เรื่องยาวๆ ที่ไม่ใช่เพลงยาว

อ่าน: 3183

ได้รับการบ้านจากสภาวิจัยแห่งชาติให้ไปโม้ประเด็นนี้

บังเอิญยาวไปหน่อย ถ้าไม่มีเวลาก็เปิดข้ามไปเถิดนะครับ อิ อิ

(ทำไมแพะตัวเมียถึงมีเครา ถ้าอยากรู้ว่าเคราแพะมีประโยชน์หรือไม่ก็ต้องทำการวิจัย)

: ปัญหาของชาวบ้านกับการทำวิจัย

: ถ้าโจทย์ออกมาอย่างนี้

แสดงว่ามีผู้เข้าใจและสนใจเกี่ยวกับการวิจัยไทบ้านบ้างแล้ว

บางท่านอาจจะสงสัยว่าชาวบ้านต้องทำการวิจัยได้หรือ

พูดถึงงานวิจัย บางคนร้องโอ๊ก มองเป็นยาขมหม้อใหญ่

ทั้งๆที่ในความเป็นจริง..งานวิจัยเป็นขนมหอมหวานอร่อย

จริงหรือ จริงสิ แน่นะ อ๋อแน่สิ ..เชิญตามมา >>

: ประเด็นนี้ละครับที่จะต้องมาฉุกคิดกัน

โดยข้อเท็จจริงมนุษย์เราทุกผู้ทุกนามต่างก็มีความรู้ในตัวตนทั้งนั้นละครับ เพียงแต่สิ่งที่รู้และทักษะชีวิตมีหลายชั้นหลายระดับ เกิดเป็นความชำนาญที่หลากหลาย แยกแยะเป็นผู้ชำนาญการที่ภาษาชาวบ้านเรียกว่า “ช่าง” เช่น ช่างไม้ ช่างปูน ช่างก่อสร้าง ช่างทำเครื่องเรือน ช่างทำบ้าน ช่างทำเรือฯลฯ บ้างก็เรียกว่า “หมอ” หมอยา หมอพื้นบ้าน หมอทำขวัญฯลฯ บ้างก็เรียก”นายฮ้อย” หมายถึงผู้ชำนาญด้านการค้าขายเกี่ยวกับปศุสัตว์ บ้างก็เรียกว่า”ครู” ครูเพลง ครูดนตรีฯลฯ

: ผู้รู้เหล่านี้ปัจจุบันเรียกรวมๆว่า “ภูมิปัญญาท้องถิ่น”

ภูมิปัญญาเหล่านี้เกิดขึ้นมาได้อย่างไร?

ธรรมชาติของคนเรา อยู่ที่ไหนก็ต้องดิ้นรนแสวงหาความรู้มาแก้ไขอุปสรรคในการดำเนินชีวิตให้เกิดความมั่นคงยิ่งขึ้น มนุษย์เริ่มวิจัยตั้งแต่สมัยลากตะบองอาศัยอยู่ในถ้ำ.. ต่อมาก็คิดค้นเรื่องการเพาะปลูกเลี้ยงสัตว์แทนที่การไล่ล่าสัตว์ซึ่งไม่แน่นอน เมื่อสภาพธรรมชาติเปลี่ยนแปลงตามฤดูกาล ก็คิดค้นเอาหนังสัตว์มาทำเครื่องนุ่งห่มเพื่อให้ร่างกายอบอุ่น คิดไปคิดมาก็ได้เสื้อผ้าถุงมือถุงเท้าที่มีคุณภาพสามารถสู้ทนกับความหนาวเย็นได้ พัฒนาการไม่หยุดนิ่งจนกระทั้งสามารถไปอาศัยอยู่ในเขตหนาวได้ ชาวเอสกิโมคิดได้แม้กระทั้งการสร้างบ้านด้วยก้อนน้ำแข็ง

: ความรู้เป็นพลังที่เปล่งประกายความสามารถ

ความเปลี่ยนแปลงทางด้านเศรษฐกิจสังคมและการเมืองแห่งยุคสมัยต่างๆ ทำให้เกิดโจทย์ใหม่ๆให้มนุษย์ต้องปรับปรุงความรู้ความสามารถตลอดเวลา ต่อเมื่อโลกมีการติดต่อไปมาหาสู่กันมากขึ้นเร็วขึ้น วิทยาการต่างๆได้เชื่อมโยงกันไปทั่วโลก กระตุ้นให้สังคมมนุษย์ในแต่ละยุคสมัยต้องดิ้นรนพัฒนาตนเองเพื่อความอยู่รอด และแข่งขันกันอยู่ในที

: วิทยาการใหม่ๆคืออำนาจ สามารถกำหนดความต้องการได้อย่างอิสระ จะเอาเปรียบจะกำหนดค่าวิชาความรู้ จะตั้งเกณฑ์สิทธิบัตรต่างๆนานา การซื้อขายสิทธิทางปัญญาเกิดขึ้นทั่วโลก

ประเทศที่ด้อยพัฒนาต้อง..

นำเข้าทุน

นำเข้าความรู้

นำเข้าเทคโนโลยีและวิทยาการ

ภาษาชาวบ้านเรียกว่า “จ่ายค่าโง่” ในอัตราแพงลิ่ว

ทำให้ประเทศที่ล้าหลังเสียเปรียบอย่างยากที่จะดิ้นหลุด

ตราบใดที่ไม่ดิ้นรนค้นคว้าวิทยาการให้มีขีดความสามารถเทียบทัน

หลุดพ้นจากการจำต้องซื้อความรู้ของชาติอื่น

ยกตัวอย่าง เช่น ประเทศเกาหลี ญี่ปุ่น ไต้หวัน จีน อินเดีย สามารถพัฒนาการยกชั้นขึ้นมาเป็นประเทศพัฒนารอบด้านได้อย่างน่าชื่นชม สามารถที่จะแลกหมัดความรู้ความสามารถกับชาติตะวันตกได้อย่างสมน้ำสมเนื้อ ที่เป็นเช่นนี้ได้เพราะประเทศพัฒนาใหม่เหล่านี้มีวิธีเรียนรู้ที่เข้มแข็งถึงลูกถึงคน ซึ่งหมายถึงการทุ่มเทสร้างนักวิจัยของชาติขึ้นมาอย่างมีแบบแผนเป็นระบบ

ประเทศอื่นๆเขาส่งคนไปเรียนในต่างประเทศ

ไม่ ไ ด้ ส่ ง ไ ป ใ ห้ จ ด จำ ว่ า ทำ อ ย่ า ง นั้ น อ ย่ า ง นี้

แต่ส่ง ไ ป เ รี ย น วิ ธี ทำ

เ มื่ อ ก ลั บ ม า ป ร ะ เ ท ศ บ้ า น เ กิ ด ก็ ท ด ล อ ง ทำ และ ทำ

ฝึกฝนพัฒนาทักษะความสามารถอย่างทุ่มเท

ทำให้นักพัฒนารุ่นบุกเบิกเหล่านี้สร้างต้นทุนวิทยาการและเทคโนโลยี

แล้วมาต่อยอดด้วยการช่วยกันวิจัยให้คมชัดยิ่งขึ้นอย่างกว้างขวาง

เกิดเป็นวิทยาการภายในของชาติตนเอง

เพื่อเอาไปเปรียบเทียบกับวิทยาการชาติตะวันตก

เปรียบเสมือนรางรถไฟที่วิ่งคู่กันไป

ก็จะเห็นว่าของเขาไปถึงไหน ของเราเป็นอย่างไร

สามารถเข้าไปยืนอยู่ในจุด..ที่ รู้ เ ข า รู้ เ ร า

ถ้าไม่เริ่มต้นจากเค้าโครงความรู้ที่เป็นเนื้อแท้ของเราเอง เราจะไม่หลงทางหรือครับ?

