เจ้าเป็นไผ: ขจิต ฝอยทอง(3)

8 ความคิดเห็น โดย khajitf เมื่อ 18 มีนาคม 2009 เวลา 11:30 (เช้า) ในหมวดหมู่ ภาษา #
อ่าน: 2876

          ตอนมาเป็นครูชีวิตสนุกสนานมาก ได้เลือกโรงเรียนที่ไกลที่สุดเพราะสอบได้อันดับต้น อยากไปอยู่ไกลๆๆ แต่มีครูที่สอบได้รองจากผมขอเปลี่ยนเนื่องจากบ้านเธออยู่ที่นั่น มีครอบครัวแล้ว เอารูปมาให้ดูด้วย จะให้ผมใจดำไม่ให้เธอเลือกได้อย่างไร ผมเลยไปอยู่อำเภอบ่อพลอย ชาวบ้านแถวโรงเรียนเป็นชาวสุพรรณบุรีอพยพมาอยู่ บางกลุ่มเป็นชาวลาวโซ่ง เป็นกลุ่มที่น่าศึกษามาก มีวัฒนธรรมที่ดีงามของตนเอง ผมเลยมีโอกาสฝึกพูดภาษาโซ่งจากนักเรียน หลังจากได้เรียนภาษาปกากะญอ(กระเหรี่ยง) จากโรงเรียนหมู่บ้านเด็ก  

   ตอนเป็นคุณครูผมขับมอเตอร์ไซด์ไปเยี่ยมบ้านนักเรียนหลังเลิกเรียนเกือบทุกวัน ไปเยี่ยมนักเรียนที่ขาดเรียน ไปคุยกับผู้ปกครอง มีความสุขดี ผมสอนภาษาอังกฤษไปประมาณ 5 ปี อยากเพิ่มความรู้ของตนเอง  จึงไปสอบเรียนต่อที่มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ประสานมิตร ปรากฏว่าสอบได้เลยไปเรียน ใช้เวลาเรียนสองปีครึ่ง  แต่ตอนเรียนได้ฝึกปฏิบัติจริงๆๆ ได้ลองสอนจริง หลักสูตรที่เราเรียนกันจะสอนเป็นภาษาอังกฤษทั้งหมด ตอนนั้นผู้เขียนไม่มีที่พัก แต่โชคดีมีพระที่เคยทำค่ายด้วยกันที่สงขลาท่านเป็นพระผู้ใหญ่อยู่วัดวิเศษการ ไม่ไกลจากศิริราช ชวนผู้เขียนไปอยู่ด้วย ผู้เขียนเลยไม่ต้องเช่าบ้าน ตอนเช้าถ้าไม่มีเรียนตอนเช้าก็ถือปิ่นโต สะพายย่ามตามหลวงพี่ ไปบิณฑบาต(เป็นเด็กโข่ง ที่ไม่มีใครรู้ อิอิๆ)แถวโรงพยาบาลศิริราช ตลาดรถไฟบางกอกน้อย (บางทีท่านผู้อ่านอาจเคยเห็นผมแถวๆโรงพยาบาลศิริราชก็ได้ แต่ไม่รู้จักเอง ฮ่าๆๆ)

    ผมเองหวังตั้งแต่เด็กแล้วว่าอย่างน้อยผมต้องเรียนจนจบปริญญาเอก เมื่อกลับมาโรงเรียนประมาณสองปี กระทรวงศึกษาธิการก็มีการสอบคัดเลือกครูเพื่อไปเรียนที่ New Zealand ผู้เขียนได้ไปอยู่ที่ New Zealand ในเมือง Aucklandเป็นเมืองที่น่าอยู่ อากาศดีมาก ผู้คนเป็นมิตร ยิ้มแย้มแจ่มใส  เมื่อกลับมาเมืองไทยก็สอนนักเรียนเข้มข้นมากกว่าเดิม นอกจากนี้ยังไปเป็นวิทยากรให้แก่ศูนย์ ERIC เพื่ออบรมครู และเป็นอาจารย์พิเศษให้แก่มหาวิทยาลัยราชภัฏ กาญจนบุรี  สองปีต่อมาลูกศิษย์ผู้เขียนที่เป็นลูกภารโรง ก็สอบทุนหนึ่งอำเภอหนึ่งทุนไปเรียนที่เยอรมัน เป็นที่ฮือฮามากในจังหวัดเพราะชนะคู่แข่งที่เป็นลูกข้าราชการ ลูกพ่อค้าในจังหวัด  แต่ก็นั่นแหละ อย่างที่บอกไว้ ผมเองมีความหวัง มีความตั้งใจอยากเรียนจนจบปริญญาเอก เมื่อจบปริญญาโทมาประมาณ 5 ปี ที่โรงเรียนไม่มีครูไปเรียนปริญญาโทและเอก ผู้เขียนขออนุญาตผู้บริหารไปสอบปริญญาเอก  ปรากฏว่าสอบได้ แต่ผู้บริหารไม่ยอมให้ไปเรียน แต่โชคดีทางมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกำแพงแสน ให้ทุนไปเรียนต่อปริญญาเอก ผู้เขียนเลยลาออกจากราชการมาเป็นพนักงานของมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ได้เรียนสนใจตามที่หวังไว้ 

