เจอเรื่องดีดี แต่เช้ามืด

2 ความคิดเห็น โดย maeyai เมื่อ 20 เมษายน 2011 เวลา 6:10 (เช้า) ในหมวดหมู่ ชีวิตกับโรงเรียน #
อ่าน: 1410

วันนี้ติ่นตั้งแต่ตีห้าตามปกติ หลังจากออกกำลังเล็กๆน้อยๆ  ทำสมาธิสั้นๆ ก็ขึ้นมานั่งประจำที่หน้าคอมพ์  คิดว่าวันนี้จะทำอะไรบ้าง  มีกำหนดการประชุมพนักงานโรงเรียนประจำปี    ในวันนี้   ซึ่งเราจะทำก่อนวันแรงงาน  เพื่อให้เขาได้ออกความคิดเห็นว่าเขาอยากจะทำอะไรบ้าง  แต่การประชุมในโรงเรียนแม่ใหญ่ ไม่ได้ประชุมกันแบบหน้าดำคร่ำเครียด มาถึงให้ตัวหัวหน้าพูดๆๆๆแล้วลูกน้องฟังๆๆๆอยู่เท่านั้น  เราจะวางแผนกิจกรรมไว้ล่วงหน้า และทำตัวเป็นเพียง กระบวนกร   ออกแบบกระบวนการ   เพื่อให้เหมาะกับการประชุมแต่ละครั้ง และเหมาะกับคนที่เราจะประชุมด้วย  ซึ่งการวางขั้นตอนก็ทำเสร็จไปแล้วเมื่อสักครู่นี้เอง

กระบวนการประชุมวันนี้จะประกอบไปด้วย

กระบวนการ

·         หลับตาสมาธิ         body scan   (5  นาที)  แม่ใหญ่

·         ข้ามขอบความเขิน (Ice Breaking)    แม่ใหญ่

·         สนทนาในกลุ่มงานของตน   ครัว /ช่าง /สวน/ทำสะอาด  และเล่าสู่กันฟัง…ชอบ ไม่ชอบ ดี ไม่ดี อยากได้อะไร อยากทำอะไรอีก ข้อเสนอแนะ  ฯลฯ (  After action review)  ทำ แบบสอบถาม  ให้เติมแบบง่ายๆ   นวลศรี

·         ของดีดีที่โรงเรียนจะเพิ่มให้  ค่าแรงในวันหยุด  /  เราจะทำอะไรในวันพิเศษของเรา(วันแรงงาน) แจ๊ก

·         สบตากัน   รักกัน  จับมือกัน  กอดกัน   แม่ใหญ่

·         แจกข้อสรุปเกี่ยวกับ วันลา วันทำงาน  การมาเข้าเวรวันเสาร์ อาทิตย์  จัดให้ผลัดเปลี่ยนเวียนกันอย่างยุติธรรม  นวลศรี

·         เจอกันคราวหน้า เดือนตุลาคม   ปีหนึ่งเรามาพบกันแบบนี้สองครั้ง  ใครมีอะไรมาพูดจาปรึกษาหารือกันได้อีกเสมอ  แม่ใหญ่

·         ไปทานข้าวเย็นร่วมกัน   

กระบวนการประชุมแบบนี้  แม่ใหญ่ไปได้มาจากการไปเข้าจิตตปัญญาศึกษาบ้าง ไปร่วมสัมนาที่โน่นที่นี่มาบ้าง  เอามาประยุกต์และออกแบบ  ให้เหมาะกับเนื้อหา เวลา คน บรรยากาศฯลฯ  ซึ่งเท่าที่ทำมาก็ได้ผลทุกครั้ง คนออกจากที่ประชุม ก็ยิ้มแย้มออกมา ไม่ได้ออกจากที่ประชุมแบบมึนตึ๊บ

หลังจากเตรียมการประชุมเสร็จก้เข้าเชคอีเมล เข้าเฟสบุคตามปกติ  น้องสาวคนหนึ่งได้โพสต์เรื่องดีดีมาให้ เป็นการสัมภาษณ์ของคุณโสภณ  สุภาพงษ์  เรื่อง  ชีวิตมีจำกัด อย่าเสียเวลา เกลียดใคร”  ท่านเป็นอีกคนหนึ่งที่แม่ใหญ่ชื่นชอบ แม้ไม่เคยเจอตัวจริง  อยากให้ลองคลิ๊กเข้าไปฟังกันนะคะ  แม่ใหญ่ฟังเรื่องนี้แล้วรู้สึกเป็นสุขใจแต่เช้า  พร้อมที่จะทำหน้าที่ของตัวเองต่อไปอย่างดี อย่างมีสติ  และมีความสุขค่ะ

 http://www.youtube.com/watch?v=4eFhBzAxwEQ&feature=youtu.be    

 