มองย้อนไปในประวัติศาสตร์ ในช่วงที่ประเทศตะวันตกตระเวนเดินเรือนำปืนไฟไปยึดครองดินแดนต่างๆ คนพื้นเมืองเหล่านั้นหลังจากตื่นตระหนก ก็ต้องมาตระหนักกับความรู้ความสามรถที่เป็นต้นทุนของเผ่าพันธุ์ตนเอง “เกิดการเปรียบเทียบชุดความรู้อย่างกะทันหัน”

ทำอย่างไรจะสู้กับวิทยาการที่มีอิทธิฤทธิ์เหล่านั้นได้

จุดเหล่านี้เป็นพลังกระตุ้นต่อมความรู้ให้คิดค้นชุดความรู้ใหม่ๆอยู่เสมอ

เปรียบดั่ง หอก ดาบ ธนู จะสู้ปืนไฟไม่ได้หรอก

กรณีตัวอย่างที่ยกมาข้างบนนั้น สะท้อนให้เห็นว่าผู้รู้ในสังคมอยู่เฉยไม่ได้แล้ว ต้องเร่งรีบปรับปรุงความรู้ความสามารถของตนเองอย่างแข็งขัน ผู้รู้ที่กล่าวถึงนี้ น่าจะเป็นนักวิจัยสายพันธุ์แท้ แสดงว่าในวิถีไทก็มีการฝึกฝน-มีการถ่ายทอด-พัฒนาการฝีมือจนกระทั้งเข้าเกณฑ์ความเชี่ยวชาญ จนเป็นที่ยอมรับว่ามีความสามารถทำกิจกรรมที่ตนถนัดได้บรรลุเรียบร้อย โดยไม่ต้องมีใบประกาศรับรองจากสำนักฯใดๆ อาศัยความเชื่อถือและชื่อเสียงที่ผ่านการพิสูจน์ผลงานซ้ำแล้วซ้ำอีก

ภูมิปัญญาท้องถิ่นในสาขาต่างๆ

ผู้เชี่ยวชาญเชิงช่างในพื้นถิ่นนี่เองที่ผู้เขียนเรียกว่า

“นักวิจัยไทบ้าน”

: ชาวบ้านทำวิจัยได้จริงหรือ?

: ชาวบ้านทำวิจัยลักษณะไหน?

: ชาวบ้านวิจัยออกมาหน้าตาเป็นอย่างไร?

: ชาวบ้านมีปัญหาตรงไหน?

: งานวิจัยไทบ้าน อ ยู่ ที่ ก า ร ตี ค ว า ม

ท่านที่เถรตรงก็อาจจะเอากระบวนการงานวิจัยทางวิชาการมาจับ เอากรอบระเบียบวิธีวิจัยมาครอบ เอากฎเกณฑ์เชิงวิชาการมากำหนด ไปตีพิมพ์ในนิตยสารต่างประเทศได้หรือเปล่า เรื่องนี้ถ้าจับเข่าคุยกัน พบกันครึ่งทาง จะทำให้เห็นลายแทงงานวิจัยไทบ้าน ว่ามันมีความหมายความสำคัญ ไม่ได้แตกแยกไปออกไปจนสุดโต่ง แต่เป็นคุณประโยชน์อย่างมาก ถ้าจะหันมาร่วมมือและผนวกกำลังการวิจัยเข้าด้วยกัน

ปัญหาอยู่ที่ว่า..ถ้าจะทำแบบวิจัยไทบ้าน นักวิจัยเชิงวิชาการมีความรู้สึกว่ามันคนละรูปแบบกัน ทำอย่างนี้ไม่ได้หรอก หน่วยงานหรือองค์กรยังไม่ยอมรับ เอาไปตีพิมพ์ เอาไปขอความดีความชอบ เอาไปแสดงผลงานได้ยาก จึงไม่สนใจที่จะร่วมมือร่วมคิดร่วมทำกับนักวิจัยไทบ้าน เรียกรวมๆว่า..สถาบันส่งเสริมการวิจัยและนักวิจัยยังไม่กระจ่างใจกับการวิจัยไทบ้าน

ทั้งๆที่การร่วมมือกันวิจัยกับไทบ้านจะได้โจทย์ที่ตรงประเด็น

เกิดประโยชน์โดยตรงต่อผู้ที่ต้องการใช้ผลงานวิจัย

งานวิจัยไทยจะเต็มรูปแบบและส่งผลต่อบริบทของงานวิจัยทั้งระบบ

: ความพิเศษของงานวิจัยไทบ้านอยู่ตรงไหน?

ผ ล ง า น วิ จั ย ไ ท บ้ า น ไ ม่ เ ค ย ขึ้ น หิ้ ง ไม่กองคากระดาษเปื้อนหมึก แต่กระโดดโลดเต้นท่ามกลางสายลมแสงแดด แทรกอยู่ในชีวิตประจำวัน กระจายว่อนอยู่ในความครุ่นคิดคำนึง เป็นชุดความรู้ที่มีการสะสาง-พัฒนาต่อยอด ตรงจุดนี้ละครับที่..นักวิจัยสายวิชาการจะมาช่วยต่อยอดหรือพัฒนาโจทย์ร่วมกัน

: เหตุผลที่โจทย์วิจัยควรมาจากผู้ที่ต้องการใช้ผลงานวิจัย

จุดเปราะบางงานวิจัยของนักวิจัยในสถาบันต่างๆ ส่ ว น ม า ก จ ะ ทำ วิ จั ย ต า ม ใ จ ฉั น บางท่านยังไม่ทราบว่าตนเองต้องการค้นคว้าเรื่องหนึ่งเรื่องใด เมื่อมีไฟล์ให้ต้องทำผลงานวิจัย ก็คิดไม่ออกบอกไม่ได้ว่าตนเองต้องการรู้แจ้งแทงตลอดในเรื่องใด ในชีวิตไม่เคยมีเรื่องต้องการค้นคว้าเป็นพิเศษเลยเชียวหรือ! เมื่อจำเป็นต้องทำวิจัย งานวิจัยจึงออกมาแกนๆกระท่อนกระแท่น ไม่มีพลังพอที่จะลงจากหิ้งได้..หาคนสนใจเอาไปใช้ประโยชน์ไม่ได้ ทำให้เกิดความสูญเปล่างบประมาณและเวลาที่ทุ่มเทลงไป ทั้งๆที่สาระวิจัยเหล่านั้นอาจจะมีคุณค่ามากก็ได้ แต่ไม่ได้มองล่วงหน้าว่าจะขายความคิดนี้ให้กับกลุ่มไหนอย่างไร ถ้าไม่ปรับตรงนี้..สร้างหิ้งรออย่างไรก็ไม่พอเก็บงานวิจัยประเภทนี้หรอกนะครับ

: งานวิจัยไทบ้าน จึงยื่นมือมาขอแช็คแฮนด์ “มาทำวิจัยด้วยกันเถอะ”

ในบางประเทศเขาออกแบบเค้าโครงวิจัยแบบบูรณาการ

ชั้นแรก สถาบันส่งเสริมสนับสนุนทุนวิจัย ออกทุนให้นักวิจัยทำการวิจัยร่วมกับเจ้าของกิจการ 100% เพื่อสนับสนุนงานวิจัยต้นทางที่จำเป็นต้องได้รับการอุดหนุนเบื้องต้น

ชั้นที่สอง หลังจากทำการวิจัยได้ระดับหนึ่ง เกิดหมากผลเอาไปสร้างมูลค่าเพิ่มได้พอสมควร เมื่อต้องการทำวิจัยต่อ สถาบันส่งเสริมสนับสนุนทุนวิจัยสมทบทุนให้ 50%

ชั้นที่สาม หลังจากทำการวิจัยจนเสร็จสิ้นสมบูรณ์ ชุดความรู้ที่ได้สามารถเอาไปเพิ่มมูลค่าอย่างกว้างขวาง ทำให้เกิดผลตอบแทนคุ้มทุนคุ้มค่ากับ เจ้าของกิจการได้รับประโยชน์เต็มเม็ดเต็มหน่วย สถาบันส่งเสริมสนับสนุนทุนวิจัยงดการให้ทุน ถ้าเจ้าของกิจการจะทำการวิจัยต่อยอดต่ออีก ฝ่ายดำเนินกิจการต้องออกทุนจ้างนักวิจัยมืออาชีพด้วยตัวเอง

: ด้วยวิธีนี้จะทำให้เกิดนักวิจัยมืออาชีพเพิ่มขึ้นอย่างเป็นรูปธรรม

ทำให้เกิดระบบการจ้างนักวิจัยเพิ่มขึ้นจากการอุดหนุนของภาคธุรกิจ/เจ้าของกิจการต้องการวิจัยเรื่องใดมาสนองกิจการของตนเอง ก็สามารถติดต่อให้นักวิจัยเหล่านี้รับงานภายใต้ความร่วมมือระหว่างกัน นอกจากงานวิจัยก็จะเกิดขึ้นประโยชน์อย่างกว้างขวางแล้ว ยังเป็นการสร้างนักวิจัยอาชีพเพิ่มขึ้นอย่างเป็นระบบที่มีเจ้าภาพรองรับแทนสนับสนุนจากสถาบันส่งเสริมทุนของภาครัฐแต่เพียงอย่างเดียว ตัวต่อจุดนี้ทำให้นักวิจัยไทบ้านมีความหมายในฐานะกาวเชื่อมระบบวิจัยให้ก้าวหน้าไงครับ?

