วงศาคณาญาติ

2 ความคิดเห็น โดย maeyai เมื่อ 8 พฤษภาคม 2011 เวลา 6:43 (เช้า) ในหมวดหมู่ วงศาคณาญาติ #
อ่าน: 1524

วันนี้จะว่าด้วยเรื่องญาติข้างพ่อ ซึ่งมีมาก นับไม่ถ้วน  เพราะคุณปู่เป็นเจ้าเมืองสุพรรณบุรี (พระยาสุนทรสงคราม(ปุย สุวรรณศร)  คุณปู่มีภรรยาเจ็ดคน  มีบุตรและธิดา 21 คน  ดังนั้น  พี่น้องรุ่นแม่ใหญ่อันเกิดจากบุตรและธิดาทั้ง 21 คน จึงมีมากจนนับไม่ถ้วน  ยิ่งรุ่นเราก็เข้าสู่การเป็นผู้สูงวัยกันแล้ว ลูกหลานของพวกเราก็ยิ่งขยายออกไปมากมายถึง 21 สาย เท่าที่พยายามรวมรวมกันอยู่ก็คงได้ร่วมพันคน http://www.oknation.net/blog/ya-ma-rach-cho/2011/01/31/entry-1

มีความพยายามอย่างยิ่งที่จะหาอุบาย ให้ลูกหลานต่างๆมาพบกันบ้างตามโอกาสอันควร  โดยจัดวันสุวรรณศร ขึ้นหลายครั้ง  แต่ละครั้งก็มีญาติพี่น้องพาลูกพาหลานมามากมายให้พอได้รู้จักหน้าค่าตา พูดคุยกัน  ในการนี้ เฟสบุคเข้ามามีบทบาทสำคัญในการนัดหมายของรุ่นเล็กที่ถัดต่อไปจากรุ่นของแม่ใหญ่  เขามีการนัดหมายจัดเตรียมกันเป็นอย่างดี  และเราก็ได้พบปะสังสรรค์กันไปแล้วเมื่อปลายปีที่แล้วที่สวนผึ้ง ราชบุรี

เมื่อวานนี้เป็นอีกครั้งหนึ่งที่เราพี่น้องได้มาพบหน้ากันอีก   เพราะพี่สุนซึ่งนับว่าเป็นพี่รุ่นใหญ่ของเราได้ ได้จัดงานวันเกิดคนเกิดเดือนพฤษภาคมขึ้น เพราะมีคนเกิดเดือนนี้กันหลายคน  จึงหาเรื่องจัดงานทุกปี แต่ปีนี้เป็นปีพิเศษเพราะพี่สุน และพี่นวล ครบหกรอบ  ลูกหลานจึงแห่กันมามากหน้าหลายตา  ต่างนำอาหารมาร่วมกัน ทานด้วยกัน มากมาย  ข้าวหน้าไก่แบบห้าแยกพลับพลาชัย  หมีกรอบ เป็ดย่าง กุ้งเผา ซีโครงย่าง  ขนมจีน ไส้กรอกอีสาน ไส้อั่วเชียงใหม่ฯลฯ บรรยายเรื่องอาหารไม่หมด เพราะต่างคนต่างก้เลือกเอาสิ่งที่ดีทีสุดมาฝากพี่ๆน้องๆในโอกาสสำคัญ

 

 

