เจ้าเป็นไผ: ขจิต ฝอยทอง(3)
อ่าน: 2876ตอนมาเป็นครูชีวิตสนุกสนานมาก ได้เลือกโรงเรียนที่ไกลที่สุดเพราะสอบได้อันดับต้น อยากไปอยู่ไกลๆๆ แต่มีครูที่สอบได้รองจากผมขอเปลี่ยนเนื่องจากบ้านเธออยู่ที่นั่น มีครอบครัวแล้ว เอารูปมาให้ดูด้วย จะให้ผมใจดำไม่ให้เธอเลือกได้อย่างไร ผมเลยไปอยู่อำเภอบ่อพลอย ชาวบ้านแถวโรงเรียนเป็นชาวสุพรรณบุรีอพยพมาอยู่ บางกลุ่มเป็นชาวลาวโซ่ง เป็นกลุ่มที่น่าศึกษามาก มีวัฒนธรรมที่ดีงามของตนเอง ผมเลยมีโอกาสฝึกพูดภาษาโซ่งจากนักเรียน หลังจากได้เรียนภาษาปกากะญอ(กระเหรี่ยง) จากโรงเรียนหมู่บ้านเด็ก
ตอนเป็นคุณครูผมขับมอเตอร์ไซด์ไปเยี่ยมบ้านนักเรียนหลังเลิกเรียนเกือบทุกวัน ไปเยี่ยมนักเรียนที่ขาดเรียน ไปคุยกับผู้ปกครอง มีความสุขดี ผมสอนภาษาอังกฤษไปประมาณ 5 ปี อยากเพิ่มความรู้ของตนเอง จึงไปสอบเรียนต่อที่มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ประสานมิตร ปรากฏว่าสอบได้เลยไปเรียน ใช้เวลาเรียนสองปีครึ่ง แต่ตอนเรียนได้ฝึกปฏิบัติจริงๆๆ ได้ลองสอนจริง หลักสูตรที่เราเรียนกันจะสอนเป็นภาษาอังกฤษทั้งหมด ตอนนั้นผู้เขียนไม่มีที่พัก แต่โชคดีมีพระที่เคยทำค่ายด้วยกันที่สงขลาท่านเป็นพระผู้ใหญ่อยู่วัดวิเศษการ ไม่ไกลจากศิริราช ชวนผู้เขียนไปอยู่ด้วย ผู้เขียนเลยไม่ต้องเช่าบ้าน ตอนเช้าถ้าไม่มีเรียนตอนเช้าก็ถือปิ่นโต สะพายย่ามตามหลวงพี่ ไปบิณฑบาต(เป็นเด็กโข่ง ที่ไม่มีใครรู้ อิอิๆ)แถวโรงพยาบาลศิริราช ตลาดรถไฟบางกอกน้อย (บางทีท่านผู้อ่านอาจเคยเห็นผมแถวๆโรงพยาบาลศิริราชก็ได้ แต่ไม่รู้จักเอง ฮ่าๆๆ)
ผมเองหวังตั้งแต่เด็กแล้วว่าอย่างน้อยผมต้องเรียนจนจบปริญญาเอก เมื่อกลับมาโรงเรียนประมาณสองปี กระทรวงศึกษาธิการก็มีการสอบคัดเลือกครูเพื่อไปเรียนที่ New Zealand ผู้เขียนได้ไปอยู่ที่ New Zealand ในเมือง Aucklandเป็นเมืองที่น่าอยู่ อากาศดีมาก ผู้คนเป็นมิตร ยิ้มแย้มแจ่มใส เมื่อกลับมาเมืองไทยก็สอนนักเรียนเข้มข้นมากกว่าเดิม นอกจากนี้ยังไปเป็นวิทยากรให้แก่ศูนย์ ERIC เพื่ออบรมครู และเป็นอาจารย์พิเศษให้แก่มหาวิทยาลัยราชภัฏ กาญจนบุรี สองปีต่อมาลูกศิษย์ผู้เขียนที่เป็นลูกภารโรง ก็สอบทุนหนึ่งอำเภอหนึ่งทุนไปเรียนที่เยอรมัน เป็นที่ฮือฮามากในจังหวัดเพราะชนะคู่แข่งที่เป็นลูกข้าราชการ ลูกพ่อค้าในจังหวัด แต่ก็นั่นแหละ อย่างที่บอกไว้ ผมเองมีความหวัง มีความตั้งใจอยากเรียนจนจบปริญญาเอก เมื่อจบปริญญาโทมาประมาณ 5 