ถ้าเธอไม่ช่วย ป่าไม้ก็จะเป็นป่าม้วย

อ่าน: 2239

ผมมีกิ๊ก ชื่อคุณกรมป่าไม้  เป็นแฟนเก่าเก็บกันมานาน ปีหนึ่งๆจะเจอะเจอกันหลายครั้ง เรียกว่าไม่ยอมทิ้งระยะห่างให้ห่วงหาอาวรณ์ ไม่ไปก็มีรายการมาหากันสม่ำเสมอ ปีหนึ่งๆมีจดหมายรักมาถึงหลายฉบับ ซองที่ได้รับล่าสุด แจ้งว่า..กรมป่าไม้จะจัดประชุมวิชาการประจำปี หัวข้อเรื่อง “ป่าไม้ให้ชีวิต สร้างเศรษฐกิจไทย” ในระหว่างวันที่12-17กันยายน โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อรวบรวมองค์ความรู้ด้านการบริหารและด้านวิชาการป่าไม้   ตลอดจนหาแนวทางแก้ไขปัญหาและอุปสรรคในการเพิ่มประสิทธิภาพหารบริหารงานป่าไม้ วิชาการป่าไม้ และพัฒนาบุคลากรให้มีความรู้ด้านการป่าไม้ โดยเปิดโอกาสให้ภาครัฐ เอกชน และองค์กรต่างๆ เข้ามามีส่วนในการสนับสนุนงานป่าไม้

โห งานนี้เธอเอ๋ยจัดประชุม5วัน ก็ต้องเกณฑ์วิทยากรมาแทบหมดหน้าตักนั่นแหละ ดูรายชื่อจอมยุทธที่มาขึ้นเวทีแล้ว กำหนดการแต่ละวันแทบโป่ง นับตั้งแต่ รัฐมนตีว่าการกระทรวงธรรมชาติสิ่งแวดล้อมมาเปิดงาน, ศ.ดร.เกษม จันทร์แก้ว, ฯพณฯ อำพล เสนาณรงค์ องคมนตรี, ผศ.ดร.สุภี ภูมิภมร, รศ.ดร.อดิศร์ อิศรางกูร ณ อยุธยา,นายจิราวัฒน์ ตั้งกิจนามวงศ์,นายเอ็นนู ซื่อสุวรรณ, ศ.ดร.นิพนธ์ ตั้งธรรม, ผศ.วันชัย อรุณประภารัตน์,ผศ.ดร.บุญวงศ์ ไทยอุตส่าห์,ดร.วีระชัย ณ นคร,ดร.นุจรินทร์ รามัญกุล,คุณโชติมา เยี่ยมสวัสดิ์กุล, ดร.เพิ่มศักดิ์ มกราภิรมย์, นางสาวนรินี เรืองหนู,นางสาวฐปนีย์ เอียดศรีไชย,นายเอมพงศ์บุญญานุพงศ์,นายเกรียงไกร ภู่ระย้า, นายวิชา ธิติประเสริฐ, นายสภลท์ บุญเสริมสุข, นายจิรวัฒน์ ตั้งกิจงามวง์, นายประเดิม แสงคู่วงษ์,ดร.โกมล แพรกทอง, นายภินันท์ วงศ์ภินันท์วัฒนา,นายวีระพล สุทธิพรพลางกรู, นายวรธรรม อุ่นจิต,  นางสาวปิยวดี  บัวจงกล, นางสุวรรณา อ่ำเผือก,นายทรงศักดิ์  วิทยอุดม, นางศิริลักษณ์ ตาคะยางนนท์,นายทินกร พิริยโยธา, นางสาวปียาภรณ์ กล้าใจ, นางเปรมพิมล พิมพ์พันธุ์, นายกิตติพัฒน์ ลิขิตวโรรส,

โอยเขียนต่อไม่ไหว ยังเหลืออีกสักห้าคืบได้ ถ้าสนใจก็ติดตามข่าวกรมป่าไม้ได้นะครับ ถ้าบอกเกียติคุณของแต่ละท่านและหัวข้อต่างๆด้วย เกรงว่าท่านจะเวียนหัว นี่ขนาดบอกไม่ครบนะครับ แต่เรื่องที่ผมสนใจมากได้แก่เรื่องไม้ยูคาลิปตัสเป็นโรคระบาดทั่วประเทศ,เรื่องของปลวกๆๆๆ,เรื่องการใช้ป่าไม้อย่างยั่งยืน,และเรื่องที่พิเศษจริงๆ (อ่านพบในหนังสือ) เรื่องการแปรรูปผงไม้ไผ่สู่ผลิตภัณฑ์เชิงอุตสาหกรรม การนำผงไม้ไผ่มาแปรรูปเป็นอาหารสัตว์,การทำปุ๋ยหมักและอื่นๆ ทราบว่าสำนักส่งเสริมและฝึกอบรมกำแพงแสน จับมือพันธมิตรทั้งในประเทศและต่างประเทศร่วมกับบริษัท Chubu University Swine and Poultry Research Center Marudai Tekko Co. Ltd. และ NITOMO Co. Ltd. งานนี้ทำพิธีเปิดโครงการไปเมื่อวันที่ 15 สิงหาคม 2555 เสียดายทราบข่าวช้า งานผ่านล่วงเลยไปแล้ว ท่านใดทราบรายละเอียด กรุณาอุปการะข้อมูลด้วยนะครับ

วันที่ 16 ผมขึ้นเวทีเวลา 09.00-12.00 น.

ณ ห้องประชุม1 อาคารเทียมคมกฤส กรมป่าไม้

ในหัวข้อ “การพัฒนาทางเศรษฐกิจกับการจัดการป่าไม้อย่างยั่งยืน”

รองอธิบดีกรมป่าไม้ เป็นผู้ดำเนินรายการ

ผู้ร่วมสัมมนาได้แก่

-ผู้แทนสำนักงานคณะกรรมการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ

-ผู้แทนทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง

-ผู้แทนสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง

-ผู้แทนชาวเฮฮาศาสตร์และFB.

เรื่องไม่เจียมบอดี้มีเป็นประจำเธอเอ๋ย งานอย่างนี้จะไม่ไปก็ไม่ได้ เพราะเราจะได้ขายความคิดทำไมๆๆเราถึงขยายความตระหนักเรื่องป่าไม้เข้าไปสู่หัวใจคนไทยไม่ได้ เราพูดกันมานานจนปากเปียกปากแฉะ แต่ก็นั่นแหละเธอ..คนไทยก็ยังไขสือ ชอบตัดไม้ รุกที่ป่าไม้ มากกว่าที่จะสร้างเสริมป่าไม้กันอย่างจริงจัง ทั้งๆที่โลกใบนี้ตั้งแต่ยุคแรกเริ่มก็มีป่าไม้ครอบคลุมโลกไว้ ต่อมามีมนุษย์ขี้เหม็นมากขึ้นเท่าใด ต้นไม้ก็หายไปเท่านั้น แสดงว่ามนุษย์ยังไม่มีความรู้ที่แท้จริงที่จะอยู่ร่วมกับป่าไม้ได้

มนุษย์ไปอยู่ที่ไหน..ต้นไม้ผวาที่นั่น

  • การที่มนุษย์ไม่ประสีประสาเรื่องป่าไม้
  • ไม่มีสำนึกที่ดีต่อสภาพแวดล้อม
  • ไม่มีสติปัญญาพอที่ใคร่ครวญเรื่องความปลอดภัยที่เป็นกลไกธรรมชาติ
  • ไม่เข้าใจเรื่องทุนทางธรรมชาติ
  • ไม่ทราบเลยรึว่าความอยู่รอดของมนุษย์ขึ้นอยู่กับความอยู่รอดของทรัพยากรธรรมชาติ
  • ไม่ทำหน้าที่มนุษย์ที่ดี

ถ้าสังเกต เราจะพบว่า มนุษย์กระทำย่ำยีทรัพยากรธรรมชาติมากเท่าใด ผลกระทบที่มนุษย์ต้องรับเคราะห์กรรมก็มีมากขึ้นเท่านั้น สมการนี้ชัดเจนมาโดยตลอด แต่ก็ดื้อตาไส ข่าวเรื่องการบุกรุกที่ดิน ข่าวขโมยตัดไม้พยุงและไม้มีค่าอื่นๆมีไม่เว้นแต่ละวัน ที่ซ้ำร้าย..ถ้ายางพาราราคาดีเท่าไหร่ ป่าไม้ก็ยิ่งเป็นป่าม้วยมากขึ้นเท่านั้น

เราจะบ้าทำลายป่าจนถึงตอสุดท้ายยังงั้นรึครับ!

เรื่องพวกนี้ผมพูดจนหลอดลมอักเสบ ตับไตไส้พุงก็พลอยกระเทือน หัวใจนั้นชีช้ำกล่ำปลีมานักต่อนักแล้ว แต่ก็ไม่ได้ผลอะไร กลายเป็นหมาเห่าเครื่องบิน สู้มาชวนคนสวยปลูกต้นไม้ ปลูกผัก ปลูกสมุนไพร ปลูกไม้ดอกไม้ประดับ ว่างๆก็มาช่วยกันทำอาหารเมนูอร่อยๆแจกกันชิม คนที่ชอบกินผักสารพัดชนิดก็หุ่นดีอารมณ์ดี แข็งแรงจนหนอนค้อนควัก

ที่ จ ริ ง ใ ค ร อ ย า ก จ ะ ทำ อ ะ ไ ร ดี ๆ ก็ ม า ป ลู ก ต้ น ไ ม้ กั น นี่ แหละ

ส่งผลดีต่อตัวเอง ต่อสังคม ต่อประเทศชาติและต่อโลกใบนี้

จะทำความดีอย่างไรละครับที่ได้คู ณ ค ว า ม ดี ตั้ ง ห ล า ย ต่ อ

ถ้าไม่รัก..ไม่ชวนหรอกนะเธอ..

ฝ่ายประสานงานจองตั๋วเครื่องบินและจองที่พักให้แล้ว ขากลับเครื่องบินออกจากดอนเมืองบ่ายโมงเล็กน้อย ไปโม้ก็ต้องลากกระเป๋าติดตัวไปด้วย พอพูดสรรคงไม่ได้ล่ำลาใครละครับกระโดดลงเวทีเผ่นไปขึ้นแท็กซี่ไปดอนเมือง

ถ้า ไ ม่ ทั น ก็ ต ก เ ค รื่ อ ง น ะ สิ

ตกเครื่องบิน มั น ค ง เ จ็ บ อ ก ก ว่ า ต ก ต า ล นะ เธอว่าไหม?