สิ่งที่พี่น้อง ลูกหลานคุณปู่ยังรักใคร่กลมเกลี่ยวสนิทสนมกันมาได้จนถึงทุกวันนี้ ซึ่งขณะนี้ผ่านมาสี่ชั่วคนแล้ว  ต้องยกความดีให้รุนพ่อรุ่นแม่ของพวกเรา  เพราะพี่น้อง 21 คน แม้จะต่างแม่  แต่ไม่เคยต่างใจ  ล้วนรักใคร่กันเป็นอย่างดี  เมื่อพวกเรายังเด็ก  บ้านพ่อซึ่งเป็นลุกคนโตจะมีน้องๆนัดกันมาคุยเป็นประจำ  พวกรุ่นเราตอนเด็กๆ ก็วิ่งเล่นหัว มีความสนิทสนมกัน  พอรุ่นพ่อค่อยๆล้มหายตายจาก พี่สุนก็เป็นต้นคิด จัดกิจกรรมรวมญาติ ด้วยการนำเอาวันเกิดของหลายๆคนมารวมกัน แล้วจัดงานรวมรุ่นขึ้น  ต่อจากพี่สุนก็มีหลานลิน หลานจุ๊บ หลานลอยด์  ลูกแจ๊ก  ที่รวมหัวกันจัดงาน สังสรรค์วันสุวรรณศรขึ้นแทบทุกปี

การสืบต่อความสัมพันธ์อันดีระหว่างพี่น้องนี้     คงจะมีต่อเนื่องกันไปเรื่อยๆ   เพราะลูกหลานรุ่นต่อๆไปเห็นความสำคัญ   เป็นเรื่องดีงามแบบไทยๆของเราที่ควรสืบทอดกันต่อไปอีกยาวนาน

 :-D :-D


เอาของเก่ามาเล่าใหม่

1 ความคิดเห็น โดย maeyai เมื่อ 6 พฤษภาคม 2011 เวลา 7:18 (เช้า) ในหมวดหมู่ ชีวิตกับโรงเรียน #
อ่าน: 1481

บทความนี้เขียนใน gotoknow ตั้งแต่สองปีที่แล้ว  ตอนที่ย้ายแผนกอนุบาลไทยไปไว้อีกที่หนึ่ง ซึ่งเราไปซื้อกิจการโรงเรียนเดิม  ที่เขากำลังจะเลิกกิจการ   พร้อมทั้งเช่าพื้นที่ โดยทำสัญญา สิบปี  สถานที่แห่งเดิมคับแคบที่เล่นเด็กไม่พอ จะสร้างใหม่ ทุนรอนก็ยังไม่อำนวยจึงไปเช่าเขามาปรับปรุงดีกว่า

ซื้อกิจการโรงเรียนเก่า ต้องรับเหมาครูเขามาด้วย  5 คน  กับเด็กที่เหลืออีกราว 30 คน  แม่ใหญ่จึงต้องปรับปรุงและจัดการสัมนาครูเก่าและครูใหม่ให้ทำงานร่วมกันตามแนวของ “พัฒนาเด็กทางสายกลาง ”  ตามชื่อของบล๊อกนี้ใน gotoknow   กลับไปอ่าน แล้วก็ยังชื่นใจ  ที่มาวันนี้เราเห็นผลจากครู 5 คนที่มาอยู่กับเรา  และได้รับการสนับสนุนพัฒนา อย่างต่อเนื่อง  ทุกวันนี้ เขาเป็นครูพัฒนาเด็กที่เรารู้สึกภูมิใจได้อย่างเต็มตัวแล้ว

และนี่ คือบทเริ่มต้น….