 

 อยากฝากบอกท่านผู้อ่านทุกๆๆท่านว่า เราต้องเป็นผู้เรียนรู้ตลอดเวลา( lifelong learning) โดยเฉพาะคนที่เป็นครู สมควรเรียนรู้ตลอด  เราอาจเรียนรู้ไปพร้อมกันกับนักเรียน นิสิต นักศึกษา หรือเรียนรู้ไปกับภูมิปัญญาของท้องถิ่น อย่าทำตัวเป็นน้ำล้นแก้ว และอย่าทำตัวเป็น dead wood 

  ผมอยากบอกว่า ความหวัง ความตั้งใจจริงเป็นสิ่งสำคัญมาก ตอนนี้สิ่งที่อยากทำคือ อยากสร้างเครือข่ายแบบเฮฮาศาสตร์ให้เกิดมากๆๆในสังคมบ้านเรา อยากเห็นความสันติสุขเกิดในทุกๆๆที่ของเมืองไทย อยากทำความดีให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ตอนนี้ผมยังมีความฝัน ความหวังที่ไม่สามารถบอกใครได้ เก็บเอาไว้เป็นความลับแต่ผู้เดียว ผมรู้หรอกว่าผู้อ่านอยากทราบ  จ้างก็ไม่บอก ฮ่าๆๆๆ   ผมเองนั้นมีวิธีการเรียนไม่ค่อยเหมือนใคร  อยากเรียนรู้อะไรก็เรียน จะเรียนได้ไม่ดีถ้าอยู่ในระบบ ผมได้เรียนรู้จากการที่ผมออกไปอบรมครู ว่า ระบบการศึกษาบ้านเรามีการพัฒนาในด้านการศึกษาที่ผิดพลาดมาตั้งแต่ต้น ผลของการปรับตำแหน่งความชำนาญการของครู ไม่ได้ส่งผลให้เด็กได้พัฒนา เมื่อไรที่มีการให้เงินครูเพิ่มจากครูชำนาญการเป็นครูเชี่ยวชาญโดยการดูเพียงเอกสารอย่างเดียว มีครูจ้างทำผลงานวิชาการ ไม่ได้ดูการพัฒนานักเรียนในชั้นเรียนรับรองได้ว่า การศึกษาบ้านเราคงไปไม่รอด   ในส่วนการพัฒนาครูภาษาอังกฤษในระดับพื้นฐานนั้น คนที่น่าสงสารกลับเป็นครูประถมศึกษาและจะส่งผลไปสู่นักเรียนเพราะบ้านเรานั้นครูที่สอนภาษาอังกฤษในระดับประถมศึกษาเราไม่ได้เตรียมความพร้อมของครูเราก่อน ให้ใครก็ได้ไม่ว่าจะเป็นเอกพละศึกษา เอกคหกรรมไปสอนนักเรียน ผลคือ ครูเองขาดความมั่นใจในการสอนภาษาอังกฤษ ขาดเทคนิคการสอน ถึงเวลาสอนครูก็ไม่อยากสอน ทำให้นักเรียนไม่อยากเรียน นี่ถ้ามีการหยุดคอรัปชั่นของคนบางพวกแล้วมาทุ่มที่การศึกษา มาทุ่มที่การพัฒนาครู เอาเรื่องการศึกษาเป็นวาระแห่งชาติ  การศึกษาบ้านเราคงดีกว่านี้นะครับ  หวังว่าตอนนี้ท่านผู้อ่านคงทราบแล้วว่า ผมเป็นไผ…ฮ่าๆๆ

 


เจ้าเป็นไผ: ขจิต ฝอยทอง(2)