ไปช่องสะงำ

1 ความคิดเห็น โดย maeyai เมื่อ 19 เมษายน 2011 เวลา 10:18 (เช้า) ในหมวดหมู่ เรื่องที่เรียนรู้ #
อ่าน: 1907

เมื่อวันที่ 18 เมษายน ได้มีโอกาสไปส่ง  ลูกเขยฝรั่ง  กลับไปทำงานให้กาชาดสากลที่เมือง  อัลลองเวง ติดชายแดนไทย เขมร  เวลาจะเดินทางเข้า ออก ประเทศ  ต้องผ่านทางด่านช่องสะงำ จังหวัดศรีษะเกษ 

ปกติลูกสาวลูกเขยเขาก็ไปรับไปส่งกันเอง   แต่เที่ยวนี้ลูกสาวไม่ว่าง  ประจวบกับแม่ใหญ่ อยากไปดูบ้านเมืองแถบนั้นบ้าง   เพราะไม่ค่อยได้ไป  จึงขอติดรถไปด้วย      ขาไป ออกเดินทางจากขอนแก่น ไปแวะรับลูกชายคนเล็ก   ที่มหาวิทยาลัยมหาสารคาม แล้วก็ให้เขาขับรถต่อไปให้    เดินทาง  ไปตามเส้นทาง มหาสารคาม - ร้อยเอ็ด       มีอยู่ช่วงหนึ่ง  พอออกจากร้อยเอ็ด เข้าสุรินทร์  จะ เป็นทุ่งนาผืนกว้างใหญ่    ดูแห้งแล้งมากๆ  ต้นไม้ใหญ่แทบจะไม่มี  แต่ก็มีร่องรอยปลูกข้าวเต็มผืนนา  เพราะยังมีซังข้าวแห้งหลงเหลืออยู่   ช่วงปลูกข้าว คงต้องรอฝนเพียงอย่างเดียว ไม่ค่อยเห็นแหล่งน้ำในบริเวณใกล้เคียงเลย    แต่ได้เห็นร่องรอยการขุดคลองยาวขนานไปกับถนน  หลายสิบกิโลเมตร  ดูเป็นคันคลองที่เพิ่งถูกขุดใหม่ๆ  น่าจะเอาไว้เก็บกักน้ำ เมื่อฝนตก  ในฤดูฝนที่จะถึงนี้ 

ขับรถผ่านท่าตูม   และเลี่ยงเข้าเส้นวงแหวน  ไม่ได้ผ่าเข้าไปในเมืองสุรินทร์  ขับต่อไปจนถึงสังขะ    ดูป้ายชื่อรายทาง ชักจะฟังไม่เป็นภาษาไทยแล้ว ออกจะเป็นสำเนียงเขมรอยู่มาก  มองดูผู้คนชาวบ้าน  ก็ดูตัวเล็กๆ ดำๆ  ไม่ค่อยเหมือนคนไทยในภาคอื่นๆ  พูดภาษาฟังไม่ค่อยรู้เรื่องแต่ได้ยินเสียงกระดกลิ้น ตัวรอ ตัวควบกล้ำ ค่อนข้างชัดเจน    จากสังขะ ขับรถต่อไปจนถึง   จุดผ่านแดนถาวรบริเวณช่องสะงำ อ.ภูสิงห์  จังหวัดศรีสะเกษ  มีชายแดนติดกับอำเภออัลลองเวง  จังหวัดอุดรมีชัย  ซึ่งเป็นประตูสู่นครวัด-นครธม  ในเขตจังหวัดเสียมราฐของราชอาณาจักรกัมพูชา โดยมีระยะทางจากอำเภออัลลองเวงถึงจังหวัดเสียมราฐ ประมาณ 135  กิโลเมตร    การเปิดด่านนี้ก็มีวัตถุประสงค์เพื่อเปิดจุดผ่านแดนถาวรในจังหวัดศรีสะเกษ เพื่อการค้าและการท่องเที่ยว  ซึ่งจะทำให้จังหวัดศรีสะเกษเป็นศูนย์กลางทางการค้า  การท่องเที่ยวในอีสานตอนใต้  สามารถเชื่อมโยงกับสามเหลี่ยมมรกต  ซึ่งเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่รัฐบาลมีนโยบายให้มีขึ้นในสามประเทศ  คือ ไทย-กัมพูชา-ลาว  ไปแล้วก็อยากรู้อยากเห็นมากขึ้น จึงได้กลับมาค้นเรื่องราวของช่องสะงำ ได้ความรู้เพิ่มเติมว่า

