บริบทสุขภาวะแห่งจิตใจ ****
เรื่องที่จะเล่าในวันนี้นะเธอ เป็นตอน:จากห่วงโซ่อาหารมาเป็นความห่วงใย
มาจะกล่าวบทไป ถึงเรื่องอาหารการกินของมนุษย์เรา ชนชาติที่สนใจเรื่องนี้น่าจะยกให้คนจีน เจอหน้ากันก็จะทักทาย “กินข้าวแล้วหรือยัง” ส่วนคนไทยเราจะเน้นที่ความสุขสบาย “สบายดีไหม” ความห่วงใยแสดงออกถึงความเป็นไปของสังคมนั้นๆ คนไทยนั้นโชคดีนัก ไม่ค่อยจะเดือดร้อนเรื่องอาหารการกินสักเท่าไหร่ พิจารณาดูสำรับกับข้าวของคนไทย จะแตกต่างกว่าคนอื่นเขา มีอาหารคาวและของหวาน ตามด้วยน้ำปรุงรสปรุงใจอีกไม่น้อย คนไทยเสียเวลากับการประกอบอาหารแต่ละมื้อไม่น้อยเลย สังเกตดูรายการอาหารบนโต๊ะดูเถิด ของคาวก็ใช่ว่าจะมีชนิดเดียว ประเภทต้มยำตำแกงครบครันไม่มีตกหล่น วัฒนธรรมทางอาหารของไทยนั้นบ่งบอกถึงความหมาย“ในน้ำมีปลา ในนามีข้าว” แผ่นดินของเราอุดมสมบูรณ์
คนไทยจะมีผักสวนครัวหลังบ้าน มีนิยามมากมาย “ผักริมรั้ว” “ปลูกทุกอย่างที่กิน กินทุกอย่างที่ปลูก” สวนครัวหมายถึงในสวนมีสิ่งที่ครัวต้องการครบถ้วน ไม่ต้องวิ่งไปซื้อหาให้เมื่อยตุ้ม เห็นว่าจำเป็นต้องมีพืชผักอะไรก็ปลูกเหน็บไว้ที่โน่นที่นี่ ในตู้เย็นมีอะไร ในสวนครัวมีมากกว่า แถมยังสดๆอีกต่างหาก
การเด็ดพริกขี้หนูเด็ดมะนาวสดๆจากต้นมาตำน้ำพริกกะปินี่นะเธอ
เราจะได้รสของความอร่อยจากความสดแตกต่างจากของซื้อค้างคืนมากนัก
ถึงจะมีวิธีถนอมอาหาร มีตู้แช่ต่างๆ..มันก็ชดเชยไม่ได้หรอก
เป็นแต่ข้อจำกัด หรือมีความจำเป็น..ก็หยวนๆกันไป
ทำให้คนสมัยนี้ลืมเสน่ห์ของคำว่า..ผักสวนครัวไปอย่างน่าเสียดาย
ในวาระที่คณะวิทยากรจัดโครงการเรื่อง “การบริการความรู้สุขภาวะเชิงรุก ปลุกกระแสให้ประชาชนดูแลตัวเองและอนามัยสิ่งแวดล้อม” มาจัดที่มหาชีวาลัยอีสานคล้ายกับกินยาถูกโรคเลยทีเดียวละครับ เพราะประเด็นและปัจจัยแวดล้อมพร้อมอยู่แล้ว คณะวิทยากรที่ประกอบด้วยแพทย์หญิงรุ่นใหญ่-อาจารย์พยาบาล-นักจัดการความรู้-ครูอาจารย์นักบริหาร-ผสมผสานกับนักกายภาพบำบัด-แม่ครัวหัวป่าส์-คุณป้าชาวบ้านที่รักการปลูกผักเป็นชีวิตจิตใจ เรามีคุณชายซึ่งเป็นชาวกรุงทั้งแท่ง ที่สัมผัสวิถีชีวิตชนบทแบบถึงลูกถึงคนน้อยมาก แต่ในสมองเต็มไปด้วยโจทย์ที่ตกคลักมานาน..