พูด(แล้วคนฟังฟัง)ไม่รู้เรื่อง เขียน(แล้วคนอ่านอ่าน)ไม่รู้เรื่อง
อ่าน: 3473เคยแปลกใจอยู่บ่อยๆว่าเรื่องเดียวกัน ไปฟังมาด้วยกัน นั่งติดกัน ทำไมตีความไปคนละอย่าง
หรือเรื่องเดียวกัน ให้คนสองคนอธิบาย ทำไมคนฟังบอกว่าคนนึงพูดรู้เรื่อง อีกคนพูดแล้วไม่รู้เรื่อง
ก็เลยสรุปเอาดื้อๆเลยว่า
ถ้าเครื่องรับไม่ดี เครื่องส่งดีอย่างไร เครื่องรับก็รับได้ไม่ชัดเจน
แต่ถ้าเครื่องส่งไม่ดี เครื่องรับที่ดีๆก็พอจะรับฟังได้ เครื่องรับที่ไม่ดีก็ยิ่งไปกันใหญ่เลย
ยิ่งได้มาพูดคุยกับเบิร์ดผ่านบันทึก ว่าด้วย IQ Test เรื่องพหุปัญญาของนาย Howard Gardner พูดถึงเรื่องความสามารถทางปัญญาของมนุษย์ 8 ด้าน
1. ปัญญาด้านภาษา (Linguistic Intelligence)
2. ปัญญาด้านตรรกะและคณิตศาสตร์ (Logical-Mathmatical Intelligence)
3. ปัญญาด้านมิติสัมพันธ์ (Visual – Spatial Intelligence)
4. ปัญญาด้านร่างกายและการเคลื่อนไหว (Bodily – Kinesthetic Intelligence)
5. ปัญญาด้านดนตรี (Musical Intelligence)
6. ปัญญาด้านมนุษย์สัมพันธ์ (Interpersonal Intelligence)
7. ปัญญาด้านความเข้าใจตนเอง (Intrapersonal Intelligence)
8. ปัญญาด้านธรรมชาติวิทยา (Naturalist Intelligence)
ก็เลยคิดว่าคนเรามีความสามารถแตกต่างกันไป
บางคนอาจมีความสามารถด้านภาษา แต่อ่อนด้านคณิตศาสตร์
บางคนเรียนเก่งมากๆ แต่สอนแล้วนักศึกษาไม่รู้เรื่อง แถมมีปัญหามนุษย์สัมพันธ์ คงจะอ่อนด้านภาษาและมนุษย์สัมพันธ์
บางคนอะไรๆก็ดีหมด แต่ไม่มีความสุขในชีวิต ก็คงจะอ่อนด้านความเข้าใจตนเอง
กลับมาเรื่องพูด(แล้วคนฟังฟัง)ไม่รู้เรื่องกันดีกว่า กรณีนี้หมายถึงพูดให้คนที่เครื่องรับดีๆฟังหรือคนส่วนใหญ่ฟังนะครับ ถ้าคนบางคนหรือส่วนน้อยฟังไม่รู้เรื่องไม่เกี่ยวนะครับ
ถ้าไม่มีปัญหาก็แล้วไปนะครับ ถ้ารู้ตัวว่ามีปัญหาแล้วต้องการแก้ไข เช่นเป็นครูบาอาจารย์ที่สอนหนังสือแล้วลูกศิษย์บอกว่าสอนไม่รู้เรื่อง (แล้วยังไปว่าเด็กทั้งหมดโง่ ไม่ตั้งใจเรียนอีก) หรือพวกที่โชคดีได้เป็นผู้บังคับบัญชา แล้วลูกน้องบอกว่าพูดไม่รู้เรื่อง สั่งงานไม่รู้เรื่อง (แล้วคิดว่าลูกน้องทั้งหมดโง่ พูดไม่รู้เรื่องซะอีก) หรืออาจเป็นคนที่เพื่อนร่วมงานทุกคนบ่นว่าพูดไม่รู้เรื่อง (แล้วยังไปบ่นว่าเพื่อนร่วมงานทั้งหมดแย่ พูดไม่รู้ฟัง)