เผื่อกันเหนียว..อาจให้เขาซื้อตั๋วที่เปลี่ยนได้น่าจะดี

ผมเป็นสมาชิกนกคลับอยู่แล้วคงไม่ยากละมั๊ง

ถ้าตกเครื่องจริงๆ พี่แต๋วช่วยหิ้วปีกมาเป่าน้ำด้วยก็แล้วกัน อิ อิ..

ถ้าปลวกอ่านหนังสือ เท่ากับที่กินหนังสือ ปลวกฉลาดที่สุดในโลก

เสน่ห์เล็กๆน้อยๆในป่า

น้ำฟักทองปั่น

บินสำรวจป่าเลยตาเอ๊ยยายจะช่วย

เสน่ห์ของป่า

มาปลูกไม้สร้างบ้านกันเถอะ


เราจะต่อยอดความดีกันอย่างไร?

อ่าน: 2365

สวัสดีครับพี่น้อง อากาศหัวค่ำน่านอน ..จึงต้องย่องตื่นมารายงานรอบดึก ..วานนี้ ได้ขับรถตระเวนรอบๆบริเวณมหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ โอ้โห..สภาพแวดล้อมยอดเยี่ยมมาก ด้านหลังมีป่าไม้ร่มรื่นรักษาไว้อย่างดี อาคารต่างๆออกแบบก่อสร้างได้สวยงาม แฝงเอกลักษณ์ของชาวสุรินทร์ แม้แต่ช้างหลายเชือกที่ปั้นแสดงภายในอาคารที่เรียกกันว่าตึกช้างก็มีลีลาน่ารัก บางตัวจมอยู่ในน้ำครึ่งท่อน ทำท่าโผขึ้นมาหาเพื่อนช้างด้วยกัน สมกับเป็นเมืองช้างยิ่งนัก

ผมมีความหลังฝังใจอยู่ที่เมืองช้างไม่น้อยนะเธอ

ตอนเด็กๆเคยมาเรียนอยู่ที่สะแร๊น 2-3ปี ก่อนที่จะเข้าบางกอก

ผมจึงพูดภาษาพื้นถิ่นได้พอสมควร

ภาษาขะแมร์..ก็พอขอโฮบบายได้อยู่นะเธอ

ญาติและเพื่อนๆก็มีอยู่เต็มเมืองสะแร๊น

มาสุรินทร์..>> ..ไม่แปลกหน้าแปลกถิ่นที่อย่างใด และสถาบันแห่งนี้ก็เคยมาเยือนหลายครั้ง แต่มาทีไรหลงทุกที ..คนแก่ก็อย่างนี้แหละเธอ จำได้แต่คนสวยสวยๆงามๆ ส่วนสถานที่เลอะๆเลือนๆ เป็นอิหยังก็บ่ฮู้ตื้อ..วันนี้จึงถือโอกาสขับรถหลงไปหลงมาชมสถานที่ทุกซอกทุกมุม หลงทางก็เป็นกำไรได้เหมือนกันนะเธอ

รวบรัดตัดตอน: การบันทึกรายการในครั้งนี้ ผู้จัดจะนำไปออกรายการทีวีชองเนชั่น วันไหนก็ยังบ่ฮู้เตื้อ ติดตามกันเองนะพี่น้อง เข้าเรื่องดีกว่า..หลังจากแนะนำตัวกันนอกรอบ ผู้ดำเนินรายการบอกว่า Key Word.. วันนี้คือ เราจะต่อยอดความดีได้อย่างไร? เราจะมองอนาคตข้างหน้า10ปีกันอย่างไร?

นี่คือคำถาม..บนเวทีสัมมนาแทนคุณแผ่นดินวันนี้

ค ว า ม ดี ก็ เ ห มื อ น ต้ น ไ ม้ นั่ น แ ห ล ะ เ ธ อ

ส่วนมากพออายุ 10 ปี ก็จะเติบโตแตกกิ่งก้านใบ ให้ดอก ให้ผล ให้อ็อกซิเจน ให้ความร่มรื่น ให้อาหาร ให้ยา ให้ๆๆ ยิ่งฝนพรำๆอย่างนี้..เกิดเป็นเครือข่ายยายฉิม ขึ้นมาอัตโนมัติ ผู้คนเข้ามาเก็บเห็ดในสวนป่าผมสนุกสนาน อึกทึกไปทั้งป่า

สะท้อนให้ว่า ถ้าดีจริง ความงดงามก็งอกงามมากขึ้นหลากหลายขึ้น

ถ้าไม่ปลูกต้นไม้..ก็ยากที่จะเห็น ยากที่จะเข้าใจ

ในเมื่อหัวใจเธอเป็นพลาสติกไปเสียแล้ว

ผมไม่สามารถพยากรณ์ได้ว่า 10 ปีจะเป็นอย่างไร

ทุกอย่างขึ้นอยู่กับพฤติกรรมและพฤติการณ์ของไทยทั้งผองในขณะนี้

วันหน้า ขึ้นอยู่กับวันนี้

อนาคตของชาติวันหน้า..ขึ้นอยู่กับเงื่อนไขเหล่านี้

  • ถ้าคนไทยมีความสมัครสมานสามัคคีกันดี
  • ถ้าคนไทยทะนุบำรุงสถาบันหลักของชาติ
  • ถ้าคนไทยขยันขันแข็งใฝ่เรียนใฝ่รู้อย่างกระตือรือร้น
  • ถ้าคนไทยอยู่ในศีลในธรรมไม่วิ่งตามกระแสตื่นตูมจนน็อตหลุด
  • ถ้าคนไทยน้อมนำพระราชดำริพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯมาเป็นหลักชัยชีวิต
  • ถ้าคนไทยทำหน้าที่คนไทย ไม่ลอยเพสังคม
  • ถ้าคนไทยรักษาหน้าประเทศไทย ช่วยส่งเสริมความเป็นไทย
  • ถ้าคนไทยสำนึกบุญคุณของความเป็นไทย
  • ถ้าคนไทยอยู่อย่างไทย กินอย่างไทย พึ่งตนเองให้มาก
  • ถ้าคนไทยรักกันเป็น รักประเทศไทย รักความเป็นไทย
  • ถ้าคนไทยช่วยกันปลูกต้นไม้คนละ 100 ต้นทุกปี
  • ถ้าคนไทย ฯลฯ

รอบแรก คณะวิทยากร “คนทำดีเพื่อแผ่นดิน” พูดตรงกันเรื่องการหวงแหนทรัพยากร ได้ลงมือดูแลรักษาและเสริมสร้างสภาพแวดล้อมเชิงกระบวนการ ต่างคนต่างทำหน้าที่ดูแล/ปลูก/และเสริมสร้างสภาพแวดล้อม ทั้งหมดทั้งมวลนี้ยังเป็นจุดเล็กๆ ที่พยายามขยายผลท่ามกลางกระแสบ้าคลั่งของการปลูกพืชเชิงเดี่ยว หลายพื้นที่โหมปลูกยางพารากันเป็นบ้าเป็นหลัง พริกต้นเดียวก็ไม่ปลูกคิดสั้นๆง่ายๆ ..อยากจะรวยมากๆ รวยง่ายๆ รวยเร็วๆ..แต่ก็เห็นเจ๊งทุกที

รอบที่2 ให้พูดเรื่องอุปสรรคและปัญหาของแต่ละท่าน ขออนุญาตให้เขียน เพราะปัญหาพูดไปมันก็ไอ้แค่นั้นแหละ เสียเวลา เดินหน้ากันดีกว่า

รอบที่3 ผู้ดำเนินรายการถามว่า..อีก10ปีเมืองไทยจะเป็นอย่างไร ก็ตอบว่า..เรื่องนี้คิดแล้วหนาว..ถ้าสภาพสังคมไทยเป็นอย่างนี้ อีก2ปีเศษเปิดประเทศรับอาเซียน เราจะเอาอะไรไปสู้เขา ในเมื่อเรายังไม่มีศักยภาพหรือกลยุทธอะไรที่ดีกว่า เข้มแข็งกว่า มั่นคงกว่า คนอื่นเขา ดูแต่ในครัวเรือนในบางกอกขณะนี้ ถ้าคนใช้ที่เป็น-พม่า-มอญ-ลาว-เขมรกลับประเทศเขา แม่บ้านคนไทยมิอกแตกรึ ในเมื่อคนไทยสมัยนี้ไม่ทำงาน หนักไม่เอาเบาไม่สู้ อยู่กันแบบอีแลแปแป๊ดไปวันๆ

ถามว่า..วันนี้เราอยู่กับความรู้อะไร?

มีความรู้เพียงพอแล้วหรือยัง

ถ้าจะแก้ปัญหา..ขอถามว่า..เรารู้ปัญหาของเราถ่องแท้แล้วใช่ไหม?

สมัยนี้ทั่วโลกวัดกันที่ความรู้ ไม่ได้วัดกันที่สนิมสร้อย..

พูดมากไปก็จะหาว่าขู่

เธอลองคิดดูสิ จีนปลูกยางพารามณฑลเดียวก็มากกว่าประเทศไทยไม่รู้กี่สิบเท่า แล้วยังประเทศอื่นอีกละ  อินโดนีเซีย ลาว พม่า เขมร เวียดนาม บ้าปลูกกันกี่หมื่นกี่แสนเฮกตาร์ อย่าชะล่าใจ ..เจ้ายางพาราพวกนี้ใบมันไปกองอยู่ข้างบน รากแก้วก็ไม่มี ต่อไปเกิดภัยพิบัติมากๆ เจอพายุฝนรุนแรงก็โค่นล้มระนาว คราวนี้แหละน้ำตาจะผสมน้ำฝน ราคาสินค้าทางการเกษตรที่ผลิตๆๆระดับต้นทาง ไม่แปรรูป ไม่พัฒนา มีแต่ตายกับตาย เปลี่ยนน้ำยางให้เป็นยางรถยนต์มากขึ้น ขายแข่งกับทั่วโลกได้ไหม? ในเมื่อวัตถุดิบอยู่ที่เรา มองสั้นๆแบบหางอึ่ง ก็เห็นว่าได้นิดๆหน่อยๆ ยังเป็นเจ้าใหญ่ของโลกไม่ได้ ทำไมถึงทำไม่ได้ มันติดกึกตรงไหน?

อีกไม่นานรถไฟหัวกระสุนจากจีน ก็จะวิ่งผ่านเราทะลุออกไปถึงสิงคโปร์โน่น สินค้าจากจีนก็จะมาแบบทะลักทะลาย สินค้าพวกนี้ราคาถูกกว่าเรา ไม่ว่าจะเป็นเรื่องผักผลไม้ สินค้ากระจุกกระจิก สินค้าเครื่องใช้ไฟฟ้าเครื่องจักรเครื่องกล สังเกตดูก็ได้นี่หน่า..ตอนนี้สินค้าจีนเกลื่อนเมืองไทย ญี่ปุ่นที่ว่าแน่ๆยังจ๋อย มันจะเกิดอะไรขึ้นเธอรู้ไม๊ม๊ม๊..