ข้อมูลทั่วไปช่องสะงำ

ช่องสะงำเป็นช่องทางทางธรรมชาติ ที่ติดต่อกับชายแดนไทยกับราชอาณาจักรกัมพูชา  เป็นเส้นทางที่ประชาชนทั้งสองประเทศ ใช้ติดต่อสัญจรกันมาตั้งแต่สมัยโบราณ  โดยเฉพาะในรัชสมัยของพระบาท สมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 เส้นทางสายนี้ถูกเรียกว่า “เส้นทางสายลวด”  ซึ่งชื่อนี้มาจากการที่เป็นเส้นทางสายโทรเลข ที่ใช้ติดต่อสื่อสารในช่วงที่เสียมเรียบ พระตะบองและศรีโสภณเคยเป็นส่วนหนึ่งของราชอาณาจักรไทย  บริเวณเมืองอัลลองเวงใกล้กับช่องสะงำ ในอดีตยังเคยเป็นที่ตั้งของเขมรแดง    อีกทั้งเส้นทางช่องสะงำ - อัลลองเวง- เสียมเรียบ  ซึ่งเป็นเส้นทางจากช่องสะงำสู่นครวัด-นครธม  ยังเคยถูกใช้เป็นเส้นทางลำเลียงยุทธปัจจัย ของกองกำลังเขมรแดงอีกด้วย   ช่องสะงำตั้งอยู่ทางทิศใต้ของบ้านแซร์ไปร์ ตำบลไพรพัฒนา  การเดินทางจากอ.เมืองศรีสะเกษถึงจุดผ่านแดนถาวรช่องสะงำ อ.ภูสิงห์มีระยะทางประมาณ 105 กม.  จากช่องสะงำถึง จ.เสียมเรียบที่ตั้งนครวัด-นครธม มีระยะทางประมาณ 135 กม. (อรอุมา  ท่าบุญ, 2547:หน้า 21)

Image

 ระยะทางจากสังขะไปช่องสะงำ แค่ 40 กิโลเมตร แต่ถนนไม่ดี และทางค่อนข้างเปลี่ยว แต่ก็เห็นว่ากำลังปรับปรุงถนน ที่เป็นหลุมเป็นบ่อ ด้วยการลาดยางทับไปบนผิวถนน อยู่หลายกิโลเมตร  พอเข้าใกล้ช่องสะงำ  ก็เห็นภูเขาเป็นแนวยาวอยู่ข้างหน้า  นึกถึงวิชาภูมิศาสตร์ที่เคยเรียนนึกไม่ออกว่าชื่อภูเขาอะไร   เลยต้องกลับมาค้นคว้าอีก  ถึงบางอ้อ ว่าชื่อ ภูเขาพนมดงรัก  ซึ่งเป็นแนวเขายาวตลอดชายแดน   ตรงส่วนช่องสะงำนี้ ชาวบ้านเรียกว่า ภูสิงห์   รู้สึกคลับคล้ายคลับคลากว่าเคยเป็นข้อสอบสมัยมัธยม ว่า เทือกเขาไหน กั้นเขตแดนอะไรบ้าง  แต่มาบัดนี้จำไม่ได้แล้ว ดีที่ยังมีที่ให้ค้นคว้า เรียกคืนความทรงจำ  ข้อมูลของพนมดงรัก ทีกลับมาค้นพบมีดังนี้