ลองฟังคนพูดไม่เข้าหูคนพยายามอธิบายนะครับ แค่แนะนำครับ ไม่ชอบก็ไม่ต้องมาด่าว่าเขียนบันทึกไม่รู้เรื่องนะครับ อิอิ
วิธีแก้ไขเรื่องพูด(แล้วคนฟังฟัง)ไม่รู้เรื่อง
หลักการ ต้องแก้ไขที่ตัวเองครับ ซ่อมเครื่องส่งให้ดีครับ อย่าไปสันนิฐานว่าเครื่องส่งดี เครื่องรับทั้งหมดเสียนะครับ ยังงี้แปลว่ายังไม่รู้ตัว ไม่ต้องอ่านต่อครับ
เริ่มจากการซ่อมที่หัวจิตหัวใจนะครับ อันดับแรกต้องรู้จัก เข้าใจ และรักคนที่เราจะพูดคุยด้วย ฝึกตัวเองจนรักสรรพสิ่งนะครับ แค่นี้ก็ยากพอสมควรแล้วครับ แต่ถ้าเข้าใจตรงนี้ก็เริ่มฝึกฝนได้นะครับ ก็คือฝึกด้าน Soft Side ที่ อ. วรภัทร์ ภู่เจริญ พูดถึงนั่นแหละครับ หรือถ้าไม่แสลงบาลีก็ศึกษาธรรมะดูนะครับ ฝึกจนรักสรรพสิ่งก็ถือว่าใช้ได้
อันดับที่สอง ก่อนจะหัดพูดให้คนฟังฟังแล้วรู้เรื่อง ควรหัดฟังก่อนนะครับ อันนี้ก็คือฝึกสานเสวนา สุนทรียสนทนา หรือ Dialogue ลองหาความรู้เรื่องนี้แล้วฝึกฝนดูนะครับ ไม่ใช่แค่อ่านแล้วคิดว่าเข้าใจนะครับ คนที่เล่นเรื่องนี้บอกว่าถ้าได้มีโอกาสสนทนาในวงสนทนาดีๆสัก 40 ครั้งก็พอจะเริ่มเข้าใจนะครับ
ฝึกสองอันนี้ได้แล้วก็ฝึกพูดได้แล้วครับ คราวนี้คงผ่านการเปิดใจแล้ว แบบว่ามีเสียงของตัวเองแล้ว แยกแยะความรู้มือหนึ่ง ความรู้มือสองมือสามมือสี่ออกแล้ว ถ้าอ่านแล้วยังไม่เข้าใจก็กลับไปเริ่มต้นบทที่ 1 ใหม่นะครับ อิอิ
จะลองฝึกด้วยการเขียนบันทึกในลานปัญญาดูก็ได้นะครับ (ดูว่ามีคนรึเปล่า อิอิ)
แนะนำให้ฝึก คิดด้วยภาพ ( Think in Pictures ) ตามแบบที่นาย Nishimura Katsumi แนะนำไว้ในหนังสือ ZUKAI SURU SHIKO HO ที่คุณประวัติ เพียรเจริญ แปลและเรียบเรียงไว้ในหนังสือ คิดด้วยภาพ – Think in Pictures ดูนะครับ
เป็นการฝึกดูภาพรวมของเรื่องราวที่ต้องการสื่อสาร แล้วค้นหาคำสำคัญ (keyword) แล้วนำมาร้อยเรียงให้มีความสัมพันธ์ที่เข้าใจง่าย เนื้อหาที่สำคัญครบถ้วน แล้วจัดเป็นภาพ (Pictures), แผนภาพ (Diagram), แผนภูมิ (Chart) , กราฟ (Graph) ฯลฯ
ต้องมองภาพรวมให้ได้หมดก่อนแล้วถึงค่อยลงรายละเอียด ( Macro ไป Micro) การนำเสนอต้องแสดงความสัมพันธ์เชิงตรรกะหรือลำดับก่อนหลังเป็นอย่างดี
