มุดออกนอกกะลา..มาส่งการบ้าน..(1)

โดย dd_l เมื่อ พฤศจิกายน 19, 2008 เวลา 5:54 (เย็น) ในหมวดหมู่ เรื่องทั่วไป #
อ่าน: 2164
โจทย์จากครูบา ที่ชวนให้เขียนว่า เจ้าเป็นไผ ทำให้ได้นึกย้อนถึงเรื่องแต่หนหลัง
เรื่องราวแห่งผู้คน ที่ช่วยสนับสนุน ประคับประคอง และจูงมือก้าวเดินมาด้วยกันจนถึงวันนี้
 

 

เป็นหญิงเดียวและเป็นลูกคนกลางของครอบครัว
ซึ่งแม้อยู่ในช่วงก่อร่างสร้างตัวทั้งพ่อและแม่ก็มีญาติพี่น้องมาพึ่งพาอาศัยร่วมกันเป็นครอบครัวใหญ่
วันเวลาวัยเด็กจึงหมดไปด้วยการต้องงอนง้อขอเล่นกับพี่น้องผู้ชายที่มักจะเบื่อหน่ายเด็กหญิง
บางทีก็ยอมให้ตามไปร่วมสงครามยิงหนังสติ๊กกับคู่อริที่เหม็นหน้า ที่อีกฟากของท้องนาข้างบ้าน
ยามเป็นที่รำคาญอาจถูกพี่ไล่เตะระบายอารมณ์ และได้แอบสมน้ำหน้าเวลาพ่อตีเมื่อชำระความ

ช่วงปิดเทอมจะถูกส่งไปอยู่บ้านสวนกับยาย ให้ได้สมทบกับหมู่ญาติรุ่นเล็ก
เล่นปีนป่ายเป็นทโมนกันกรูเกรียว
ยามเย็นก็เดินเป็นแถวไปเล่นน้ำแม่วังเมื่อครั้งยังมีหาดทรายและน้ำใสแจ๋ว

โตมากับเด็กผู้ชาย ยามร้าย ก็ร้ายเหลือ โดยเฉพาะเมื่อไม่อยากไปโรงเรียน
พ่อกับแม่เป็นเจ้าของโรงเรียน แต่กลับส่งไปหัดอ่านเขียนที่โรงเรียนอื่น
จำได้ว่า เฝ้าตามติดครูใจดีท่านหนึ่ง ไม่เว้นระยะห่างกระทั่งยามท่านเข้าห้องน้ำ
ตามไปนั่งเฝ้า แถมรบเร้า คุณครูทำอะไรอยู่ คุณครูเสร็จหรือยัง เป็นระยะ
และครูต้องพาไปทำธุระด้วยถึงธนาคาร ไม่เช่นนั้นเป็นร้องลั่นสนั่นโลก

ร้องได้ร้องดี ถูกพ่อไล่ตีให้ไปโรงเรียนอยู่เป็นนาน จนพี่นักเรียนที่เดินผ่านเห็นเป็นเรื่องขัน
บางวันก็มีวีรกรรมกระโดดลงจากรถสามล้อ ก็ด้วยเหตุไม่ยอมไปโรงเรียน
และกงกรรมกงเกวียนเหล่านี้ย้อนมาถึง ยามเมื่อมาเป็นครูเสียเอง
เจอมาครบสูตรทั้งร้องไห้ อาละวาด ขว้างปา กัดมือ กัดขา จูงแขนติดครูเป็นตังเม
เวรกรรมได้ชดใช้แล้ว ณ ชาตินี้…สาธุ..
^^

