้ปัญหาทันที

การแก้ไขปัญหา ข้อขัดแย้งต้องทำให้รวดเร็ว  เพราะถ้าปล่อยไว้นาน  การเจรจาจะยากขึ้นๆ

 

Post to Facebook Facebook


ซักถาม แลกเปลี่ยนเรียนรู้กับลุงเอก

ไม่มีความคิดเห็น โดย จอมป่วน เมื่อ 4 สิงหาคม 2011 เวลา 15:08 ในหมวดหมู่ จอมป่วน #
อ่าน: 3069

เริ่มเปิดประเด็นโดยเจ้าเก่า พันเอก เอื้อชาติ หนุนภักดี นายทหารประจำกรมข่าวทหารบก

ถาม พม่าเคยรบกับจีน แต่สามารถพัฒนาความสัมพันธ์ให้ดีขึ้นได้  แต่เรายังมีปัญหารอบบ้าน  รวมที่งจีน เป็นเพราะประเทศไทยได้รับอิทธิพลจากทางตะวันตก  ถูกครอบงำโดยบางประเทศ

ลุงเอกตอบ

เราเปลี่ยนระบบ  รูปแบบการศึกษามา 40-50 ปีแล้ว  แต่ไป copy ต่างชาติมา  แม้กระทั่ง Militarization

สมัยก่อนกรมช่างอากาศ (ซึ่งเริ่มจากแผนกการบิน ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2456)  ของกองทัพอากาศสามารถสร้างเครื่องบินได้เอง

……

๒๔ พฤษภาคม ๒๔๕๘

สร้างเครื่องบินแบบ เบรเกต์ ชนิดปีก ๒ ชั้นเป็นผลสำเร็จ ได้ทดลองทำการบินโดยพันโท พระเฉลิมอากาศ ผู้บังคับการกองบินทหารบกเครื่องบินสามารถขึ้นสู่อากาศได้อย่างคล่องแคล่ว สามารถบินไปมาในระยะสูงประมาณ ๑๐๐ เมตร

๑๒ พฤษภาคม ๒๔๖๔

สร้างเครื่องบินนิออร์ปอร์ท และทำการบินได้สำเร็จ จำนวน ๔ เครื่อง การสร้างลำตัว ปีก หางและใบพัดของเครื่องบิน สร้างด้วยพันธุ์ไม้ที่เกิดขึ้นในประเทศไทย

ปี พ.ศ. ๒๔๗๐

ได้ทำการออกแบบและสร้างเครื่องบินทิ้งระเบิดแบบ บ.ท.๒ ซึ่งเครื่องบินแบบนี้เรียกว่า เครื่องบินบริพัตร เป็นเครื่องบินทิ้งระเบิด ๒ ที่นั่ง ปีก ๒ ชั้น ใช้เครื่องยนต์จูปิเตอร์ ๔๐๐-๖๐๐ แรงม้า ๑ เครื่อง ในปี พ.ศ.๒๔๗๒ ใช้บินเดินทางไปเยือนอินเดีย และในปี ๒๔๗๓ ได้บิน ไปฮานอย ปัจจุบันมีตัวอย่างให้ชมบริเวณช่องทางเข้าสโมสรนายทหารอากาศ บางซื่อ

ปี พ.ศ. ๒๔๗๒

ได้ออกแบบ และสร้างเครื่องบินขับไล่ แบบ ข.๕ ซึ่งเครื่องบินแบบนี้เรียกว่า“เครื่องบินประชาธิปก” ตามพระนามพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวที่ได้พระราชทานชื่อไว้ นับว่าเป็นเครื่องบินแบบที่สองที่ออกแบบและสร้างเองโดยคนไทย

๑๕ มิถุนายน ๒๔๗๒

ได้สร้างเครื่องบินแบบนิออร์ปอร์ท โดยใช้เครื่องยนต์เลอโรน ๘๐ แรงม้า จำนวน ๑ เครื่อง

ปี พ.ศ. ๒๔๙๐

พัฒนาการสร้าง บ.ทอ.๒ ดัดแปลงชุดหางจากเครื่องบินสื่อสาร แบบที่ ๕ ซึ่งเดิมเป็น V Type ให้เป็นแบบใช้แพนหางดิ่ง และแพนหางระดับ แผนแบบ บ.ทอ.๓ และผลิตหุ่นจำลองขนาด ๑:๖ ไปทดลองที่ประเทศญี่ปุ่น, บ.ทอ.๔ ใช้แบบจากเครื่องบินฝึก แบบที่ ๙ โดยเปลี่ยนเครื่องยนต์และแผ่นโครงสร้างบริเวณปีก และลำตัวจำนวน ๑๒ เครื่อง เข้าประจำการกองทัพอากาศเป็นเครื่องบินฝึก แบบ ๑๗