มีการแนะนำ Magic Number 7 plus-minus ด้วย หมายความว่าถ้าจัดกลุ่มอะไรก็ตาม คนเราจะจำได้ที่ประมาณ 6-8 หัวข้อ ถ้าเกินนี้ก็จะจำไม่ค่อยได้ ให้จัดกลุ่มใหญ่ก่อนแล้วแบ่งเป็นกลุ่มย่อยๆลงไปอีกจะทำให้จำได้ดีขึ้น
ฝึกตรงนี้ได้อีกก็จะทำให้การพูดจาสื่อสารดีขึ้น หรือถ้าเป็นการสอนหรือนำเสนอ ก็จะสามารถจัดทำสื่อ (Powerpoint) นำเสนอได้เจ๋งขึ้น พูดรู้เรื่องขึ้นและน่าสนใจ น่าติดตามฟังมากขึ้น
ว่าแต่ว่าอ่านแล้วรู้เรื่องไหมครับ ? คนเขียนบันทึกได้ชื่อว่าเป็นคนพูดไม่เข้าหูคน คราวนี้อาจได้ฉายาเพิ่มเป็นพูด(ให้คนฟังฟัง)ไม่รู้เรื่อง หรือ เขียน(ให้คนอ่านอ่าน)ไม่รู้เรื่องอีกก็ได้นะครับ
ช่วยแสดงความคิดเห็นด้วยนะครับ อิอิ……………….
Next : ตะเกียงอาละดิน อิอิ » »
25 ความคิดเห็น
วันก่อนเพิ่งได้รับผลการตรวจ I.Q. ของเด็กที่คุณครูส่งไปตรวจ เพราะอ่านหนังสือไม่ค่อยได้
ผลปรากฏว่า คะแนน I.Q ได้ 110 ..
เลยเป็นเรื่องต้องศึกษารายละเอียดกันต่อ
ตกลง ไม่รู้ว่า เครื่องส่งไม่ดี หรือ เครื่องรับไม่ดี หรือ ทั้งสองแบบก็ไม่รู้ค่า..อิอิ
เครื่องดีแต่ไฟฟ้าดับถ่านไฟฉายก็ไม่มี….อิอิ
ผมเชื่อว่าความชำนาญทางภาษา ทั้งถ่ายทอดออก และเรียนรู้รับเข้า เป็นทักษะที่ฝึกฝนได้ครับ
อย่างน้อยก็มี คลังคำ ระบบความคิด และทักษะในการเรียบเรียง
คลังคำ ทำให้มีตัวเลือกในถ้อยคำมาก คำแต่ละคำมีน้ำหนักไม่เท่ากัน ถ้าคลังคำมีอยู่จำกัด อ่านน้อย ใช้วนไปวนมาอยู่แต่ภาษาของหนังสือพิมพ์ สิ่งที่สื่อออกมาก็จะทื่อๆ ไม่มีน้ำหนัก เหมือนดูภาพขาวดำ (ซึ่งไม่ได้แปลว่าไม่ดี เพียงแต่มันไม่มีสี)
ระบบความคิด คือความลึกซึ้งของการประมวลข้อมูล สังคมปัจจุบันให้ค่านิยมกับความคิดที่เป็นตรรกะ เป็นเหตุเป็นผล แต่เรามักจะลืมนึกไปว่าในทันทีที่เราให้เหตุผลกับสิ่งที่เห็นนั้น เราได้ตัดสินไปแล้ว (กาลามสูตร) สิ่งที่เห็นประจักษ์ ก็ยังไม่แน่ว่าจะเป็นอย่างนั้นจริงๆ (ละครน้ำเน่าสร้างกันได้หลายสิบตอนหรอกก็เพราะอย่างนี้ล่ะครับ) ระบบความคิดคือการเรียกข้อมูลต่างๆ มาใช้ประโยชน์จากการเชื่อมโยง สังเคราะห์ออกมาเป็นประเด็นที่ต้องการสื่อ ไม่จำเป็นต้องมีคำตอบสำหรับทุกคำถาม แต่น่าจะมีประเด็นอะไรให้ผู้ที่ต้องการจะสื่อสารด้วย ไม่อย่างนั้นก็จะเรื่อยเจื้อยหวานเจี๊ยบ หรือไม่ก็เป็นสไตล์ยืนกราน (assertive) ฉันจะว่าของฉันอย่างนี้
