เอาของเก่ามาเล่าใหม่

1 ความคิดเห็น โดย maeyai เมื่อ 6 พฤษภาคม 2011 เวลา 7:18 (เช้า) ในหมวดหมู่ ชีวิตกับโรงเรียน #
อ่าน: 1481

บทความนี้เขียนใน gotoknow ตั้งแต่สองปีที่แล้ว  ตอนที่ย้ายแผนกอนุบาลไทยไปไว้อีกที่หนึ่ง ซึ่งเราไปซื้อกิจการโรงเรียนเดิม  ที่เขากำลังจะเลิกกิจการ   พร้อมทั้งเช่าพื้นที่ โดยทำสัญญา สิบปี  สถานที่แห่งเดิมคับแคบที่เล่นเด็กไม่พอ จะสร้างใหม่ ทุนรอนก็ยังไม่อำนวยจึงไปเช่าเขามาปรับปรุงดีกว่า

ซื้อกิจการโรงเรียนเก่า ต้องรับเหมาครูเขามาด้วย  5 คน  กับเด็กที่เหลืออีกราว 30 คน  แม่ใหญ่จึงต้องปรับปรุงและจัดการสัมนาครูเก่าและครูใหม่ให้ทำงานร่วมกันตามแนวของ “พัฒนาเด็กทางสายกลาง ”  ตามชื่อของบล๊อกนี้ใน gotoknow   กลับไปอ่าน แล้วก็ยังชื่นใจ  ที่มาวันนี้เราเห็นผลจากครู 5 คนที่มาอยู่กับเรา  และได้รับการสนับสนุนพัฒนา อย่างต่อเนื่อง  ทุกวันนี้ เขาเป็นครูพัฒนาเด็กที่เรารู้สึกภูมิใจได้อย่างเต็มตัวแล้ว

และนี่ คือบทเริ่มต้น….

พัฒนาเด็กทางสายกลาง

ละลายพฤติกรรม
ได้จัดสัมนาเชิงปฎิบัติการให้กับครูและครูผู้ช่วยทุกท่าน ในหัวข้อ “พัฒนาเด็ก ทางสายกลาง”ไปแล้วเมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา เพื่อให้ครูจากโรงเรียนเดิมที่มีอยู่ 5 คน และครูของโรงเรียนพัฒนาเด็กที่ย้ายมายังสถานที่แห่งใหม่ ได้รู้จักมักคุ้นกันยิ่งขึ้น ก่อนเริ่มงานด้วยกันในปีการศึกษาหน้า
       กิจกรรมเริ่มจาก การรู้จักตนเอง ด้วยการให้เขียนฉายาที่เหมาะกับตนเอง ใส่กล่อง ให้เพื่อนหยิบออกมา แล้วทายว่าเป็นใคร ให้เจ้าตัวให้เหตุผลว่าทำไมถึงตั้งฉายาเช่นนั้น ใช้เวลาไม่นานในกิจกรรมนี้ แต่ก็ทำให้ได้เห็นตัวตนของแต่ละคนได้ ไม่น้อยเลยทีเดียว
         ต่อมาเป็นกิจกรรมให้รู้จักสมองของเด็ก รู้ว่าเด็กใช้สมองส่วนไหนเรียนรู้ และข้อมูลต้องมีความหมายอย่างไร เด็กจึงจะเรียนรู้ได้อย่างดี เมื่อรู้ทฤษฎีแล้ว ก็หาตัวอย่างมาให้คุณครู ลองสำรวจตัวเองว่ามีความโน้มเอียงไปทางสมองซีกซ้ายหรือซีกขวา แล้วก็สรุปว่าครูแต่ละคนไม่เหมือนกัน เด็กแต่ละคนก็ไม่เหมือนกัน เวลาสอนจึงต้องคำนึงถึงความแตกต่างระหว่างบุคคล และวิธีการเรียนรู้ของแต่ละคนด้วย     
          กิจกรรมช่วงบ่าย เป็นกิจกรรมนวด กิจกรรมกอด ซึ่งให้ครูรัน หนุ่มเดียวในกลุ่มครูสาวๆเป็นผู้นำ โดยใช้เพลงเป็นตัวนำการนวดการกอด ซึ่งกิจกรรมสามารถนำไปใช้กับเด็กๆได้ ให้ครูสรุปถึงประโยขน์ของการสัมผัสอย่างใกล้ชิดว่ามีประโยชน์อย่างไร หรือไม่ แล้วให้ถามตัวเองว่า สอนเด็กเป็นเทอม เคยไหมที่ไม่ได้กอดเด็กๆเลยสักครั้งเดียว
          หลังจากเป็นกิจกรรมเบาๆมาบ้างแล้วก็ถึงกิจกรรมหนักไปทางวิชาการ ด้วยการแนะนำให้ครูทั้งหลายได้รู้แนวการสอนของโรงเรียนพัฒนาเด็ก ครูหลายคนก็รู้อยู่แล้ว จึงไม่ได้เน้นมากนัก ให้รับทราบแบบทบทวน ว่าโรงเรียน  “สอนให้คิดมากกว่าจำ และทำมากกว่าพูด” แต่มีเบื้องหลังเป็นหลายๆทฤษฏี เช่น ของ Montessori, Neo-humanist, Whole Language and Project Approach โดยนำมาประยุกต์เป็น “พัฒนาเด็กทางสายกลาง” เพื่อให้เหมาะกับบริบทของสังคมไทย
           การสัมนาเป็นไปอย่างสนุกสนานไม่เครียด แม่ใหญ่สรุปตบท้ายด้วย เรื่องศิลปการพบผู้ปกครอง ซึ่งถือเป้นศิลปขั้นสูงของครูโรงเรียนอนุบาล ทำอย่างไรจะให้ผู้ปกครองไว้ใจ สบายใจ จะพูดอย่างไรเมื่อต้องบอกผู้ปกครองว่าลูกของเขามีพฤติกรรมที่ต้องปรับปรุง ต้องเตรียมการอย่างไรบ้างก่อนที่จะพบผู้ปกครองในวันประเมินฯลฯ ซึ่งหัวข้อนี้ สถาบันการศึกษาที่ผลิตบัณฑิตนั้นมักจะไม่ค่อยได้สอน แต่จริงๆแล้วเป็นเรื่องยากทีเดียวในชีวิตการเป็นครูอนุบาล ก็นับว่าเป็นการเริ่มต้นที่ดีสำหรับปีการศึกษาหน้า ตรงกับความเชื่อที่ว่า เริ่มต้นดีมีชัยไปกว่าครึ่ง
กลับไปอ่านเจอ  แล้วเลยไปก๊อบปี้มาเผยแพร่อีกสักครั้งในลานปัญญา คงจะไม่โบราณเกินไปนะคะ