ได้นำพาตัวเองมาเรียนรู้เรื่องสุขภาวะของชนบทอย่างถึงลูกถึงคน ถึงเป็นคณะเล็กๆแต่คุณภาพคับครัวด้วยประการละฉะนี้นะเธอ เพราะเขาเหล่านี้มีความเข้าใจในจุดประสงค์ตรงกันอย่างยิ่ง จะคิดจะชวนกันทำกิจกรรมเชิงรุกเรื่องอะไร มันดูเป็นปี่เป็นขลุ่ยลื่นไหล ไม่ต้องมานั่งประชุมคัดเลือกเรื่องที่จะทำ ใครเสนออะไรมามันเข้าที่เข้าทางแลดูง่ายๆไปเสียหมด
แต่ก็นั่นแหละเธอ..กว่าที่ขบวนการจะเดินทางมาถึงตรงจุดนี้ได้
มันมีที่ไปที่มาของการสะสมต้นทุนในเรื่องเหล่านี้
เธอรู้ไหม? กว่าจะเกิดกว่าจะเป็นคณะที่มีศักยภาพครบเครื่องเรื่องการวิจัยอัตลักษณ์สังคม มันไม่ใช่ว่าจะเกิดจะมีกันง่ายๆ ใช่ว่าคณะวิทยากรเพิ่งจะเจอกันครั้งสองครั้ง เราขลุกกันมานานจนมองตาก็รู้ใจ ได้แลกเปลี่ยนความรักความรู้ทั้งทางตรงทางอ้อม หลายปีมาแล้วที่นัดมาซ้อมฝีมือกันเป็นระยะๆ ถ้ า ท่ า น ติ ด ต า ม อ่ า น ก ร ะ บ ว น ก า ร ข อ ง ช า ว เฮฮาศาสตร์ในลานปัญญา ก็จะเข้าใจเข้าถึงในบริบทที่กล่าวถึงนี้ จากบทความที่เกริ่นถึง”ความคุ้นเคยเป็นญาติอย่างยิ่ง” ตัวนี้แหละสำคัญนัก คนเราถ้าชอบพอชอบใจคบกันจนคุ้นเคยกันอย่างญาติ ทุกอย่างก็เปิดโล่งสะดวก การทำกิจกรรมที่เส้นทางสว่างโล่ง มันจึงได้เรื่องได้ราวระดับมีชีวิตชีวาก้าวกระโดดโลดเต้นได้ ทุกเรื่องที่ทำ..
§ เราใช้ดุลยพินิจเสวนาภาคปฏิบัติแบบไม่ได้แยกส่วน
§ เรามองถึงต้นทุนชีวิตและบริบทของสังคมที่กำลังเปลี่ยนแปลง
§ เรามองถึงความเป็นไปในมิติของชีวิตโดยรวมแห่งยุคสมัย
§ เรามองถึงความเป็นอยู่ที่เป็นสุขภาวะทั้งมวล
เรามองจาก-ก้นครัวไปหา-สวนครัว-ไปสู่กระบวนของการกินอยู่กับปาก-ความลำบากไปอยู่ที่ท้อง-“คนเราเอาอะไรใส่ปาก ผลก็ออกมาเป็นอย่างนั้น” การชี้ให้เห็นจุดพลิกผันที่เปลี่ยนแปลงทั้งในส่วนดีและส่วนด้อย ยกตัวอย่างเช่น การคุยกันถึงเรื่องยา มีผู้สันทัดกรณีให้ข้อมูลในวงกว้าง ว่าประเทศนี้บริหารหยูกยากันอย่างไร นับตั้งแต่ต้องพึ่งพาอาศัยนำเข้ายาจากต่างประเทศ การกำหนดเงื่อนไขให้แก่ผู้รับบริการ กฎเกณฑ์การใช้ยาในสภาพและสภาวะต่างๆ ประเทศเราต้องมีรายง่ายเพิ่มขึ้นปีละหลายหมื่นล้านบาท
การดูแลรักษาและป้องกันโรคภัยไข้เจ็บมันไปโยงกับความเปลี่ยนแปลงแห่งยุคสมัย
คนไทยมีชุดความรู้เกี่ยวกับสุขภาวะในระดับใด?