ทักษะในการเรียบเรียงนั้น ไม่ใช่เรื่องภายในล้วนๆ แต่ยังรวมถึงความเข้าใจในผู้รับข่าวสารด้วย ไม่มีประโยชน์จะเอา dissertation ปริญญาเอกมาเขียน แต่ไม่มีใครสนใจหรืออ่านรู้เรื่อง
ประสิทธิภาพของการสื่อสารนั้น นอกจากเครื่องส่งและเครื่องรับแล้ว ยังมีสื่อที่เลือกใช้อีกครับ บางเรื่องโทรคุยดีกว่า บางเรื่องเขียนบล็อก ให้อ่านได้พร้อมกันหลายๆคนแล้วรับ feedback ตรงจากผู้อ่าน บางเรื่องร้องสื่อมวลชน บางเรื่องร้องนายก บางเรื่องร้องศาลรัฐธรรมนูญ
สำหรับงานเขียน ที่ทำได้อย่างแรกคือ ตัดประโยคให้สั้นแต่มีความหมายครับ อย่างกังหันน้ำก้นหอย (ตอนที่ 1 2 3 4 5) ถ้าเปิดตัวออกมาว่า “เป็นฟิสิกส์ระดับที่เด็กมัธยมก็รู้ ใช้กฏของบอยด์ง่ายๆ” แบบนี้ คนอ่านก็กระเจิงครับ แต่ค่อยๆ อธิบายไป ปรากฏว่ามีแฟนบล็อกติดต่อเข้ามา บอกว่าสนใจมากครับ รายหนึ่งเป็น plant manager ของบริษัทมหาชน บอกว่าอยากร่วมทดลองสร้าง อีกรายเป็น freelance industrial designer บอกหาอุปกรณ์ราคาถูกให้ได้ และอยากเห็นว่าเกิดขึ้นจริงครับ
โดนพาดพิง เลยร้อนตัว อิอิอิ
สนใจเรื่องคนตัวเล็กที่พี่ครูอึ่งยกมาค่ะพี่ตึ๋ง..น่าทำ Achievement test ต่อ เพื่อดูว่าเป็น Learning Disability (เด็กที่มีปัญหาการเรียนเฉพาะด้าน) หรือเปล่า เพราะ IQ ปกติ แต่อ่านไม่ค่อยได้
รายละเอียดเกี่ยวกับความสามารถของคนมีมากมายค่ะ จึงไม่สามารถใช้ test ใด test หนึ่งแล้วสรุปได้ เหมือน ๆ การเห็นและฟังเพียงอันใดอันหนึ่งแล้วฟันธงนั่นแหละค่ะ
และจะเห็นว่าการฟังอย่างลึกซึ้ง หรือการแขวนลอยไม่ตัดสินแทรกอยู่ในทุกเรื่องนะคะ ศาสตร์ทุกศาสตร์รวมเป็นหนึ่งจริงๆ จะจับอันไหนก็ได้ เชื่อมโยงเป็นก็ไม่มีอะไรแตกต่าง แต่จะลึกซึ้งขึ้น แบบการเรียนระดับสูงขึ้น ๆ ไงคะ อิอิอิ
แอบแซวหน่อย นาน ๆ จะเห็นพี่รุมกอดเขียนเม้นต์ยาว ๆ ซะที 55555555555555555
ขอโทษนะคะหมอ พอดีเคยมีอาชีพขายเสียงมาก่อนทั้งในระบบ และนอกระบบราชการ พูดทั้งในและต่างประเทศ มานานจน พูดกับสัตว์เลี้ยงต้นไม้รู้เรื่อง
หลักง่ายๆ คือ
๑. เรากำลังพูดกับใคร เพื่ออะไร ทำไมต้องพูด เพราะอะไร แล้วคาดว่าผลจะเป็นอย่างไร
๒. ทำความรู้จักกับผู้ฟังเสียก่อนเป็นอันดับแรก และให้เกียรติผู้ฟัง ชื่นชมผู้ฟังที่ตั้งใจมาฟังเพื่อ…….