ประเมินครู

3 ความคิดเห็น โดย maeyai เมื่อ 6 พฤษภาคม 2011 เวลา 6:19 (เช้า) ในหมวดหมู่ ชีวิตกับโรงเรียน #
อ่าน: 1418

และแล้วก็มาถึงวันประเมินการขึ้นเงินเดือนครูประจำปีการศึกษา 2553   ที่อื่นๆเขาทำกันอย่างไรไม่ทราบ แต่ที่นี่ เราล้อมวงกันคุยทั้งผู้บริหารและครูในแผนกนั้นๆ รวมทั้งผู้ช่วยครูด้วย  บรรยากาศก็นั่งๆนอนกันตามสบาย  มีเครื่องมือเป็นกระดาษหนึ่งแผ่น   ดังตัวอย่าง

ชื่อครู

วันทำงาน(๕)

ความร่วมมือทั่วไป(๕)

รู้จักเด็กเอาใจใส่เป็นรายบุคคล(๕)

มนุษยสัมพันธ์กับผู้ปกครอง(๕)

มนุษยสัมพันธ์กับเพื่อนร่วมงาน (๕)

ความสนใจใฝ่ เรียนรู้เพิ่มเติม(๕)

ความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ในกิจกรรม(๕)

การจัดการเรียนการสอนแบบโครงการ(๕)

งานเอกสารต่างๆ(๕)

งานวิจัย

(๕)

รวมคะแนน

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

แล้วเราก็ขอให้คุณครูเล่าสิ่งที่ตัวเองทำ มีหลักฐานมาประกอบ  การเล่า(เพื่อป้องกันการโม้เกินเหตุ)   เป็นการมองตัวเอง ในรอบปีการศึกษาที่ผ่านมา ให้คะแนนตัวเองลงในช่องต่างๆ  ตามที่ตัวคิดว่าควรจะได้  คนอื่นๆก็ฟังแล้วให้คะแนนตามความคิดของผู้ฟังตามที่ได้ยินและได้เคยสัมผัสมาด้วยวิจารณญาณของแต่ละคน

คนหนึ่งให้พูดประมาณ 15-20 นาที  ถ้าใครทำท่าจะเกิน  ก็จะมีระฆังธิเบตเสียงหวานๆเคาะพอให้รู้ตัว