ถ้ามีความรู้ถูกต้องและพอเพียง ก็จะช่วยให้กระแสการดูแลตนเองในภาคประชาคมมีความเป็นไปได้มากขึ้น
ปัญหาอยู่ที่จะ ค้นหาความรู้ดังกล่าวได้จากที่ไหน?
ใครเป็นเจ้าภาพหลัก เจ้าภาพรอง เจ้าภาพร่วม
ประเทศนี้ จะต้องหางบประมาณมาสร้างสุขภาวะสังคมเท่าไหร่มันถึงจะพอ ถ้าเรายังให้น้ำหนักกับการพึ่งพาภายนอกจนสุดโต่งในสภาพเตี้ยอุ้มค่อยเช่นนี้ การที่ ดร. จันทรัตน์ เจริญสันติ แห่งคณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ใส่ใจในเรื่องนี้ มันจึงเสมือนการจุดคบเพลิงในพิธีเปิดการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกนั่นแหละเธอ เรื่องนี้ไม่ใช่จะสรุปอะไรได้ง่ายๆ เป็นแต่ขอเปิดประเด็นให้ฉุกคิดในมุมสร้างสรรค์ เราคนไทยเราสามารถจะทำอะไรช่วยเหลือตัวเองและช่วยกันเองได้
ถ้าพิจารณาให้ดี เรามีบริบทที่เป็นทุนในเรื่องนี้ไม่น้อยหรอก ถ้ารู้จักเอาวัฒนธรรมประเพณีและภูมิปัญญาไทยมาเคาะสนิมโดยผู้ที่เข้าใจ เรื่องความเป็นไปของโลกเก่าและวิทยาการใหม่ๆ อนึ่ง ท่านเหล่านี้ต่างก็มีบทบาทเกี่ยวข้องในหน้าที่การงานอยู่แล้ว จึงพอจะมองเห็นแผนภูมิของสุขภาวะเชิงรุก ว่าจะรุกคืบกันอย่างไร?
เจอหน้ากันตอนเช้าก็รำพึงถึงเรื่องมุมมองเกี่ยวกับยาของคนสมัยนี้
คนยุคนี้รู้จักยาในลักษณะของ-เม็ด-ผง-แค็ปซูล-ในหลอดยาฉีด หรือที่เรียกว่ายาสำเร็จรูป อ้าว! แสดงว่ามียาที่ไม่สำเร็จรูปอยู่ด้วยสิ มันอยู่ที่ไหนละ ในเมื่อเกิดมาก็เห็นแต่ยาสำเร็จรูป เจ็บป่วยไปโรงพยาบาลก็เจอการตรวจการจ่ายยาใส่ซองเล็กๆ ยาที่เป็นใบไม้ดอกไม้รากไม้แก่นหรือกระพี้ไม่รู้จัก ทั้งๆที่ตนเองก็สัมผัสอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน ผักผลไม้ที่รับประทานไม่ได้รู้สึกรู้สาว่ามันเป็นยารักษาอะไร นึกว่ากินเข้าไประงับความหิว บางครั้งไม่หิวก็ต้องกินเพราะเป็นเรื่องค่านิยมไปแล้ว ไม่ได้ฉุกคิดว่า..ร่างกายไม่หิว..อาจจะประเมินได้ว่า..ร่างกายยังไม่ต้องการอาหาร ฝืนกินเข้าไปตามความอยากความอร่อย มันก็พุงโย้สิเธอ ..วินัยในการรับประทานอาหารเป็นเรื่องที่ต้องว่ากันยาว ถ้าคลิกตรงจุดนี้ได้ สุขภาพของคนไทยก็เดินมาถูกทางหน่อยหนึ่งและเธอ