๓. ทำความตกลงกับผู้ฟังให้ชัดเจน
๔. แล้วดำเนินการทำตามที่ตกลงไว้
ก็แค่นี้เอง สำหรับตัวเองแล้ว สอนหนังสือเป็นอาชีพมาก่อนทำตาม สี่ข้อที่กล่าวมา แต่เพิ่มเติมหลังการสอนให้นักศึกษาวิจารณ์การสอนได้ เปิดใจกว้างเมื่อได้ความคิดเห็นทั้งหมดแล้วก็มาสรุปประเด็นหลัก แล้วก็ปรับเข้าหากัน และท้ายที่สุดไม้เด็ดประจำตัวคือขอตรวจสมุดเล็คเชอร์ ฮาๆๆๆๆๆๆๆๆๆ
ความจริงมุขเด็ด ๆ มีมากกว่านี้ ขนาดสอนหนังสือบางที่ต้องปิดห้องสอนค่ะ ไม่งั้นทำให้ห้องใกล้เคียงปั่นป่วน ต้องวิ่งมาดูห้องที่หลินฮุ่ยสอนค่ะ ขนาดสอน ป. ยังได้ยินเสียงเขกโต๊ะ เป็นจังหวะน่าฟัง คิคิคิ
ไม่บ่นว่าไม่รู้เรื่อง ก็แปลว่า อ่าน(ที่เขียนแล้ว)รู้เรื่อง แสดงว่าเครื่องรับและเครื่องส่งดีทั้งคู่ครับ อิอิ
หน้าที่ครูใหญ่คือสอนให้เด็กได้ใช้ความสามารถเต็มความสามารถของเด็กครับ
แต่ครูส่วนใหญ่ถนัดเอาวิธีแบบสูตรสำเร็จมาสอนเด็กที่แตกต่างกัน เวลามีปัญหาก็ไปโทษเด็ก ปัญหาน่าจะอยู่ที่ครู อิอิ
ไฟดับ ไม่ต้องมองตาก็รู้ใจ อิอิ
วิธีที่จะทำให้ภารกิจสำเร็จมีหลายวิธีครับ การพูดการเขียนจึงมีหลากหลาย นี่เป็นเสน่ห์ เป็นความสวยงามครับ แต่มักจะมีหลักการเดียวกันเพียงแต่พลิกแพลงได้
สรรพสิ่งล้วนเชื่อมโยง…………
ว่างๆมานั่งจิบน้ำชาแซวผู้คนอีกนะครับ ฮ่าๆๆๆๆๆ
ขอบคุณมากครับที่มาช่วยต่อยอดความรู้
โชคดีจังที่ไม่ได้ไปนั่งเรียนกับ อ. หลินฮุ่ย เพราะไม่เคยจดเล็กชอร์ครับ
ถ้าไม่รอเจ้าของหลับเแล้วอ่านต่อยันแจ้ง ก็เอาของเพื่อนที่สนิทมาฉีกแบ่งกันอ่าน หรือแบกกระติกโอเลี้ยงไปนอนฟังเขาติวกันครับ อิอิ
ปัญหาการฟังมีเยอะ เช่น
-คนหูตึงต้องการเสียงดังกว่าปกติ