พัฒนาเด็กทางสายกลาง

ละลายพฤติกรรม
ได้จัดสัมนาเชิงปฎิบัติการให้กับครูและครูผู้ช่วยทุกท่าน ในหัวข้อ “พัฒนาเด็ก ทางสายกลาง”ไปแล้วเมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา เพื่อให้ครูจากโรงเรียนเดิมที่มีอยู่ 5 คน และครูของโรงเรียนพัฒนาเด็กที่ย้ายมายังสถานที่แห่งใหม่ ได้รู้จักมักคุ้นกันยิ่งขึ้น ก่อนเริ่มงานด้วยกันในปีการศึกษาหน้า
       กิจกรรมเริ่มจาก การรู้จักตนเอง ด้วยการให้เขียนฉายาที่เหมาะกับตนเอง ใส่กล่อง ให้เพื่อนหยิบออกมา แล้วทายว่าเป็นใคร ให้เจ้าตัวให้เหตุผลว่าทำไมถึงตั้งฉายาเช่นนั้น ใช้เวลาไม่นานในกิจกรรมนี้ แต่ก็ทำให้ได้เห็นตัวตนของแต่ละคนได้ ไม่น้อยเลยทีเดียว
         ต่อมาเป็นกิจกรรมให้รู้จักสมองของเด็ก รู้ว่าเด็กใช้สมองส่วนไหนเรียนรู้ และข้อมูลต้องมีความหมายอย่างไร เด็กจึงจะเรียนรู้ได้อย่างดี เมื่อรู้ทฤษฎีแล้ว ก็หาตัวอย่างมาให้คุณครู ลองสำรวจตัวเองว่ามีความโน้มเอียงไปทางสมองซีกซ้ายหรือซีกขวา แล้วก็สรุปว่าครูแต่ละคนไม่เหมือนกัน เด็กแต่ละคนก็ไม่เหมือนกัน เวลาสอนจึงต้องคำนึงถึงความแตกต่างระหว่างบุคคล และวิธีการเรียนรู้ของแต่ละคนด้วย     
          กิจกรรมช่วงบ่าย เป็นกิจกรรมนวด กิจกรรมกอด ซึ่งให้ครูรัน หนุ่มเดียวในกลุ่มครูสาวๆเป็นผู้นำ โดยใช้เพลงเป็นตัวนำการนวดการกอด ซึ่งกิจกรรมสามารถนำไปใช้กับเด็กๆได้ ให้ครูสรุปถึงประโยขน์ของการสัมผัสอย่างใกล้ชิดว่ามีประโยชน์อย่างไร หรือไม่ แล้วให้ถามตัวเองว่า สอนเด็กเป็นเทอม เคยไหมที่ไม่ได้กอดเด็กๆเลยสักครั้งเดียว
          หลังจากเป็นกิจกรรมเบาๆมาบ้างแล้วก็ถึงกิจกรรมหนักไปทางวิชาการ ด้วยการแนะนำให้ครูทั้งหลายได้รู้แนวการสอนของโรงเรียนพัฒนาเด็ก ครูหลายคนก็รู้อยู่แล้ว จึงไม่ได้เน้นมากนัก ให้รับทราบแบบทบทวน ว่าโรงเรียน  “สอนให้คิดมากกว่าจำ และทำมากกว่าพูด” แต่มีเบื้องหลังเป็นหลายๆทฤษฏี เช่น ของ Montessori, Neo-humanist, Whole Language and Project Approach โดยนำมาประยุกต์เป็น “พัฒนาเด็กทางสายกลาง” เพื่อให้เหมาะกับบริบทของสังคมไทย
           การสัมนาเป็นไปอย่างสนุกสนานไม่เครียด แม่ใหญ่สรุปตบท้ายด้วย เรื่องศิลปการพบผู้ปกครอง ซึ่งถือเป้นศิลปขั้นสูงของครูโรงเรียนอนุบาล ทำอย่างไรจะให้ผู้ปกครองไว้ใจ สบายใจ จะพูดอย่างไรเมื่อต้องบอกผู้ปกครองว่าลูกของเขามีพฤติกรรมที่ต้องปรับปรุง ต้องเตรียมการอย่างไรบ้างก่อนที่จะพบผู้ปกครองในวันประเมินฯลฯ ซึ่งหัวข้อนี้ สถาบันการศึกษาที่ผลิตบัณฑิตนั้นมักจะไม่ค่อยได้สอน แต่จริงๆแล้วเป็นเรื่องยากทีเดียวในชีวิตการเป็นครูอนุบาล ก็นับว่าเป็นการเริ่มต้นที่ดีสำหรับปีการศึกษาหน้า ตรงกับความเชื่อที่ว่า เริ่มต้นดีมีชัยไปกว่าครึ่ง
กลับไปอ่านเจอ  แล้วเลยไปก๊อบปี้มาเผยแพร่อีกสักครั้งในลานปัญญา คงจะไม่โบราณเกินไปนะคะ