เรื่องกินเรื่องใหญ่ ทำให้มันเป็นเรื่องยิ่งใหญ่ที่ต้องสร้างความตระหนัก
เพราะมันเป็นบ่อเกิดและต้นเหตุสำคัญของการดำรงชีวิตและการมีคุณภาพของชีวิตที่ดี เรามาพิจารณาการกินอยู่ของคนไทยยุคนี้ดูสิเธอ มีจุดไหลที่จะตะล่อมเข้าทางตามหัวข้อเสวนาปฏิบัติการครั้งนี้ได้ เพื่อไม่ให้เสียเวลา เราก็เอาช่วงที่เรามาอยู่ร่วมกันนี้และเปิดบทเรียนสารบัญหน้าแรก
มื้อเช้าชวนกันเข้าสวนครัว ผมพาไปเดินชมผักพื้นที่ถิ่นที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ ช่วงฝนดีอย่างนี้ ยอดอ่อมแซบ ยอดตำลึง ยอดโสม ยอดกระดุมเงิน ยอดมะรุม ยอดมะกล่ำ ยอดชะอม ยอดมะระขี้นก ยอดน้ำเต้า ถ้าจะเขียนทั้งหมดก็เสียเวลา มะ..ชวนกันถือตะร้ากับกรรไกรเดินกันฉับๆไปข้างบ้าน เลือกตัดเอาสิ เขียวพรึดเต็มสวนอย่างนี้ อยากจะชิมอะไรก็ตัดฉับๆๆไม่ถึง 10 นาทีก็ได้ครบสารพัดผักที่จะผัดไฟแดงกินกับข้าวต้ม เวลาที่เหลือก็โม้ชี้ชวนกันให้ดูสภาพสวนครัวธรรมชาติ นี่ๆๆๆไม่ได้ปลูกเองสักกะหน่อย ที่เดินลุยมานั้นย่ำบนผักทั้งนั้น มันเหลือเฟือไหมละบรรณาการจากจากธรรมชาติ อ่อมแซบที่เห็นตรงหน้านี้ตัดไปผัดกระทะร้อนได้สัก500กระทะมะละมัง เลี้ยงคนได้เป็นพันใช่ไหมละเธอ
นอกจากจะได้ชิมผัดผักสดๆอร่อยแล้ว
ผักพวกนี้ปลอดสารพิษปลอดมลภาวะใดๆ
เป็นอาหารอันโอชะที่เข้าข่ายสุขภาพท้องไส้ยิ่งนัก
จุดสุดท้ายขึ้นอยู่กับฝีมือการควงตะหลิวของแม่ครัวแล้วละเธอ
อยากจะอร่อยแค่ไหนพลิกแพลงอย่างไรก็เชิญ
นอกจากข้าวต้มแล้ว ผัดผักกระทะร้อนแล้ว ยังมียำผลไม้ที่หนูฝนบรรจงแสดงฝีมือ เธอเก็บผลไม้นานาชนิดมาลงจาน ตบแต่งสวยงามด้วยใบชะพลูและดอกอัญชัน ได้รับคำชมอื้ออึงว่าอร่อย..ยังมีน้ำซุปผักและอาหารที่เป็นบรรณาการจากสวรรค์อีกนะเธอ ป้าสอนนะสิ.. ตื่นไปเก็บเห็ดมาให้เต็มตะกร้า มีเห็ดหลายชนิด แต่ครูอารามสนใจเห็ดผึ้งขมยูคาฯ จึงชวนป้าสอนไปทำลาบเห็ดยูคา ใส่เครื่องลาบตำรับชาวเหนือที่เตรียมมา แค่นี้แหละเธอเอ๋ย ได้เรื่องเลยยย..