ทิวเขาพนมดงรัก  เป็นทิวเขาหินปูนอยู่ทางตอนใต้สุดของภาค เริ่มต้นจากบริเวณช่องตะโก ซึ่งเป็นรอยต่อกับทิวเขาสันกำแพงไปทางทิศตะวันออกจนถึงภูแดนเมือง แล้วทอดตัววกขึ้นเหนือไปสุดที่ลำน้ำโขง ในเขตอำเภอพิบูลมังษาหาร รวมความยาว ประมาณ ๕๐๐ กิโลเมตร เป็นทิวเขาแคบ ๆ มีความกว้างระหว่าง ๔ - ๒๕ กิโลเมตร ทางด้านเหนือมีลักษณะเป็นลาดยาวไปทางพื้นที่ราบสูง ซึ่งสูงประมาณ ๒๐๐ เมตร ส่วนด้านใต้เป็นผาชันลงไปสู่ที่ราบต่ำที่เรียกว่าเขมรต่ำ ยอดเขาสูงโดยเฉลี่ยประมาณ ๕๐๐ เมตร ยอดสูงสุดคือพนมดงรัก สูง ๗๒๑ เมตร อยู่ทางใต้อำเภอเดชอุดม เป็นต้นกำเนิดของลำน้ำโดมใหญ่ ยอดสูง ๆ จะอยู่ในเขต จังหวัดศรีษะเกษ ซึ่งจะมีความสูงเฉลี่ย ประมาณ ๖๐๐ เมตร ได้แก่
            พนมแม่ไก่  สูง ๕๓๒ เมตร อยู่ทางใต้ อำเภอประโคนชัย จังหวัดบุรีรัมย์
            พนมตาเหมือน  สูง ๖๗๒ เมตร อยู่ทางใต้ อำเภอขุขันธ์ จังหวัดศรีสะเกษ
            เขาพระวิหาร   สูง ๖๕๗ เมตร อยู่ในเขต อำเภอกันทรลักษ์ จังหวัดศรีสะเกษ
            ในทิวเขานี้มีช่องทางผ่านหลายช่อง ที่สำคัญคือ ช่องจอม ช่องเสม็ด และช่องเม็ก
            นอกจากทิวเขาทั้งสี่ดังกล่าวมาแล้ว ยังมีเนินเขาโดด ๆ ไม่สูงนักอยู่ในแถบตะวันออกเฉียงเหนือ ของภาคในบริเวณพื้นที่ระหว่างลำน้ำสงครามกับลำน้ำโขงได้แก่
            ภูสิงห์  สูง ๔๑๘ เมตร ยาวประมาณ ๑๘ กิโลเมตร
            ภูวัว  สูง ๔๒๐ เมตร ยาวประมาณ ๒๐ กิโลเมตร
            ภูเขาเหล่านี้เป็นปลายของทิวเขาที่ต่อเนื่องมาจากดินแดนฝั่งตะวันออกของลำน้ำโขง

ส่งลูกเขยไปเมื่อเวลา บ่ายสอง  เขาชวนไปกินลมชมวิวที่ร้านอาหารในเขมร  แต่เห็นเมฆฟ้าครึ้มดำมาเป็นทิว กับรายงานอากาศที่ทราบมาก่อนว่าจะมีฝนตกหนักในวันนี้ จึงไม่รับคำเชิญ  รีบหาทางกลับขอนแก่น โดยใช้คนละเส้นทางกับขามา  คือ ออกจากสังขะ  เข้าสุรินท์    ผ่านมาทาง สตึก บรบือ บ้านไผ่ และเข้าขอนแก่น   ตอนผ่านสตึก ฝนกำลังตกหนัก  และเจอฝนมาจนถึงบรบือ ต้องขับรถช้าๆระมัดระวังมาตลอดทาง   นึกอยากเยี่ยมแวะกราบพ่อครูบาที่สตึก   แต่เห็นว่าไม่เหมาะ เพราะไม่ได้แจ้งไว้ ล่วงหน้า อีกทั้งฝนฟ้าก็กำลังตกแรง  กลับถึงขอนแก่น เกือบสามทุ่ม

ไปเที่ยวครั้งนี้  ได้เรียนรู้  และได้กลับมาทำการบ้าน  เพิ่มความรู้ให้ตัวเอง  แล้วก็เลยเอามาเผื่อแผ่ผู้สนใจด้วย 


เข้าสู่สภาพปกติ และเกินปกติ

1 ความคิดเห็น โดย maeyai เมื่อ 16 เมษายน 2011 เวลา 4:22 (เย็น) ในหมวดหมู่ ชีวิตกับโรงเรียน #
อ่าน: 1476

วันนี้วันที่ 16 เมษายน เมืองขอนแก่นเข้าสู่สภาพปกติ หลังจากสภาพคนสาดน้ำกันเต็มเมืองในช่วงวันที่ 13-14-15 