: มีตัวอย่างงานวิจัยไทบ้านบ้างไหม?

จะเอาแบบไหนละครับ ถ้าเอาตัวอย่างงานวิจัยสมัยก่อนมีมากมาย ยกตัวอย่าง เช่น ชาวบ้านไม่มีรถแทรกเตอร์ลากซุงไม้ออกจากป่าไม้เหมือนสมัยนี้ นักวิจัยไทบ้านก็ชวนกันไปคล้องช้างป่ามาใช้งาน ก า ร ค ล้ อ ง ช้ า ง ป่ า มันง่ายไหมละครับ กว่าจะสะสมชุดความรู้ขึ้นมาจนเป็นตำราคชศาสตร์ นักวิจัยไทบ้านต้องลงทุนลงแรงทำการวิจัยอย่างสุดจิตสุดใจ ล้มหายตายไปเพราะการต่อช้างกี่ร้อยชีวิตแล้วก็ไม่ทราบได้ คล้องช้างป่าได้แล้ว ต้องมาหาวิธีฝึกช้างให้เชื่องไว้ใช้งานได้ตามความประสงค์

อีกตัวอย่างหนึ่งง่ายๆ ชาวบ้านเอาไม้ไผ่มาใช้ประโยชน์ได้นานัปการ ทำการจักสานเป็นของใช้ไม้สอย เอามาสร้างบ้าน เครื่องมือดักจับสัตว์ เครื่องดนตรี เชื้อเพลิงฯลฯ สรุปว่าทำได้นับร้อยนับพันอย่าง การก่อเกิดสิ่งประดิดประดอยเหล่านี้ เรียกว่า..ผลงานวิจัยได้ไหมครับ หรือการที่แม่ครัวหัวป่าส์เหล่าเสน่ห์จวักทั้งหลาย คิดเมนูอาหารไทยขึ้นมาจนเป็นที่เลื่องลือไปทั่วโลก เป็นอัตลักษณ์-เอกลักษณ์ประจำชาติ ..สิ่งเหล่านี้จะเรียกว่างานวิจัยไทบ้านได้ไหมครับ รึ จะต้องทำการถอดรหัสเป็นขั้นเป็นตอน สกัดผลการคิดค้นให้ออกมาเชิงวิชาการ หรือนำไปเป็นตำราในต่างประเทศ ไผ่จึงเป็นโจทย์ที่นักวิจัยไทบ้านเห็นว่ามีความสำคัญอย่างมากทั้งในปัจจุบันและในอนาคต

(ไผ่ใครๆก็รู้จัก แต่ถ้าจะให้รู้อย่างลึกซึ้งครบกระบวนการต้องทำการวิจัย)

: ไผ่ ให้ผลผลิตเร็วและต่อเนื่อง ถ้าใช้เทคโนโลยีเข้าปรับปรุงคุณภาพ/คุณสมบัติ ไม้ไผ่จะใช้แทนไม้ทั่วไปได้อย่างดี

: ไผ่ ขึ้นที่ไหน ดินดีที่นั่น

: ไผ่ ใช้เป็นวัสดุเชื้อเพลิงได้หลากหลาย ทั้งผลิตก๊าชชีวมวลได้ดี

: ไผ่ มีนับร้อยสายพันธุ์ พันธุ์กินหน่อ พันธุ์ใช้ลำต้น พันธุ์ไม้ประดับ

: ไผ่ ควรเป็นไม้เบิกนำเชิงรุกในการแก้วิกฤติสภาพแวดล้อมในปัจจุบัน

: ไผ่ ปลูกง่าย ลงทุนต่ำ เก็บเกี่ยวประโยชน์ต่อเนื่องระยะยาว

: ไผ่ เป็นปัจจัยการผลิตเบื้องต้นในการส่งเสริมอาชีพได้นานัปการ

: ไผ่ ช่วยอุ้มดินอุ้มน้ำ รักษาสภาพผิวดินได้ดี

: ไผ่ ช่วยสร้างงาน สร้างอาชีพได้นับหมื่นนับแสนครัวเรือน

: ไผ่ เหมาะที่จะเป็นโจทย์เพื่อการวิจัยอย่างยิ่ง

: ไผ่ เป็นไม้ที่ไม่ควรมองข้าม

: ถ้าติดตรงจุดนี้ ก็ช่วยๆกันทำให้เข้าหลักเข้าเกณฑ์สิครับ

ไม่อย่างนั้นเราจะเอาอะไรไปอธิบายว่าประเทศไทยก็มีแบบแผน มีต้นทุน มีวิธีวิจัยที่เป็นเนื้อแท้ มีโจทย์ มีวิธีคิด วิธีทำการวิจัยในสไตล์ของไทยแท้ๆ ถ้าเรามองข้ามตรงจุดนี้ การสร้างรากฐานงานวิจัยก็จะยังอิหลักอิเหลื่อ จะนำเสนอผลงานวิจัยก็ได้แต่ไปคิดไปอ้างไปยกเอาคำพูดหรือความเห็นของนักวิจัยต่างด้าวมายืนยัน จะหาคำยืนหยัดจากของไทยเราเองไม่มีเลย

: เราไม่คิดที่จะสร้างอัตลักษณ์วิจัยไทยแท้ๆขึ้นมาเลยหรือครับ

: ถามว่า เรายืนอยู่จุดไหนของเวทีวิจัยโลก ถ้าเรายังอ้างแต่ต่างด้าวร่ำไป

: เราไม่เฉลียวใจดูประเทศในเอเชียที่เขายกระดับการพัฒนาจนสำเร็จเลยหรือ

: ตัวอย่างงานวิจัยไทบ้านในมหาชีวาลัยอีสานเป็นอย่างไร?

แหม เรื่องการวิจัยแบบบ้านๆมีเยอะครับ แถมสนุกๆทั้งนั้น

· ด้านอาหารการกินจัดอยู่ในหมวด “งานวิจัยที่ชิมได้”

· ด้านการเลี้ยงปศุสัตว์จัดอยู่ในหมวด “งานวิจัยที่อุ้มได้”

· ด้านการป่าไม้จัดอยู่ในหมวด “งานวิจัยที่ให้ออกซิเจนได้”

เรื่องนี้พูดไปก็จะหาว่าโม้ อันที่จริงสิ่งที่ชาวบ้านดิ้นรนแสวงหาความรู้มาแก้ไขปัญหาในการทำมาหากินในการประกอบอาชีพ จำเป็นต้องอาศัยวิชาความรู้

: วิชา+อาชีพ=วิชาชีพ

ถ้าไม่พัฒนาให้เป็นมืออาชีพ ก็จะเป็นได้เพียงมือสมัครเล่น

การที่ประชาชนคนไทยขาดการสนับสนุนให้เป็นนักวิจัย-เป็นผู้เรียน-ผู้อยากรู้อยากเห็น-อยากค้นคว้า-อยากทดลอง-ตรงนี้ละครับที่เป็นหัวใจของการสร้างสังคมแห่งการเรียนรู้ ที่รัฐบาลทุกยุคทุกสมัยควรจะลงทุนพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ ด้วยการวางแผนแม่บทส่งเสริมและพัฒนาระบบการวิจัยอย่างกว้างขวางให้กับผู้คนทุกชนชั้น ควรจะเอ็กซเรย์ให้เห็นจุดวางรากฐานงานวิจัยไทบ้าน ไปเชื่อมโยงกับระบบงานวิจัยของสำนักวิจัยในสถาบันต่างๆ