-บางคนไม่เคยตรวจรูหู ตรวจแต่รูอื่น
-บางคนหูหาเรื่องอีกแน๊ะ
-บางคนพูดไม่ดูตาม้าตาเรือ
-บางคนพูดแทบนับคำได้ แต่สะท้อนคิดได้มากกว่า ประเภทน้ำท่วมทุ่ง
-คนพูดเก่ง เรียกว่าท็อกโชว์ คนพูดดี ก็แบบหมอจอมป่วนนี่แหละ ไม่งั้นเขาจะเชิญไปพูดทั่วโลกรึ
-อยากรู้ใครพูดเก่งต้องดูตอนทะเลาะกัน มีอะไรงัดออกมาหมด
-โต้วาทีมีหัวข้อ แต่ด่ากันไร้กรอบกติกา ใครคิดเก่ง จำแม่น ข้อมูลดี เสียงดัง หน้าตาขึงขัง ได้เปรียบ
-พูดดีคล้ายๆกับด่า แต่ไม่ใช่
-พูดแบบหน้าไหว้หลังหลอก ต้องเรียนกับพวกม๊อบต่างๆ สมัยก่อนเรียกว่าพูดขาวเป็นดำ
-มีที่ให้ฟังอย่างใคร่คราวญเยอะแยะในบ้านเมืองเรา ฟังเทศน์ฟังธรรม ก็ล้วนแต่ควรนำมาใคร่คราญ และ
ระหว่างฟังก็ไม่ควรเอาโน๊ตบุกส์ไปด้วยเหมือนคนบางคน
-ต้องบริหาร ปาก กับหู ให้สมดุลกัน ไม่งั้นจะได้ชื่อว่าปากตลาด
” มีปัญหาการพูดการฟัง ควรไปดูลำตัด หรือเพลงโคราช หนังตะลุง บ่อยๆ ”
เป็นภูมิปัญญาการเรียนการสอนของคนยุคก่อน
บางก็ใช้วิธีเขียนเพลงยาว
แต่ยุคนี้โทรหากิ๊กคุยกัน อาจจะช่วย พัฒนาการการพูดการฟังได้ดี
“จะมีใครสักกี่คนที่ไม่ตั้งใจฟังกิ๊กพูด”
ว่าคนเดียว 3 ความเห็นเลยนะครับ อิอิ
ไม่ได้ลักหลับนะครับ ขอแก้ตัวครับ
รอเจ้าของหลับแล้วแอบอ่าน หรือเอาเล็กเชอร์มาฉีกแบ่งกันอ่าน
จริงๆแล้วเวลาใกล้สอบ ไม่มีเล็คเชอร์อ่านก็ไปขอเพื่อนไว้ เพื่อนบอกว่าจะอ่านถึงเที่ยงคืน ก็ไปแทงสนุกเกอร์ถึงเที่ยงคืนแล้วก็กลับมาหยิบจากหัวเตียงเพื่อนไปอ่านยันแจ้งครับ (
จริงๆกินเหล้าด้วยนะครับ)ส่วนไอ้ที่เอามาฉีกแบ่งกันอ่านนี่เจ้าของก็ยินยอมนะครับ (เพราะกลัวไม่ให้ไปเที่ยวดื่มกินด้วย) อยู่กัน 12 คน ก็ฉีกเป็น 12 ชุด จับฉลากแบ่งกันอ่านคนละ 15-30 นาที ใครได้เบอร์หนึ่งก็สบายหน่อย อ่านตั้งแต่ต้นจนจบ ใครได้เบอร์ท้ายก็อ่านตอนท้ายก่อนแล้วค่อยมาอ่านตอนต้นๆ