 เมื่อวันที่ 15 แม่ใหญ่อยู่ว่างๆก็ขับรถปิดกระจก เข้าไปดูเขาสาดน้ำกันบ้าง   เห็นการสาดน้ำกันอย่างเมามันจริงๆ ทุกถนนหนทางในเมือง เต็มไปด้วยรถกระบะ ที่บรรทุกคนด้านหลังเต็มที่  ยืนกันเปียกปอน บ้างถือปืนฉีดน้ำ บ้างก็จ้วงน้ำในภาชนะโอ่งพลาสติกที่ใส่น้ำและน้ำแข็งก้อนโต แล้วก็สาดใส่รถที่ผ่านไปมา ไม่มีใครทำหน้าตาโกรธเคืองใคร พอสาดถูกฝ่ายตรงข้าม ก็ร้องเฮกันอย่างสนุกสนาน  พวกที่ตั้งเวทีตามหน้าร้าน ก็เปิดเพลงแล้วก็ผลัดกันขึ้นไปเต้นไปรำ รอให้รถที่ผ่านไปมาสาดน้ำใส่   ตรงหน้าตลาดบางลำภูมีคนมาตั้งโรงทาน ข้าวไข่เจียว  ใครหิวก็ลงไปขอทานได้ฟรี  ดูแล้วน่ารักดี  รู้สึกแต่ละคนล้วนมีมิตรจิตมิตรใจต่อกัน

ทั้งสามวัน เหตุการณ์ในท้องถนนเป็นอย่างที่เล่า  รู้สึกว่าวันที่ 15 รถจะยิ่งหนาตากว่าทุกวัน 

 ลองขับเลยเข้าไปดูตามหมู่บ้านบ้าง ผ่านไปสี่หมู่บ้าน คือบ้านทุ่ม สาวะถี บ้านงิ้ว และบ้านแดงใหญ่ตามลำดับ  บรรยากาศไม่แตกต่าง คือมีการเล่นสาดน้ำกันอย่างสนุกสนาน แต่จะเป็นคนแก่มากกว่าหนุ่มๆสาวๆ  (สงสัยว่าหนุ่มสาวคงเข้าไปเล่นในเมืองกันหมด)   ตามหมู่บ้านมักจะเล่นอยู่หน้าบ้านตัวเอง เปิดเพลงร้องรำทำเพลงกัน ใครผ่านไปผ่านมาก็สาดน้ำให้พอเปียกไม่ถึงกับให้โชกเหมือนในเมือง  ตั้งใจจะไปต่อ   แต่เมฆหนามาแต่ไกล  ทำท่าฝนจะตกใหญ่ เลยตัดสินใจกลับเข้าบ้านดีกว่า

ช่วงที่เขาทำคลื่นมนุษย์ลบสถิติกินเนสบุ๊ค ตอนทุ่มหนึ่ง  แม่ใหญ่ได้แต่ดูอยู่หน้าทีวี เพราะไม่มีปัญญาเบียดฝูงชนไปร่วมกับเขา  เห็นความพร้อมเพรียงของการโบกมือขึ้นลง เป็นแถวยาวเกือบครึ่งกิโลเมตร  ทำไปมาตั้งสามรอบ    อดนึกไม่ได้ว่า  พลังความสามัคคีและความพร้อมเพรียงอย่างนี้  ถ้านำมาใช้ให้เป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติคงจะดีไม่น้อยที่เดียว

นอกจากเหตุการณ์ในเมืองเป็นปกติ เหตุการณ์ในลานโรงเรียนพัฒนาเด็กก็เข้าสู่สภาพปกติด้วย  เพราะพนักงานทั้งหลายกลับมาทำงานตามปกติ  หลังจากที่ร้างพนักงานมาสามวัน     ใบไม้ที่ร่วงเต็มลาน มีลุงหมัยกับลุงพงษ์ กลับมากวาดจนเตียนตั้งแต่เช้า งานคงหนักหน่อย เพราะถูกปล่อยไว้ตั้งสามวัน เนื่องจากเหลือแต่แม่ใหญ่อยู่โยง  ทำคนเดียวไม่ไหว