2 ความคิดเห็น โดย khajitf เมื่อ 18 มีนาคม 2009 เวลา 10:56 (เช้า) ในหมวดหมู่ ภาษา #
อ่าน: 4376

ตอนจบประถมศึกษาเพื่อเข้าเรียนต่อมัธยมศึกษาก็เกิดเรื่องจนได้พระที่ผมมาอยู่ด้วยท่านลาสิกขาบท แล้วผมจะอยู่กับใครละต้องกลับมาอยู่บ้าน แต่ก็ดีได้ช่วยแม่เลี้ยงน้องชายสองคน หุงข้าว ทำกับข้าวให้แม่ไปทำงาน แม่ไม่อยากให้เรียนต่อเพราะค่าใช้จ่ายมาก แม่อยากให้ออกมาเป็นช่าง ในวันที่มีสอบเข้าเรียนต่อในระดับมัธยมศึกษาตอนต้น ผมหนีแม่ออกทางหน้าต่างตอนตี 5 กว่า เพื่อไปสอบเรียนต่อ  ผลสอบปรากฏว่าผมสอบได้ครับ  แม่เลยให้เรียน  การเรียนผมอยู่ในเกณฑ์พอใช้

   ตอนมัธยมศึกษาตอนต้นเรียนสายวิทย์-คณิตย์สอบผ่านมาเรื่อยๆ แต่ตอนขึ้นชั้นมัธยมศึกษาตอนปลายผมเปลี่ยนแผนด้วยที่ตัวผมเองชอบภาษามากกว่าการคำนวณเลยมาเรียนสายภาษาอังกฤษ-ฝรั่งเศส ผมฝึกภาษาอังกฤษโดยพูดกับฝรั่งที่มาเที่ยวสะพานข้ามแม่น้ำแคว บางครั้งก็พาฝรั่งไปเที่ยว(เป็นไกด์ผีครับ ถึงแม้นว่าจะหน้าตาดี อิอิๆ) เลยได้ภาษาอังกฤษมาจากการปฏิบัติจริง แต่อย่างว่าตอนเรียนในระดับมัธยมศึกษาตอนปลายผมทำกิจกรรมทุกอย่างแล้ว ได้เรียนรู้การทำกิจกรรมจากในโรงเรียน ได้รับเลือกตั้งเป็นประธานนักเรียนตั้งแต่สมัยอยู่ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 แต่ชีวิตผกผันตอนจบมัธยมศึกษาตอนปลายไม่เคยไปภาคใต้เลย แต่สอบได้ที่มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ สงขลา

   สมัยผมไปอยู่ใต้ใหม่ๆเริ่มมีการเผาโรงเรียนแล้ว แต่ไม่กี่ที่ตอนเป็นนิสิตที่มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ สงขลา เริ่มอ่านหนังสือมากกว่าตอนเรียนมัธยมศึกษาตอนปลาย อ่านหนังสือทุกเล่มที่ผ่านมาในสายตา กลุ่มเพื่อนที่ผมอยู่ด้วยเป็นกลุ่มคุรุทายาทเมื่อทุกคนจบการศึกษาต้องกลับไปเป็นครูชดใช้ทุน  ผมได้รับเลือกเป็นประธานคณะศึกษาศาสตร์ และเข้ามาทำงานที่องค์การนิสิต ได้เป็นอุปนายกภายนอกขององค์การนิสิตตอนอยู่ปีสอง 

  ผมเป็นแกนนำในสมัยก่อนเราเรียกกันว่าสหพันธ์นักศึกษาภาคใต้มีมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ ที่หาดใหญ่และ ปัตตานี วิทยาลัยครูนครศรีธรรมราช(ชื่อสมัยก่อน) วิทยาลัยครูสงขลา เทคโนโลยีราชมงคล ภาคใต้(ชื่อเดิม)  ผมเลยมีโอกาสไปทำค่ายอาสาที่สุราษฎร์ธานีนราธิวาส นครศรีธรรมราช ปัตตานี ตรัง พัทลุง ฯลฯ  และอีกหลายจังหวัด 

 

