เล่นหัว และกาลเทศะ
อ่าน: 2503ตอนนี้ผมกำลังอ่านหนังสือ “ข้าพเจ้าทดลองความจริง” ของ มหาตมา คานธี ซึ่งแปลโดย กรุณา-เรืองอุไร กุศลาสัย จำได้ว่าสมัยเรียนอุดมศึกษาอยากได้หนังสือเล่มนี้มาก เคยเห็นเล่มปกแข็งในห้องสมุด กอปรกับหนังสือหนามาก เลยไม่กล้าอ่าน เรียนจบออกมานึกอยากอ่านก็หาซื้อไม่ได้เลย ตอนนี้มูลนิธิโกมลคีมทองนำมาพิมพ์ใหม่ก็รีบคว้าไว้ก่อน เดี๋ยวจะเสียโอกาสอีก หนังสือดีเขาไม่พิมพ์กันบ่อยนักหรอกครับ ตอนนี้ก็ค่อยละเลียดอ่านคืนละหน้าสองหน้าก่อนนอน
แม้จะอ่านได้ไม่กี่หน้าก็ให้รู้สึกชุ่มชื่นในหัวใจมากหลาย ต้องขอบคุณผู้แต่งที่หาบุคคลที่ดีขนาดนี้ได้ยากยิ่งในยุคปัจจุบัน และผู้แปลที่แปลได้อย่างละเมียดละไม ได้อรรถรส ไม่รู้สึกขัดในสำนวนเวลาอ่าน อีกทั้งประวัติของผู้แปลทั้งสองท่านก็น่าสนใจยิ่งนัก เป็นปูชนียบุคคลที่ควรเอาเป็นแบบอย่าง เป็นที่น่าเสียดายที่ท่านกรุณาได้จากโลกนี้ไปแล้วอย่างสงบเมื่อไม่นานมานี้ ผมเคยได้ยินมาว่าตอนที่ท่านกรุณาเสียชีวิตนั้นก็อยู่ได้เคียงข้างกับคุณเรืองอุไร-ภรรยาตาบอด(ซึ่งมาบอดตอนวัยชรา)อันเป็นที่รัก ท่านทั้งสองนอนเตียงใกล้กันภายในห้องเดียวกัน แม้แต่ที่ท่านกรุณานอนปราศจากลมหายใจแล้ว คุณเรืองอุไรก็ให้ท่านนอนอยู่บนเตียง และคุณเรืองอุไรก็นอนบนเตียงของตัวเอง เหมือนกับท่านกรุณายังมีชีวิตอยู่
ควรอย่างยิ่งที่ชาวไทยเราควรนำเอาวิถีปฏิบัติของปูชนียบุคคลทั้งสองท่านนี้ และรวมกับของ มหาตมา คานธี มาเป็นแบบอย่าง ก่อนที่จะเป็นแค่ตำนาน และคิดว่าตำนานของคนเหล่านี้เป็นนิยายที่ไม่ใช่ความจริง
อ้อ และยังมีอีกเล่มที่เป็นของผู้เขียนและผู้แต่งเดียวกันคือ “ชีวประวัติของข้าพเจ้า” พิมพ์โดยสำนักพิมพ์ ASTV ซึ่งทายาทของผู้เสียชีวิตได้มอบลิขสิทธิ์การพิมพ์ฟรีเพื่อช่วยเหลือ ASTV ซึ่งน่าร่วมยกมือท่วมหัวอนุโมทนาสาธุเป็นอย่างยิ่ง
เขียนมาตั้งนานยังไม่ได้วกเข้าหัวข้อที่อยากคุยเลยครับ เอ้า กระชับพื้นที่เข้ามาอีกนิด
วันนี้ผมได้แวะไปร้านหนังสือ สายตาก็กวาดไปเห็นหน้าปกของนิตยสารการเมืองรายสัปดาห์ชั้นนำ ที่ตั้งเรียงคู่กันสองเล่ม สิ่งที่ทำให้ผมสนใจและนำมาชวนคุยคือ ภาพหน้าปกของนิตยสารทั้งคู่ครับ
เล่มหนึ่งมีภาพหน้าปกเป็นรูปชายผู้หนึ่ง ซึ่งผมไม่รู้จัก ยืนชูนิ้วกลางมือซ้าย แล้วมีข้อความโปรยทำนองตัดพ้อต่อว่าว่าอย่ามากำจัดสิทธิ์กูนะโว้ย และมุมขวาบนก็เป็นรูปเด็กหนุ่มที่เข้าประกวดเอเอฟ(ซึ่งผมก็ไม่ได้สนใจว่าเอเอฟนี่เขาทำอะไรกันบ้าง) ที่เป็นข่าวว่าใช้คำหยาบด่านายกคนปัจจุบันผ่านสื่อทางอินเตอร์เน็ต มิหนำซ้ำบางแห่งก็ละเมิดถึงสถาบันสูงสุดของเรา เคยได้อ่านมาว่าเด็กหนุ่มคนเดียวกันนี้ก็ใช้คำหยาบเป็นปกติกับบุพการีและคนรอบข้างตัวเองเช่นกัน
ส่วนนิตยสารอีกเล่มก็ขึ้นปกเด็กหนุ่มคนเดียวกันนี้แบบเต็มหน้า
ประเด็นที่ผมต้องเคาะสนิมนิ้วและสมองตัวเองมาชวนคุยก็คือ เดี๋ยวนี้เราไม่รู้กันแล้วหรือไรว่าใครหรือคนกลุ่มใดที่เราเล่นหัวได้หรือไม่ได้ เราไม่รู้กาลเทศะกันแล้วหรือไร?