เมื่อเริ่มโต ก็เริ่มมีข้อห้ามจากยาย เป็นเด็กผู้หญิง ต้องทำ..และห้ามทำ..มากมาย
ห้ามเล่นกับเด็กผู้ชายที่โลดโผน จึงหาความสุขใส่ตนด้วยการอ่าน
แม้ดำเนินชีวิตอย่างเรียบง่าย ไม่มีเงินให้ใช้กันมากนัก ต้องประหยัดและอดออม
แต่พ่อกลับไม่เสียดายกับรายจ่ายเรื่องหนังสือ
ลูกจึงได้เติบโตมาพร้อมกับกองหนังสือมากมายที่รายล้อมอยู่ทั่วบ้าน
ใช้คำว่า กองหนังสือ เพราะไม่มีตู้เก็บ
มีหนังสือวางไว้เป็นกองๆ อ่านได้ซ้ำแล้วซ้ำอีก แต่ต้องเก็บเข้าที่เดิม

ทั้งชัยพฤกษ์ วิทยาสาร มิตรครู เด็กก้าวหน้า สตรีสาร บางกอก
ฟ้าเมืองไทย ฟ้านารี หนังสือตระกูลฟ้าทั้งหลาย ฯลฯ
ได้ตื่นตาตื่นใจกับรูปภาพในหนังสือ
National Geographic และ Time
ที่มีร่องรอยปากกาเขียนคำแปลของพ่อไว้ที่ศัพท์ยาก
บางเวลาก็ชวนพี่ชายไปแอบหยิบหนังสือชุดบ้านเล็กในป่าใหญ่ที่มีในตู้หนังสือของโรงเรียน
เอามาอ่านอย่างติดพันและแอบฝันถึงชีวิตของนักบุกเบิก

นานครั้งจึงจะได้ติดตามพ่อแม่ไปดูหนังกันถึงเชียงใหม่ ซึ่งจะได้เข้าร้านหนังสือเป็นของแถม
ได้เลือกซื้อหนังสือนิทาน และชอบอ่านเทพนิยาย
ยังจดจำได้ถึงสัมผัสและกลิ่นของนิทานเล่มใหม่ จำได้กระทั่งความรู้สึกอิ่มเอมใจ
และความกระหายที่กระโจนเข้าสู่โลกแห่งจินตนาการทันทีที่กลับถึงบ้าน
น่าเสียดาย ที่หนังสือดีๆ บางเล่มปิดตัวลงเสียแล้ว

ชอบหลบมุมอ่านหนังสือ แม้ยามเย็นย่ำค่ำในแสงสลัว
มารู้ตัวว่าสายตาสั้นก็เมื่อวันมาสอบเข้าชั้นประถมปลายที่โรงเรียนของพ่อแม่
ต้องสอบเข้าเพราะจบจากโรงเรียนอื่น
และนับแต่นั้นก็มีชีวิตนักเรียนที่เกเรไม่ได้เพราะใครๆ ก็รู้จัก
แถมยังถูกชักชวนให้เล่นทั้งดนตรีและกีฬา ซึ่งลงแข่งขันทั้งมีแว่นตานั่นแหละ
ถูกหมุนเวียนให้ฝึกเครื่องดนตรีตั้งแต่ตีนิ้งหน่อง ไปถึงกลองและเครื่องเป่า
เอาดีได้แค่ปานกลาง แต่แอบอ้างได้ว่าเคยเล่นหนังดัง ก็ด้วยดนตรี
เพราะครั้งหนึ่ง เคยมีคนมาใช้วงดุริยางค์ของโรงเรียนประกอบเรื่องราวในหนังให้กับนางเอก
^^

แม้ได้ทำกิจกรรม แต่เป็นเด็กเรียนที่ขี้อาย และไม่ใคร่มีทักษะทางสังคม
วันๆ อยู่แต่ในโรงเรียนก็เหมือนอยู่ในเขตบ้าน และชอบอ่านหนังสือมากกว่าคุยกับผู้คน
เรื่องที่สนใจก็ไม่ใช่เรื่องเดียวกับเพื่อนร่วมวัย