๒๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๑๔

พัฒนาเครื่องบินแบบ บ.ทอ.๔ เป็นเครื่องบินแบบฝึก ปีกชั้นเดียว ๒ ที่นั่งตามกัน ฐานพับไม่ได้ ใช้เครื่องยนต์คอนติเนนตัลไอโด-๓๖๐ ดี กำลัง ๒๑๐ แรงม้า จำนวน ๑๒ เครื่อง ทำการบินครั้งแรกเมื่อวันที่ ๒๕ กันยายน ๒๕๑๕

ปี พ.ศ. ๒๕๑๗

แผนแบบด้านโครงสร้างและอากาศพลศาสตร์ บ.ทอ.๕ โดยทำการสร้างและทดสอบการบิน จำนวน ๑ เครื่อง

ปี พ.ศ.๒๕๒๖

สร้างเครื่องบิน Fantriner ร่วมกับบริษัท RHEIN FLUGZEUGBAU GMBH จากประเทศเยอรมนีและได้บรรจุเข้าประจำการกองทัพอากาศ เป็นเครื่องบินฝึกแบบ ๑๘/ก (FT ๔๐๐ และ FT ๖๐๐) จำนวน ๒๐ เครื่อง

จากประวัติและความเป็นมาของกรมช่างอากาศ

ตอนหลังมารับความช่วยเหลือจากต่างชาติแบบให้เปล่า  ปัจจุบันสร้างไม่ได้แล้ว  ตอนนี้ต้องซื้อทั้งหมด  ชุดความรู้หายไปหมดเลย

ในวงการทหารก็ copy หมดทุกอย่าง

จีนไม่เคยส่งทหารออกรบนอกประเทศเลย  แต่เราก็ระแวงว่าเป็นภัยคุกคาม

อีกส่วนหนึ่งก็เป็นเพราะระบบการศึกษาไม่ได้ให้ความสนใจประวัติศาสตร์  ถูกครอบงำด้วยวิถีของอาหาร  ความเป็นอยู่  และวัฒนธรรม

สิงห์ชัย ทุ่งทอง สมาชิกวุฒิสภา

ในอาเซียน  ประเทศไหนมีความเป็นชาตินิยมมากที่สุด  อเมริกาไม่มีประวัติศาสตร์  ไทยมีความสวยงามผ่านประเพณีวัฒนธรรม

เรื่องแบบนี้ต้องโทษผู้นำ

สรุปว่าสิ่งที่พัฒนาไม่ได้มองตัวเอง  คนไทยสำนึกในความเป็นไทยน้อยลง  ขาดความเป็นมาและความเชื่อมโยง

สถาบันพระปกเกล้าน่าจะมีบทบาทมากกว่านี้  น่าจะเป็นส่วนนำ  ทำอะไรมากกว่านี้  แต่ก็ไม่รู้ว่าจะเริ่มที่ไหน?  เริ่มเมื่อไหร่?

พล.ต.ต. วีรพงษ์ ชื่นภักดี รองผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 1 กองบัญชาการตำรวจภูธรภาค 1 สำนักงานตำรวจแห่งชาติ

4-8-2554 14-21-05

รัฐธรรมนูญระบุราชอาณาจักรไทยไม่สามารถแบ่งแยกได้

ประเทศเยอรมัน  ใน พ.ศ.2549 ไม่เห็นด้วยกับการปฏิวัติเลยไม่ยอมขายอาวุธปืน HK ให้กับประเทศไทย

ต่างชาติหลายๆประเทศไม่ยอมรับการปฏิวัติ

สิงห์ชัย ทุ่งทอง สมาชิกวุฒิสภา

คณะของวุฒิสภาไปศึกษาดูงานต่างประเทศ  ต่างประเทศไม่ให้ความสนใจ  ไม่ให้เกียรติเพราะการปฏิวัติ