 แต่วันนี้  มีเหตุการณ์เกินปกติในลานโรงเรียนของเรา  ซึ่งจะไม่กล่าวถึงก็คงไม่ได้   เพราะเป็นวันที่คุณครู 8 ท่าน  ที่ทำงานในโรงเรียน เกินสิบปี  จะออกเดินทางไปสุวรรณภูมิ  เพื่อไปขึ้นเครื่องไปมาเลย์และสิงคโปร์ในวันพรุงนี้เช้า    มีรถมารับที่หน้าโลตัสตั้งแต่ตอนเที่ยง เพราะบริษัททัวร์ไม่มั่นใจว่าการเดินทางไปถึงกรุงเทพจะใช้เวลานานเท่าใดในช่วงนี้     การไปเที่ยวมาเลย์สิงคโปร์สี่วันนี้    โรงเรียนถือเป็นโบนัสพิเศษ  ให้แก่คุณครูของเรา    ชุดนี้เป็นชุดที่สองแล้วที่โรงเรียนซื้อทัวร์ให้ไปเปิดหูเปิดตาต่างประเทศ      ครูแหม่ม ครูทราย ครูวิไล ครูนิ่ม  ครูณู ครูสุ ครูอุ๋ย และครูอ้อม เป็นชุดที่ได้เดินทางคราวนี้ ทุกคนตื่นเต้นกันมาก  หลายคนเพิ่งจะได้ขึ้นเครื่องบินเป็นครั้งแรกในชีวิต ครูอุ๋ยลงทุนซื้อกล้องตัวใหม่ ส่วนครูแหม่ม  บอกใจหายนิดๆพอรู้ว่าจะต้องจากแผ่นดินไทยไปแม้จะเป็นเวลาสั้นๆก็ตาม 

แม่ใหญ่ตามไปส่งที่หน้าโลตัสแล้วก็ถือโอกาสเลี้ยงส่งมื้อกลางวัน  ด้วยสุกี้เอมเค   รู้สึกเป็นสุขใจจริงๆเมื่อเห็นคุณครูมีความสุข   คุณครูทั้ง 8 คนนี้ ถือเป็นลูกหม้อของโรงเรียน   ทำงานอย่างตั้งใจและมีใจรักในงาน ผู้ปกครองก็ชื่นชมและไว้ใจมาเป็นเวลายาวนาน  

เพราะพวกเขาเหล่านี้แหละที่ทำงานอย่างทุ่มเท   เป็นตัวอย่างที่ดี     เมื่อคนใหม่เข้ามาทำงาน   ก็ดำเนินรอยตามรุ่นพี่ๆ    โรงเรียนเราจึงอยู่ได้ด้วยดี และเป็นที่ยอมรับของผู้ปกครองตลอดมา


พักยาว

1 ความคิดเห็น โดย maeyai เมื่อ 13 เมษายน 2011 เวลา 12:22 (เย็น) ในหมวดหมู่ วงศาคณาญาติ #
อ่าน: 1406

ตั้งแต่วันที่ 9-17 เมษายน เป็นเวลาหยุดยาว ของโรงเรียนพัฒนาเด็กทั้งสองสาขา    ซึ่งเป็นช่วงเวลาเดียวในปีหนึ่ง ที่โรงเรียนปิดอย่างสนิทจริงๆ  ทั้งนี้ เพื่อให้บุคคลากรทุกฝ่าย ได้กลับไปอยู่กับครอบครัว  ทำบุญทำทาน  หรือถ้าสาวๆหนุ่มๆก็ไปเล่นน้ำสงกรานต์กันอย่างเต็มที่ เพราะขอนแก่นมีกิจกรรมให้เล่นสงกรานต์กันหลากหลาย  ตั้งแต่เช้ายันดึก    ที่โรงเรียนจึงไม่มีแคมป์    ไม่มีเด็กเล็กที่ฝากเลี้ยงกันจนรู้สึกว่าโรงเรียนเป็นบ้านจริงๆ  ไม่มีเด็กที่มีความต้องการในการพัฒนาเป็นพิเศษ  ซึ่งมาให้ครูการศึกษาพิเศษเติมเต็มในวันเสาร์อาทิตย์   เราปิดหมดทุกกิจกรรมตลอดสัปดาห์