วัฒนธรรมการเคารพผู้หลักผู้ใหญ่ การให้เกียรติผู้อื่น การรู้กาลเทศะ ที่ดีงามของไทยเราหายไปไหนกันหมด หรือเราอยากเอาอย่างฝรั่งที่เด็กและผู้ใหญ่จับหัวเล่นกันได้ง่ายๆ จะเอาอย่างก็ได้แต่ก็ต้องเอามาให้หมด เราชอบเอาอย่างเพื่อนแล้วเอามาไม่ครบ เพราะชอบเอาบางส่วนมาสนองกำหนัดของตัวเองเท่านั้น
เช่นดังเด็กหนุ่มที่กล่าวถึง เมื่อเรารู้ว่าเขามารยาททราม เรายังจะเอาเขามาออกสื่ออีกหรือ? แม้ว่าเขาจะไม่ชนะการแข่งขัน แต่เมื่อเขาออกสื่อ เด็กคนอื่นก็ย่อมเอาเป็นแบบอย่าง จะโทษเด็กก็ไม่ได้ เพราะผู้ใหญ่ผู้ที่มีแต่ความโลภโดยไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น-เอาให้เขาดู เขาต้องคิดว่ามันดี ยิ่งเด็กไทยเราเป็นผ้าขาวที่พร้อมจะย้อมติดทุกสีที่เขาเอามาย้อมอยู่แล้ว ก็ยิ่งน่าเป็นห่วง
ส่วนสื่อที่ขึ้นภาพหน้าปกแบบนั้น ผมไม่แน่ใจว่าเขาจะสื่ออะไร เพราะผมไม่ได้เปิดอ่านด้านใน แต่ลองมองในมุมของคนที่ไม่ได้สนใจการเมือง เช่น เด็กๆ ที่ไม่บรรลุนิติภาวะเห็นเข้า เขาจะเลียนแบบหรือไม่ หรือถึงเด็กเขาจะรู้ว่าการชูนิ้วแบบนั้นหมายถึงอะไร แต่เขาก็คงจะคิดว่ามันเป็นสิ่งดี ก็ถ้าไม่ดีผู้ใหญ่เขาจะเอามาพิมพ์และตั้งโชว์ไว้ได้อย่างไร?
เมื่อสภาพแวดล้อมเป็นเช่นนี้ สภาพแวดล้อมที่มีผู้ใหญ่เห็นแต่ประโยชน์ของตนและพวกพ้องเป็นที่สุด โดยไม่สนใจคุณธรรม จริยธรรม ฯลฯ และผลกระทบที่เลวร้ายต่อสังคมแต่อย่างใด ก็อย่าหวังที่จะเห็นเยาวชนเรามีคุณภาพ
ผมอยากเขียนต่อแต่รู้สึกตื้อๆ อึดอัด อัดอั้นอย่างไรบอกไม่ถูก ขอจบดื้อๆ อย่างนี้แล้วกันนะครับ
หรือว่าวิถีชีวิตแบบ มหาตมา คานธี เป็นเพียงนิยายที่ไม่มีวันเป็นจริงไปเสียแล้วครับ?