ลุงเอก

อเมริกาตัดทุนการศึกษาทันทีช่วงปฏิวัติ

อับดุลอซิซ ตาเดอินทร์ ประธานฝ่ายสิทธิมนุษยชน สมาคมยุวมุสลิมแห่งประเทศไทย

ดู VCD เมืองชายแดนจีน-พม่า  เปรียบเทียบกับ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้  ไม่ให้ใช้ภาษามลายูเป็นภาษาที่สอง  ซึ่งการใช้ภาษามลายูจะสามารถเชื่อมกับประเทศต่างๆได้อีกมาก  น่าจะมีการผลักดันให้ใช้จุดแข็งมาเป็นประโยชน์มากกว่านี้

ลุงเอก

พม่าพูดไทยได้ 4 ล้านคน

กัมพูชาพูดไทยได้หลายแสนคน

มาเลย์ก็พูดไทยได้มากมาย

แต่คนไทยที่รู้ภาษาของประเทศเพื่อนบ้านรอบๆบ้านเรามีน้อยมาก  แต่เราเรียนภาษาฝรั่งเศส  เยอรมัน ฯ กัน

เรารู้เรื่องโลกก่อน  แล้วมาสนใจ  สังคม  ตัวเรา  แต่ความจริงเราต้องรู้เรื่องตัวเราก่อน  แล้วรู้เรื่องของสังคมบ้านเรา  สังคม(ภาษา วัฒนธรรม ศาสนา) ของเพื่อนบ้านด้วย  แล้วค่อยไปรู้เรื่องโลก

ดร. สุนทรียา เหมือนพะวงศ์ ผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์

เพิงกลับจากเยอรมัน  ไปเพื่อแลกเปลี่ยนเรียนรู้เรื่อง “โลกแห่งคุณค่าที่แตกต่าง” เราไม่รู้จักคนรอบๆข้างในอาเซียนเลย

มีการจัด Cross Border Dialogue โดยจัดคุยกันที่เสียมเรียบ อยุธยา  พุกาม

ได้เรียนรู้ว่า กัมพูชาโกรธไทย  ไทยก็โกรธพม่า  มีความรู้สึกว่าทำไมเราเกลียดกันได้ถึงขนาดนี้

เลยมีประเด็นในใจว่าประวัติศาสตร์ถูกไหม?  หรือเป็นเพราะวิธีคิดของพวกเรา

ทำไมเราจัดกันเองไม่ได้?  ต้องให้เยอรมันคิดและออกเงินให้เราคุยกัน

กัมพูชาโกรธและเกลียดไทยมาก  ย้อนมาคิดเรื่องคนไทยเราก็โกรธและเกลียดพม่า  มีอะไรผิดปกติ?  จะเปลี่ยนอะไร?  อย่างไร?

มุมมองความถูกต้องก็เรื่องหนึ่ง ?

มุมมองด้านสันติสุขก็อีกเรื่องหนึ่ง?

ได้เรียนรู้เรื่องอดีตและวิธีมองเรื่องอนาคตมากเลย

เกียรติเกริกไกร ใจสมุทร รองเลขาธิการมูลนิธิอัศนี พลจันทร(นายผี)

เราได้พบจุดอ่อน ข้อบกพร่องของคนไทย  ประวัติศาสตร์ไทย  จริงๆแล้วเราได้บทเรียนอะไร?

ความสัมพันธ์ภายในประเทศ

ความสัมพันธ์กับเพื่อนบ้าน

จะนำบทเรียนไปใช้พัฒนาได้อย่างไร?

ลุงเอก

ต้องไม่ให้รัฐบาล  คณะรัฐมนตรี  เห็นว่าเรื่องราวต่างๆนี้เป็นของส่วนตัว

ต้องให้ประชาชนมีส่วนร่วมมากกว่านี้

รศ. ดร. ประเสริฐ ชิตพงศ์ สมาชิกวุฒิสภา

ไทยจะเป็นสมาชิกอาเซียน

ไทยสอนประวัติศาสตร์ให้รักชาติมากขึ้น vs การจะอยู่ร่วมกับประเทศเพื่อนบ้าน  เป็นประวัติศาสตร์บาดหมาง

ประวัติศาสตร์หรือการใช้ประวัติศาสตร์  อะไรมีปัญหา ?  ตัวประวัติศาสตร์หรือการนำประวัติศาสตร์มาใช้