เห็ดยูคาที่ต้มเอาความขมออกคลุกเล้ากับเครื่องลาบ โดยผู้สันทัดกรณีอาหารพื้นถิ่นเมืองลำพูน กินกับแคบหมูกรอบที่เอามาด้วย ตามได้ผักจิ้มลาบอีสาน มันเป็นอะไรที่ต้องเขียนไปน้ำลายหยดแม๊ะ มันเข้าเครื่องเข้ารสเด็ดสระระตี่จนเล่าไม่ถูก
รู้แต่ว่า ณ บัดนี้เราค้นเจอเมนูเห็ดจานเด็ดขึ้นแล้ว
ถ้าใส่ข้าวคั่วแบบลาบอีสานเข้าไปด้วยจะเป็นยังไงละ
ถ้านำไปวิเคราะห์ถึงสารอาหารจานนี้จะเป็นยังไงละ
ถ้านำเอาตำรานี้ไปชี้ชวนคนอีสานลาบกินทุกหมูบ้านมันจะอร่อยเหาะขนาดไหน
เราได้เห็นบริบทของคำว่าเชิงรุกหน่อยแล้วใช่ไหมละเธอ
มาถึงมื้อกลางวัน ตั้งใจว่าจะทำอาหารจานเดียว จึงวางแผนทำก้วยเตี๋ยวกัน ระดับแม่ครัวหัวป่าส์จะทำตามก้นคนอื่นได้ไปทำไมละ เราก็พลิกแพลงทำให้อร่อยขึ้นได้รับประโยชน์มากขึ้น ไม่งั้นจะเรียกว่าเชิงรุกเรอะ..โฉมยงกับเจ้าหนูฝนเป็นเจ้าภาพในเรื่องนี้ ผมรับหน้าที่เพาะถั่วงอกมาสมทบ โห! ก้วยเตี๋ยวมื้อนี้หอมฉุยตลบไปทั้งบ้านด้วยกลิ่นว่านสาวหลง หมูมักเนื้อนุ่ม น้ำซุปมี2แบบ แบบน้ำซุปกระดูกไก่ กับน้ำซุปเห็ด6ชนิด สำหรับท่านที่จะชิมก้วยเตี๋ยวมังสะวิรัติ ยังมีเส้นให้เลือกอีก3ชนิดนะเธอ เส้นเล็ก-เส้นหมี่-เส้นก้วยจับ ปรุงกันชุลมุม สุดท้ายก็ชิมกันทั้ง2แบบ ล่อกันจนตาค้างและพุงกางทั่วหน้า ให้รู้ฤทธิ์เสียบ้างว่าก้วยเตี๋ยวภาคพิศดารที่อร่อยที่สุดในโลกนั้นเป็นอย่างไร?
อ้าว! คุณชายยังเอาไก่อบมาสมทบอีก
หลังจากผ่านมื้อเที่ยงไปแล้ว ช่วงบ่ายอย่าให้ไปทำอะไรเลย ปล่อยให้นอนสบายๆสักคนละงีบ เดี๋ยวตื่นมาก็ได้เรื่อง หาเรื่องทำกันเองอีกนั่นแหละ ผมก็งีบเหมือนกันนะ อิ่มในสภาวะอากาศเย็นๆอย่างนี้ ใครจะถ่างตาไหว หลับกันเป็นแถวนะสิเธอ
คนที่ตื่นก่อนไปก่อไฟ เด็ดมะเขือยาวมาปิ้ง หมอเจ๊นัดครูอึ่งตำส้มมะละกอ ได้ยินเสียงโป๊กๆ เสียงแห่งความอร่อยเปิดฉากแล้ว ครูอารามรับอาสาปรุงยำมะเขือยาว ผมช่วยลอกเปลือกมะเขือ ครูอึ่งช่วยปิ้ง อุ้ยเอาเศษอาหารไปเลี้ยงวัว เล่าว่าสนุกมากที่เห็นวัวอร่อยไปพร้อมๆกับเรา