ประเมินครู

3 ความคิดเห็น โดย maeyai เมื่อ 6 พฤษภาคม 2011 เวลา 6:19 (เช้า) ในหมวดหมู่ ชีวิตกับโรงเรียน #
อ่าน: 1418

และแล้วก็มาถึงวันประเมินการขึ้นเงินเดือนครูประจำปีการศึกษา 2553   ที่อื่นๆเขาทำกันอย่างไรไม่ทราบ แต่ที่นี่ เราล้อมวงกันคุยทั้งผู้บริหารและครูในแผนกนั้นๆ รวมทั้งผู้ช่วยครูด้วย  บรรยากาศก็นั่งๆนอนกันตามสบาย  มีเครื่องมือเป็นกระดาษหนึ่งแผ่น   ดังตัวอย่าง

ชื่อครู

วันทำงาน(๕)

ความร่วมมือทั่วไป(๕)

รู้จักเด็กเอาใจใส่เป็นรายบุคคล(๕)

มนุษยสัมพันธ์กับผู้ปกครอง(๕)

มนุษยสัมพันธ์กับเพื่อนร่วมงาน (๕)

ความสนใจใฝ่ เรียนรู้เพิ่มเติม(๕)

ความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ในกิจกรรม(๕)

การจัดการเรียนการสอนแบบโครงการ(๕)

งานเอกสารต่างๆ(๕)

งานวิจัย

(๕)

รวมคะแนน

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

แล้วเราก็ขอให้คุณครูเล่าสิ่งที่ตัวเองทำ มีหลักฐานมาประกอบ  การเล่า(เพื่อป้องกันการโม้เกินเหตุ)   เป็นการมองตัวเอง ในรอบปีการศึกษาที่ผ่านมา ให้คะแนนตัวเองลงในช่องต่างๆ  ตามที่ตัวคิดว่าควรจะได้  คนอื่นๆก็ฟังแล้วให้คะแนนตามความคิดของผู้ฟังตามที่ได้ยินและได้เคยสัมผัสมาด้วยวิจารณญาณของแต่ละคน

คนหนึ่งให้พูดประมาณ 15-20 นาที  ถ้าใครทำท่าจะเกิน  ก็จะมีระฆังธิเบตเสียงหวานๆเคาะพอให้รู้ตัว

แผนกหนึ่งมีคนเข้าร่วมประเมินไม่มาก 12-15 คน  ดังนั้นเราจึงได้ฟังกัน ได้เต็มที่  มีอาหาร ว่าง กาแฟ ไว้ให้ไปหยิบทานได้อย่างอิสระ   ดังนั้นทุกคนจึงพูดอย่างสบายๆไม่มีเรื่องอะไรมาทำให้ต้องตื่นเต้นจนพูดไม่ถูก

ใช้เวลาเพียง 9 โมงถึงเที่ยง สำหรับกลุ่มอนุบาลอังกฤษ  หรือที่เราเรียกว่า KG. (kindergarten)  ช่วง 11 โมง เราให้ครูและผู้ช่วยใหม่เข้ามานั่งฟังด้วย  เขาจะได้ทราบว่าปีหน้าเขาต้องเข้ามาทำแบบนี้เหมือนกัน

กลุ่มอนุบาลไทย เริ่มตอนบ่ายโมงครึ่ง  ไปจบเอาราวๆสี่โมงเย็น  บรรยากาศก็ไม่แตกต่างจากตอนเช้า ครูอนุบาลไทยเราค่อนข้างมีอายุ ไม่ซิ่งเหมือนครูภาคภาษาอังกฤษ เพราะสอนมาคนละ 20-30 ปีแล้ว แต่คารมคมคายตลอดจนกิจกรรมสร้างสรรค์ต่างๆที่นำมาเล่า ก็ไม่เบาเหมือนกัน