สำหรับแม่ใหญ่ผ่านสงกรานต์   มาเกินครึ่งศตวรรษ   จึงไม่คิดไปไหน พักผ่อนอยู่บ้านดีกว่า     แต่พอ อยู่ว่างๆ  ก็เปิดดูเฟสบุค เห็นคุณครู   เขียนอวยพร  สุขสันต์วันสงกรานต์  ให้กันและกัน หลายคน  รู้สึกว่า เป็นเรื่องดีที่มีสื่อสังคม ทำให้เขา ได้ส่งความสุขให้แก่กันในวันสงกรานต์บ้าง  ไม่ใช่ สคส.กันเฉพาะปีใหม่ วันที่ 1 มกราคม เท่านั้น  เห็นครูบางคนไปกราบพ่อแม่ และถ่ายรูปรวมครอบครัว ครบพ่อแม่พี่น้อง  แล้วเอารูปมาลงโดยใช้ชื่ออัลบั้มว่า  “Happy Time with my family “  มีครูฝรั่งสองสามคนที่เพิ่งหมดสัญญาจ้าง  กลับเมืองนอกไปแล้ว  แต่คงยังจำวันสงกรานต์เมืองไทยได้   ก็เขียนอวยพรผ่าน FB  มาว่า “Happy Songkran”  รู้สึกว่า   ความสุขมันช่างอบอวล อยู่กับวาระวันสงกรานต์จริงๆแม้ไม่ได้ออกไปฉลองที่ไหน

นึกขึ้นมาได้ว่า น่าจะเข้าไปทักทายครูกูเกิ้ลแกสักหน่อย  ป่านนี้แกคงมีข้อมูลทีน่าสนใจ  เกี่ยวกับวันสงกรานต์มาให้เลือกอ่าน  พอคลิ๊กเข้าไปปุ๊บก็เจอเวปให้เลือกอ่านมากมายดังคาด      เป็นการซ้อมความรู้สมัยเก่า เรื่องเกี่ยวกับประเพณีสงกรานต์  ปีนี้ใครเป็นนางสงกรานต์  ทานอะไรเป็นอาหาร มือถืออะไร  และต่อด้วยคำทำนายทายทักอะไรบ้าง  ถ้าใครอยากจะรื้อฟื้น เหมือนแม่ใหญ่ก้เชิญเข้าไปเยี่ยมเยียนเวปนี้ดูได้นะคะ  http://www.umarin.com/board/index.php?topic=378.0  ข้อมูลเพียบจริงๆ มีรูปสวยๆให้ดูด้วย    ต้องขอบคุณคนทำเวปมา ณ  ที่นี้ด้วย ที่เอามาอ้างอิงโดยไม่ได้ขออนุญาต

จากfacebook  ก็ ต่อด้วยtwitter  ด้วยความเคยชิน  อัพเดทข่าวบ้านเมืองเสียหน่อย  เพราะห่วงว่า สงกรานต์ปีนี้จะมีอะไรไม่ชอบมาพากลเหมือนปีที่แล้วหรือเปล่า  ก็เห็นว่ายังไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง แต่ไปเจอวรรคทองของท่าน ว วชิรเมธี ที่อยากเอามาแบ่งปันกันบ้าง

V.Vajiramedhi

 “ปัญหาคือยาวิเศษ อุปสรรคคือหินลับมีด วิกฤติคือโอกาสทอง Problem is a miracle drug. An obstacle is a grinding stone….

หลังจาก twitter ก้แน่นอน  ต้องเข้ามาเยี่ยม Go 2 know และ ลานปัญญา  เวปคู่คิด มิตรคู่บ้าน   อย่างไม่ต้องสงสัย  หลังจาก กลับไปอ่านบทความของหลายๆท่าน  ที่เก็บเอาไว้อ่านซ้ำ   และไปค้นเจอบางเรื่องที่ยังไม่อ่าน    ก็รู้สึกว่า  ได้ประเทืองปัญญาในวันหยุดจริงๆ  ขอบคุณ โลกไซเบอร์    ที่ทำให้เรียนรู้เรื่องดีดี   แม้นั่งอยู่กับโต๊ะคอมพิวเตอร์    แล้วก็แค่กระดิกปลายนิ้วเพียงเล็กน้อย  ความรู้ ต่างๆก้พรั่งพรูกันเข้ามาดังสายน้ำ  ตามที่ใจต้องการ
วันที่ 13 ตื่นแต่เช้ามืด  ซื้อข้าวปลาอาหารไปถวายพระที่ วัดป่าธรรมอุทยาน  ไม่ไกลจากบ้านนัก   มีลูกชาย ลูกสาว และลูกเขย  ไปร่วมทำบุญด้วย   ครั้งนี้น่าจะเป็นครั้งแรกที่แม่ใหญ่ไปทำบุญตรงกับวันสงกรานต์     ที่ผ่านมาแม่ใหญ่ไม่ค่อยนิยมไปทำบุญในวันที่คนไปวัดกันมากๆ เพราะเห็นของเหลือมากมายจนต้องเททิ้ง  ชอบไปทำในวันธรรมดา ๆที่คนน้อยๆมากกว่า    แต่ปีนี้และปีต่อๆไป คงจะต้องไปทำอย่างสม่ำเสมอแล้ว  เพราะนึกถึงคำพูดหนึ่งที่เคยเถียงกับยายจ๋า สมัยที่ยังมีชีวิต ว่าไม่ชอบไปทำบุญวันพระใหญ่   ยายจ๋าจะบอกว่า “เธอไม่ไปแต่ชั้นจะไป ชั้นกลัวปู่ย่าตายายชั้นมายืนรอ  แล้วไม่มีใครมาทำบุญให้  ได้แต่คอยมองคนอื่นเขาตาปริบๆ”  คำพูดนี้มันอบอวลอยู่ในหูจริงๆ ดังนั้น  จะเชื่อไม่เชื่อเป็นอีกเรื่องหนึ่ง  แต่การไปทำแล้วสบายใจ ย่อมเป็นเรื่องดี  ถ้าพ่อแม่รู้ได้ด้วยญาณใดใดก็ตาม  จะรู้ว่า ลูกสาวขี้ดื้อคนนี้ ยอมแพ้แล้ว  และตั้งใจว่าจะไปทำบุญกรวดน้ำ ถึงพ่อแม่ปู่ย่าตายายทุกวันพระใหญ่จริงๆ
สุขสันต์วันสงกรานต์  สำหรับทุกคนที่มาอ่านบล็อคนี้นะคะ