: กระบวนการดังกล่าวนี้ควรจะยืดหยุ่น

: ยินยอมให้ลองผิดลองถูก

: ใจเย็นพอที่จะรอดูการผุดพรายของงานวิจัยที่ค่อยๆงอกเงยขึ้นมา

: อย่าตัดสินว่าใช่ไม่ใช่โดยไม่วิเคราะห์เบื้องหลังและฟังเหตุผลให้ถ่อแท้

ที่ฝรั่งเข้มแข็งทางด้านการวิจัย เขาไม่ได้สร้างขึ้นมาภายใน10-100ปีหรอกนะครับ เป็นแต่ชาวตะวันตกมีวัฒนธรรมของการคิดค้นเพื่อแสวงหาวิธีที่จะทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างดีขึ้น วิสัยทัศน์ชาวตะวันตก..ต้ อ ง ก า ร ที่ จ ะ ส น อ ง กิ เ ล ศ สิ่งไหนจะสะดวกสบายต่อการดำเนินชีวิตก็พยายามคิดค้นกันอย่างเต็มสติกำลัง พลังของการอยากรู้อยากเห็นส่งผลให้เกิดการปฏิวัติทางด้านอุตสาหกรรมด้วยเทคโนโลยีที่พัฒนาการอยู่ตลอดเวลา ตรงกันข้ามกับชาวตะวันออกที่มี แ น ว คิ ด ใ น ก า ร กำ กั บ ค ว บ กิ เ ล ศ พยายามทำอะไรอยู่ในกรอบที่สะดวกสบายตามสภาพแวดล้อมของธรรมชาติ ใช้ศีล สมาธิ ปัญญา เป็นยุทธศาสตร์

แต่ใช่ว่าชาวตะวันออกจะปรับเปลี่ยนแปลงอะไรไม่ได้

ดังจะเห็นว่าประเทศญี่ปุ่น จีน อินเดีย เกาหลี ก้าวพ้นข้อจำกัดดังกล่าว

เมื่อเขารู้ว่า..อานุภาพงานวิจัยมีความสำคัญต่ออัตราความก้าวหน้าประเทศ

( โคกินใบไม้ไม่แปลกหรอก แต่ถ้าต้องการรู้ว่าดีและพิเศษอย่างไรต้องทำการวิจัย)

: งานวิจัยเรื่องการเอาใบไม้มาเลี้ยงโค

ขออนุญาตเท้าความเล็กน้อย มหาชีวาลัยอีสานดำเนินการปลูกป่าไม้ในพื้นที่แห้งแล้งมาตั้งแต่ปี พ..2521 ในพื้นที่ประมาณ 600 ไร่ ได้เปลี่ยนพื้นที่โล่งเตียนมาเป็นต้นไม้นานาชนิด เห็นว่าวัชพืชที่เกิดขึ้นในป่าไม้น่าจะเลี้ยงสัตว์ควบคู่กันไปได้ จึงทดลองเลี้ยงโคเนื้อเรื่อยมา จนกระทั้งความแห้งแล้งมาเยือนอย่างรุนแรงในปีที่ผ่านมา ทำให้หญ้าต่างๆที่ปลูกไว้แห้งกรอบไม่เพียงพอต่อความต้องการของสัตว์เลี้ยง

โคทุกตัว เปลี่ยนจากโคเนื้อเป็นโคหนังหุ้มกระดูก

บอกพ่อค้ามาดู ต่างส่ายหน้าไม่รู้จะซื้อโคซี่โครงโผล่ไปทำอะไร

เมื่อความทุกข์เข้ามาเยือน ทำให้เกิดการดิ้นรนที่จะแสวงหาทางออก จึงทำลองไปตัดกิ่งไม้ชนิดต่างๆมาทดลองให้โคกินปะทังความอดอยาก ชาวบ้านบอกว่า”กินกันตาย” จะเป็นเพราะโคหิวจนหน้ามืดตาลายหรืออย่างไรไม่ทราบได้ ทุกตัวตั้งอกตั้งใจเขมือบใบไม้อย่างรีบเร่ง อิ่มแล้วก็ไปนอนเคี้ยวเอื้อง เวลาผ่านไป 6 เดือน โคตานขโมยฝูงดังกล่าวค่อยๆมีน้ำมีนวล มีเนื้อมีหนังอ้วนท้วนขึ้น

นักวิจัยไทบ้านเกิดกำลังใจอย่างมาก ตัดใบไม้ชนิดต่างๆมาลองให้โคชิมอยู่เรื่อยๆ สอบถามจากชาวบ้านที่ต้อนโคเลี้ยงตามป่าเขาต่างๆ ได้รับคำบอกเล่าว่า..โคไม่ได้กินเฉพาะหญ้าหรอกนะ ใบไม้ยอดไม้ชนิดต่างๆโคก็เดินและเล็มไปเรื่อย เจอใบไม้หรือผลไม้ป่าที่ชอบถึงกับยืนรอเลยเชียวแหละ เมื่อได้เค้าจากทุกทิศทุกทาง เราก็ประมวลผลไม้ว่ามีใบไม้ชนิดไหนบ้างที่โคชอบ หรือที่ชาวบ้านตัดให้โคกินเสริมอาหารในช่วงแล้ง

หลังจากนั้นใบไม้ชนิดต่างๆก็ทยอยมาเลี้ยงโคหลากหลายชนิด เช่น ใบไทร ใบมะม่วง ใบขนุน ใบกล้วย ใบกระถิน ใบข่อย ใบมะขามเทศ ใบก้ามปู ใบแดง ใบกระถินณรงค์ ใบมันสำปะหลัง ยอดอ้อย ใบขี้เหล็ก ฯลฯ นอกจากนี้ยังเอาใบผักพื้นถิ่นและวัชพืชต่างๆมาเลี้ยงโคด้วย

เพื่อช่วยให้โคเหล่านี้กินอาหารได้สะดวก มหาชีวาลัยอีสานใช้เครื่องสับกิ่งไม้มาสับใบไม้เลี้ยงโค กิ่งไม้ต่างๆผ่านเครื่องสับออกมาเป็นชิ้นเล็กๆ เอาซ้อมตักใส่ราง..โคเคี้ยวกันแก้มตุ้ม เศษกิ่งไม้ที่ปนมา นึกว่าจะเป็นปัญหาไปทิ่มแถงกระเพาะโค พบว่าโคฉลาดมาก ใช้ลิ้นเตะออกเลือกกินเฉพาะใบไม้ ส่วนเศษกิ่งไม้เล็กๆก็ตกอยู่ก้นรางอาหาร คนเลี้ยงตักโยนเข้าไปในคอกสะสมเป็นปุ๋ยได้อีก

งานวิจัยทำให้เกิดชุดความรู้ใหม่เกี่ยวกับการปลูกป่าไม้ในระดับชุมชน ปัจจุบันมีชนิดไม้ให้เลือกปลูกแล้วเอามาใช้ประโยชน์ได้เร็ว ยกตัวอย่างเช่น การปลูกไม้อะคาเซีย ซึ่งเป็นไม้ตระกูลถั่ว เนื้อไม้ใช้ก่อสร้างได้ดี ใบเหมาะที่จะเอามาเลี้ยงสัตว์ ปลูกง่ายโตเร็ว สามารถตัดสางขยายระยะเอามาใช้งาานได้ภายใน7 ปี เป็นต้นไป

ยุคนี้ไม้ต้องไปปลูกไม้เนื้อแข็งที่โตช้าและรอเวลานานๆแล้วละครับ

ปลูกไม้เนื้อแข็งโตพอประมาณขนาดต้นกล้วย

ก็นำมาแปรรูปใช้งาน โดยใช้เทคโนโลยีไม้ประสาน

เราก็จะมีไม้ใช้สอยสร้างบ้านและทำเครื่องเรือน

ร่นระยะจากความคิดเดิมๆที่ปลูกต้นไม้แล้วรอ 4-50 ปี

: ถามว่า วิธีที่ค้นพบนี้เพียงพอแล้วใช่ไหม

เพิ่งจะเริ่มต้นตั้งไข่เท่านั้นละเธอ

มันเป็นเพียงจุดเริ่มของงานวิจัยไทบ้านเท่านั้น ..