ใบประเมิน  ของแต่ละแผนก    นำมาคำนวณโดยผู้บริหาร    รวมคะแนนจากผู้ประเมินที่ให้คะแนนครูแต่ละคน  แล้วหารด้วยจำนวนผู้ประเมิน   ออกมาเป็นคะแนนเฉลี่ยเท่าไหร่  ก็เรียงลำดับคะแนน  ผู้บริหารนำมาพิจารณาอีกครั้ง  โดยเทียบจากคะแนนปีที่แล้วของแต่ละคนในแต่ละหัวข้อด้วย เพื่อจะดูว่า  ครูได้พัฒนาจากปีที่แล้วไปบ้างหรือไม่   ไม่ได้ดูแค่คะแนนรวมอย่างเดียวเท่านั้น    ใครจะได้ สองขั้น ขั้นครึ่ง หนึ่งขั้น  ก็ว่ากันไปตามเกณฑ์ที่โรงเรียนมีไว้แล้ว  บางปีไม่มีครูได้ขั้นเดียวสักคน    เพราะคะแนนเกินเกณฑ์ไปเสียทุกคน เลยได้ขั้นครึ่งกับสองขั้นไปทั้งแผนก

ด้วยการประเมินแบบนี้ ครูก็สบาย ผู้บริหารก็สบาย ทุกอย่างโปร่งใส ไม่มีข้อกังขา

ข้อที่คะแนนอ่อนที่สุดสำหรับเกือบทุกคน  และเขาเองก็ยอมรับ  ก็คือเรื่อง  การสนใจไฝ่เพิ่มเติมความรู้  กับเรื่องงานวิจัย  ครูบอกว่า ทุ่มเทกับเด็กและการสอน จนไม่มีเวลาไปทำสองเรื่องดังกล่าว  แต่แม่ใหญ่ก็บอกไปว่า คุณครูไม่ควรจะอยู่กับที่นะ เพราะมันจะเหมือนถอยหลัง สมัยนี้ การหาความรู้มันหาได้ไม่ยาก  ควรให้ความสนใจหน่อย คอมพิวเตอร์ก็มีไว้ให้ทุกห้องแล้ว  เข้าไปดูอย่างอื่น เช่น ลานปัญญา (แอ้ม..โฆษณาเสียหน่อย)        นอกจากเฟสบุคบ้างก็ได้นะจ๊ะ……จะบอกให้

ขอส่งท้ายด้วยเรื่องต่อเนื่อง……หลังจากที่แม่ใหญ่ วิ่งหาครูอย่างเอาเป็นเอาตายอยู่สองวัน  ….ในที่สุดเราก็ได้ ครูศิลปจบการศึกษาคณะศิลปศึกษา มหาวิทยาลัยขอนแก่นมาเรียบร้อยแล้ว  ไชโย  รอดไปอีกปี

 


โดนอีกจนได้

3 ความคิดเห็น โดย maeyai เมื่อ 4 พฤษภาคม 2011 เวลา 3:17 (เย็น) ในหมวดหมู่ ชีวิตกับโรงเรียน #
อ่าน: 1357

กลับเข้าเรื่องโรงเรียนอีกครั้ง พร้อมเสียงบ่นกระปอดกระแปด ประสาคนแก่นะ   ใครขี้เกียจอ่านก็ข้ามไปเถอะค่ะ  ขออนุญาตบ่นสักหน่อย  

ครูที่ลาไปสอบบรรจุสองคน   ตกลงไม่ติดทั้งคู่ กลับมาเข้าทำงานตามปกติเหมือนที่คุยกันไว้ เด็กสองคนนี้ ไปลา มาไหว้  เราก็ชื่นชม และยินดีต้อนรับกลับมา แม้ว่าจะรับครูใหม่ไว้แล้วเรียบร้อยก็ตาม   เราก็ไม่อยากปฏิเสธครูเก่า เพราะเราฝึกฝนเขามาตั้งสี่ปีแล้ว  เรื่องอะไรจะปล่อยให้ไปหางานที่อื่น  มีครูดีดี  แม้ ตำแหน่งงานจะล้นไปหน่อย  ก็ไม่เป็นไร เป็นผลดีกับเด็กอยู่แล้ว