ตอนนี้ ภาคการเกษตรล่มสลาย เกษตรกรหนีไปเป็นกรรมกร พ่อสมัย ราชเจริญที่นั่งติดกัน..ยืนยันว่าตนเองเป็นเกษตรกรรุ่นสุดท้ายแล้ว ลูกหลานหรือใครๆก็ไม่อยากจะเป็นเกษตรกร ทิ้งอาชีพบรรพบุรุษแบบล้างบาง ที่ฝืนทำก็ตกอยู่ในกำมือของขาใหญ่สาขาต่างๆดิ้นกระแด่ว  ใช้เครดิตล่วงหน้าทั้งนั้น ไหนจะค่าน้ำมัน ค่าปุ๋ย ค่ายา ค่าแรงงาน ค่าดอกเบี้ย ทำมาหาได้ก็โดนหักกลบลบหนี้จนหืดขึ้นคอ แล้วมันจะเหลือสักเท่าไหร่ สุดท้ายก็เหนื่อยเปล่า ถ้าจะทำต่อก็กู้ต่อ ชะตากรรมมันเป็นอย่างนี้ ต่อให้มีบัตรเครดิตบ้าๆบอๆ100บัตรตามกระแสประชานิยม มันก็ไม่ได้ช่วยอะไรได้หรอก ล้วนแต่ชวนกันเข้าไปอยู่ในโลกเสมือนจริงกันทั้งนั้น

ตอนต่อมา เราจะเห็นพ่อค้าแม่ขาย ร้านค้าของชำ ของปลีกที่เป็นห้องแถวทำมาค้าขายสินค้าโน่นนี้มานาน ต่อไปก็จะเห็นความล่มสลายของร้านค้าพวกนี้ เมื่อมีห้างใหญ่ๆมาตั้ง ศูนย์กระจายสินค้าก่อสร้าง ศูนย์กระจายสรรพสินค้าเครื่องอุปโภคบริโภค ที่มีพร้อมสรรพ สะดวกสบาย ราคามาตรฐาน การบริการเป็นเยี่ยม เข้ามาแล้วซื้อหาได้ทุกอย่าง แถมยังอำนวยเรื่องจิปาถะ จองตั๋วรถทัวร์ตั๋วเครื่องบิน จ่ายค่าโน้นนี่ได้สารพัดนึก เธอก็คิดดูเถิด ร้านค้าย่อยจะอยู่ได้อย่างไร จะเอาเจ้าของร้านขายปลีกที่เกลื่อน2ข้างถนนไปไว้ที่ไหน สุดท้ายห้างร้านย่อยพวกนี้ก็จะค่อยๆ ฝ่อไป ฝ่อไป.. ใช่ไหมละเธอ?

ตอนต่อไป เราก็จะเห็นโรงงานอุตสาหกรรมบางส่วนยุบตัวลง โรงงานที่เคยผลิตสินค้าบางอย่างมายาวนาน ผลิตแล้วราคาขายสู้ของถูกจากประเทศยักษ์ใหญ่ไม่ได้ จะทู่ซี่ขาดทุนได้สักกี่น้ำ  สุดท้ายก็จะปิดโรงงานเป็นแถว คราวนี้แหละเธอเอ๋ย จะเอาฉันทนาไปไว้ที่ไหน หนุ่มสาวโรงงานก็จะตกงานเป็นกะบิ

ที่บ่นๆ..มีแนวทางแก้ไขไหมละ!

ก็อย่างที่เรา4คน มาบอกเล่นกันนี้แหละ ต้องหันมาดูตัวเอง ศักยภาพของเราเอง ภูมิปัญญาของเราเอง ถ้ารายเล็กรายน้อยช่วยกันทำการเกษตรแบบพึ่งตนเอง เอาพระราชดำริของในหลวงมาเป็นหลักการ ลงมือบริหารความรู้ความคิดของตนเอง ทำบริเวณพื้นที่อยู่อาศัยและทำมาหากินให้ร่มรื่น ปลูกพืชผักต้นไม้ให้เต็มพื้นที่ ทำอยู่ทำกิน ให้มีอยู่มีกิน จะเห็นทางออกทางรอด

สุดท้ายโลกก็จะตีกลับหันมาทำเกษตรอินทรีย์นี่แหละ

การเกษตรแบบอื่นมันเป็นเกษตรแบบล้างผลาญ

เป็นเกษตรแบบมักง่าย

อาหารการกินจะแพงๆๆและไม่ปลอดภัยอีกต่างหาก

เธอจะทำจะกินอะไรละ ถึงจะอยู่ได้อย่างปกติสุขและปลอดมลภาวะ

ผมเคยเล่าแล้วว่าที่สวนป่า ตื่นเช้าขึ้นมาบรรยากาศเย็นสบาย ชงเครื่องดื่มมานั่งจิบฟังเสียงนกเขาขัน นั่งอาบแดดท่ามกลางอากาศอุ่น หิวขึ้นมาก็ถือตะกร้าเดินไปตัดผักข้างบ้าน ฉับ ฉับ โยนลงกระทะลงหม้อไม่กี่นาทีก็ได้อาหารเพื่อสุขภาพ สรุปว่า..ให้พยายามพึ่งตนเองให้มาก อยู่เจียมห่มเจียม  ไม่ควรเป็นมนุษย์บ้าเครดิต ไม่อย่างงั้นก็จะสาละวนหาเงินจนหัวโตเพื่อไปจ่ายหนี้ๆๆๆ จนหนีไม่ออกแล้วคุณภาพชีวิตก็เน่าๆๆๆ เหม็นๆๆๆๆ

ความอิสระนั้นมนุษย์คนไหนก็โหยหา

ถ้าคิดไม่ทะลุก็เสมือนเราตกอยู่ในเรือนจำ จำใจทำ จำใจอยู่ จำใจทรมานใจ

อย่าคิดว่ามนุษย์เงินเดือนจะมั่นคงสถาพรเหมือนเก่า

ลองพิจารณาเป็นมนุษย์เงินดินดูบ้างนะน้อง

เราเกิดมาและอยู่ไดไม่กี่ปี จะล้างผลาญโลกทำไมกันนักกันหนา อีกไม่นานหรอนะเธอ เราจะเห็นว่ากระแสมนุษย์โลกที่บริหารด้วยกิเลศนั้นมันจะพังทลายทั้งระบบ มันไม่มีอะไรมั่นคงมั่นยืนแม้แต่น้อย ค่าเงินทั่วโลกกำลังง่อนแง่น พลังงานต่างๆนับวันจะแพงขึ้นๆ สภาพแวดล้อมติดลบมากขึ้นๆ ปัญหาสังคมสะสมและซับซ้อนมากขึ้น ภัยพิบัติต่างๆกำลังมาเยือนหนักหน่วงและกระชั้นถี่ขึ้น  คิดแล้วหนาวไหมละเธอ..มาปลูกผัก ต้นไม้ กับพี่ไหมละน้อง

  • ช่วยกันทำปลูกอยู่ปลูกกิน
  • ช่วยกันทำเรื่องธรรมดาให้เป็นเรื่องพิเศษ
  • ช่วยกันดูแลกันเอง พึ่งพากันเอง
  • ช่วยกันแลกเปลี่ยนเรียนรู้
  • ช่วยกันยกเครื่องความรัก ความคิด ความรู้ ให้บรรเจิด
  • โลกทั้งใบอยู่ในกำมือเรานี่แหละ

มีอะไรก็เอามาลงขัน แม้แต่รอยยิ้มก็รับไม่อั้น คนไทยไม่ดูแลหัวใจน้อยๆของผองไทยด้วยกัน เธอจะไปฝากอนาคตไว้กับใคร ..ลูกหลานก็ขอให้ตั้งหน้าตั้งตาเล่าเรียนอย่างเต็มสติกำลัง ครูบาอาจารย์ก็ตั้งสติตั้งใจสอนอย่างสุดฝีไม้ลายมือครูไทย ถ้าทำให้คนไทยมีนิสัยชอบเรียนรู้ รักการค้นคว้า ใส่ใจกับการพัฒนาความรู้ความสามารถของตนเอง เราก็จะสามารถสร้างสังคมแห่งการเรียนรู้ แล้วพัฒนาไปสู่สังคมอุดมปัญญาได้

เมื่อมีความรู้พอตัว เอาตัวรอดได้ มันถึงจะพอคลายความกังวลได้ ว่าในอนาคต10ปีข้างหน้าเธอจะอยู่กันในสภาพใด ซึ่งตอนนั้นผมก็คงจะกลับบ้านเก่าไปแล้ว จะได้นอนตาหลับรึเปล่าก็ไม่รู้

จึงพิลาปรำพันรำพึงมาเสียยาวเหยียด

หวังใจว่า..คงไม่ใช่สีซอให้ควายฟังนะเธอ

เพราะควายหายไปเข้าโรงงานลูกชิ้นหมดแล้ว

เรื่องชาติบ้านเมือง เรื่องชีวิต จะเป็นฉันใดเล่า

ถ้าตีบทไม่แตก อนาคตเรานั่นแหละจะแตกเป็นเสี่ยงๆ

เฮ้อ! เขียนเรื่องหนักๆแล้วเหนื่อยเป็นบ้า

ถ้า ไ ม่ เ ห็ น ค อ ม เ ม น ท์ ค น ส ว ย   เ ป็ น ล ม แ น่  อิ อิ..

มาเมืองช้าง ไปไหนๆก็เจอแต่ช้าง

เตรียมขึ้นเวที

บนเวที

ผู้ฟัง

อนาคตจะไปเลือกทางไหน?

เห็ดที่มาของเครือข่ายยายฉิม

มะรูดหล่นมาเป็นเข่งๆ

หนทางข้างหน้า

เสียงจากฝ่ายอุตสาหกรรม


ศึกษาดูงาน มาดูอะไร?****

อ่าน: 1988

การศึกษาดูงานสมัยเมื่อ3-40 ปีมาแล้ว คนอยู่บ้านป่าห่างไกลความเจริญ มักจะอยู่กับเหย้าเฝ้ากับเรือน จะไปไหนแต่ละทีเป็นเรื่องใหญ่ นอกจากการเดินทางไม่สะดวกแล้ว เรื่องสตางค์ในกระเป๋าก็สำคัญ เงินเป็นขาให้เราไปที่ห่างไกลได้ เมื่อมีข้อจำกัดก็ก้มหน้าก้มตาปลูกต้นไม้ สาละวนอยู่กับการแก้ปัญหาอุตลุด บางทีหลายๆเดือนผมถึงจะขี่รถจักรยานยนต์เข้าไปในตัวอำเภอ ที่ไม่เข้าเพราะไม่รู้จะเข้าไปทำไม เงินไม่มีก็ไม่รู้จะคิดแล้วซื้ออะไรได้?