ประวัติศาสตร์ทำให้เราคิดว่าเรายิ่งใหญ่ที่สุด  ดีที่สุดในอาเซียน  ไม่สนใจคนอื่น

ต้องเขียนประวัติศาสตร์  เรียนประวัติศาสตร์กันใหม่

มุมมองของคนไทยกับภายนอกที่มองเข้ามาต่างกัน

นฤมล ศิริวัฒน์ สมาชิกวุฒิสภา

สังคมไทยเป็นสังคมปากว่า ตาขยิบ

สอนให้เคารพ  แต่เราไม่เคยเคารพใคร

สอนให้เท่าเทียม  แต่คิดว่าตัวเองดีกว่าคนอื่น

Modernization without Development

Post to Facebook Facebook


พระมหากษัตริย์ไทยกับสันติวิธี (4)

ไม่มีความคิดเห็น โดย จอมป่วน เมื่อ 4 สิงหาคม 2011 เวลา 12:47 ในหมวดหมู่ จอมป่วน #
อ่าน: 2072

“สงครามไม่ใช่คำตอบสุดท้ายของการแก้ปัญหาชายแดนไทยกับประเทศเพื่อนบ้าน” โดย พลเอก เอกชัย ศรีวิลาศ

ลุงเอกฉาย VCD ให้ดูแล้วเล่าแนวคิดของจีนให้ฟัง

ตามนโยบายมุ่งสู่ใต้ของจีนที่ต้องการเปิดเส้นทางค้าขายของจีนทางใต้ผ่านอินโดจีนและหาทางออกทะเลทั้งทางด้านทะเลอันดามัน, มหาสมุทร์อินเดีย, ทะเลจีนใต้  และอ่าวไทย

มีการขับเคลื่อนผ่านกรอบความร่วมมือสี่เหลี่ยมเศรษฐกิจที่มุ่งเปิด เส้นทางคมนาคมจากซีหนาน-อาเซียนผ่าน คุน-มั่ง กงลู่ หรือถนนคุนหมิง-กรุงเทพฯ (ทั้ง R3b ผ่านพม่า และ R3a ผ่านสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (สปป.ลาว), รวมทั้งเส้นทางเดินเรือในแม่น้ำโขง ตอนบน โดยมีท่าเรือจิ่งหงหรือเชียงรุ่งเป็นเกตเวย์ในการขนถ่ายสินค้าเข้า-ออก

จีนจะใช้เส้นทางคมนาคมขนส่งและเส้นทางรถไฟผ่านพม่าเป็นเส้นทางส่งน้ำมันและก๊าซธรรมชาติผ่านมายังมหาสมุทร์อินเดีย

(ถ้าสนใจเรื่องนี้ก็ดูเรื่อง North-South Corridor, East-West Corridor, Northern Corridor, Central Corridor, Eastern Corridor, Northeastern Corridor ฯ)

นี่ยังไม่รวมเรื่องทางรถไฟความเร็วสูงที่จีนจะสร้างมาที่เวียงจันทร์ ไทย สิงคโปร์

ก่อนปี 1990 สินค้าไทยครองตลาดพม่าได้กว่า 80%  ทั้งอาหาร เครื่องอุปโภคบริโภค เสื้อผ้า ฯลฯ โดยส่งผ่านชายแดน ระนอง กาญจนบุรี แม่สอด แม่ฮ่องสอน เชียงใหม่ และแม่สาย ที่เหลือจะเป็นสินค้าจากจีน อินเดีย สิงคโปร์ เป็นต้น


แต่หลังจากจีนเปิดชายแดน จนถึงช่วงหลังปี 2000 ปรากฏว่าในตลาดพม่าสินค้าจีนสามารถครองส่วนแบ่งได้มากถึง 50-60%  ขณะที่สินค้าไทยเหลือเพียง 20-30% ที่เหลือเป็นสินค้าจากอินเดีย สิงคโปร์  เหตุผลสำคัญ เนื่องจากสินค้าจีนมีราคาถูกกว่า

และที่ชายแดนจีน-พม่า ระหว่างเมืองมูเซของพม่ากับรุ่ยลี่ เขตปกครองตนเองของชนชาติไต  ที่เต๋อหง มณฑลยูนาน ของจีน ถูกใช้เป็นแหล่งท่องเที่ยว เป็นพื้นที่พัฒนาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ต่อยอดไปสู่การพัฒนาการค้า-การลงทุนระหว่างกัน