แต่เรื่องที่ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้นจนได้  เมื่อครูศิลป ที่ทำงานกับเราได้สองปี  กระมิดกระเมี้ยนมาแจ้งเมื่อวานว่า   “หนูไปสอบบรรจุได้แล้วค่ะ ขอลาออก”   แม่ใหญ่ปรอทแตกดังเปรี๊ยะไปชั่วขณะ  แต่ไม่นานก็เรียกสติกลับมาทัน  แล้วก็ปลงกับตัวเองว่า ยังดีที่มาบอกเมื่อวานนี้ ทำให้เรายังมีเวลาอีก  13 วันที่จะวิ่งหาครูเข้ามาแทนตำแหน่งนี้  

วันนี้ก็เลยติดต่อหาครูทั้งวัน  โดยโทรไปหาคนที่เคยรู้จัก  และอยู่ในแวดวง หลายๆคน  ให้ช่วยป่าวประกาศ ว่าเราจะรับสมัครครูศิลป  ลงประกาศในเฟสบุค   ประกาศตามเวปไซด์หางานต่างๆ    และเข้าไปพบหัวหน้าภาควิชาศิลปศึกษา มหาวิทยาลัยขอนแก่น  ซึ่งท่านก็น่ารักมา ขอเบอร์โทรศัพท์แม่ใหญ่เอาไว้     บอกว่าจะติดต่อลูกศิษย์ที่เพิ่งจบใหม่ให้โดยด่วน ภายในวันศุกรที่จะถึงนี้

ก็หวังว่า  เราจะได้ครูสมใจก่อนวันเปิดเทอม 18 พฤษภาคม นี้

 บ่นไปยังงั้นเอง  แต่แม่ใหญ่ก็คิดแผนสองแผนสามเอาไว้เรียบร้อยแล้ว เพื่อแก้สถานการณ์  หากไม่มีใครมาสมัครจริงๆ  เรายังมีครูที่ไม่ได้จบโดยตรง แต่เก่งศิลป  อีกหลายคน  ถ้ามันจำเป็นนัก ก็คงต้องขอโยกเอามาขัดตาทัพไปก่อน 

การทำโรงเรียนเอกชน จะจ้างครูให้พอดีๆกับห้องไม่ได้ ต้องมีตัวสำรอง  เกินๆเอาไว้เสมอ  จับพลัดจับผลู เกิดปัญหาอะไรขึ้นมา  จะได้มีทางแก้ขัดไปได้ 

นึกถึงเมื่อตอนเปิดโรงเรียนใหม่ๆ ที่รับตำแหน่งทีเดียวสามตำแหน่ง คือ ผู้รับใบอนุญาต  ครูใหญ่ และ ผู้จัดการ  วันไหนครูขาดก็เข้าสอนแทน  วันไหนคนรถขาดก็ไปขับแทน  แม้แต่ภารโรงขาด ยังต้องไปกวาดถูด้วยก็เคย   แต่ตอนนั้นเด็กยังน้อย ครูก็ไม่มากคนนัก  สังขารก็ยังอำนวย  เลยทั้งวิ่งทั้งกระโดดได้เต็มที่   ทำอะไรมันสนุกไปหมด ไม่เคยท้อ ไม่เคยถอย ไม่รู้สึกเป็นเรื่องลำบาก 

 34 ปีผ่านไป ไวเหมือนโกหก    นึกขึ้นมาอีกที ปัญหาที่เพิ่งบ่นไปข้างบนนั้นมันก็จิ๊บจ้อยนะ  ถ้าเปรียบเทียบกับเมื่อตอนเริ่มก่อร่าง สร้างโรงเรียน

แต่บ่นแล้วบ่นเลย ไม่ลบทิ้งหรอก  ไหนๆก็เขียนมาจนจบแล้ว


เพื่อนดีดี

2 ความคิดเห็น โดย maeyai เมื่อ 2 พฤษภาคม 2011 เวลา 5:54 (เย็น) ในหมวดหมู่ เพื่อน #
อ่าน: 1355