   ถ้าจะให้บอกว่าผมมีเพื่อนภาคไหนมากที่สุดผมตอบได้เต็มปากว่ามีเพื่อนอยู่ภาคใต้มากที่สุด  เรียนอยู่ 4 ปี ได้ทั้งความรู้ในห้องเรียนและนอกชั้นเรียน  ตอนเสาร์-อาทิตย์ไปกับเพื่อนมุสลิมสอนหนังสือตามมัสยิด ถ้าปิดเทอมใหญ่ก็จัดค่ายอาสาหรือค่ายที่โรงเรียนวัดทรายขาว แถวตำบลทุ่งหวัง  จังหวัดสงขลา ความประทับใจของผมเองคือเราได้ทำกิจกรรมที่เราชอบ เรามีเพื่อน ค่ายที่ผมชอบจึงเป็นค่ายอาสา ผมเคยเข้าไปสำรวจค่ายที่อำเภอสะบ้าย้อยคนเดียวโดยนั่งรถมอเตอร์ไซด์รับจ้างเข้าไป ผ่านสวนยาง ผ่านหมู่บ้าน พี่น้องมุสลิมใจดีมาก ผมเข้าไปจัดค่ายให้โรงเรียนประถมศึกษาที่อำเภอสะบ้าย้อย(ถ้าเป็นสมัยนี้จะเป็นอย่างไรหนอ)   ผมเองได้รับการยอมรับจากเพื่อนว่า เป็นผู้นำกิจกรรม แต่การเรียนผมไม่ได้ทิ้ง ผมยังตั้งใจเรียนเหมือนเดิม มีอาจารย์ที่ผมเคารพหลายท่านเช่น ผศ.ดร.พรทิพย์ เสมาภักดี สมัยที่เรียนท่านไปต่างประเทศบ่อย ผมจะไปเฝ้าบ้านให้อาจารย์โดยเอาหนังสือไปอ่านด้วย  บางครั้งก็ชวนเพื่อนๆคุรุทายาทไปบ้านอาจารย์ เรียกว่าเป็นที่รักของเพื่อน ใครให้ช่วยอะไรได้ก็จะช่วย หนังสือที่ผมอ่านสมัยเรียนกลับเป็นเรื่องของครูโกมล คีมทอง(บอกนิสิตสมัยปัจจุบัน นิสิตบอกว่าไม่รู้จัก)  ที่มาถูกยิงเสียชีวิตที่บ้านส้อง สุราษฎร์ธานี ผมเรียนภาษาอังกฤษแต่วิชาโทรัฐศาสตร์ เรียกว่าสมัยก่อนความคิดเรื่องการเมืองค่อนข้างก้าว แถมเพื่อนๆภาคใต้เราก็คุยกันเรื่องชีวิตของประชาชน เรื่องการเมือง เรื่องการศึกษา จบการศึกษามาค่อนข้างไฟแรงเลยไปอยู่ที่โรงเรียนหมู่บ้านเด็กกาญจนบุรี แม่แอ๊ว หรือครูรัชนี ธงไชย เป็นครูใหญ่ท่านเป็นภรรยาพ่อเปี๊ยก (พิภพ ธงไชย) ผมได้เรียนรู้เรื่อง summer hill ในบริบทของเมืองไทย อยู่ได้ไม่นาน ทางราชการเรียกตัวให้ไปเป็นครูภาษาอังกฤษเพราะก่อนมาอยู่โรงเรียนหมู่บ้านเด็ก ผมไปสอบบรรจุไว้ก่อนแล้วปรากฏว่า ได้เป็นครูก่อนเพื่อนที่เป็นคุรุทายาทอีก  เวรกรรมของระบบราชการ ฮ่าๆๆ


เจ้าเป็นไผ: ขจิต ฝอยทอง(1)

9 ความคิดเห็น โดย khajitf เมื่อ 15 มีนาคม 2009 เวลา 5:01 (เย็น) ในหมวดหมู่ ภาษา #
อ่าน: 3537

  ผมจำความได้ตอนเด็กๆๆว่า พ่อผมมีสองอาชีพคือเป็นทั้งช่างไม้และชาวนา ถึงเวลาหน้านาที่บ้านผมพ่อก็พาไปทำนา แต่เมื่อหมดหน้านาพ่อก็มารับจ้างสร้างบ้าน พ่อเป็นชาวบ้านหนองขาวเป็นหมู่บ้านเก่าแก่ตั่งแต่สมัยอยุธยา  พ่อเล่าว่า ก๋งเป็นคนจีนไว้ผมเปียมาจากไหหลำ(ทำไมขจิตหน้าตาไม่มีเค้าหน้าคนจีนเลย อิอิๆ) มารับจ้างแถวๆกาญจนบุรี ตระกูลฝอยทอง ถ้าไปถามแถวๆหมู่บ้านหนองขาว อำเภอท่าม่วง จังหวัดกาญจนบุรี ตระกูลนี้จะเป็นนักเลงวัว หรือพ่อค้าที่เลี้ยงวัว(ผมเลยอนุรักษ์อาชีพเดิมไว้) ในหมู่บ้านเรามีภาษาหนองขาวที่สำเนียงเหน่อไปจากจังหวัดสุพรรณบุรี ส่วนแม่นามสกุลเดิม มั่งอะนะ เป็นคนพื้นเพในตัวจังหวัด

