เป็นนักเลงบ้านนอก ดีกว่าเป็นกิ๊กก๊อกในเมืองหลวง
ถ้าท่านใดได้ฟังเพลงที่ลูกหลานจุฬา-น่านร้อง ในคริปที่เราเอามาลงไว้แล้วนั้น จะเห็นนัยสำคัญอย่างยิ่ง เรื่องมุมมองของคนรุ่นใหม่ที่มีต่อชนบทไทย ทั้งๆที่คนรุ่นเก่าต่างโหยละห้อยมองหาทางออกไปพำนักอาศัยในชนบท โดยเฉพาะท่านที่ทำงานรุกรี้รุกรนเหมือนหนูติดจั่นมาตลอดชีวิต กว่าจะลากยาวจนผ่านเกษียณอายุมาได้ก็หืดขึ้นคอ ทนทุกข์ทรมานอัดกันแย่งกันอยู่เหมือนปลากระป๋อง
ทุกครั้งที่เราขับรถออกต่างจังหวัด
ฝ่าจราจรผ่านวังน้อยอยุธยาทะลุมาได้
ทุกคนจะโล่งอกโล่งใจเหมือนหลุดภัยสงครามมาได้หวุดหวิด
ส่วนพวกที่หนีไม่ออกทนทรมาทรกรรมในกรุงนั้นเล่า..
ก็ต้องหวานอมขมกลืนเผชิญวิกฤติจราจรจลาจลแบบไม่มีน้ำยาอะไร?
ใหญ่แค่ไหน?..ก็ต้องรอ ไ ฟ เ ขี ย ว – ไ ฟ แ ด ง !
ถึงจะมีทางด่วนสักร้อยชั้น มีรถไฟใต้ดินสักร้อยสาย มันก็ยังต้องตะกายอยู่ตะกายกินอยู่นั่นแหละ ทำไงได้ ในเมื่อพัฒนาประเทศแบบเอาทุกอย่างมากองไว้ในเมืองหลวง ผังเมืองก็ห่วยแตก ระบบสาธารณูปโภคก็เลวเละ ฝนตกทีก็ติดเป๊กกันทั้งเมือง เวลาชีวิตแต่ละวันหมดไปบนท้องถนนนี่แหละ ลองคิดดูเถิดว่าถ้ามีลูกน้อยต้องไปส่ง-ไปรับที่โรงเรียน คุณแม่แทบจะเสียสติในบางวัน ถ้ามีญาติเจ็บป่วยต้องฝ่าจราจรไปโรงพยาบาล คุณภาพชีวิตจะไปอยู่ตรงไหน? มีชีวิตอยู่ท่ามกลางความวิตกกังวลไม่เว้นแต่ละวัน มันสนุกมากรึไง
ขอยืนยันว่าคุณภาพชีวิตเลือกได้ถ้าหัวใจเต็มร้อย
รึคุ้นชินเสียแล้วที่จะทนทุกข์ทนใจไปวันๆ
เครียดมากๆก็หน้าเหี่ยวใจเหี่ยว
ต้องหาเครื่องสำอางมาโป๊ะเอาไว้หนาๆ
นั่ ง ๆ ไ ป ก็ ค วั ก ก ร ะ จ ก ม า ส่ อ ง ที ..
เกรงว่าผนังแป้งที่ใบหน้าจะร่วงกราว
เมื่อก่อนเคยเห็นแต่พวกงิ้วพวกหมอลำแต่งหน้า ทุกวันนี้คนกรุงบางส่วนไม่แต่งหน้าออกจากบ้านไม่ได้ วันไหนลืมขนตาปลอม ถือเป็นความเสียหายร้ายแรงแห่งวันเลยเชียวแหละ มันสำคัญยิ่งกว่ากระเป๋าสะตังค์เสียอีก เคยส่องกระจกมองตัวเองจนเคยชิน วันหยุดอยู่บ้านเดินผ่านกระจกยังเผลอตัวต๊กกะใจ ต้องรีบไปใส่ขนตาปลอม ..แยกไม่ออก ทำใจไม่ไม่ได้ ว่าจะอยู่กับใบหน้าไหน?
หน้ากาก หรือหน้าตัว
หลอกตัวเองว่ามีความสุขมีความสะดวกสบาย สิ่งร้ายๆเหล่านี้นำพาความเครียดสะสมไว้ไม่รู้ตัว ก่อเกิดให้ความเห็นแก่ตัว ไม่ค่อยได้ดูดำดูดีกับสังคมภายนอกเท่าไหร่ เรื่องร้ายๆจึงมักจะเกิดขึ้นในเมืองหลวง เพราะมันเหมาะที่จะหาเรื่องกันดีนัก ความเครียดมันเข้าใครออกใครที่ไหนละเธอ ต่อให้สวยสะอางแค่ไหน? ถ้าตกอยู่ในความเครียดกังวลบ่อยๆ อีกหน่อยใบหน้าก็แก่เกินวัย โรคความดันโรคระบบประสาทและโรคมะเร็งก็จะถามหา
สัจธรรมแปรรูปได้ที่ไหนละเธอ?