ไม่ได้เขียนลงในลานปัญญาเสียหลายวัน เพราะไปท่องเที่ยวเชิงศึกษาธรรมชาติ  กับคณะฮอนด้าซิตี้ของลูก  กลุ่มนี้เขารวมตัวกันค่อนข้างแน่นเหนียว  รู้จักกันทางอินเตอร์เนตเหมือนกัน โดยมีความสนใจเกี่ยวกับเรื่องรถยนต์โดยเฉพาะ  เห็นว่ามีการรวมกลุ่มทั่วประเทศก็ตั้งเจ็ดหมื่นกว่าสมาชิก  ใครสงสัยอะไรก็เขียนถามกัน  ช่วยเหลือแนะนำกัน   ทำไปทำมาเกิดสนิทสนม เป็นสังคมออนไลน์อีกแบบหนึ่ง  และเมื่อมีมากเข้าจนไม่รู้ใครเป็นใครก็แยกออกมาเป็น ฮอนด้าซิตี้อิสานใต้ (ซึ่งคงเหมือน G2K แล้วแยกบางส่วนออกมาเป็นลานปัญญา)

เคยไปเที่ยวกับเขาครั้งแรกที่ปากช่อง  เพราะตอนนั้นเป็นวันแม่ ลูกอยากพาแม่เที่ยว  เลยชวนไปเป็นผู้ติดตาม  ไปแล้วก็ติดใจ  เพราะเขาจัดทริปได้ดี  พาไปดูสถานที่ต่างๆที่น่าสนใจ โดยที่เราไม่ต้องไปค้นคว้าหาเอง  ให้การต้อนรับเป็นอย่างดี  

 คราวนี้เขาชวนกันไปเที่ยวเมืองอุบลราชธานี โดยมีกลุ่มฮอนด้าอุบลเป็นเจ้าภาพ   เขาพาไปกราบศาลเจ้าพ่อหลักเมือง  ไปทานอาหารที่แพริมเขื่อนสิรินทร  และไปพักที่ รีสอร์ตริมฝั่งโขง  ห่างจากผาแต้มเพียง  4 กิโล  

 นอกจากนี้เขาพานั่งเรือหางยาวไปชม เก้าพันโบก  (สถานที่ท่องเที่ยวใหม่   ซึ่งเขาว่ามี โบก(รู)มากกว่าสามพันโบกอีก) ผ่านวังน้ำวน ซึ่งมีนิทานเรื่องเมืองบาดาล  มาเล่าให้ฟังอีกด้วย

เสร็จแล้ว ได้ไปกราบสรีระของหลวงปู่คำคนิง     ซึ่งหลังจากมรณภาพไปแล้ว  ร่างกายไม่เน่าเปื่อย  บรรดาลูกศิษย์จึงนำใส่โลงไว้ให้คนไปกราบไหว้   ที่วัดถ้าคูหาสวรรค์  http://www.kammatan.com/board/index.php?topic=273.0

  ก่อนเดินทางกลับขอนแก่น   คณะเจ้าภาพได้พาข้ามไปเหยี่ยบแผ่นดินลาว ที่ช่องเมก ซึ่งมีตลาดชายแดน  ทั้งฝั่งไทยและฝั่งลาว   มีของน่าสนใจให้ซื้อมากมาย แต่เนื่องจากไม่ได้เขียนเรื่อง shopping จึงขอข้ามส่วนนี้ไป

ตั้งใจว่าขากลับจากอุบล จะแวะไปที่ศูนย์วิจัยกล้าไม้อะคาเซีย  เพื่อรับกล้าไม้ มาปลูก แต่ดูแล้วทั้งระยะทางจำนวนคน และภาระหน้าที่ที่จะต้องกลับมาประชุมที่โรงเรียนในวันจันทร์ที่ 2 ไม่อำนวยให้ไปรับเอง  จึงติดต่อลูกออต ให้ไปกับ พขร. โรงเรียน  ไปรับกล้าไม้แทน รายละเอียดมีอยู่แล้วใน ลานชลบทฯของลูกออต

