ประเมินครู
อ่าน: 1418และแล้วก็มาถึงวันประเมินการขึ้นเงินเดือนครูประจำปีการศึกษา 2553 ที่อื่นๆเขาทำกันอย่างไรไม่ทราบ แต่ที่นี่ เราล้อมวงกันคุยทั้งผู้บริหารและครูในแผนกนั้นๆ รวมทั้งผู้ช่วยครูด้วย บรรยากาศก็นั่งๆนอนกันตามสบาย มีเครื่องมือเป็นกระดาษหนึ่งแผ่น ดังตัวอย่าง
ชื่อครู |
วันทำงาน(๕) |
ความร่วมมือทั่วไป(๕) |
รู้จักเด็กเอาใจใส่เป็นรายบุคคล(๕) |
มนุษยสัมพันธ์กับผู้ปกครอง(๕) |
มนุษยสัมพันธ์กับเพื่อนร่วมงาน (๕) |
ความสนใจใฝ่ เรียนรู้เพิ่มเติม(๕) |
ความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ในกิจกรรม(๕) |
การจัดการเรียนการสอนแบบโครงการ(๕) |
งานเอกสารต่างๆ(๕) |
งานวิจัย (๕) |
รวมคะแนน |
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
แล้วเราก็ขอให้คุณครูเล่าสิ่งที่ตัวเองทำ มีหลักฐานมาประกอบ การเล่า(เพื่อป้องกันการโม้เกินเหตุ) เป็นการมองตัวเอง ในรอบปีการศึกษาที่ผ่านมา ให้คะแนนตัวเองลงในช่องต่างๆ ตามที่ตัวคิดว่าควรจะได้ คนอื่นๆก็ฟังแล้วให้คะแนนตามความคิดของผู้ฟังตามที่ได้ยินและได้เคยสัมผัสมาด้วยวิจารณญาณของแต่ละคน
คนหนึ่งให้พูดประมาณ 15-20 นาที ถ้าใครทำท่าจะเกิน ก็จะมีระฆังธิเบตเสียงหวานๆเคาะพอให้รู้ตัว
แผนกหนึ่งมีคนเข้าร่วมประเมินไม่มาก 12-15 คน ดังนั้นเราจึงได้ฟังกัน ได้เต็มที่ มีอาหาร ว่าง กาแฟ ไว้ให้ไปหยิบทานได้อย่างอิสระ ดังนั้นทุกคนจึงพูดอย่างสบายๆไม่มีเรื่องอะไรมาทำให้ต้องตื่นเต้นจนพูดไม่ถูก
ใช้เวลาเพียง 9 โมงถึงเที่ยง สำหรับกลุ่มอนุบาลอังกฤษ หรือที่เราเรียกว่า KG. (kindergarten) ช่วง 11 โมง เราให้ครูและผู้ช่วยใหม่เข้ามานั่งฟังด้วย เขาจะได้ทราบว่าปีหน้าเขาต้องเข้ามาทำแบบนี้เหมือนกัน
กลุ่มอนุบาลไทย เริ่มตอนบ่ายโมงครึ่ง ไปจบเอาราวๆสี่โมงเย็น บรรยากาศก็ไม่แตกต่างจากตอนเช้า ครูอนุบาลไทยเราค่อนข้างมีอายุ ไม่ซิ่งเหมือนครูภาคภาษาอังกฤษ เพราะสอนมาคนละ 20-30 ปีแล้ว แต่คารมคมคายตลอดจนกิจกรรมสร้างสรรค์ต่างๆที่นำมาเล่า ก็ไม่เบาเหมือนกัน