การเคยอยู่แบบมีเงินติดกระเป๋าไม่กี่บาทเป็นปีๆเป็นการเรียนรู้ชีวิตที่สุดมันส์

ยามตกยากนี่นะเธอมันอยากกินโน่นนี่สารพัด

อยู่ในป่าจะไปหาก้วยเตี๋ยวแป๊ปซี่หรือโอเลี้ยงที่ไหนละ?

หิวได้ ก็หายได้ เป็นบ่อยๆมันก็บอกตัวเองเรื่องอย่าเพ้อเจ้อ

ให้หันกลับมาอยู่กับความจริง

พอกลับหลังหันเราถึงตระหนักว่า..ในความจริงไม่ได้ขาดแคลนอะไร ความจริงมีสิ่งรอบตัวมากมายที่เรามองข้ามและหมางเมิน การได้กลับมาอยู่กับตัวเองนับเป็นวาสนา ที่ได้รู้จักตัวเองมากขึ้น สุดท้ายคำตอบมันก็หลุดไปตกอยู่ที่ว่า ..หยาดเหงื่อแรงงาน ซึ่งก็ไม่ได้ลำบากลำบนอะไร เพียงใช้จอบขุดดินไม่กี่ฉึก..ก็เอาต้นกล้วย ขนุน มะม่วง น้อยหน่า ไปปลูกได้แล้ว

ต่อมาก็ได้เรียนวิชาก้นหลุม ถ้าก้นหลุมดีมีปุ๋ยต้นไม้ที่ปลูกก็เจริญงอกงามสมใจหวัง ถ้าปลูกแบบแล้งน้ำใจ ทำไปแบบซังกะตาย ฝืนปลูกฝืนทำ มันก็จะส่งผลให้เห็นเอง ไม่นานหรอกทำให้เกิดวิชาน้ำจิตน้ำใจ ปลูกอะไรก็รดน้ำช่วยบ้าง อ้าว ! เผอเรอไปเสียนาน ..พอรดน้ำช่วย พืชผลก็ตอบแทนน้ำใจของเราทบเท่าทวีคูณ ไอ้โน่นก็งาม ไอ้นี่ก็ผลดก ไอ้นั่นก็อร่อยๆ

ชีวิตที่เหี่ยวเฉาก็ค่อยๆฟื้นตัวจากวิชาพื้นฐานเหล่านี้

ไปสรุปตรงกันกับคำที่ว่า “ทำสิ่งใดได้ผลสิ่งนั้น”

ปลูกกล้วยมันไม่เคยออกผลเป็นมะละกอหรอกนะเธอ

การเรียนรู้ด้วยตนเองนี่สำคัญหนัก มันทำให้เรารู้ว่าตัวเรามีกึ๋นแค่ไหน ยังขาดตกบกพร่องในเรื่องใด ทำให้เราตระหนักที่จะเรียนรู้ สนใจในการกระหายใคร่รู้ เพราะถ้ารู้แล้วมันได้ประโยชน์ทันตาเห็น ทำอะไรก็เจริญก้าวหน้า การใฝ่หาความรู้จึงจำเป็นต่อการพัฒนาการความรู้ของเรา

เมื่อญาติฝ่ายเหนือมาศึกษาดูงาน สิ่งที่ได้รู้ได้เห็นก็คืองานเก่าๆนั่นเอง เพียงแต่มันผ่านร้อนผ่านหนาวสะสมขึ้นมาเรื่อยๆ จนคำว่าหลากหลายมีอยู่มีกินผุดโผล่ขึ้นมาพร้อมหน้า มีให้เลือกเก็บลงหม้อลงกระทะตามใจชอบ อิ่มอร่อยทุกมื้อ ย้อนรอยไปยังคำว่ามีอยู่มีกิน(ไม่อั้น) พืชพรรณธัญญาหารช่วงนี้ ยังเหลือเมนูที่ญาติๆยังไม่ได้ลองแสดงฝีมืออีกเยอะแยะ ถ้าพร้อมทำนะเธอ..ปัจจัยก็พร้อมรออยู่แล้ว

สิ่งเหล่านี้ไปสนับสนุนคำว่าศึกษาดูงาน ซึ่ ง ค ว ร ดู ตั้ ง แ ต่ อ ดี ต ม า จ น ถึ ง ปั จ จุ บั น  และช่วยกันคิดต่อไปถึงเรื่องในอนาคต การมาดูงานเช่นนี้ถึงจะเข้าสาระบบคำว่า”ศึกษาดูงาน”  อะไรคือการศึกษา การได้ลงมือช่วยกันทำกิจกรรมสารพัดอย่าง แทบไม่มีเวลาให้งีบเลย ซึ่งเราก็ไม่ได้กำชับอะไรกัน การมาดูงานควรจะสบายๆสนุกและอร่อย ควรได้คลี่คลายระบายความเคร่งครัดกับงานในหน้าที่ๆรัดรึง เป็นการยกเวลาให้กับตัวเองจริงๆ ถึงแม้จะเป็นช่วงสั้นๆไม่กี่วันก็ตาม

การที่ได้มาอยู่ในบรรยากาศกันเองและอบอุ่น

อานุภาพของความเป็นญาติเป็นยาที่วิเศษสุด

ถ้าเธอหาเจอพื้นที่ๆปลดระวางความเครียดได้ พื้นที่ๆที่ทำให้เราผ่อนคลายและมีความสุข ควรมีองค์ประกอบที่ดีพอที่จะทำให้เราศึกษาดูงานอย่างลงตัว พื้นที่ๆที่ได้แลกเปลี่ยนเรียนรู้เชิงคุณภาพ ทุกขั้นตอนมีความสนุกมีรอยยิ้มและเสียงฮาเล็ดลอดมาเป็นระยะ สิ่งที่เห็นสำคัญไม่น้อยกว่าสิ่งที่อยู่ในหัว(ใจ) ของแต่ละคน

  • ลองนึกดูสิ..ถ้าเธออยู่ในบรรยากาศที่ตัวเองเผลอยิ้มทั้งวัน!
  • ลองนึกดูสิ..ถ้าเธอมีความสบายใจทั้งวันจะเป็นยังไง?
  • ลองนึกดูสิ..ถ้าเธอได้เติมเต็มแบบเตอรี่หัวใจแล้วหรือยัง?
  • ลองนึกดูสิ..เธอมีเพื่อนมีพื้นที่เย้าเยือนดังกล่าวนี้แล้วหรือยัง?
  • ลองนึกดูสิ..เธอมีเพื่อนมีญาติที่ไว้วางใจสนิทแน่นได้ทุกกรณีหรือยัง?

ถ้าเธอยังขาดสิ่งพิเศษตามที่กล่าวข้างต้น นับว่าน่าเสียดายนัก ที่ปล่อยให้ชีวิตเต้นแร้งเต้นกาในวัยที่ยังทำอะไรๆได้ ไม่อย่างนั้นยามแก่ชราภาพไป เธอจะไม่โดนผีหลอกรึ จะปรึกษาใครจะฝากผีฝากไข้ไว้กับใคร การศึกษาดูงานเชิงคุณภาพนี้แหละจะเป็นสะพานชีวิตให้เธออิ่มเอมสมบูรณ์ คนเราเกิดมาถ้าหาเพื่อนหาญาติไม่เจอมันน่าเศร้านัก

ควรใช้ยิ้มจากใจและรักใครด้วยหัวใจให้เป็น  แ  ล้ ว เ ธ อ จ ะ ไ ด้ สิ่ ง นั้ น

หลังจากที่ผมงมโข่งอยู่กับตัวเองมาครึ่งชีวิต ระยะหลังที่ความพร้อมบางส่วนบางประการ ผมสามารถที่จะเดินทางไปเรียนรู้ที่โน่นนี่ได้สะดวกขึ้น ตอนแรกๆก็ไปเอง ต่อมาก็มีคนหน่วยงานหรือสถาบันต่างๆมาเชิญ บางคนเย้าว่า..เสือถูกล่อออกจากถ้ำ” ผมไม่ถึงกับเป็นเสือสางอะไรอย่างนั้นหรอกนะเธอ คนบ้านนอกก็ไปแบบบ้านนอก และได้ไปเมืองนอกหลายครั้ง ทั้งหมดทั้งมวลนี้เป็นอนุภาพของการเรียนให้รู้สิ้น

ถ้าเราไม่รู้อะไรเลย..ใ ค ร เ ข า จ ะ เ ชิ ญ ไ ป ทำ ซ า ก อ ะ ไ ร ล ะ ค รั บ

มีวิชาเหมือทรัพย์ ที่ทำให้ได้ท่องไปในทะเลกว้าง

การไปร่วมเวทีร่วมงานก็อย่าได้ประมาท ให้ถือว่าเราได้ไปเรียนเพิ่มเติมจากคนเก่งคนดีๆที่เราอยากรู้จัก ความคิดคำนึงถึงเมื่อครั้งยังบุกเบิก มันก็ได้บุกทะลุทะลวงเชิงรุกมากขึ้น ทำให้รู้ตัวว่า..ความรู้และประสบการณ์ที่เรามีเราผ่านมานั้นมันล้าสมัยตกรุ่นไปเรื่อยๆ คนเรารู้แค่ไหนก็เข้าใจได้แค่นั้น ทำให้เราตระหนักในอานุภาพของความรู้ เผลอเมื่อไหร่ตกรุ่นเหมือนรถยนต์ หรือมือถือ เชียวนะเธอ

ยุคสมัยนี้เรียนด้วยตัวคนเดียวไม่ทันกินหรอก

เราต้องมีเพื่อนที่รู้หลากหลายสาขาอยู่เคียงข้าง

พยายามต่อยอดความดีความรู้ความรัก

พระอาจารย์วรภัทร ภู่เจริญ บอกว่า

ให้ความรักก่อนให้ความรู้ ล อ ง ดู น ะ เ ธ อ

ถ้าเป็นการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ ก็อย่าไปเสียเวลาว่าให้อะไรก่อนหลัง ทั้งความรักความรู้นั่นแหละประเคนเข้าไปเถอะ ไม่บอบช้ำเสียหายตรงไหนหรอก อย่างคุณเหมียวค้นเรื่องน้ำเต้า หนูฝนค้นเรื่องแบบบ้าน ครูกุลนทีวาดภาพประดิษฐ์ของที่ระลึกและทำกับข้าวมาอวด รวมทั้งที่ท่านทั้งหลายได้อุปการะผมเรื่อยมา ..ล้วนแต่สื่อความหมายถึงความปรารถนาดีที่แฝงความรู้ดีๆมาให้ด้วย ถ้าเราเรียนแบบนี้สม่ำเสมอ ความรู้เราก็จะงอกงามไปพร้อมๆกับมิตรภาพใช่ไหมละเธอ ความปรารถนาดีนั้นเป็นยาวิเศษทั้งผู้ที่ให้และผู้ที่รับ  มันเป็นทั้งบุญทั้งทานที่บรรเจิดที่สุด