ผมฟังลูกหลานจุฬา-น่านร้องเพลงแล้วมันเขี้ยวนัก ..
ห ล า ย ค น บ อ ก ไ ม่ ก้ า ว ห น้ า ไ ม่ มี ค ว า ม มั่ น ค ง
แ ต่ เ ร า ทุ ก ค น ตั้ ง ใ จ ใ ช้ ค ว า ม รู้ ฟื้ น ฟู แ ผ่ น ดิ น
เพลงท่อนนี้มีความหมายอย่างมาก ..ใครนะที่บอกว่าไม่ก้าวหน้า เธอก็ทำแซงหน้าให้ดูเสียสิ ใครนะบอกว่า..ไม่มีความมั่นคง เธอก็สร้างความมั่นคงให้ดูได้นี่ ตั้งใจใส่ใจใช้ความรู้ฟื้นฟูแผ่นดิน เท่าที่พบมีแต่คนใช้ความรู้ทำลายระบบความสมดุลของธรรมชาติ ทำการเกษตรแบบล้างผลาญ คิดง่ายๆโง่ๆแบบบ้องตื้น ทำลายภูเขา ทำลายป่าไม้ แม่น้ำลำธาร ทำเอาหน้าดิน อินทรียวัตถุ แม้แต่จุลินทรีย์ในดินก็สูญพันธุ์ สิ่งที่จรรโลงความเป็นธรรมชาติย่อยยับ น้ำหมอกน้ำค้างหายไป ต้นทุนธรรมชาติเสื่อมโทรมลงตามลำดับ พวกเกษตรพันธุ์ห่วยแตกนี้ ไปอยู่ที่ไหนทำลายระบบนิเวศพังยับ นำสารพิษสารเคมี นำความโง่เขลามาหากิน กระทำตรงกันข้ามกับห่วงโซ่ของธรรมชาติ คิดจะเอาแต่ได้ ไม่คำนึงถึงความเป็นจริง เรียนและหลอกกันมาเป็นทอดๆ ไม่ได้กล่าวหาใครหรอกนะ
ลองพิจารณาดูพื้นที่เกษตรกรรมของประเทศนี้ดูเถิด มีที่แหล่งใดบ้างที่ทำการเกษตรแล้วมันเอื้อต่อความปกติของธรรมชาติ มีหมู่บ้านไหนตำบลไหนที่มนุษย์กับธรรมชาติอี๋อ๋อไปด้วยกันได้ พากันโค่นทลายสภาพแวดล้อม เพื่อจะได้ผลผลิตเฉพาะหน้าแบบตีหัวเข้าบ้าน ความรู้ผิดๆนำมาซึ่งวิกฤติธรรมชาติที่นับวันจะหนักข้อขึ้นทุกที
สังคมเกษตรบ้านเราเกิดวิกฤติจนล่มสลาย
ไม่มีไอ้บ้าคนไหน ทำมาหากินบนผืนดินที่แต่แดดกับลมแล้วยั่งยืนหรอกนะเธอ นอกจากนี้ยังเจ็บป่วยด้วยสารพิษสารเคมี แถมยังมีหนี้สินล้นพ้นตัว ภาพที่เห็นล้วนเป็นเกษตรกรที่ดูดี แต่ไม่มีอะไรดีสักอย่าง ส่งเสริมหลอกหลอนกันมาซ้ำซากเต็มที ทุกวันนี้มีพื้นที่การเกษตรที่ปนเปื้อนสารเคมีเต็มประเทศ ผู้บริโภคก็เจอมลพิษและยาฆ่าแมลงอยู่ในสายเลือด ป่วยกันแทบจะล้นโรงพยาบาลอยู่แล้ว ยังไม่สะดุ้งสะเทือนอะไร
ถามว่าเกษตรไทยใช้วิชาอะไรทำมาหากิน
กรมกองที่ส่งเสริม..ส่งเสริมความรู้อะไร
สถาบันที่สอนภาคการเกษตร..สอนวิชาเกษตรจากกรุไหน?