ชีวิตดูคล้ายจะเป็นคุณหนูก็ไม่ใช่ ไข่ในหินก็ไม่เชิง
ไม่ถึงกับต้องตรากตรำแต่ก็ต้องทำงานตามที่ได้รับมอบหมาย
พ่อก็เน้นย้ำเรื่องอนามัย จนไม่ได้ไปนั่งดูหนังกลางแปลง ไม่ได้ไปงานที่คนเยอะ ด้วยกลัวฝุ่น
หรืออาจกลัวจะเกิดเรื่องชุลมุนในยามที่ลูกป่วยไข้
ช่วงอยู่ในวัยเด็กเล็กมักจะหอบหายใจไม่ออกอยู่บ่อยๆ

เรียน..เล่น..สอบ..พัก อยู่อย่างนี้จนถึงปีสุดท้าย สอบได้ที่หนึ่งของจังหวัด
ก็ถูกคัดท้ายด้วยกระแสความนิยม ต้องเรียนสายวิทย์ จบแล้วน่าจะเรียนหมอ
จึงไปเรียนต่อโรงเรียนประจำจังหวัด
ซึ่งก่อนหน้านี้จะคัดเลือกคนเข้าเรียนมหาวิทยาลัยด้วยระบบโควต้า
คะแนนก็นำมาในระดับที่น่าจะเดินเข้าได้ แต่เมื่อกลายเป็นระบบที่ต้องสอบเข้าเป็นปีแรก
กว่าจะแตกตื่นเตรียมการก็เป็นงานยาก ด้วยก่อนหน้านั้นฝากความหวังไว้ที่คะแนนของโรงเรียน
แถมยังไม่ได้เรียนบางวิชาที่ใช้สอบ ยังดีที่ได้คณะที่ชอบลำดับต่อมา คือ คณะพยาบาล

เป็นการเรียนที่ได้ใช้ประโยชน์จนถึงทุกวันนี้ แต่มีชีวิตในมหาวิทยาลัยที่ไม่คุ้มค่านัก
อยู่แต่ในหอพักและมักจะกลับบ้านทุกวันหยุด
มีกิจกรรมแค่ฝึกซ้อมเป็นตัวสำรองของกีฬาบาสเกตบอล
และถูกต้อนไปเป็นมือคีย์บอร์ดในวงดนตรีของคณะ
ที่พากันเร่ร่อนไปขอยืมอุปกรณ์ของคณะแพทย์มาฝึกซ้อม

มื่อเรียนจบ เลือกเข้าทำงานในห้องคลอด ด้วยประทับใจในบรรยากาศการทำงาน
ที่พี่พยาบาลสนุกสนานและสนิทสนมกลมเกลียวกัน
งานก็น่าจะเป็นการได้เห็นชีวิตใหม่ มากกว่าเห็นการจากไปของผู้คน
แต่จนสุดท้ายก็ไม่วายต้องได้พบเห็นกับความตาย ให้ใจหม่นหมอง

ทำงานไปตามครรลอง ได้สองปี คิดว่า ถ้าเป็นอาจารย์คงไม่ต้องมีงานให้ขึ้นเวรดึก
ฝึกตัวเองแค่ไหนก็ไม่ชินกับการนอนไม่เป็นเวลา
น่าจะต้องไปเรียนต่อเพื่อจะขอกลับมาเป็นอาจารย์

โปรดติดตามตอนต่อไป…อิ อิ

 

« « Prev : เค้าหาว่าหนูเป็น..กระเหรี่ยง..

Next : มุดออกนอกกะลา..มาส่งการบ้าน..(2) » »


ผู้ใช้ Facebook สามารถให้ความเห็นที่นี่ได้ โดยกด Like เพื่อแสดงตัว

13 ความคิดเห็น


แสดงความคิดเห็น

ท่านอยากจะเข้าระบบหรือไม่


*
To prove you're a person (not a spam script), type the security word shown in the picture. Click on the picture to hear an audio file of the word.
Click to hear an audio file of the anti-spam word


Main: 0.28902006149292 sec
Sidebar: 0.12496399879456 sec