จิตใจของเธอจะรอให้ใครมาดูแลทำไมละ

ถ้าจะทะนุถนอมความรู้สึกดีๆของเราก็ทำเองอย่างนี้แหละ

ไม่ต้องไปขออนุมัติใคร..การให้เกิดผลดีตั้งแต่การคิดจะให้แล้ว

ทำดีตกน้ำไม่ไหลตกไฟไม่ไหม้หรอกนะเธอ

(แต่ก็ควรมีเรือและเครื่องดับเพลิงไว้ใกล้ๆ)

เรียนแบบนี่แหละ เขาเรียกว่าเรียนทางไกลขนานแท้*

ส่วนการเรียนแบบประชิด ก็อย่างที่ญาติฝ่ายเหนือฝ่ายใต้ลงมานี่แหละ*

ความหมายของการบริหารและพัฒนา ถ้าจะยกแม้น้ำทั้ง5มาก็จะชวนให้สวิงสวายไปเปล่าๆ เรื่องนี้อยากจะขอยกวิชาการห้อยไว้ ขอเอาวิชาเกินมาบอกเล่ากันดีกว่า..ในส่วนของข้าราชการ  แน่นอนย่อมเกี่ยวข้องกับกฎระเบียบ จะไปไหนทั้งทีเป็นเรื่องยุ่งยากขึ้นทุกวัน แต่ก็ไม่ใช้จะปิดตายทุกเรื่องนะเธอ คนมีปัญญาย่อมหารอยแตกเล็กๆได้ด้วยวิธีการทำงานแบบอิงระบบ

ขออนุญาตเอาตัวเลขมาหลอกล่อดังนี้

1 ข้าราชการระดับสูงกระทรวงเกษตรฯ จะเป็นผู้ที่มีความมุ่งมั่นในการพัฒนาประเทศสูงสุด ส่วนข้าราชการระดับสูงที่สังกัดสำนักนายกรัฐมนตรี จะมีความมุ่งมั่นในการพัฒนาประเทศต่ำสุด

2 ข้าราชการระดับสูงสังกัดสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา จะเป็นผู้ที่มีความมุ่งมั่นในการพัฒนาประเทศสูงสุด ส่วนข้าราชการระดับสูงที่สังกัดกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ จะมีความมุ่งมั่นในการพัฒนาประเทศต่ำสุด

3 ข้าราชการระดับสูงที่มีสถานที่ทำงานอยู่นอกหน่วยงาน จะเป็นผู้ที่มีความมุ่งมั่นในการพัฒนาประเทศสูงกว่าผู้ที่มีสถานที่ทำงานในหน่วยงาน

4 ข้าราชการระดับสูงที่ทำงานเกี่ยวข้องกับการพัฒนาชนบท จะเป็นผู้ที่มีความมุ่งมั่นในการพัฒนาประเทศสูง กว่าผู้ที่ไม่ได้ทำงานเกี่ยวข้องกับการพัฒนาชนบท

5 ยิ่งข้าราชการระดับสูงมีอายุมากขึ้นเพียงใด ก็ยิ่งมีความมุ่งมั่นในการพัฒนาประเทศสูงขึ้นเพียงนั้น เฉพาะอย่างยิ่งข้าราชการที่มาอายุ 54 ปีขึ้นไป

6 ข้าราชการระดับสูงที่ประสงค์จะเกษียณอายุก่อนครบ60ปี จะมีความมุ่งมั่นในการพัฒนาประเทศสูงกว่าผู้ที่ไม่ประสงค์จะทำเช่นนั้น

7 ข้าราชการระดับสูงที่มีบุตรธิดามากกว่า 3 คน จะเป็นผู้ที่มีความมุ่งมั่นในการพัฒนาประเทศสูงสุด ส่วนผู้ที่มีบุตรธิดาเพียงคนเดียว จะมีความมุ่งมั่นในการพัฒนาประเทศต่ำสุด

8 ข้าราชการระดับสูงที่บิดาสิ้นชีวิตแล้ว จะมีความมุ่งมั่นในการพัฒนาประเทศสูงกว่าผู้ที่บิดายังมีชีวิตอยู่

9 ข้าราชการระดับสูงที่มีระดับการศึกษาปริญญาเอก (เฉพาะทางด้านนิเทศศาสตร์) ก่อนเข้ารับราชการ จะมีความมุ่งมั่นในการพัฒนาประเทศสูงสุด ส่วนผู้ที่มีระดับการศึกษาขั้นปริญญาโท (เฉพาะอย่างยิ่งด้านสัตวแพทย์) จะมีความมุ่งมั่นในการพัฒนาประเทศต่ำสุด

10 ข้าราชการระดับสูงที่มีระดับการศึกษาปริญญาเอก (เฉพาะทางด้านปติมากรรม) และปริญญาตรี (เฉพาะอย่างยิ่งด้านการประมง) หลังเข้ารับราชการจะมีความมุ่งมั่นในการพัฒนาประเทศสูงสุด ส่วนผู้ที่มีระดับการศึกษาขั้นปริญญาโท (เฉพาะอย่างยิ่งด้านนิเทศศาสตร์) จะมีความมุ่งมั่นในการพัฒนาประเทศต่ำสุด

11 ข้าราชการระดับสูงที่ไม่เคยได้รับทุนการศึกษาภายในประเทศ ก่อนเข้ารับราชการ จะมีความมุ่งมั่นในการพัฒนาประเทศสูงกว่าผู้ที่เคยรับทุน

12 ข้าราชการระดับสูงที่ไม่เคยได้รับทุนการศึกษาภายในประเทศ ก่อนเข้ารับราชการ จะมีความมุ่งมั่นในการพัฒนาประเทศสูงกว่าผู้ที่เคยรับทุน เช่นนั้น และในบรรดาผู้ที่เคยได้รับทุนเช่นนั้น ผู้ที่ได้รับทุนจากองค์กรระหว่างประเทศจะมีความมุ้งมั่นในการพัฒนาประเทศสูงสุด ส่วนผู้ที่ได้รับทุนจากรัฐบาลไทยจะมีความมุ่งมั่นในการพัฒนาประเทศต่ำสุด

13 ข้าราชการระดับสูงที่ไม่เคยศึกษาต่อต่างประเทศ หลังรับราชการจะมีความมุ่งมั่นในการพัฒนาประเทศสูงสุด

14 ยิ่งข้าราชการระดับสูงมีอายุราชการมากขึ้นเพียงใด ก็ยิ่งมีความมุ่งมั่นในการพัฒนาประเทศสูงมากขึ้นเพียงนั้น

15 ข้าราชการระดับสูง11 จะมีความมุ่งมั่นในการพัฒนาประเทศสูงที่สุด ส่วนผู้ที่มีความมุ่งมั่นต่ำสุด คือ ข้าราชการระดับสูง 9

16 ข้าราชการระดับสูงที่มีเงินเดือนเต็มขั้นแล้ว จะมีความมุ่งมั่นในการพัฒนาประเทศสูงสุด

17 จะบ้าเขียนต่อทำไมนะ

ปัญหาวิธีปฏิบัติทางการบริหารบุคล เรียงจากมากไปหาน้อยดังต่อไปนี้

  1. การขากความริเริ่ม
  2. การขาดการฝึกอบรม
  3. การขาดมูลเหตุจูงใจในการปฏิบัติงาน
  4. การควบคุมงานเคร่งครัดเกินไป
  5. การทำงานเป็นหมู่คณะไม่ดี
  6. การคัดเลือกบุคลากรไม่ดี
  7. โครงสร้างองค์กรไม่ดี
  8. การปูนบำเหน็จความดีความชอบไม่ดี
  9. การขาดภาวะผู้นำองค์กร
  10. เป้าหมายองค์กรไม่ชัดเจน
  11. ขาดการเตรียมคนไว้คอยสืบทอดตำแหน่ง

หมายเหตุ

: ตอนหัวค่ำคุยกับหมอเจ๊เรื่องการบริหารงานในโรงพยาบาล

: และพรุ่งนี้ มะรืนนี้ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลจะมาดูงาน

: และเรื่องการศึกษาดูงานเครือญาติชาวเฮที่เพิ่งผ่านไปจึงบันทึกร่องรอยไว้

: ส่วนข้อมูลการวิจัยต่างๆอย่าไปตกหลุมคิดตามมากนัก ฟังหูไว้หู ดีแล

อิ อิ..


บริบทสุขภาวะแห่งจิตใจ ****

อ่าน: 2883

เรื่องที่จะเล่าในวันนี้นะเธอ เป็นตอน:จากห่วงโซ่อาหารมาเป็นความห่วงใย

มาจะกล่าวบทไป ถึงเรื่องอาหารการกินของมนุษย์เรา ชนชาติที่สนใจเรื่องนี้น่าจะยกให้คนจีน เจอหน้ากันก็จะทักทาย กินข้าวแล้วหรือยัง ส่วนคนไทยเราจะเน้นที่ความสุขสบาย สบายดีไหม ความห่วงใยแสดงออกถึงความเป็นไปของสังคมนั้นๆ คนไทยนั้นโชคดีนัก ไม่ค่อยจะเดือดร้อนเรื่องอาหารการกินสักเท่าไหร่ พิจารณาดูสำรับกับข้าวของคนไทย จะแตกต่างกว่าคนอื่นเขา มีอาหารคาวและของหวาน ตามด้วยน้ำปรุงรสปรุงใจอีกไม่น้อย คนไทยเสียเวลากับการประกอบอาหารแต่ละมื้อไม่น้อยเลย สังเกตดูรายการอาหารบนโต๊ะดูเถิด ของคาวก็ใช่ว่าจะมีชนิดเดียว ประเภทต้มยำตำแกงครบครันไม่มีตกหล่น วัฒนธรรมทางอาหารของไทยนั้นบ่งบอกถึงความหมายในน้ำมีปลา ในนามีข้าว แผ่นดินของเราอุดมสมบูรณ์