มีคำถามโผล่มามากมาย

· เราจะรู้ได้อย่างไรว่าใบไม้แต่ละชนิดมีคุณค่าหรือมีพิษต่อสัตว์เลี้ยง

· ใบไม้แต่ละชนิดมีสารอาหารแตกต่างกันอย่างไร

· ถ้าเอาใบไม้ผสมเลี้ยงสัตว์ ควรจะมีสัดส่วนผสมในแต่ละชนิดอย่างไร

· ใบไม้ชนิดไหนบ้างที่เราควรจะปลูกเพื่อนำมาเสริมใบไม้ที่มีอยู่เดิม

· โคแต่ละตัวต้องการสารอาหารจากใบไม้ปริมาณเท่าใด

· นอกจากใบไม้ยังมีวิธีอื่นมาเสริมอีกไหม

· จะรู้ได้อย่างไรว่าโคชอบใบไม้ชนิดไหนมากที่สุด

: คำถามมีมาให้ค้นหาตอบไม่จบสิ้น โจทย์มาจากการสังเกตที่เกิดขึ้นกับกระบวนการเลี้ยงและดูที่ตัวโค ปัญหาอยู่ที่ว่า..เ ร า จ ะ ไ ป เ อ า คำ ต อ บ ม า จ า ก ที่ ไ ห น อาศัยความรู้ของภูมิปัญญาท้องถิ่น ก็คงได้คำตอบมาระดับหนึ่ง ไม่เพียงพอที่จะตอบในเชิงวิชาการได้ ตรงจุดนี้ละครับที่ นั ก วิ จั ย ไ ท บ้ า น ต้องการตัวช่วย โ ห ย ห า นั ก วิ จั ย เ ชิ ง วิ ช า ก า ร

จะเห็นว่า..มีความต้องการที่จะขอความร่วมมือจากนักวิจัยในสถาบันต่างๆเพียงแต่จุดที่จะมาพบกันครึ่งทางนี้ยังไม่มีระบบเชื่อมโยง นักวิจัยไทบ้านต้องดิ้นรนไปติดต่อขอความร่วมมือนักวิชาการในสถาบัน โดยอาศัยความสนิทสนมส่วนตัว ในการติดต่อขอความรู้เบื้องต้น

ถ้าจะให้วิเคราะห์คุณค่าสารอาหารในใบพืช

หรือคิดค้นสูตรอาหารตามหลักวิชาการ

จำเป็นจะต้องมีค่าใช้จ่ายในการวิจัย

ถ้าสถาบันที่สนับสนุนงบประมาณส่วนนี้

งานวิจัยไทบ้านก็จะเดินหน้าฉะลุย

สามารถต่อแขนต่อขางานวิจัยให้เข็มแข็งได้

เช่น งานส่งเสริมการปลูกป่าไม้หลากหลายวัตถุประสงค์ การส่งเสริมอาชีพที่เอื้อต่อสภาพแวดล้อม การผลิตปุ๋ยจากมูลสัตว์ การผลิตพลังงานชีวภาพจากมูลสัตว์ การปลูกพันธุ์ไม้เพื่อการวิจัย การสร้างธนาคารแม่ไม้พันธุ์ดี การชี้แนะวิธีการเลือกปลูกพันธุ์ไม้ที่ยั่งยืน

จุดพิเศษของเรื่องนี้อยู่ที่ ชาวบ้านไม่ต้องตัดต้นไม้ ตัดเอากิ่งเอาใบหมุนเวียนมาใช้ประโยชน์ อนึ่ง วิธีนี้ทำให้ชาวบ้านมองเห็นการได้ประโยชน์จากการปลูกต้นไม้มากขึ้น ทำให้เกิดแรงกระตุ้นที่จะปลูกต้นไม้มากขึ้น เกิดการเอากิ่งไม้ใบไม้มาสร้างประโยชน์หลากได้ขึ้น ที่สำคัญงานวิจัยเรื่องนี้ช่วยให้คำตอบเบื้องต้น..

(แพะเลี้ยงด้วยใบไม้อย่างเดียวก็อยู่ได้ แต่ถ้าจะให้ดียิ่งขึ้นต้องทำการวิจัย)

1. พบวิธีแก้ปัญหาเรื่องอาหารสัตว์ที่มีต้นทุนประหยัด

2. พบวิธีการประกอบอาชีพที่ไม่เสี่ยงต่อความแห้งแล้งและโรคแมลง

3. พบวิธีที่จะมีรายได้เสริมเช่น ผลิตอาหารสัตว์ ผลิตปุ๋ยจำหน่าย

4. พบวิธีที่จะแตกยอดกิจกรรมเช่น การเลี้ยงแพะแกะ

5. พบวิธีที่จะทำการศึกษาวิจัยไปสู่การงานเพาะปลูกแบบประณีต

6. พบวิธีที่จะศึกษาวิจัยเรื่องไวน์และกราวเครือขาว

7. พบวิธีที่จะยกระดับรายได้อย่างเป็นรูปธรรม

มองถึงการเชื่อมโยงการแก้ไขปัญหาทีละเปลาะ

เพื่อนำไปสู่การปรับสภาพการทำกิจกรรมให้ดีขึ้น

: ยกตัวอย่างเรื่องต้นไม้

เริ่มจากการ-เพาะชำกล้าไม้-ปลูกต้นไม้–คัดพันธุ์ไม้–ตั้งธนาคารแม่ไม้-แปลงสาธิตชนิดต้นไม้เพื่อการวิจัย-จัดทำแปลงปลูกผักยืนต้นพื้นเมืองระยะชิด-แปลงสาธิตการปลูกไม้พลังงานทดแทน-แปลงสาธิตการปลูกไม้ไผ่ป่าไม้-แปลงสาธิตการปลูกไม้โตเร็ว-แปลงสาธิตการปลูกไม้ผสมผสาน-ทำการแปรรูปไม้-ทำเครื่องเรือน-สร้างบ้าน-เผาถ่าน-สับกิ่งไม้ทำปุ๋ย

หลังจากทดลองเอาใบไม้มาเลี้ยงโค ทำให้เกิดความสนใจที่จะคัดเลือกพันธุ์ไม้ที่มีคุณสมบัติต่อการเลี้ยงปศุสัตว์ วางแผนที่จะวิเคราะห์ข้อมูลคุณสมบัติของใบไม้ เพื่อค้นหาสูตรอาหารที่เหมาะสม และแตกยอดออกไปยังการผลิตอาหารสัตว์จากใบไม้

การเลี้ยงโคขังคอก แทนการต้อนโคไปหาหญ้า เปลี่ยนเป็นเอาหญ้าใบไม้มาเลี้ยงโค โดยใช้เครื่องสับกิ่งไม้สับย่อยให้โคกิน พบว่าโคกินอาหารสับได้มากขึ้น ทำให้เหลือกากอาหารน้อย มูลโคที่ได้มีจำนวนมาก เท่ากับโคเป็นโรงงานผลิตปุ๋ยที่ราคาถูกและดีที่สุดในโลก ปุ๋ยอินทรีย์เหล่านี้ยังนำไปปรับปรุงโดยการหมักผสมกับวัตถุอย่างอื่นให้มีคุณภาพสูงขึ้น ซึ่งจะนำไปสู่การตั้งโรงงานปุ๋ยอินทรีย์เพื่อการใช้และจำหน่ายได้อีก นอกจากนี้ยังนำมูลโคไปหมักทำแก๊สชีวภาพสร้างพลังงานพึ่งตนเองได้ด้วย จากต้นไม้ นำไปสู่การเลี้ยงปศุสัตว์ คิดหยาบๆก็จะเห็นว่าการเอาต้นไม้กับปศุสัตว์มาอยู่ในระนาบเดียวกัน ต่างพึ่งพาซึ้งกันและกัน

นำไปสู่ช่องทางการส่งเสริมปลูกต้นไม้ที่เกษตรกรเป็นผู้ดำเนินการ

นำไปสู่การประกอบอาชีพปศุสัตว์ที่ปรับปรุงวิธีการเลี้ยงที่ประหยัด

นำไปสู่การวิจัยด้านการป่าไม้

นำไปสู่การวิจัยด้านการพัฒนาการปรับปรุงพันธุ์โค –ผสมเทียม-เลี้ยงขุน

นำไปสู่การเขียนแผนแม่บทเพื่อพัฒนาการงานอาชีพและสิ่งแวดล้อมอย่างบูรณาการ

(ไม้ต้นเดียวเป็นป่าไม่ได้สร้างบ้านไม่พอฉันใด ทำวิจัยเดี่ยวก็ฉันนั้น)

: Keyword

วันนี้เราอยู่กับความรู้อะไร ?