ที่เขียนมาทั้งหมดนี้ มิใช่จะเน้นเรื่องการท่องเที่ยว  เพียงแต่อยากจะพูดถึงเรื่องเพื่อนมากกว่า   เพราะความเป็นเพื่อนในปัจจุบัน  เกิดขึ้นได้ในหลายลักษณะ    เมื่อก่อนการมีเพื่อนจะอยู่ในวงจำกัด เช่นเพื่อนบ้าน  เพื่อนนักเรียน เพื่อนร่วมที่ทำงานฯลฯ เสียเป็นส่วนใหญ่ แต่เดี๋ยวนี้ การมีเพื่อนออนไลน์  ทำให้ก่อเกิดเพื่อนที่มีความสนใจตรงกันได้มากมายหลายกลุ่ม เช่น เพื่อนกลุ่ม ฮอนด้า ที่กล่าวมาแล้ว  เพื่อนออต  ที่เป็นทั้งเพื่อนลูกแล้วมาเป็นเพื่อนแม่ เป็นเพื่อนร่วมลานปัญญา ไหว้วาน ปรึกษาหารือ  ช่วยเหลือกันได้   

แม่ใหญ่เองมีเพื่อนดีดีมากมาย จากหลายกลุ่ม   เพื่อนกลุ่มหนึ่ง    ที่คบกันมาตั้งแต่อนุบาล รวมสิบคน  ทุกวันนี้ก็ยังคบกันอยู่ วันนี้ มีเพื่อนดีมากๆคนหนึ่งส่ง forwarded mail  เกี่ยวกับนิยามคำว่าเพื่อนมาให้    จนแม่ใหญ่อดเอามาแชร์ไม่ได้ในบล็อกวันนี้

  * คน ที่เป็น เพื่อน **

ไม่จำเป็นต้องจบการศึกษา  ระดับเดียวกัน

ไม่จำเป็นต้องมีฐานะ   เท่าเทียมกัน

ไม่จำเป็นต้องมีตำแหน่งหน้าที่    การงานเท่าเทียมกัน

เพื่อนดีๆคือเพื่อนอย่างไร???

คอยเตือน         ยามเพื่อนพลั้ง      คอยฟัง           ยามเพื่อนขอ

คอยรอ           ยามเพื่อนสาย        คอยพาย          ยามเพื่อนพัก

คอยทัก           ยามเพื่อนทุกข์       คอยปลุก          ยามเพื่อนท้อ

คอยง้อ            ยามเพื่อนงอน       คอยสอน           ยามเพื่อนผิด

คอยสะกิด          ยามเพื่อนเผลอ    คอยเจอ            ยามเพื่อนหา

คอยลา             ยามเพื่อนกลับ      คอยปรับ           ยามเพื่อนเปลี่ยน

คอยเรียน           ยามเพื่อนเที่ยว     คอยเคี่ยว           ยามเพื่อนเล่น

คอยเย็น           ยามเพื่อนร้อน        คอยหอน           ยามเพื่อนเห่า

คอยเฝ้า            ยามเพื่อนฟุบ         คอยอุบ             ยามเพื่อนปิด

คอยคิด             ยามเพื่อนถาม       คอยปราม           ยามเพื่อนหลง

คอยปลง            ยามเพื่อนแกล้ง     คอยแบ่ง           ยามเพื่อนหมด

คอย-อด             ยามเพื่อนทาน       คอยคาน            ยามเพื่อนล้ม

คอยชม             ยามเพื่อนชนะ       คอยสละ             ยามเพื่อนชอบ

ผู้อ่านคิดว่าเพื่อนของคุณอยู่ในคำนิยามนี้บ้างไหมคะ

 



Main: 0.23222994804382 sec
Sidebar: 0.28342199325562 sec