สมัยเรียนเตรียมแพทย์ หาที่นอนไม่ได้ก็พากันไปนอนที่คณะฯ ตื่นมาเพื่อนๆก็มาติวแมลงสาป กบ ฉลาม…กัน ก็เลยนั่งฟังด้วย หลายๆรอบเข้าก็ตั้งตัวเป็นพระอาจารย์ติวซะเองเลย
ไอ้แบบที่รู้ว่าถ้าสอบ Lab. (สอบในห้องปฏิบัติการ) แล้วสอบตกแหงๆ ก็ยกทีมไปหาอาจารย์สารภาพดื้อๆเลย อาจารย์บอกว่า ” ให้ขอเลื่อนการสอบแล้วพวกมึงมาให้กูสอนซะดีๆ ห้ามโดดร่ม “ เงื่อนไขแบบนี้ไม่เอาก็บ้าแล้ว แต่การสอบใหม่ได้คะแนนแค่ 80% ของคะแนนเต็ม อาจารย์ให้ 80 คะแนนก็ถูกปรับเป็น 80*80= 64 คะแนน (สมัยที่เรียนยังไม่ตัดเกรด 60 คะแนนถือว่าผ่าน อิอิ) สาธุ ๆๆ ไม่ลืมบุญคุณของอาจารย์เลยครับ เลยพยายามให้โอกาสคนเสมอเพราะได้บทเรียนมาครับ
บางครั้งเพื่อนที่ชอบเรียนเขาจะติวกันเวลาใกล้สอบ (แบบเบิร์ดติวให้เพื่อนนั่นแหละ) ก็ไปซื้อโอเลี้ยงมา 1 กระติก ไปนอนดูดแล้วฟังเขาติวกัน ย้ายวงสักสามสี่วงก็จำได้ไม่ต้องอ่าน นอนดูดโอเลี้ยงฟังแสนสุโข อิอิ……..
เอาไว้อารมณ์ดีๆจะเล่าให้ฟังใหม่ เดี๋ยวเขาว่า….แก่แล้วชอบเล่าความหลัง ข้างบนไม่ได้เล่าความหลังแต่ตอบความเห็นครูบาครับ… โอ๊ยแสบๆๆๆ สีข้างถลอก ฮ่าๆๆๆๆๆๆ
สวัสดีครับ
มาอ่านสามรอบแล้ว ไม่คอมเม้นท์ คงเข้าใจนะว่า..อ่านแล้วไม่รู้เรื่อง ฮา….
บันทึกเรื่องพูดไม่เข้าหูคนไม่มีใครเม้นท์ เพราะคนเขียนบอกว่าคนอ่านน่า…..ชะมัด ก็เลยไม่มีใครกล้าเข้าไปแสดงตัว มีแต่ผมที่แสดงตัวว่าเข้าไปอ่านแล้ว จะ…ไหมล่ะ….ฮ่าๆๆ
นั่งเฉยๆมันร้อนรุ่มอย่างไรม่ายรุ
อ้อ เพราะจอมป่วนนี่เอง….