ทำไมมันถึงเจ๊งกะโบ๊ะกันตั้งแต่หัวจรดเท้ายังงี้ละครับ
ส่งเสริมกันจนภาคการเกษตรล้มละลายขายตัว
ชาวบ้านเผ่นหนีอาชีพเกษตรกรรมไปเป็นกรรมกร เพราะทำตามที่ส่งเสริมแล้วมันไปไม่รอด เดี๋ยวนี้ทุกอย่างเดินมาจนถึงเส้นตาย เส้นยาแดงที่ต้องออกมาตรการเยี่ยวยากันทั้งปี ไม่ว่าน้ำท่วม ฝนแล้ง ผลผลิตราคาตก จำนำโน่นนี้ อีกไม่นานหรอกจะเอาอนาคตมาจำนำ..มันก็ไอ้แค่เรื่องแก้ผ้าเอาหน้ารอดไปวันๆแค่นั้นแหละ ยังไม่มีระบบการเกษตรที่ถูกต้องเหมาะสมและยั่งยืนอย่างแท้จริงในประเทศนี้
เรื่องที่น่าเศร้าสลดที่เล่ามานี้ เป็นเพียงน้ำจิ้มเท่านั้นแหละลูกหลานเอ๋ยยังมีเบื้องหลังบ้าบอคอแตกอีกเยอะ ถ้าเราไปสนใจก็เสียเวลาเปล่า อยากจะให้มองว่า..โจทย์ชีวิต โจทย์สังคม โจทย์ประเทศที่เกิดวิกฤติขึ้นนี้ เป็นเพราะความรู้ไม่พอใช้ และมีความรู้ที่ไม่ถูกต้อง น่าจะเป็นโอกาสทองของเรา ที่ศึกษามาทางด้านทรัพยากรการเกษตร จะนำพาวิชาความรู้ที่ถูกต้องแหละเหมาะสมออกไปปักธงในบ้านเกิดของเราเอง
ไปทำให้ดู อยู่ให้เห็น ว่าการเกษตรที่ถูกต้องนั้นทำได้ ทำให้ดี ให้ยั่งยืนและมั่นคงแค่ไหนก็ได้ ใช้วิชาความรู้ฟื้นฟูแผ่นดินให้ถิ่นเกิดของเรา ให้มันกลับมาเขียวสะพรั่ง มีอยู่มีกิน อยู่ท่ามกลางธรรมชาติที่เราลงแรงไป เรื่องนี้พิสูจน์ไม่ยากหรอก ถ้าคนเราไปอยู่ตรงไหน แล้วใช้วิชาความรู้ความตั้งใจสร้างสภาพแวดล้อมให้เจริญเติบโตขึ้นทุกปีๆ แล้วทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นภาคีของธรรมชาติก็หวนกลับมาอยู่กับเธอ เธอเพียงแต่ใช้วิชาความรู้ด้านทรัพยากรการเกษตรแนวใหม่ มาสร้างชีวิตใหม่ ชีวิตเธออนาคตเธอจะมั่นคง จนพวกปากหอยปากปูต้องเหล่ตามอง..
น้ำค้างน้ำหมอกก็จะกลับมาช่วยเธอเพิ่มความชุ่มชื้น
ไส้เดือนจุลินทรีย์ก็จะมาช่วยเธอบำรุงดิน
พันธุ์พืชพันธุ์ไม้ป่าก็จะกลับมาช่วยเธอแต่งแต้มธรรมชาติ
ใบไม้ใบหญ้า ดอกไม้ก็จะเบ่งบานให้กำลังใจเธอ
นกหัวขวาน ก็จะมาสับโพรงไม้ โป๊กๆ กล่อมเธอนอนพักผ่อน
นกเขาก็จะมาขันคู ร้องเพลงให้เธอได้ยินทุกเช้า-บ่าย
ผึ้งก็จะออกบินหึ่งตั้งแต่เช้ามืดเพื่อมาชวนเธอไปรดผัก
ดูสิเธอ..ไม่มีผึ้งตัวไหนงอแงบินหาน้ำหวานยามเช้าตรู่
ดูสิเธอ..ปลวกตัวไหนขี้เกียจสักตัว
ดูสิเธอ..ไม่มีมดตัวไหนลงพุง ทุกตัวล้วนมีเอวมาตรฐานทั้งนั้น
ดูสิเธอ..ไม่มีเช้าใดที่ไม่มีแสงแดดอุ่นมาทักทายเธอ
ดูสิเธอ..ไม่มีต้นไม้ต้นไหนไม่ขยันขันแข็ง
ดูสิเธอ..ทรัพยากรธรรมชาติล้วนมาอยู่เคียงข้างเธอเป็นเพื่อนเธอ
เสียดาย เสียดาย และเสียดาย
ที่พ่อไม่มีลูกชายลูกสาวเข้าศึกษาที่จุฬา-น่าน เช่นพวกเธอ
ไม่งั้น..พ่อจะพาเขาทำการเกษตรให้สะบึมส์ไปทั้งโลก