คนไทยจะมีผักสวนครัวหลังบ้าน มีนิยามมากมาย ผักริมรั้ว ปลูกทุกอย่างที่กิน กินทุกอย่างที่ปลูก สวนครัวหมายถึงในสวนมีสิ่งที่ครัวต้องการครบถ้วน ไม่ต้องวิ่งไปซื้อหาให้เมื่อยตุ้ม เห็นว่าจำเป็นต้องมีพืชผักอะไรก็ปลูกเหน็บไว้ที่โน่นที่นี่ ในตู้เย็นมีอะไร ในสวนครัวมีมากกว่า แถมยังสดๆอีกต่างหาก

การเด็ดพริกขี้หนูเด็ดมะนาวสดๆจากต้นมาตำน้ำพริกกะปินี่นะเธอ

เราจะได้รสของความอร่อยจากความสดแตกต่างจากของซื้อค้างคืนมากนัก

ถึงจะมีวิธีถนอมอาหาร มีตู้แช่ต่างๆ..มันก็ชดเชยไม่ได้หรอก

เป็นแต่ข้อจำกัด หรือมีความจำเป็น..ก็หยวนๆกันไป

ทำให้คนสมัยนี้ลืมเสน่ห์ของคำว่า..ผักสวนครัวไปอย่างน่าเสียดาย

ในวาระที่คณะวิทยากรจัดโครงการเรื่อง การบริการความรู้สุขภาวะเชิงรุก ปลุกกระแสให้ประชาชนดูแลตัวเองและอนามัยสิ่งแวดล้อม มาจัดที่มหาชีวาลัยอีสานคล้ายกับกินยาถูกโรคเลยทีเดียวละครับ เพราะประเด็นและปัจจัยแวดล้อมพร้อมอยู่แล้ว คณะวิทยากรที่ประกอบด้วยแพทย์หญิงรุ่นใหญ่-อาจารย์พยาบาล-นักจัดการความรู้-ครูอาจารย์นักบริหาร-ผสมผสานกับนักกายภาพบำบัด-แม่ครัวหัวป่าส์-คุณป้าชาวบ้านที่รักการปลูกผักเป็นชีวิตจิตใจ เรามีคุณชายซึ่งเป็นชาวกรุงทั้งแท่ง ที่สัมผัสวิถีชีวิตชนบทแบบถึงลูกถึงคนน้อยมาก แต่ในสมองเต็มไปด้วยโจทย์ที่ตกคลักมานาน..ได้นำพาตัวเองมาเรียนรู้เรื่องสุขภาวะของชนบทอย่างถึงลูกถึงคน ถึงเป็นคณะเล็กๆแต่คุณภาพคับครัวด้วยประการละฉะนี้นะเธอ เพราะเขาเหล่านี้มีความเข้าใจในจุดประสงค์ตรงกันอย่างยิ่ง จะคิดจะชวนกันทำกิจกรรมเชิงรุกเรื่องอะไร มันดูเป็นปี่เป็นขลุ่ยลื่นไหล ไม่ต้องมานั่งประชุมคัดเลือกเรื่องที่จะทำ ใครเสนออะไรมามันเข้าที่เข้าทางแลดูง่ายๆไปเสียหมด

แต่ก็นั่นแหละเธอ..กว่าที่ขบวนการจะเดินทางมาถึงตรงจุดนี้ได้

มันมีที่ไปที่มาของการสะสมต้นทุนในเรื่องเหล่านี้

เธอรู้ไหม? กว่าจะเกิดกว่าจะเป็นคณะที่มีศักยภาพครบเครื่องเรื่องการวิจัยอัตลักษณ์สังคม มันไม่ใช่ว่าจะเกิดจะมีกันง่ายๆ ใช่ว่าคณะวิทยากรเพิ่งจะเจอกันครั้งสองครั้ง เราขลุกกันมานานจนมองตาก็รู้ใจ ได้แลกเปลี่ยนความรักความรู้ทั้งทางตรงทางอ้อม หลายปีมาแล้วที่นัดมาซ้อมฝีมือกันเป็นระยะๆ ถ้ า ท่ า น ติ ด ต า ม อ่ า น ก ร ะ บ ว น ก า ร ข อ ง ช า ว เฮฮาศาสตร์ในลานปัญญา ก็จะเข้าใจเข้าถึงในบริบทที่กล่าวถึงนี้ จากบทความที่เกริ่นถึงความคุ้นเคยเป็นญาติอย่างยิ่ง”  ตัวนี้แหละสำคัญนัก คนเราถ้าชอบพอชอบใจคบกันจนคุ้นเคยกันอย่างญาติ ทุกอย่างก็เปิดโล่งสะดวก การทำกิจกรรมที่เส้นทางสว่างโล่ง มันจึงได้เรื่องได้ราวระดับมีชีวิตชีวาก้าวกระโดดโลดเต้นได้ ทุกเรื่องที่ทำ..

§ เราใช้ดุลยพินิจเสวนาภาคปฏิบัติแบบไม่ได้แยกส่วน

§ เรามองถึงต้นทุนชีวิตและบริบทของสังคมที่กำลังเปลี่ยนแปลง

§ เรามองถึงความเป็นไปในมิติของชีวิตโดยรวมแห่งยุคสมัย

§ เรามองถึงความเป็นอยู่ที่เป็นสุขภาวะทั้งมวล

เรามองจาก-ก้นครัวไปหา-สวนครัว-ไปสู่กระบวนของการกินอยู่กับปาก-ความลำบากไปอยู่ที่ท้อง-“คนเราเอาอะไรใส่ปาก ผลก็ออกมาเป็นอย่างนั้น การชี้ให้เห็นจุดพลิกผันที่เปลี่ยนแปลงทั้งในส่วนดีและส่วนด้อย ยกตัวอย่างเช่น การคุยกันถึงเรื่องยา มีผู้สันทัดกรณีให้ข้อมูลในวงกว้าง ว่าประเทศนี้บริหารหยูกยากันอย่างไร นับตั้งแต่ต้องพึ่งพาอาศัยนำเข้ายาจากต่างประเทศ การกำหนดเงื่อนไขให้แก่ผู้รับบริการ กฎเกณฑ์การใช้ยาในสภาพและสภาวะต่างๆ ประเทศเราต้องมีรายง่ายเพิ่มขึ้นปีละหลายหมื่นล้านบาท

การดูแลรักษาและป้องกันโรคภัยไข้เจ็บมันไปโยงกับความเปลี่ยนแปลงแห่งยุคสมัย

คนไทยมีชุดความรู้เกี่ยวกับสุขภาวะในระดับใด?

ถ้ามีความรู้ถูกต้องและพอเพียง ก็จะช่วยให้กระแสการดูแลตนเองในภาคประชาคมมีความเป็นไปได้มากขึ้น

ปัญหาอยู่ที่จะ ค้นหาความรู้ดังกล่าวได้จากที่ไหน?

ใครเป็นเจ้าภาพหลัก เจ้าภาพรอง เจ้าภาพร่วม

ประเทศนี้ จะต้องหางบประมาณมาสร้างสุขภาวะสังคมเท่าไหร่มันถึงจะพอ ถ้าเรายังให้น้ำหนักกับการพึ่งพาภายนอกจนสุดโต่งในสภาพเตี้ยอุ้มค่อยเช่นนี้ การที่ ดร. จันทรัตน์ เจริญสันติ แห่งคณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ใส่ใจในเรื่องนี้ มันจึงเสมือนการจุดคบเพลิงในพิธีเปิดการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกนั่นแหละเธอ เรื่องนี้ไม่ใช่จะสรุปอะไรได้ง่ายๆ เป็นแต่ขอเปิดประเด็นให้ฉุกคิดในมุมสร้างสรรค์ เราคนไทยเราสามารถจะทำอะไรช่วยเหลือตัวเองและช่วยกันเองได้

ถ้าพิจารณาให้ดี เรามีบริบทที่เป็นทุนในเรื่องนี้ไม่น้อยหรอก ถ้ารู้จักเอาวัฒนธรรมประเพณีและภูมิปัญญาไทยมาเคาะสนิมโดยผู้ที่เข้าใจ เรื่องความเป็นไปของโลกเก่าและวิทยาการใหม่ๆ อนึ่ง ท่านเหล่านี้ต่างก็มีบทบาทเกี่ยวข้องในหน้าที่การงานอยู่แล้ว จึงพอจะมองเห็นแผนภูมิของสุขภาวะเชิงรุก ว่าจะรุกคืบกันอย่างไร?

เจอหน้ากันตอนเช้าก็รำพึงถึงเรื่องมุมมองเกี่ยวกับยาของคนสมัยนี้

คนยุคนี้รู้จักยาในลักษณะของ-เม็ด-ผง-แค็ปซูล-ในหลอดยาฉีด หรือที่เรียกว่ายาสำเร็จรูป อ้าว! แสดงว่ามียาที่ไม่สำเร็จรูปอยู่ด้วยสิ มันอยู่ที่ไหนละ ในเมื่อเกิดมาก็เห็นแต่ยาสำเร็จรูป เจ็บป่วยไปโรงพยาบาลก็เจอการตรวจการจ่ายยาใส่ซองเล็กๆ ยาที่เป็นใบไม้ดอกไม้รากไม้แก่นหรือกระพี้ไม่รู้จัก ทั้งๆที่ตนเองก็สัมผัสอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน ผักผลไม้ที่รับประทานไม่ได้รู้สึกรู้สาว่ามันเป็นยารักษาอะไร นึกว่ากินเข้าไประงับความหิว บางครั้งไม่หิวก็ต้องกินเพราะเป็นเรื่องค่านิยมไปแล้ว ไม่ได้ฉุกคิดว่า..ร่างกายไม่หิว..อาจจะประเมินได้ว่า..ร่างกายยังไม่ต้องการอาหาร ฝืนกินเข้าไปตามความอยากความอร่อย มันก็พุงโย้สิเธอ ..วินัยในการรับประทานอาหารเป็นเรื่องที่ต้องว่ากันยาว ถ้าคลิกตรงจุดนี้ได้ สุขภาพของคนไทยก็เดินมาถูกทางหน่อยหนึ่งและเธอ

เรื่องกินเรื่องใหญ่ ทำให้มันเป็นเรื่องยิ่งใหญ่ที่ต้องสร้างความตระหนัก

เพราะมันเป็นบ่อเกิดและต้นเหตุสำคัญของการดำรงชีวิตและการมีคุณภาพของชีวิตที่ดี เรามาพิจารณาการกินอยู่ของคนไทยยุคนี้ดูสิเธอ มีจุดไหลที่จะตะล่อมเข้าทางตามหัวข้อเสวนาปฏิบัติการครั้งนี้ได้ เพื่อไม่ให้เสียเวลา เราก็เอาช่วงที่เรามาอยู่ร่วมกันนี้และเปิดบทเรียนสารบัญหน้าแรก