ตัวอยู่ไหนก็ไม่รู้ ป่วนไปถึงชายแดนลาวมุกดาหาร - สะหวันนะเขตโน้น
ร้อนจน หากเดินเข้าดงหลวง ไฟคงไหม้ป่าหมดแน่
มิน่าถึงครึ้มฟ้าครึ้มฝน จะตกก็ไม่ตก จะแดดก็ไม่แดด
—————–
พูดแล้วฟังไม่รู้เรื่อง ผมเจอมาเยอะ ที่เพิ่งเล่นไปเร็วๆนี้ก็ เบอร์หนึ่งของหน่วนงานที่ผมทำงานนี่แหละ
คนอาราย…เป็นใหญ่เป็นโตซะเปล่า พูดจาทำตีสำนวนโวหาร แต่ไม่มีใครรู้เรื่อง
ตลกไหมล่ะ เขาว่า ที่พูดมาทั้งหมดคือคำสั่ง
เอาละซี ลูกน้องตั้งแต่สนิทที่สุดจนเกลียดที่สุดแต่เป็นลูกน้องเดือดร้อนต้องมานั่งถามกันว่า เฮ้ยย…นายว่าไงบ้างว่ะ
และแล้วก็เกณฑ์ทุกคนมานั่งประชุมสรุปกันว่า นายว่าอะไรบ้าง
ตาย ตาย ตาย ประเทศชาติ เกิดมาก็เพิ่งพบเห็นนี่แหละ
เมื่อสรุปได้แล้วก็เอาไปเสนอให้ฟัง ถูกด่ากลับมาอีก… ใครจะเข้าใกล้ล่ะ
ระบบเขาดีดี เปลี่ยนใหม่หมด เอาอย่างนั้น อย่างนี้ ระบบการเงินป่วนไปหมด แต่ไม่ยอมเซ็น ให้ลูกน้องรองลงไปเซ็น เพราะต้องการหลีกปัญหาที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต… จังซี่..มันต้องถอน…
นี่คำสั่งโยกย้ายกลับไปที่เดิม ซึ่งเป็นกรมเล็กๆ ไม่มีงบประมาณ ไม่ค่อยมีบทบาท คนเขาโมทนาสาธุ ที่หน่วยงานกะจะทำบุญล้างซวยกันนะเนี่ยะ
ใจเขาอยากขึ้นรองปลัด จะได้นั่งแท่นปลัด เหมือนฟ้ามีตา กลับตกไปที่เดิม ไอ้ที่ลงทุนประชาสัมพันธ์มากมายก่ายกองไปน่ะ ถลุงงบประมาณไปเท่าไหร่แล้ว ชาวนาชาวไร่เสียโอกาสไปมากมาย
นี่คือเรื่องของคนบ้าอำนาจและพูดก็ไม่รู้เรื่อง
เอ..มันเข้ากับบันทึกจอมป่วนนี้รึป่าวววววว
หรือผมเป็นพวกเขียนไม่รู้เรื่อง ฮาาาาา
ฮ่าๆๆๆๆๆๆ เรียกเรดติ้ง
อย่างนี้เรียกว่า ป่วนไม่เลิก
ความเห็นยาว ๆ ทั้งนั้น
เอาสั้น ๆ แล้วกันครับ
เยี่ยม
เค้าไม่เรียกว่าโฆษณาครับ เดี๋ยวโดนรอกอดลบทิ้งครับ
เค้าเรียกว่าโอ้อวดสรรพคุณให้คนมาอ่านแค่นั้นเองครับ อิอิ
อ่านแค่สามรอบแล้วเข้าใจนี่ก็ไม่…..เท่าไหร่นะครับ ที่รู้ว่าอ่านสามรอบแล้วเข้าใจเพราะเม้นท์ได้เป็นเรื่องเป็นราว แถมตามไปอ่านบันทึก พูดไม่เข้าหูคน อิอิ
…. มีแต่ผมที่แสดงตัวว่าเข้าไปอ่านแล้ว จะ…ไหมล่ะ….ฮ่าๆๆ
……ก็ ……วะ ฮ่าๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ
คนเขียนบันทึกและคนเม้นท์ เขียน(แล้วอ่าน)รู้เรื่องดี อิอิ
เพียงแต่พี่เขียนถึงคนพูดไม่รู้เรื่องแค่นั้นเอง อิอิ
ฟ้องรอกอด เฮียเหลียงป่วนบันทึกผมไม่ยอมเลิกครับ อิอิ
ก็ว่ากันไปตามขนาดก็แล้วกันนะครับ อิอิ
มาอ่านบันทึกนี้แล้ว ความรู้ท่วมหัวเลยค่ะ แต่ขอปันใจให้ครูบาแทนเจ้าของกระทู้นะคะ อิอิ แป่ววววว………… ท่านพ่อเขียนดีมากค่ะ แต่ท่านครูบาคอมเม้นท์โดนใจวัยรุ่น อิอิ