ใบประเมิน ของแต่ละแผนก นำมาคำนวณโดยผู้บริหาร รวมคะแนนจากผู้ประเมินที่ให้คะแนนครูแต่ละคน แล้วหารด้วยจำนวนผู้ประเมิน ออกมาเป็นคะแนนเฉลี่ยเท่าไหร่ ก็เรียงลำดับคะแนน ผู้บริหารนำมาพิจารณาอีกครั้ง โดยเทียบจากคะแนนปีที่แล้วของแต่ละคนในแต่ละหัวข้อด้วย เพื่อจะดูว่า ครูได้พัฒนาจากปีที่แล้วไปบ้างหรือไม่ ไม่ได้ดูแค่คะแนนรวมอย่างเดียวเท่านั้น ใครจะได้ สองขั้น ขั้นครึ่ง หนึ่งขั้น ก็ว่ากันไปตามเกณฑ์ที่โรงเรียนมีไว้แล้ว บางปีไม่มีครูได้ขั้นเดียวสักคน เพราะคะแนนเกินเกณฑ์ไปเสียทุกคน เลยได้ขั้นครึ่งกับสองขั้นไปทั้งแผนก
ด้วยการประเมินแบบนี้ ครูก็สบาย ผู้บริหารก็สบาย ทุกอย่างโปร่งใส ไม่มีข้อกังขา
ข้อที่คะแนนอ่อนที่สุดสำหรับเกือบทุกคน และเขาเองก็ยอมรับ ก็คือเรื่อง การสนใจไฝ่เพิ่มเติมความรู้ กับเรื่องงานวิจัย ครูบอกว่า ทุ่มเทกับเด็กและการสอน จนไม่มีเวลาไปทำสองเรื่องดังกล่าว แต่แม่ใหญ่ก็บอกไปว่า คุณครูไม่ควรจะอยู่กับที่นะ เพราะมันจะเหมือนถอยหลัง สมัยนี้ การหาความรู้มันหาได้ไม่ยาก ควรให้ความสนใจหน่อย คอมพิวเตอร์ก็มีไว้ให้ทุกห้องแล้ว เข้าไปดูอย่างอื่น เช่น ลานปัญญา (แอ้ม..โฆษณาเสียหน่อย) นอกจากเฟสบุคบ้างก็ได้นะจ๊ะ……จะบอกให้
ขอส่งท้ายด้วยเรื่องต่อเนื่อง……หลังจากที่แม่ใหญ่ วิ่งหาครูอย่างเอาเป็นเอาตายอยู่สองวัน ….ในที่สุดเราก็ได้ ครูศิลปจบการศึกษาคณะศิลปศึกษา มหาวิทยาลัยขอนแก่นมาเรียบร้อยแล้ว ไชโย รอดไปอีกปี
Next : เอาของเก่ามาเล่าใหม่ » »
3 ความคิดเห็น
ใครมาเป็นคุณครูโรงเรียนแม่ใหญ่ โชคดีจริงๆ
ถ้าชวนให้ครูรู้วิธิวิจัย ครูก็จะไม่อ้างเรื่องเวลา/ภาระงาน/มาปิดกระโหลกตัวเอง
คนเป็นครูต้องวิ่งออกข้างหน้าคนอื่นหลายก้าว
ครูยุคนี้ต้องเรียนรู้วิธีโกยอ้าว!
แม่ใหญ่ยุแยงให้ครูยึกยักนั้นเห็นด้วยอย่างยิ่ง อิอิ
นับถือแม่หยั่ย
ผมเองได้ปฏิรูปการประเมินผู้สอนที่แต่เดิมนักการศึกษาเขาวางไว้ 18 ผมมาปรับให้เหลือ 8 ข้อ รบกันอยู่นาน แต่ก็ผ่านมาแล้ว วันที่ไปตากยุงกันหลังบ้านผม ว่าจะมอบหนังสือให้ทุกท่าน ก็ลืมไปเสียได้
หลักการให้คะแนนน้ำหนักในแต่ละข้อของผมคือ อะไรที่ใครก็ทำได้ แต่สำคัญและต้องทำ จะให้คะแนนน้อย (พอเป็นพิธี) แต่อะไรที่ยากๆ และสำคัญ และคนไม่อยากทำจะให้คะแนนมากๆ เพื่อจูงใจให้ทำครับ (แรงดึง)
15 ที่ผมทำงานมา มีแต่ด่าๆ ๆ โดยเฉพาะด่านาย แต่มันเหลือเชื่อว่าผมได้รับการประเมินสูงสุดขั้น “ดีเด่น” ทุกปี และได้สองขั้นทุกปี ..สงสัยเจ้านายกลัวว่าถ้าไม่ให้สองขั้นคงถูกมันด่าแหลกแน่ๆ อิอิ