มื้อเช้าชวนกันเข้าสวนครัว ผมพาไปเดินชมผักพื้นที่ถิ่นที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ ช่วงฝนดีอย่างนี้ ยอดอ่อมแซบ ยอดตำลึง ยอดโสม ยอดกระดุมเงิน ยอดมะรุม ยอดมะกล่ำ ยอดชะอม ยอดมะระขี้นก ยอดน้ำเต้า ถ้าจะเขียนทั้งหมดก็เสียเวลา มะ..ชวนกันถือตะร้ากับกรรไกรเดินกันฉับๆไปข้างบ้าน เลือกตัดเอาสิ เขียวพรึดเต็มสวนอย่างนี้ อยากจะชิมอะไรก็ตัดฉับๆๆไม่ถึง 10 นาทีก็ได้ครบสารพัดผักที่จะผัดไฟแดงกินกับข้าวต้ม เวลาที่เหลือก็โม้ชี้ชวนกันให้ดูสภาพสวนครัวธรรมชาติ นี่ๆๆๆไม่ได้ปลูกเองสักกะหน่อย ที่เดินลุยมานั้นย่ำบนผักทั้งนั้น มันเหลือเฟือไหมละบรรณาการจากจากธรรมชาติ  อ่อมแซบที่เห็นตรงหน้านี้ตัดไปผัดกระทะร้อนได้สัก500กระทะมะละมัง เลี้ยงคนได้เป็นพันใช่ไหมละเธอ

นอกจากจะได้ชิมผัดผักสดๆอร่อยแล้ว

ผักพวกนี้ปลอดสารพิษปลอดมลภาวะใดๆ

เป็นอาหารอันโอชะที่เข้าข่ายสุขภาพท้องไส้ยิ่งนัก

จุดสุดท้ายขึ้นอยู่กับฝีมือการควงตะหลิวของแม่ครัวแล้วละเธอ

อยากจะอร่อยแค่ไหนพลิกแพลงอย่างไรก็เชิญ

นอกจากข้าวต้มแล้ว ผัดผักกระทะร้อนแล้ว ยังมียำผลไม้ที่หนูฝนบรรจงแสดงฝีมือ เธอเก็บผลไม้นานาชนิดมาลงจาน ตบแต่งสวยงามด้วยใบชะพลูและดอกอัญชัน ได้รับคำชมอื้ออึงว่าอร่อย..ยังมีน้ำซุปผักและอาหารที่เป็นบรรณาการจากสวรรค์อีกนะเธอ ป้าสอนนะสิ.. ตื่นไปเก็บเห็ดมาให้เต็มตะกร้า มีเห็ดหลายชนิด แต่ครูอารามสนใจเห็ดผึ้งขมยูคาฯ จึงชวนป้าสอนไปทำลาบเห็ดยูคา ใส่เครื่องลาบตำรับชาวเหนือที่เตรียมมา แค่นี้แหละเธอเอ๋ย ได้เรื่องเลยยย..เห็ดยูคาที่ต้มเอาความขมออกคลุกเล้ากับเครื่องลาบ โดยผู้สันทัดกรณีอาหารพื้นถิ่นเมืองลำพูน กินกับแคบหมูกรอบที่เอามาด้วย ตามได้ผักจิ้มลาบอีสาน มันเป็นอะไรที่ต้องเขียนไปน้ำลายหยดแม๊ะ มันเข้าเครื่องเข้ารสเด็ดสระระตี่จนเล่าไม่ถูก

รู้แต่ว่า ณ บัดนี้เราค้นเจอเมนูเห็ดจานเด็ดขึ้นแล้ว

ถ้าใส่ข้าวคั่วแบบลาบอีสานเข้าไปด้วยจะเป็นยังไงละ

ถ้านำไปวิเคราะห์ถึงสารอาหารจานนี้จะเป็นยังไงละ

ถ้านำเอาตำรานี้ไปชี้ชวนคนอีสานลาบกินทุกหมูบ้านมันจะอร่อยเหาะขนาดไหน

เราได้เห็นบริบทของคำว่าเชิงรุกหน่อยแล้วใช่ไหมละเธอ

มาถึงมื้อกลางวัน ตั้งใจว่าจะทำอาหารจานเดียว จึงวางแผนทำก้วยเตี๋ยวกัน ระดับแม่ครัวหัวป่าส์จะทำตามก้นคนอื่นได้ไปทำไมละ เราก็พลิกแพลงทำให้อร่อยขึ้นได้รับประโยชน์มากขึ้น ไม่งั้นจะเรียกว่าเชิงรุกเรอะ..โฉมยงกับเจ้าหนูฝนเป็นเจ้าภาพในเรื่องนี้ ผมรับหน้าที่เพาะถั่วงอกมาสมทบ โห! ก้วยเตี๋ยวมื้อนี้หอมฉุยตลบไปทั้งบ้านด้วยกลิ่นว่านสาวหลง หมูมักเนื้อนุ่ม น้ำซุปมี2แบบ แบบน้ำซุปกระดูกไก่ กับน้ำซุปเห็ด6ชนิด สำหรับท่านที่จะชิมก้วยเตี๋ยวมังสะวิรัติ ยังมีเส้นให้เลือกอีก3ชนิดนะเธอ  เส้นเล็ก-เส้นหมี่-เส้นก้วยจับ ปรุงกันชุลมุม สุดท้ายก็ชิมกันทั้ง2แบบ ล่อกันจนตาค้างและพุงกางทั่วหน้า ให้รู้ฤทธิ์เสียบ้างว่าก้วยเตี๋ยวภาคพิศดารที่อร่อยที่สุดในโลกนั้นเป็นอย่างไร?

อ้าว! คุณชายยังเอาไก่อบมาสมทบอีก

หลังจากผ่านมื้อเที่ยงไปแล้ว ช่วงบ่ายอย่าให้ไปทำอะไรเลย ปล่อยให้นอนสบายๆสักคนละงีบ เดี๋ยวตื่นมาก็ได้เรื่อง หาเรื่องทำกันเองอีกนั่นแหละ ผมก็งีบเหมือนกันนะ อิ่มในสภาวะอากาศเย็นๆอย่างนี้ ใครจะถ่างตาไหว หลับกันเป็นแถวนะสิเธอ

คนที่ตื่นก่อนไปก่อไฟ เด็ดมะเขือยาวมาปิ้ง หมอเจ๊นัดครูอึ่งตำส้มมะละกอ ได้ยินเสียงโป๊กๆ เสียงแห่งความอร่อยเปิดฉากแล้ว ครูอารามรับอาสาปรุงยำมะเขือยาว ผมช่วยลอกเปลือกมะเขือ ครูอึ่งช่วยปิ้ง อุ้ยเอาเศษอาหารไปเลี้ยงวัว เล่าว่าสนุกมากที่เห็นวัวอร่อยไปพร้อมๆกับเรา

วัวเดินมาหาน้ำลายหยดติ๋งๆเลยนะครูบา

เออ หนอ ถ้าพยาบาลเลี้ยงวัวถ้าจะดี

ย า ม วั ว ท้ อ ง แ ก่ ก็ จ ะ ไ ด้ ทำ ค ล อ ด ใ ห้ ด้ ว ย

เมนูมื้อเย็น มียำมะเขือยาวกับส้มตำรสเด็ดไปนอนเอ้งเม้งอยู่ในท้องเรียบร้อย ทุกอย่างผ่านไปอย่างชื่นมื่น อุ้ยปอกลูกพลับใส่กล่องแช่เย็นไว้ หนูฝนเป็นคนเอามาบริการ อิ่มจนอืดอีกแหละพี่น้อง หลังจากนั่งคุยให้พุงคลายตัว ก็ชวนกันไปชมพระจันทร์ที่สุกสกาวที่หมู่บ้านโลก เราปิดไฟฟ้าได้ทุกดวง ลมพัดเย็นๆอย่างกะอยู่ชายทะเล นั่งเล่นเน็ทบ้าง คุยกันบ้าง เล่นลูกยิงใบพัดที่ติดไฟไอซีดวงเล็กๆให้หมุนติ้วแข่งกัน จนกระทั้งลูกข่างใบพัดวิทยาศาสตร์พุ่งไปค้างอยู่บนยอดไม้ ส่งแสงวับแววเหมือนหิ่งห้อยในเทพนิยาย

ได้เวลาพอสมควรชวนกันไปเยี่ยมคุณชาย

แล้วก็บ่ายหน้ามาอาบน้ำพักผ่อน

ก่อนนอนอุ้ยจับผมฉีดยาที่ก้น

แล้วก็สวดมนต์พร้อมกับนวดไปด้วย

เป็นกรรมวิธีชวนให้นอนหลับที่ดีที่สุดในโลก

ผ ม ฟั ง เ สี ย ง ส ว ด แ ล ะ ค ล้ อ ย ต า ม น้ำหนักมือที่นวดผ่อนคลายเบาๆ

เผลอไปไหว้พระอินท์ตอนไหนก็ไม่รู้

ตื่นกลางดึกเข้าห้องน้ำ..เห็นน้าอึ่งนอนขดบนสื่ออยู่ข้างๆ

ทั้ ง ๆ ที่ มี ที่ ห ลั บ ที่ น อ น บ น ฟู ก สุ ข ส บ า ย

คุณน้าแห่งชาติก็จะมีสไตล์คงเส้นคงวายังงี้แหละ

ม า ส ว น ป่ า ค ร า ใ ด ก็ จ ะ ค ว้ า เ สื่ อ ม า ปู น อ น ห ลั บ ง่ า ย ๆ

ตอนดึกๆก็จะคอยดูว่าผมห่มผ้าดีไหม? ถ้าไอค๊อกๆ จะเอาน้ำอุ่นมาให้

บ ริ บ ท ที่ เ ล่ า ม า โ ด ย สั ง เ ข ป นี้ ก็ เ พื่ อ จ ะ บ อ ก ว่ า

คณะวิจัยชุดนี้นี้ปฏิบัติงานเชิงรุกนอกเหนือจากที่ระบุไว้ในโครงการมากนัก

เพราะทั้งหมดทั้งมวลนี้นับได้ว่าเป็นสุขภาวะแห่งหัวใจ

รุกเข้าไปจนถึงจิตใจ..เชียวนะเธอ

เรื่องอย่างนี้คนล่าช้า คิดช้า อ้อยอิ่ง ไม่ได้แอ้มหร็อก จะบอกไห่

อย่างเก่งก็ทำได้แค่..เชิงลุกลี้ลุกลน เท่านั้น !!   อิ อิ..


ทำไมต้องเชือดไก่ให้ลิงดู

ไม่มีความคิดเห็น โดย sutthinun เมื่อ 29 สิงหาคม 2012 เวลา 7:23 ในหมวดหมู่ สวนป่าฮาเฮ #
อ่าน: 3563

ไม่ทราบท่านใด ทราบความหมายที่ไปที่มาของคำนี้ไหมครับ?