แผนกหนึ่งมีคนเข้าร่วมประเมินไม่มาก 12-15 คน  ดังนั้นเราจึงได้ฟังกัน ได้เต็มที่  มีอาหาร ว่าง กาแฟ ไว้ให้ไปหยิบทานได้อย่างอิสระ   ดังนั้นทุกคนจึงพูดอย่างสบายๆไม่มีเรื่องอะไรมาทำให้ต้องตื่นเต้นจนพูดไม่ถูก

ใช้เวลาเพียง 9 โมงถึงเที่ยง สำหรับกลุ่มอนุบาลอังกฤษ  หรือที่เราเรียกว่า KG. (kindergarten)  ช่วง 11 โมง เราให้ครูและผู้ช่วยใหม่เข้ามานั่งฟังด้วย  เขาจะได้ทราบว่าปีหน้าเขาต้องเข้ามาทำแบบนี้เหมือนกัน

กลุ่มอนุบาลไทย เริ่มตอนบ่ายโมงครึ่ง  ไปจบเอาราวๆสี่โมงเย็น  บรรยากาศก็ไม่แตกต่างจากตอนเช้า ครูอนุบาลไทยเราค่อนข้างมีอายุ ไม่ซิ่งเหมือนครูภาคภาษาอังกฤษ เพราะสอนมาคนละ 20-30 ปีแล้ว แต่คารมคมคายตลอดจนกิจกรรมสร้างสรรค์ต่างๆที่นำมาเล่า ก็ไม่เบาเหมือนกัน

ใบประเมิน  ของแต่ละแผนก    นำมาคำนวณโดยผู้บริหาร    รวมคะแนนจากผู้ประเมินที่ให้คะแนนครูแต่ละคน  แล้วหารด้วยจำนวนผู้ประเมิน   ออกมาเป็นคะแนนเฉลี่ยเท่าไหร่  ก็เรียงลำดับคะแนน  ผู้บริหารนำมาพิจารณาอีกครั้ง  โดยเทียบจากคะแนนปีที่แล้วของแต่ละคนในแต่ละหัวข้อด้วย เพื่อจะดูว่า  ครูได้พัฒนาจากปีที่แล้วไปบ้างหรือไม่   ไม่ได้ดูแค่คะแนนรวมอย่างเดียวเท่านั้น    ใครจะได้ สองขั้น ขั้นครึ่ง หนึ่งขั้น  ก็ว่ากันไปตามเกณฑ์ที่โรงเรียนมีไว้แล้ว  บางปีไม่มีครูได้ขั้นเดียวสักคน    เพราะคะแนนเกินเกณฑ์ไปเสียทุกคน เลยได้ขั้นครึ่งกับสองขั้นไปทั้งแผนก

ด้วยการประเมินแบบนี้ ครูก็สบาย ผู้บริหารก็สบาย ทุกอย่างโปร่งใส ไม่มีข้อกังขา

ข้อที่คะแนนอ่อนที่สุดสำหรับเกือบทุกคน  และเขาเองก็ยอมรับ  ก็คือเรื่อง  การสนใจไฝ่เพิ่มเติมความรู้  กับเรื่องงานวิจัย  ครูบอกว่า ทุ่มเทกับเด็กและการสอน จนไม่มีเวลาไปทำสองเรื่องดังกล่าว  แต่แม่ใหญ่ก็บอกไปว่า คุณครูไม่ควรจะอยู่กับที่นะ เพราะมันจะเหมือนถอยหลัง สมัยนี้ การหาความรู้มันหาได้ไม่ยาก  ควรให้ความสนใจหน่อย คอมพิวเตอร์ก็มีไว้ให้ทุกห้องแล้ว  เข้าไปดูอย่างอื่น เช่น ลานปัญญา (แอ้ม..โฆษณาเสียหน่อย)        นอกจากเฟสบุคบ้างก็ได้นะจ๊ะ……จะบอกให้

ขอส่งท้ายด้วยเรื่องต่อเนื่อง……หลังจากที่แม่ใหญ่ วิ่งหาครูอย่างเอาเป็นเอาตายอยู่สองวัน  ….ในที่สุดเราก็ได้ ครูศิลปจบการศึกษาคณะศิลปศึกษา มหาวิทยาลัยขอนแก่นมาเรียบร้อยแล้ว  ไชโย  รอดไปอีกปี

 



Main: 0.23500919342041 sec
Sidebar: 0.069221019744873 sec