 

  ผมจำความได้ว่าบ้านเราจนแต่มีความสุข ผมมีพี่น้องถึง 6 คน  ตอนผมอายุประมาณเกือบ 7 ขวบ พ่อเสียชีวิต พระท่านคงสงสารเลยขอผู้เขียนไปอยู่ที่วัดการเป็นเด็กวัดสมัยก่อนถือว่าโชคดีเพราะผมได้เรียนรู้เรื่องระเบียบวินัยตั่งตั้งเช้าหลังจากกลับมาจากบิณฑบาต อาบน้ำแต่งตัวรอพระฉันเสร็จ ก็รีบกินข้าว เพื่อไปโรงเรียน เด็กวัดทุกๆๆคนรวมทั้งผมด้วยจะกินข้าวไวมาก ฮ่าๆๆ ใช้เวลากินข้าวไม่ถึง 15 นาทีแล้ววิ่งไปโรงเรียนที่อยู่บริเวณวัด ผมเป็นคนนำสวดมนต์ตั่งแต่อยู่ประถมศึกษาปีที่ 4 เมื่ออยู่ชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 เลยได้รับเลือกเป็นประธานนักเรียน

  ผมขอบอกก่อนว่าผมเป็นคนเรียนไม่เก่ง แต่ต้องขยันมากกว่าเพื่อนคนอื่นๆๆ ถ้าเพื่อนผมอ่านหนังสือ 2 รอบผมจะต้องอ่าน 4 รอบ ส่วนใหญ่อยากเรียนเอง อยากอ่านเอง ตอนพักกลางวันผมกินข้าวที่วัดแล้วรีบวิ่งมาอ่านหนังสือในห้องสมุด อ่านตั่งแต่หนังสือ หมวด000เบ็ดเตล็ด 100 ปรัชญา 200 ศาสนา 300 สังคมศาสตร์ อ่านไปเรื่อยๆเท่าที่หนังสือในห้องสมุดมี ผลการเรียนออกมาจะเป็นเลขตัวเดียวเสมอ คู่แข่งในการเรียนสมัยเด็กๆๆของผมคือ ลูกคนจีนเจ้าของร้านในตลาด…เสาร์-อาทิตย์โรงเรียนปิด ผมก็ถือหนังสือ สมุด ไปแอบทำการบ้านที่อาคารเรียน ปัญหาคือ ตอนเย็นต้องรีบไปโรงครัว ไปกินข้าว เพราะพระท่านไม่ฉันข้าวเย็น  บางครั้งก็เก็บอาหารจากกลางวันเอาไว้กินตอนเย็น แต่ต้องเลือกอาหารเหมือนกัน ส่วนใหญ่เป็นอาหารแห้ง เช่น ไข่เค็ม ปลาทอด ขืนเก็บ แกงเขียวหวานไก่ไว้ละก็ อดกินฮ่าๆๆ การเป็นเด็กวัดค่อนข้างทำให้เกิดการเรียนรู้ว่า ชีวิตต้องสู้ ต้องขยัน ต้องศึกษาหาความรู้ตลอดเวลา อยากเรียนรู้อะไร ต้องไปขอความรู้จากคนนั้นๆๆ  ผมสามารถพูดภาษาอังกฤษได้ตั้งแต่เด็กๆๆ เพราะว่าวัดที่ผมอยู่มีฝรั่งมาเที่ยวบ่อยมากๆๆ ผมพาฝรั่งเข้าไปเที่ยวพิพิธภัณฑ์สงครามโลกครั้งที่ 2 ตั้งแต่อยู่ชั้นประถมศึกษา ได้ฝึกเพิ่มเติมตอนเป็นไกด์สมัยเรียนมัธยมศึกษา  ชีวิตมาผกผันเมื่อ



Main: 0.084079027175903 sec
Sidebar: 0.057224988937378 sec