ทำไมต้องเชือดไก่ให้ลิงดู แมว หมา ดูไม่ได้เรอะ

เมื่อคืนนี้ฝนตกมาอย่างยืดยาว ตื่นเช้ามาเจอต้นลีลาวดีที่ปลูกคู่หน้าประตูเข้าบ้าน โค่นล้มเค้เก้ต้นหนึ่ง สังเกตเห็นระบบรากไม่ดี ไม่สามารถแบกน้ำหนักของลำต้นได้ เรื่องอย่างนี้ทำให้เราชะล่าใจ นึกว่ามันเติบโตไปได้เรื่อยๆ รากก็จะแผ่กว้างแข็งแรงพอที่จะพยุงลำต้นไว้ได้ แต่แล้วมันก็ไม่เป็นเช่นนั้น ลำต้นแบกกิ่งก้านที่หนักไม่ไหว รากไม่แข็งแรงพอ จึงล้มหงายผึ่ง..

แสดงว่าสิ่งที่อยู่รอบตัวเป็นอะไรที่เราไม่ทราบล่วงหน้ามากมาย

เรายังรู้ไม่ได้หรอกว่า ทำไมกบเขียดและแมลงเล็กชอบร้องระงม ทั้งๆที่ออกมาเจอะเจอกันท่ามกลางสายฝน ชุมนุมกันให้แอ่งน้ำ เกาะก่ายอยู่จนแทบจะขี่คอกัน ก็ยังส่งเสียงตะเบ็ง ร้องทำไม เรียกหาใคร หรือนัดกันเปิดมหกรรมดนตรีป่า ที่ยกเรื่องนี้มาฉุกคิด ก็เพื่อจะบอกว่า..เรารู้จักโลกใบนี้น้อยนัก แม้แต่เพื่อนร่วมโลกของเรา เราก็ยังไม่รู้จักพวกเขาเท่าที่ควร เมื่อไม่รู้จักมักจี่ จะทำอะไร?..มนุษย์ก็เลือกที่จะกระทำตามอำเภอใจ คุกคามทุกสิ่งทุกอย่าง โมเมเอาเองว่า..โลกทั้งใบเป็นของมนุษย์ฝ่ายเดียว สัตว์และสรรพสิ่งอื่นๆไม่เกี่ยว

มนุษย์พร่ำบ่นภาวนาว่า เข้าใจตนเองเข้าใจโลกนั้นเป็นฉันใด เข้าใจอะไร เข้าใจอย่างไร จะก่อสร้างอะไรถามใครเขาบ้างหรือเปล่า หรือนึกถึงเฉพาะการลงทุน กฎระเบียบ ข้อบัญญัติที่มนุษย์เป็นฝ่ายร่างขึ้นมา เอาความต้องการตัวเองเป็นตัวตั้ง มองไม่เห็นศีรษะเพื่อนร่วมโลก ที่เขียนๆนี่ผมก็เป็นนะ เพิ่งจะมารู้สึกนึกถึงในระยะหลังว่า เราทำอะไรไม่ท่าไปมากมาย

จะทำอะไรให้เข้าท่าเข้าทีได้ยังไงนะเธอ..

จะยึดถืออะไรเป็นเป้าหมาย

จะแสวงหาความถูกต้องได้จากที่ไหน

จะมีสถาบันใดบ้างที่เปิดสอนวิชา “มองโลกให้กระจ่าง”

ทุกวันนี้เรามีเทคโนโลยีที่ทันสมัยใช้ง่ายขึ้น ถ้าเอาสิ่งเหล่านี้มายกเครื่องการเรียนการพัฒนา มนุษย์เราก็จะก้าวหน้าได้หลายขั้น ยกตัวอย่าง สมมุติว่าเราจะส่งเสริมการกินอยู่ของประชากรให้ดีขึ้น แทนที่จะพูดถึงโรคภัยต่างๆ ว่ามีโอกาสที่จะเป็นโรคนั้นโรคนี้ อันตรายอย่างนั้นอย่างนี้ ซึ่งเราๆท่านๆก็ทำกันอยู่ในระดับนี้แหละ

นานๆจะมีคุณหมอมาอธิบายแจกแจงรายละเอียดผ่านสื่อให้เห็นโจ่งแจ้ง

เอาภาพของหัวใจมาผ่าให้ดู ว่าคนเป็นโรคหัวใจมีสภาพบกพร่องในหัวใจอย่างไร ฉายภาพให้เห็นหลอดเลือดเส้นเลือดต่างๆโยงไปส่วนไหนยังไง ชี้ให้ดูเป็นจุดๆ ..การให้รู้เห็นให้เข้าใจจะเกิดความตระหนัก เมื่อเกิดความตระหนักก็จะตระหนก ความเข้าใจจะนำไปสู่ความตั้งใจ ที่จะลงมือบริบาลตนเองอย่างจริงจัง

ใช้ความกลัวตายเป็นยุทธศาสตร์การชี้นำให้ดูแลตัวเอง?

เรื่องการสอนการส่งเสริมวิชาความรู้ ถ้าสามารถแสดงให้เห็นภัยร้ายแรงอย่างเจาะใจ การยกระดับการเรียนรู้ก็จะก้าวหน้าขึ้นอย่างเป็นระบบ ปัญหาอยู่ที่เรามีความสามารถ/ความตั้งใจที่จะยกเครื่องการขยายระดับความรู้ให้สูงขึ้นๆได้อย่างไร ถ้าสังคมไทยปฏิรูปการเรียนรู้ในระดับเจาะลึกเจาะใจ การเรียนรู้จะมีอานุภาพสูงขึ้นอย่างมาก

ความรู้ครึ่งๆกลางๆทำให้ปัญหาอ้อยอิ่ง

บ้านเมืองเรามีกำลังเสพย์ติดยาบ้าเป็นตังเม โดยภาพรวมแล้วอาการน่าเป็นห่วงอย่างที่สุด แต่มันก็ไอ้แค่นั้นแหละเธอ ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องยังทำงานแบะๆพูดไม่ได้ไอไม่ดัง บางคนอาจจะรู้ดีถึงเบื้องหน้าเบื้องหลัง แต่ก็พูดอะไรมากไม่ได้ ถ้าขืนปากโป้งก็มีโอกาสจะเป็นโรคไข้โป้ง และก็มีตัวอย่างให้เห็นไปแล้วเมื่อเร็วๆนี้ ที่ผู้คุมเรือนจำโดนลอบยิงเสียชีวิต สื่อยังวิจารณ์ว่า “เป็นการเชือดไก่ให้ลิงดู”

ไม่ทราบว่ามีเรื่องที่ปากโป้งไม่ได้กี่พันกี่หมื่นเรื่องในขณะนี้

ในสังคมบ้านเราเกิดปัญหาในลักษณะดังกล่าวนี้กี่เรื่อง ทำไมกฎหมายบ้านเมืองทำอะไรไม่ได้ การสืบทราบจับยาเสพย์ติดเป็นอย่างไร คนเสพย์คนขายรายย่อย จะส่ออาการให้ติดตามต้นตอไปได้ไม่ยากนัก แต่ในทางปฏิบัติก็เกิดขึ้นแบบไฟไหม้ฟางรายวัน ถ้าเรื่องบำบัดทุกข์บำรุงสุขยังง่อนแง่นอย่างนี้ เราจะหวังให้สังคมสงบสุขได้อยู่หรือ? มันไม่อีนุงตุงนังจนพังพาบหรือ? เราไม่มีหนทางร่วมด้วยช่วยกันในระดับพลังสังคมเลยหรือ?

ถ้าอำนาจเถื่อนแฝงอยู่ในอำนาจปกติ

ถ้าความถูกต้องแฝงอยู่กับความไม่ถูกต้อง

ถ้าความดีแฝงอยู่กับความไม่ดี

ถ้าสัดส่วนฝ่ายไม่ดีมีส่วนผสมฝ่ายดีมากขึ้นๆ

เ ร า จ ะ ทำ ยั ง ไ ง กั น ดี ล ะ เ ธ อ . .

ค น ง า น เ ล่ า ใ ห้ ฟั ง ว่ า > >

มีคุณยายท่านหนึ่งอายุมาโขแต่ยังแข็งแรงดี

ขี่รถจักรยานยนต์ใหม่เอี่ยมไปซื้อของในตลาด

คุณยายแต่งกายทะมัดทะแมง สวมหมวกกันน็อคเสียด้วย

ผ่าน4แยกไฟจราจร ..ตำรวจเรียกตรวจ

“คุณยาย ขอดูใบขับขี่หน่อย”

“ไม่มีจ๊ะ”

“อ้าว! ..ถ้ายังงั้นต้องจอดรถแอบข้างๆ แล้วไปคุยกับสารวัตรแล้วละครับ”

คุณยายยั๊วะ..”ฉันแก่จนป่านนี้ ใครเขาจะออกใบขับขี่ให้”

“ถ้าอยากจับฉัน..ก็เอารถไปสิ เอาไปเลย..

ว่าแล้วคุณยาย..ก็เดินตุปัดตุป่องกลับบ้านอย่างน่าสงสาร

ไม่ทราบว่าจะไปซื้อสิ่งของอะไรที่จำเป็นหรือเปล่า

คุณตำรวจก็งงเต๊กนะสิครับ!

เจอคุณยายวัยเกษียณ..ไม่มีใบขับขี่ จะจับ หรือ จะปล่อย!

เรื่องนี้น่าเห็นใจทั้ง2ฝ่าย

คำตอบสุดท้าย..อยู่ตรงไหนละครับ?

คนงานที่เล่า..ให้ความเห็นต่อเรื่องนี้ว่า..

ทียาบ้าเต็มบ้านเต็มเมืองมันไม่ไปจับ

มาดักจับแต่เด็กนักเรียนกับคนทำมาหากิน และยายแก่ๆนี้แหละ

เรียกยังไง..คุณยายแกก็ไม่สน ไม่กลับมาเจรจาด้วย..

เออ หนอ ความหมางเมินกระจายตัวไปทั่วถ้วนทุกหัวระแหงสังคมไทย

ค น ไ ท ย กำ ลั ง จ ะ ยิ้ ม ฝื ด ยิ้ ม ย า ก ขึ้ น ทุ ก ที

รึ คำว่าสยามเมืองยิ้ม มันเป็นหมันไปเสียแล้ว

จะช่วยชาติ ก็ ช่ ว ย ๆ ยิ้ ม กั น ห น่ อ ย น ะ ค น ส ว ย



Main: 0.068625926971436 sec
Sidebar: 0.047142028808594 sec