ความรู้เราพอเพียงพอใช้แล้วใช่ไหม ?

นักวิจัยเชิงวิชาการ ม า จั บ มื อ กั บ นักวิจัยไทบ้านกันเถิด

ช่วยกันสร้างรากฐานงานวิจัยให้ประเทศของเรา

เพื่อสร้างบรรยากาศการวิจัยให้ชื่นมื่นอี๋อ๋อไปด้วยกัน


งานวิจัยไทบ้านอยู่ไส?

อ่าน: 3560

บทที่ 4 เปิดโลกวิจัยสู่สังคมเรียนรู้

ปลายเดือนนี้ มหาชีวาลัยอีสานมีรายการจะเอามะพร้าวห้าวไปขายสวนที่บางกอก ในงานที่สำนักงานสภาวิจัยแห่งชาติจัดให้มีการนำเสนอผลงานวิจัยประจำปี 2554 ระหว่างวันที่26-30 สิงหาคม งานนี้ชุมนุมเจ้ายุทธจักรนักวิจัยในระบบทั่วไทยแลนด์ ณ ศูนย์ประชุมบางกอกคอนแวนชั่นเซ็นเตอร์ เซ็นทรัลเวิลด์ราชประสงค์ สำนักงานฯได้ชักชวนให้มหาชีวาลัยเสนอประเด็นเรื่อง “ปัญหาและอุปสรรคของงานวิจัยไทบ้าน” วันที่ 27 สิงหาคม 2554 เวลา 9.00-12.00 น. ห้องLotus ชั้น 22

งานนี้นับเป็นโอกาสที่หายากยิ่ง ที่ชาวบ้านผู้ซึ่งต้องการผลงานวิจัยของนักวิชาการและหน่วยงานต่างๆมาช่วยคลี่คลายปัญหาในวิถีชีวิต จะได้ไปบอกกล่าวถึงสภาพการใช้งานวิจัยที่หลุดตกลงมาจากหิ้งว่าเป็นอย่างไร เป็นไปได้หรือไม่ที่จะยกระดับงานวิจัยไทบ้านเข้าไปอยู่ในระบบของสภาวิจัยฯ หรือ จัดให้มีการพบกันครึ่งทางร่วมมือกันระหว่างผู้ใช้งานวิจัยกับผู้ทำการวิจัยอย่างที่ในต่างประเทศเขาทำกัน

ขั้นที่ 1 สถาบันสนับสนุนการวิจัยออกทุนงานวิจัย 100%

ให้นักวิชาการกับนักวิชาเกินไทยบ้าน ได้ทำการวิจัยร่วมกัน

ขั้นที่ 2 สถาบันสนับสนุนการวิจัยออกทุนสมทบงานวิจัย 50%

ที่เหลือให้นักวิจัยไทบ้านออกทุนกึ่งหนึ่ง

ขั้นที่ 3 ถ้าต้องการพัฒนาการวิจัยให้สูงขึ้น ผู้รับประโยชน์ออกทุนเอง100%

ถ้ามีทิศทางดังกล่าวข้างต้น จะเห็นว่าถ้าผลประโยชน์ที่เกิดขึ้นจากงานวิจัยทำให้เกิดรายได้ สามารถที่จะเฉลี่ยออกมาเป็นทุนวิจัยได้ โดยขั้นที่ 2 สถาบันวิจัยมีภาระสนับสนุนลดลงกึ่งหนึ่ง ในขั้นสุดท้ายเมื่อมีรายได้หรือเกิดผลประโยชน์มาแล้ว ถ้านักวิจัยไทบ้านต้องการวิจัยต่อ จะต้องออกค่าใช้จ่ายให้นักวิชาการวิจัยทั้งหมด ตามแผนงานดังกล่าวนี้จะเห็นแนวทางการสร้างนักวิจัยมืออาชีพได้อย่างกว้างขวางและรวดเร็วมากขึ้น อีกทั้งทำให้เกิดอาชีพ”นักวิจัย”อิสระเกิดขึ้นได้อย่างเป็นรูปธรรม

ซึ่งน่าจะดีกว่าทำวิจัยตามใจฉันแล้วหาคนเอาไปใช้งานไม่ได้

ความรู้ดีๆที่อุตส่าห์ค้นคว้ามาแทบเป็นแทบตายหงายเก๋ง

ไม่สามารถแสดงอภินิหารกระโดดโลดเต้นออกมาจากหน้ากระดาษได้

ทำให้ผลประโยชน์งานวิจัยที่มีอยู่มากเดินทางไม่ถึงจุดหมายปลายทาง

(ถ้าคิดใหม่ ทำใหม่ ก็จะพบสิ่งใหม่ๆ)

ยุคนี้มนุษย์ทุกผู้ทุกนามตกอยู่กับความเปลี่ยนแปลง ภาคชุมชนก็ตกอยู่กับอาการดังกล่าวนี้ด้วย ทำให้การพัฒนาการด้านวิชาชีพเป็นไปอย่างลุ่มๆดอนๆ เพราะไม่มีชุดความรู้ที่เหมาะสมมาช่วยแก้วิกฤติแห่งความบ้องตื้นได้ การทำมาหากินสมัยนี้ต้องอาศัยวิชาการมาพัฒนาอาชีพ วิชา+อาชีพ=วิชาชีพ ถ้ายกระดับความเป็นมืออาชีพไม่ได้ ก็จะตกอยู่ระดับมือสมัครเล่น ในอดีตเราจะเห็นชาวไร่ชาวนาเป็นมืออาชีพ สามารถดำเนินชีวิตได้การพึ่งพาภูมิปัญญาและทักษะชีวิตของตนเองได้อย่างสมบูรณ์ แทบไม่ต้องพึ่งพาภายนอกใดๆ ต้องการได้ช้างมาลากซุงก็ไปคล้องช้างมาฝึกใช้งาน ต้องการได้เครื่องมือมาบรรทุกผลผลิตก็ช่วนกันสร้างล้อสร้างเกวียนขึ้นมาใช้ ต้องไถไร่ไถนาก็ฝึกวัวควายมาเป็นแรงงาน ถามว่า..ทำไมไม่ดำเนินการต่อไปละ

ก็บอกแล้วไง ยุคนี้ยุคแห่งการเปลี่ยนแปลง

ถ้าไม่เปลี่ยนแปลงก็คงจะลากตะบองล่าสัตว์และยังอยู่เป็นมนุษย์ถ้ำ

ตัววิชาความรู้ของมนุษย์ในแต่ละยุคสมัยสร้างความเปลี่ยนแปลงขึ้นทุกวัน

ประเทศไหนที่มีวิชาความรู้มากก็เจริญและเอาเปรียบประเทศด้อยปัญญา

สินค้าที่แพงที่สุดในโลกก็คือสินค้าความคิดใหม่ที่แฝงอยู่ในทุกเทคโนโลยี

จะตั้งราคาจะกำหนดสิทธิบัตรเอาไว้อย่างไรก็ได้

ประเทศที่อ่อนด้อยทางวิชาการก็ตกอยู่ในสภาพกินน้ำใต้ศอก

ต้องนำเข้าทุน-นำเข้าความรู้-นำเข้าเทคโนโลยี-จ่ายค่าโง่ที่เจ็บปวด

ประชาคมโลกแข่งขันกันตรงผลงานการวิจัยนี่เอง

วิ ช า ค ว า ม รู้ ใ ห ม่ ๆ คื อ อำ น า จ

(การใช้ใบไม้เลี้ยงโค-แพะ เป็นโจทย์วิจัยของเรา)