ที่หมู่บ้านน่งเต่า (ในสำเนียงชาวไต หรือไทลื้อ) หรือ “หนองเตา” จีนและพม่าปักหลักเขตแดนผ่านหมู่บ้านที่เป็นชุมชนชายแดนจีน-พม่า ที่เส้นพรมแดนตัวกำหนดเขตแดนรัฐชาติของ 2 ประเทศไม่มีผลต่อวิถีชีวิตของผู้คนในชุมชน

หมู่บ้านที่มีกว่า 100 ครัวเรือนแห่งนี้ถูกเส้นเขตแดนผ่าลงกลางหมู่บ้าน กลายเป็น “1 หมู่บ้าน 2 ประเทศ   ชาวบ้านในหมู่บ้านแห่งนี้ยังคงดำเนินวิถีชีวิตกันตามปกติ สามารถข้าม แดนไปมาภายในหมู่บ้านได้โดยไม่ต้องตรวจลงตราเอกสารผ่านแดนใดๆ  ซึ่งแสดงให้เห็นว่า “เขตแดน” เป็นเพียงองค์ประกอบในความเป็นรัฐชาติของทั้ง 2 ประเทศเท่านั้น

บริเวณริมเส้นเขตแดนมีบ่อน้ำมิตรภาพ  เป็นบ่อน้ำบาดาลซึ่งคนในหมู่บ้านแห่งนี้ใช้มาตั้งแต่รุ่นปู่ ย่า ตา ยาย จนทุกวันนี้ มีหม้อกรองน้ำดื่มที่สร้างขึ้นใหม่ทับเส้นเขตแดน โดยด้านหนึ่งเขียนไว้ว่าพม่า และอีกด้านหนึ่งระบุว่าอยู่ฝั่งจีน กลายเป็น “บ่อน้ำบาดาล 2 ชาติ” ไปโดยปริยาย

มีชิงช้ามิตรภาพกลางหมู่บ้าน ที่สร้างขึ้นบนเส้นเขตแดนเป็นส่วนหนึ่งของสัญลักษณ์ความเป็น 1 หมู่บ้าน 2 ประเทศ เมื่อผู้นั่งโล้ชิงช้าไปด้านหลังก็จะเข้าไปอยู่ในเขตประเทศพม่า ถ้าโล้มาด้านหน้าก็จะอยู่ในเขตจีน

ทางการจีนโปรโมตให้หมู่บ้านแห่งนี้เป็น 1 ในแหล่งท่องเที่ยวสำคัญของรุ่ยลี่

ทิศทางของสถานการณ์โลกในอนาคต

สถานการณ์ความมั่นคงมีความเปราะบาง

ความขัดแย้งระหว่างรัฐและภายในรัฐขยายวงกว้างในทุกภูมิภาค

ผลประโยชน์ของประเทศทับซ้อนกันมากขึ้น

การกอบโกยแย่งชิงทรัพยากรของรัฐต่างๆ

มีแนวโน้มจะใช้กระบวนการทางการเมืองแก้ไขปัญหาแทนการสู้รบด้วยอาวุธ

ความขัดแย้งในรูปแบบใหม่ที่เกิดจากแตกต่างในเชื้อชาติ ศาสนา วัฒนธรรม  ต้องมีมาตรการแก้ไขที่ไม่ให้ขยายขอบเขตกว้างขวางขึ้น

ต้องมีมาตรการป้องกันไม่ให้ความขัดแย้งในระดับปัจเจกบุคคลหรือกลุ่มผลประโยชน์ทางการเมืองไม่ให้ขยายตัวเป็นความขัดแย้งขนาดใหญ่  ที่มีผลกระทบต่อสันติภาพและความมั่นคงของประเทศต่างๆ

ลุงเอกตบท้ายด้วยมุมมองของประเทศต่างๆต่อประเทศไทย

คนไทยถูกสอนให้เชื่อเรื่องเขตแดนทางกายภาพมากกว่าเขตแดนสายสัมพันธ์  ในอนาคตเขตแดนของกลุ่มประเทศอาเซียนจะค่อยๆลบเลือน  ประเทศในยุโรปที่มีความขัดแย้งเรื่องเขตแดนก็จบลงด้วยความร่วมมือทางเศรษฐกิจ

เราอาจจะเถียงคอเป็นเอ็นว่าเป็นเรื่องภายในของประเทศไทยเรา  ประเทศอื่นๆไม่ต้องมายุ่ง  แต่รู้ไว้ว่าโลกมองประเทศไทยเราอย่างไรก็คงมีประโยชน์บ้าง