“วัวเดินมาหาน้ำลายหยดติ๋งๆเลยนะครูบา”
เออ หนอ ถ้าพยาบาลเลี้ยงวัวถ้าจะดี
ย า ม วั ว ท้ อ ง แ ก่ ก็ จ ะ ไ ด้ ทำ ค ล อ ด ใ ห้ ด้ ว ย
เมนูมื้อเย็น มียำมะเขือยาวกับส้มตำรสเด็ดไปนอนเอ้งเม้งอยู่ในท้องเรียบร้อย ทุกอย่างผ่านไปอย่างชื่นมื่น อุ้ยปอกลูกพลับใส่กล่องแช่เย็นไว้ หนูฝนเป็นคนเอามาบริการ อิ่มจนอืดอีกแหละพี่น้อง หลังจากนั่งคุยให้พุงคลายตัว ก็ชวนกันไปชมพระจันทร์ที่สุกสกาวที่หมู่บ้านโลก เราปิดไฟฟ้าได้ทุกดวง ลมพัดเย็นๆอย่างกะอยู่ชายทะเล นั่งเล่นเน็ทบ้าง คุยกันบ้าง เล่นลูกยิงใบพัดที่ติดไฟไอซีดวงเล็กๆให้หมุนติ้วแข่งกัน จนกระทั้งลูกข่างใบพัดวิทยาศาสตร์พุ่งไปค้างอยู่บนยอดไม้ ส่งแสงวับแววเหมือนหิ่งห้อยในเทพนิยาย
ได้เวลาพอสมควรชวนกันไปเยี่ยมคุณชาย
แล้วก็บ่ายหน้ามาอาบน้ำพักผ่อน
ก่อนนอนอุ้ยจับผมฉีดยาที่ก้น
แล้วก็สวดมนต์พร้อมกับนวดไปด้วย
เป็นกรรมวิธีชวนให้นอนหลับที่ดีที่สุดในโลก
ผ ม ฟั ง เ สี ย ง ส ว ด แ ล ะ ค ล้ อ ย ต า ม น้ำหนักมือที่นวดผ่อนคลายเบาๆ
เผลอไปไหว้พระอินท์ตอนไหนก็ไม่รู้
ตื่นกลางดึกเข้าห้องน้ำ..เห็นน้าอึ่งนอนขดบนสื่ออยู่ข้างๆ
ทั้ ง ๆ ที่ มี ที่ ห ลั บ ที่ น อ น บ น ฟู ก สุ ข ส บ า ย
คุณน้าแห่งชาติก็จะมีสไตล์คงเส้นคงวายังงี้แหละ
ม า ส ว น ป่ า ค ร า ใ ด ก็ จ ะ ค ว้ า เ สื่ อ ม า ปู น อ น ห ลั บ ง่ า ย ๆ
ตอนดึกๆก็จะคอยดูว่าผมห่มผ้าดีไหม? ถ้าไอค๊อกๆ จะเอาน้ำอุ่นมาให้
บ ริ บ ท ที่ เ ล่ า ม า โ ด ย สั ง เ ข ป นี้ ก็ เ พื่ อ จ ะ บ อ ก ว่ า
คณะวิจัยชุดนี้นี้ปฏิบัติงานเชิงรุกนอกเหนือจากที่ระบุไว้ในโครงการมากนัก
เพราะทั้งหมดทั้งมวลนี้นับได้ว่าเป็นสุขภาวะแห่งหัวใจ
รุกเข้าไปจนถึงจิตใจ..เชียวนะเธอ
เรื่องอย่างนี้คนล่าช้า คิดช้า อ้อยอิ่ง ไม่ได้แอ้มหร็อก จะบอกไห่
อย่างเก่งก็ทำได้แค่..เชิงลุกลี้ลุกลน เท่านั้น !! อิ อิ..
« « Prev : ทำไมต้องเชือดไก่ให้ลิงดู
Next : ศึกษาดูงาน มาดูอะไร?**** » »
ความคิดเห็นสำหรับ "บริบทสุขภาวะแห่งจิตใจ ****"