  


ปิดแคมป์มายากล

1 ความคิดเห็น โดย maeyai เมื่อ 8 เมษายน 2011 เวลา 11:18 (เช้า) ในหมวดหมู่ ชีวิตกับโรงเรียน #
อ่าน: 1366

วันที่  7 เมษายน เป็นวันแสดงฝีมือ ของเด็กๆที่มาเข้าแคมป์ มายากล ของโรงเรียน  น้องอันๆ อดีตนักเรียนพัฒนาเด็ก ที่ขณะนี้เรียนอยู่วิศวฯคอมพ์ปีสอง ที่มหาวิทยาลัยขอนแก่น  มาเป็นวิทยากรให้น้องๆทั้ง 50 คน ตลอดช่วงเวลาที่เปิดแคมป์  ซึ่งเป็นเวลาเพียง 8 วันเท่านั้น

เด็กๆ ทุกคนได้ออกมาแสดงฝีมือกันคนละหนึ่งชุด คือชุดที่เขาเลือกว่าเขาทำได้ดีที่สุด    มีผู้ปกครองติดตามมาดูอย่างใกล้ชิดด้วย  เด็กๆทำได้ดี  เพราะสนใจและสนุกมาตั้งแต่เริ่มต้น   การแสดงมายากลนี้  เด็กได้เรียนรู้เรื่องต่างๆมากมาย ทั้งทักษะต่างๆ  เกี่ยวกับการประสานกันระหว่างตา กับมือ    ได้ใช้ กระบวนการคิด ได้ฝึกความว่องไว และได้การแสดงออกด้วย  เรียกว่า แคมป์นี้ ประสบความสำเร็จไปเต็มๆ  ภาพต่างๆในวันโชว์ฝีมือ อยู่ที่ http://www.facebook.com/#!/album.php?fbid=1925491652496&id=1098293574&aid=2111978  ผู้สนใจเปิดดูได้

หลังจากนั้น  ช่วงสงกรานต์ จะปิดตลอดทั้งอาทิตย์  ทั้งครูและนักเรียนก็คงมีโครงการไปทำอะไรต่อมิอะไรเป็นส่วนตัวในช่วงนั้น   แคมป์ต่อไป จะเปิดวันที่  18-29 เมษายน  มีชื่อแคมป์ ว่า นักสืบน้อย  ได้ยินว่า จะมีวิทยากร เป็นพี่ตำรวจ มาแสดงการตรวจ fingerprint การใช้คอมพ์ ในการเสก็ตช์หน้าผู้ร้าย  ฯลฯ และอื่นๆอีกมากมาย  ขณะนี้ จำนวนคนเข้าแคมป์เต็มแล้ว  คงรอดูผลตอนปิดแคมป์ กันอีกครั้ง ว่า จะน่าสนุกเหมือนแคมป์มายากลหรือไม่



Main: 0.076127052307129 sec
Sidebar: 0.044184923171997 sec