ถามว่า ชาวบ้านละ มีการวิจัยช่วยเหลือตัวเองบ้างไหม หรือดีแต่งอมืองอเท้ารอให้คนอื่นมาแนะนำมา มาอบรม มาชี้นิ้วบอก ให้ทำอย่างนั้นอย่างนี้ หรือไม่ก็ฟังมาจากการโฆษณาจากสื่อต่างๆ ส่วนใหญ่ก็จะตกอยู่ในประมาณนี้ จุดบอดอยู่ที่คนบอกก็ไม่ได้ลงมือกระทำครบวงจร เป็นแต่ค้นคว้าลงลึกไปเรื่อยๆ บางที่ก็ไม่คำนึงถึงวิธีการถ่ายทอดไว้ด้วย มันจึงดูไม่ลงตัวทั้งเครื่องรับและเครื่องส่ง ยกตัวอย่างเช่นโทรทัศน์ ถ้าเราเปิดไม่ตรงช่องมันก็ยากที่จะเห็นภาพ ทั้งๆที่มันมีภาพพร้อมรออยู่แล้ว เพื่อแก้ปัญหาตรงจุดนี้ เป็นไปได้ไหมที่นักวิจัยจะมาทำการวิจัยร่วมกับชาวบ้านแบบพบกันครึ่งทาง จะได้ลดขั้นตอนการแปรรูปวิชาความรู้ได้อย่างมาก

(การค้นพบวิธีปลูกต้นไม้ที่เร็วและประหยัดต้นทุนเป็นกรณีศึกษา)

จึงแจ้งข่าวชวนชาวเฮฮาศาสตร์ไปโต๋เต๋และร่วมนั่งวิพากษ์เกี่ยวกับประเด็นนี้ ที่หมายตาและชวนไว้แล้วได้แก่ท่านจอหงวน รศ.ดร.ทวิช จิตรสมบูรณ์  “คนถางทาง” ที่ปักหลักก่อหวอดเรื่องโน้นเรื่องนี้ไม่เว้นวาย จุดพิเศษอยู่ที่อาจารย์เป็นนักวิทยาศาสตร์ระดับนาสา ประกอบกับสนใจแก่นสารงานภูมิปัญญาไทย ได้รวบรวมสิ่งประดิษฐ์ที่สะท้อนให้เห็นวิธีการวิจัยของไทบ้าน อาจารย์เคยอธิบายว่า แม้แต่ละไลยักษ์ เครื่องหีบอ้อย เครื่องหีบน้ำมันงา ฯลฯ ที่จัดแสดงไว้ที่พิพิธภัณฑ์ในมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารีนั้น เป็นตัวจริงตัวงานวิจัยของจริงที่ใครก็ไปสัมผัสได้ ถ้าพิจารณาให้ดีมันไม่ใช่ทรากของเก่าที่เอามาดูมาโชว์เท่านั้น

มันเป็นต้นทุน และ ต้นทาง ให้นักวิจัยยุคนี้เอาไปคิดต่อยอด

แต่ก็นั่นแหละ..ในเมื่อเราไม่มีจิตวิญาณของนักวิจัย

ไม่มีสายตาเอกซเรย์แบบนักวิจัย

เราไม่มีสัญชาตญาญของนักวิจัย

เ ร า จึ ง ม อ ง ไ ม่ เ ห็ น อ า นุ ภ า พ ง า น วิ จั ย ไ ท บ้ า น

พูดไปก็ไลย์บอย เมื่อมีโอกาสไปขายความคิดในเรื่องนี้ ก็จะบอกกล่าวเล่าแจ้งว่า ถ้าสนับสนุนชาวบ้านให้เป็นนักวิจัยตามอัตลักษณ์ของเขาเอง ลงทุนทำอย่างต่อเนื่อง อาจจะเขี่ยเอาวิสัยทัศน์เก่าๆออกมาได้ เช่น ถ้าชาวบ้านอยากจะรู้ว่าในหมู่บ้านของตนเองควรจะปลูกผลไม้ชนิดไหนได้ผลดีที่สุด ก็ควรเอาผลไม้ชนิดนั้นหลายๆสายพันธุ์มาทดลองปลูก แล้วติดตามดูผลผลิตผลลัพธ์อย่างละเอียด ก็จะทราบว่าผลไม้ต้นไหนดีที่สุด ชนิดไหนอยู่ในระดับรองสองสาม เมื่อรู้ข้อเท็จจริงแล้วก็ส่งเสริมให้ปลูกกันมากขึ้น แล้วทดลองยกระดับคุณภาพของผลไม้ชนิดนั้นต่อไปอีก จนได้เป็นเอกลักษณ์ประจำถิ่น ดังคำว่า ..ส้มโอหวาน ข้าวสารขาว ลูกสาวสวย ทำให้เกิดสายพันธุ์ไม้ผลคุณภาพประจำถิ่นชนิดต่างๆ เรื่องลักษณะนี้มีอยู่ทั้วไป เช่น กล้วยไข่กำแพงเพชร มะขามหวานเมืองเพชรบูรณ์ ฯลฯ

งานวิจัยที่มหาชีวาลัยจะนำเสนอมีมากมายหลายเรื่อง โดยจะหยิบยกเอาทั้งงานที่ค้นพบด้วยตัวเอง และงานที่เชื่อมโยงกับนักวิจัยในมหาวิทยาลัยและสถาบันต่างๆ ในกรอบเศรษฐกิจพอเพียง-เกษตรประณีต-และการแก้ไขปัญหาในการงานอาชีพ ยกตัวอย่างเช่น กาารปลูกต้นไม้ เอาเอากิ่งใบมาสับเลี้ยงโคและแพะ การปลูกน้ำเต้า การนำหวดข่ามาหมักไวน์ การปลูกไผ่ ปลูกไม้อาคาเซีย แล้วอธิบายว่า..ตรงไหนคือผลของการวิจัยไทบ้าน ทำแล้วเกิดประโยชน์ต่อตนเองและมีประโยนช์ต่อสังคมการเกษตรบ้านเราอย่างไร


ปลูกต้นไม้ -ไม่ต้องตัดลำต้น -ตัดเอาเฉพาะกิ่งไม้ทำฟืนทำเชื้อเพลิง-ใบไม้นำไปเป็นอาหารสัตว์-มูลสัตว์นำไปเป็นปุ๋ย-นำไปทำก๊าซชีวภาพ-นำไปใส่ต้นไม้และแปลงผัก งานลักษณะนี้อธิบายเรื่องแนวทางการเสริมสร้างสภาพแวดล้อมของธรรมชาติได้อย่างมีเหตุมีผลเรียกความสนใจให้ผู้คนหันมาใส่ใจกับต้นไม้ได้อย่างจริงจังมากขึ้น เพราะเห็นช่องทางการได้รับประโยชน์ที่หลากหลายในระยะสั้น ระยะกลาง ระยะยาวชัดขึ้น โดยเอาประสบการณ์ตรงมาขยายความ..แล้งหนักปีที่ผ่านมาหญ้าแห้งตาย โคขาดอาหารอย่างมาก ผมอโซเห็นแต่หนังหุมกระดูก เมื่อเอาใบไม้มาสับเลี้ยงทดแทนหญ้าสด พบว่าโคฟื้นคืนสภาพอ้วนท้วนได้ จุดเล็กๆตรงนี้ละครับ ที่จะช่วยให้สัตว์ทั่วประเทศรอดตาย แล้วยังจะขยายผลไปสู่การแก้ไขปัญหาอาหารสัตว์ได้อย่างเป็นรูปธรรม ทำให้เห็นช่องทางที่ปรับปรุงงานการปศุสัตว์ให้ก้าวหน้ายิ่งขึ้น เช่นการปรับปรุงพันธุ์โค การยกระดับการเลี้ยงขุน มีโจทย์ร่วมกับนักวิจัยในสถาบัน เช่น ร้องขอให้นักวิชาการวิเคราะห์คุณค่าอาหารในใบไม้แต่ละชนิด วิเคราะห์การนำผลไม้มาหมักทำไวน์เลี้ยงโค การใช้หัวกราวเครือขาวมาผสมอาหารเลี้ยงสัตว์ เป็นต้น

(การใช้เทคโนโลยีที่เหมาะสม ช่วยให้ปลูกง่าย-ต้นไม้โตไว-งานเร็วขึ้น)