มีการจัดอันดับ Peace Country  โดยตัวชี้วัดจะให้น้ำหนัก Internal Peace 60%  และ External Peace  40%

ประเทศไทยอยู่อันดับที่ 107  ได้คะแนน  2,247 คะแนน

มาเลเซีย    อยู่อันดับที่ 19    ได้คะแนน  1,467 คะแนน

เวียตนาม    อยู่อันดับที่ 30    ได้คะแนน  1,670 คะแนน

ลาว           อยู่อันดับที่ 32   ได้คะแนน  1,687 คะแนน

เกาหลีใต้    อยู่อันดับที่ 50    ได้คะแนน  1,829 คะแนน

อินโดนีเซีย  อยู่อันดับที่ 68    ได้คะแนน  1,979 คะแนน

จีน            อยู่อันดับที่ 80    ได้คะแนน   2,054 คะแนน

………..

Uganda     อยู่อันดับที่ 96    ได้คะแนน  2,159 คะแนน

800px-Global_Peace_Index_2011

4-8-2554 12-18-46

4-8-2554 12-17-41

ไม่ต้องตกใจนะครับ  ประเทศไทยเราเริ่มดีขึ้น  เริ่มไต่อันดับจากอันดับที่ 118 ในปี 2008-2009  และอันดับที่ 124 ในปี 2010  มาเป็นอันดับที่ 107  ในปีนี้  ……..อิอิ

ถ้าสนใจก็ไปดูได้ที่ Global Peace Index

ยกตัวอย่างตัวชี้วัดการสร้างสังคมสันติสุข

  • การให้การต้อนรับชาวต่างชาติ (Hospitality to foreeigners) คงหมายถึงแรงงานต่างด้าวด้วย
  • การรวมกลุ่มในภูมิภาคอย่างลุ่มลึก (Depth of regional intregration)  อันนี้ดูจากการสำรวจความรู้สึกว่าเป็นประชากรอาเซียนเมื่อปี 2008 ไทยก็อยู่อันดับที่ 8 ได้ 67.0%  ขณะที่ลาวได้ 96.0% , กัมพูชาได้ 92.7%, เวียตนามได้ 91.7%  และมาเลเซียได้ 86.8%  และการสำรวจความคุ้นเคยกับอาเซียนและความอยากรู้เกี่ยวกับประเทศอาเซียนอื่นๆ    ประเทศไทยก็ได้คะแนนท้ายๆ  แสดงว่าประเทศไทยไม่ได้ให้ความรู้เกี่ยวกับอาเซียนแก่ประชาชนเท่าที่ควร
  • การมีความสัมพันธ์ที่ดีกับประเทศเพื่อนบ้าน (Relation with neighbors)  ก็รู้สึกว่าประเทศเราจะมีความสัมพันธ์ที่ไม่สู้ดีนักกับประเทศต่างๆในอาเซียน

นี่ยังไม่รวมถึงความสงบภายใน ที่ความขัดแย้งยังเป็นปัญหาหลักและยังไม่มีทีท่าว่าจะสงบลงได้ในอนาคตอันใกล้

การก้าวข้ามเพื่อนำชาติไทยไปสู่สังคมสันติสุข

  • คนไทยต้องศึกษาประวัติศาสตร์ให้รู้ความเป็นมาของชาติไทย
  • ลดทัศนคติที่มองเพื่อนบ้านเป็นศัตรู
  • อยู่กับความจริง(Truth)  ให้อภัย  ยกโทษให้กัน(Forgiveness)  ประนีประนอมคืนดีกัน(Reconcillation)  เพื่อสร้างความปรองดองในภูมิภาค
  • สงครามไม่ใช่ทางออกของปัญหา
  • สันติมิใช่ทางเลือกในการจัดการปัญหา  แต่เป็นทางเดียวที่จะจัดการปัญหาได้

แล้วนโยบายของประเทศไทยเป็นอย่างไร ?

เรามีปัญหาทั้งภายในประเทศและมีปัญหาระหว่างประเทศ ประเทศไทยมีนโยบายหรือมุมมองต่อเรื่องเหล่านี้อย่างไร ?

ถ้าปัญหาในบ้านเรายังแก้ไม่ได้  แล้วเราจะแก้ปัญหากับเพื่อนบ้านได้อย่างไร?

Post to Facebook Facebook



Main: 0.1504271030426 sec
Sidebar: 0.14597392082214 sec