ปี ที่โรงเรียนไม่มีครูไปเรียนปริญญาโทและเอก ผู้เขียนขออนุญาตผู้บริหารไปสอบปริญญาเอก ปรากฏว่าสอบได้ แต่ผู้บริหารไม่ยอมให้ไปเรียน แต่โชคดีทางมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกำแพงแสน ให้ทุนไปเรียนต่อปริญญาเอก ผู้เขียนเลยลาออกจากราชการมาเป็นพนักงานของมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ได้เรียนสนใจตามที่หวังไว้
อยากฝากบอกท่านผู้อ่านทุกๆๆท่านว่า เราต้องเป็นผู้เรียนรู้ตลอดเวลา( lifelong learning) โดยเฉพาะคนที่เป็นครู สมควรเรียนรู้ตลอด เราอาจเรียนรู้ไปพร้อมกันกับนักเรียน นิสิต นักศึกษา หรือเรียนรู้ไปกับภูมิปัญญาของท้องถิ่น อย่าทำตัวเป็นน้ำล้นแก้ว และอย่าทำตัวเป็น dead wood
ผมอยากบอกว่า ความหวัง ความตั้งใจจริงเป็นสิ่งสำคัญมาก ตอนนี้สิ่งที่อยากทำคือ อยากสร้างเครือข่ายแบบเฮฮาศาสตร์ให้เกิดมากๆๆในสังคมบ้านเรา อยากเห็นความสันติสุขเกิดในทุกๆๆที่ของเมืองไทย อยากทำความดีให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ตอนนี้ผมยังมีความฝัน ความหวังที่ไม่สามารถบอกใครได้ เก็บเอาไว้เป็นความลับแต่ผู้เดียว ผมรู้หรอกว่าผู้อ่านอยากทราบ จ้างก็ไม่บอก ฮ่าๆๆๆ ผมเองนั้นมีวิธีการเรียนไม่ค่อยเหมือนใคร อยากเรียนรู้อะไรก็เรียน จะเรียนได้ไม่ดีถ้าอยู่ในระบบ ผมได้เรียนรู้จากการที่ผมออกไปอบรมครู ว่า ระบบการศึกษาบ้านเรามีการพัฒนาในด้านการศึกษาที่ผิดพลาดมาตั้งแต่ต้น ผลของการปรับตำแหน่งความชำนาญการของครู ไม่ได้ส่งผลให้เด็กได้พัฒนา เมื่อไรที่มีการให้เงินครูเพิ่มจากครูชำนาญการเป็นครูเชี่ยวชาญโดยการดูเพียงเอกสารอย่างเดียว มีครูจ้างทำผลงานวิชาการ ไม่ได้ดูการพัฒนานักเรียนในชั้นเรียนรับรองได้ว่า การศึกษาบ้านเราคงไปไม่รอด ในส่วนการพัฒนาครูภาษาอังกฤษในระดับพื้นฐานนั้น คนที่น่าสงสารกลับเป็นครูประถมศึกษาและจะส่งผลไปสู่นักเรียนเพราะบ้านเรานั้นครูที่สอนภาษาอังกฤษในระดับประถมศึกษาเราไม่ได้เตรียมความพร้อมของครูเราก่อน ให้ใครก็ได้ไม่ว่าจะเป็นเอกพละศึกษา เอกคหกรรมไปสอนนักเรียน ผลคือ ครูเองขาดความมั่นใจในการสอนภาษาอังกฤษ ขาดเทคนิคการสอน ถึงเวลาสอนครูก็ไม่อยากสอน ทำให้นักเรียนไม่อยากเรียน นี่ถ้ามีการหยุดคอรัปชั่นของคนบางพวกแล้วมาทุ่มที่การศึกษา มาทุ่มที่การพัฒนาครู เอาเรื่องการศึกษาเป็นวาระแห่งชาติ การศึกษาบ้านเราคงดีกว่านี้นะครับ หวังว่าตอนนี้ท่านผู้อ่านคงทราบแล้วว่า ผมเป็นไผ…ฮ่าๆๆ