ทำให้เกิดการพิจารณาที่จะค้นหาชนิดของต้นไม้มาปลูกเพื่อวัตถุประสงค์ที่หลากหลาย ในงานนี้จะเสนอกลุ่มไม้อะคาเซีย ซึ่งใบเอามาเลี้ยงสัตว์ได้ เนื้อไม้มีคุณภาพสูงสามารถเอามาแปรรูปใช้สอยตั้งแต่ไม้มีอายุ7ปี ไม้อีกชนิดหนึ่งได้แก่ไม้ไผ่ ที่เรามองเห็นว่าจะเป็นไม้ที่มีความสำคัญมากในอนาคต ไม้ไผ่ปลูกที่ไหนก็ทำให้ดินดีขึ้น ไผ่บางชนิดให้หน่อทั้งปี ไผ่บางชนิดลำตรงเปลาตรงเนื้อไม้ดี สามารถตัดหมุนเวียนไปใช้งานได้ในปีที่3 ไผ่จึงเป็นชนิดที่ให้เนื้อไม้เร็วกว่าการปลูกไม้ยืนต้นทั่วไป ในงานนี้เราจะเอาหนอไผ่กิมซุงและหน่อไผ่หม่าจูไปให้ชมด้วย

(ตู้อบแสงอาทิตย์ ฝนตกก็บ่เป็นหยัง)

ส่วนน้ำเต้าปีที่แล้วปลูก20สายพันธุ์ ได้เอาวิชาความรู้ด้านการทำตู้อบแสงอาทิตย์ที่อาจารย์ทวิช จิตสมบูรณ์ ทำการวิจัยไว้ไปทดลองทำตู้อบขึ้นมา พบว่าตู้ดังกล่าวให้ความร้อนสูงมาก สามารถอบผลผลิตทางการเกษตรได้ทุกชนิด เช่น พริกแห้ง กล้วยอบ หน่อไม้อบแห้ง เนื้อแดดเดียว ปลาแห้ง อบสมุนไพร ฯลฯ งานนี้จะมีผลน้ำเต้าหลากสายพันธุ์และเมล็ดน้ำเต้าพันธุ์แปลกๆไปจำหน่ายด้วย  ยังมีงานที่ต้องตามเก็บเกี่ยวเอาไปโม้อีก เช่น การใช้สว่านเจาะดินปลูกต้นไม้ การจัดตั้งธนาคารแม่ไม้ การกลั่นน้ำมันยูคาลิปตัส การแปรรูปไม้สร้างบ้าน

การปลูกผักพื้นเมืองระบบชิด เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่จะเอาไปโม้ว่ามันดีอย่างไร ดีตรงไหน พิเศษจริงหรือเปล่า เสียดายที่เขาไม่ให้เอากระทะไปผัดโชว์ ไม่งั้นเธอเอย กลิ่นผัดผักกระทะร้อนกระจายฟุ้งไปทุกบู๊ทเชียวแหละ อาจจะใช้การฉายวีดีโอให้ชมแทน หรือไม่ก็จัดผักตัวอย่างไปให้ชม  งานวิจัยไทบ้านไม่ต้องขึ้นหิ้ง มีแต่จะขึ้นกระทะ ขึ้นจาน ขึ้นโต๊ะ ขึ้นโรงแรม และขึ้นเวทีงานวิจัย

หลังจากโพนทะนาเรื่องนี้ออกไป

เจ้าหน้าที่ฯบอกว่ามีผู้ลงทะเบียนเข้าห้องนี้หลายร้อยแล้วละครับ

หนังสือพิมพ์ ค ม ชั ด ลึ ก ไปได้ข้อมูลจากที่ไหนไม่ทราบ

เมื่อวานนี้โทรมาบอกว่า..ครูบาได้รับการคัดเลือกให้ไปรับโล่รับรางวัล

ตัดหน้างานวิจัยคราวนี้เสียอีก

เฮ้อ ..อะไรมันจะขนาดนั้นนนนนนน

ขออนุญาตประกาศ ประกาศ และประกาศ

ในช่วงวันที่ 27 ศกนี้

ถ้าท่านบางทรายย่องมาดูบ้านใหม่ ก็แวะมานะครับ

คุณหมอจอมป่วนถ้าลงมาเรียนสสส.3 ก็แวะมานะครับ

คุณรอกอสถ้าว่างจากช่วยงานน้ำท่วม ก็แวะมานะครับ

ท่านอื่นๆที่เผอิญมาบางกอกช่วงนั้น ก็แวะมานะครับ

เจอหน้าเมื่อไหร่ โยนไมค์เมื่อนั้น อิ อิ..

ช่วงนี้กำลังปั่นต้นฉบับ กะจะพิมพ์ให้ทันออกวางในงานนี้

ชื่อหนังสือ : งานวิจัย ให้ไทบ้านช่วยดีไหม?


ระทึกระทวยใจในแผ่นดินจีน

อ่าน: 2666

บทที่ 1 มีอะไรในกอไผ่จีน

ในแผ่นดินที่กว้างใหญ่ไพศาลของโลกที่ชื่อว่าจีน เป็นที่ก่อเกิดอารยะธรรมของมนุษยชาติที่สำคัญ มีเรื่องราวให้น่าศึกษามากมายจนยากที่จะเก็บเกี่ยวได้หมด ขึ้นอยู่กับมุมมองของแต่ละคน บ้างก็ฟันธงว่าจีนอาจจะจอดอีกครั้งตามวัฏรจักรที่เคยเป็นมา บางครั้งก็รุ่งโรจน์บางทีก็พังไม่เป็นท่า ถ้าเอาแค่ช่วงที่เราเกิดมาได้รู้เห็นก็มีข้อมูลท่วมท้นแล้ว

อ่านต่อ »


ตอนจีนเตี๊ยะบุกจีนแผ่นดินใหญ่

อ่าน: 2989

เรื่องนี้สืบเนื่องจากแผนพัฒนาเศรษฐกิจสังคมแห่งชาติฉบับประชาชน หลังจากที่ไปตีแตกความคิดเห็นในเวทีประชุมสัมมนาแผนพัฒนาสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 11 มีเรื่องให้ต้องคิดและขยายความต่อ เท่าที่ความบ้องตื้นระดับรากหญ้าจะประมวลผลออกมาให้เห็นแค่ไหน เข้าใจว่าอย่างไร แต่จะเต้นตามแผนฯ ให้เป็นรูปธรรมได้เราต้องมีส่วนเขียนด้วย การใช้แผนความคิดของคนอื่นมาทำทั้งดุ้นล้วน ๆ มันไม่เวิร์คครับผม

อ่านต่อ »


เป้าประสงค์/วัตถุประสงค์ ที่บุกลำพูน

อ่าน: 8334

(อารามเป็นมือกล้อง ภาพหมู่จึงไม่ครบลูกทัวร์)

การไปลำพูน-เชียงใหม่ในวาระนี้ เ ส มื อ น พ า ข า ใ ห ญ่  แ น ะ นำ ใ ห้ ปี้ น้ อ ง จ า ว เ ห นื อ ไ ด้ รู้ จั ก ห น้ า ค่ า ต า  เพราะพูดถึงติดต่อกันมาหลายวาระ เข้าทำนองไผเป็นไผเชิงประจักษ์..และตั้งใจไปศึกษาหาความรู้ภาพรวมเกี่ยวกับไม้ไผ่เท่าที่จะทำได้ ไม่อย่างนั้นเราจะวางแผนส่งเสริมการปลูกไม้ไผ่ได้แบบคลุมเครือ ถ้ามีคนถาม เราไม่สามารถตอบได้อย่างจะแจ้งเจนใจ เช่น ถามว่าปลูกไม้ไผ่มากๆแล้วจะเอาไปทำอะไร ไปขายที่ไหน ราคาเท่าไหร่ ทำอะไรได้บ้าง ขั้นตอนอยู่ตรงไหน นับตั้งแต่การปลูก-การดูแล-การเก็บเกี่ยวประโยชน์-การลงทุน-ข้อดี/ข้อเสีย/ข้อเปรียบเทียบกับไม้ชนิดอื่น

อ่านต่อ »



Main: 0.078135013580322 sec
Sidebar: 0.25912094116211 sec