จะปลูกไว้โม้หรือปลูกไว้หม่ำ
“จะปลูกไว้โม้หรือปลูกไว้หม่ำ”
เป็นคำถามที่ลอยมาจากอุ้ยสร้อย
ก็ขอตอบดังต่อไปนี้..
วิธีเรียนเป็นสิ่งสำคัญ ถ้าค้นพบสไตล์การเรียนในแบบฉบับที่ถูกจริตตนเอง นอกจากไม่เครียดแล้ว ยังสนุกอีกต่างหาก แทบทุกเรื่องในโลกนี้ไม่มีคำว่าจบสิ้น วิชาความรู้ดิ้นไปเรื่อย ๆ ตามความรู้ความสามารถของมนุษย์ ที่ค่อย ๆ รู้จักเรื่องต่าง ๆ แล้วไต่ระดับไปสู่ความรู้จริง ส่วนเรื่องที่จะไปถึงขั้นรู้แจ้งนั้นแทบนับนิ้วได้ ถ้าเป็นคนพันธุ์แท้ จะตระหนักได้ว่าเรียนให้ตายก็ไม่มีวันจบ มนุษย์เรามีศักยภาพแค่ค้นคิดไปเรื่อย ๆ.. จะพบชุดความรู้ที่มีอยู่ในธรรมชาติทีละเล็กละน้อย แล้วปรับเอาความรู้นั้นมาใช้ แต่ที่เป็นอยู่มนุษย์ใช้ความรู้ไปในทางที่เหมาะสมน้อยมาก ทำให้เกิดภัยพิบัติต่าง ๆ โดยไม่รู้ตัว มลภาวะพวกนี้สะสมมากขึ้นตามจำนวนพลโลกและอัตราก้าวหน้าของกิเลส ทำให้เกิดมหันตภัยจากน้อยไปหามาก แผ่นดินไหวกระชั้นถี่ น้ำ-อากาศเป็นพิษ อาหารเต็มไปด้วยยาฆ่าคน รวม ๆ แล้วทุกเรื่องติดลบทั้งนั้น เมื่อจิตใจมนุษย์ส่วนใหญ่เน่าทุกอย่างจะเหลือเรอะ.. ปัญหาอยู่ที่ว่า มนุษย์พวกนี้ให้ความสำคัญกับเรื่องเหล่านี้แบบวอบ ๆ แวม ๆ ถ้าไม่ตายต่อหน้าแบบดิ้นปัด ๆ ก็เฉยเมยต่อไป ทั้ง ๆ ที่ภัยเหล่านี้มันค่อย ๆ แทรกซึมเข้ามาอยู่กับเราิมากขึ้น ๆ
ถามว่ามนุษย์ยุคนี้ควรมีวิถีชีวิตอย่างไร
ในสภาพที่สังคมผิดปกติและแปรปรวนจับต้นชนปลายไม่ถูก
ความรู้เก่าจะเอามาปัดฝุ่นใช้ได้สักเท่าไหร่
ชุดความรู้ใหม่ที่ถูกต้องและเหมาะสมมีแค่ไหน
เรารักตัวเองอย่างไร?
เรารักกันเองแบบไหน?
เรารักโลกใบนี้สักเท่าไหร่?
ปัจจัยความรักที่สำคัญคือความรู้ รู้มากรักมาก รู้น้อยเลอะเทอะเลอะเลือน..ยกตัวอย่างเช่นเรื่องน้ำเต้า ผมเฝ้าติดตามทั้งที่ปลูกและติดตามข่าวสาร พบว่าตนเองยังอยู่ในชั้นอนุบาลเท่านั้น เมื่อไม่มีศักยภาพอะไร ก็คิดและทำเท่าที่ทำได้ เพียงแค่คิดและทำไปเรื่อยๆก็ได้ความสุขและสนุกกับงาน ยังมีเรื่องที่ยังทำไม่สำเร็จหลายเรื่อง ท่ามกลางความผิดพลาด คงไม่ใช่ความผิดหวังหรอกนะ เราพบความสมหวังแทรกอยู่ มันไม่มีอะไรที่สูญเปล่าจากการเรียนเชิงปฎิบัติ อย่างน้อย ๆ ก็ได้ออกกำลังกายกำลังใจฝึกการใช้กำลังความคิด(หมอจอมป่วนบอก) สนุกกับการรอคอยความรู้ที่ค่อย ๆ งอกงาม น้ำเต้า ผมเฝ้าปลูกมาทุกปี ค้นพบเสน่ห์ของพืชชนิดนี้มากขึ้น คุณสมบัติทางด้านอาหาร คุณสมบัติทางด้านเภสัช นำผลแก่ไปทำเป็นสิ่งประดิษฐ์ แต่จะจุดอยู่ในขั้นเตาะแตะแต่สนุกมาก ผมคิดต่าง..ทำไมต้องทุกข์กับการเรียนรู้ด้วย ทำให้เกิดความรู้สึกชื่นมื่นตลอดเวลาได้ไหมละ ถ้าวิธีเรียนถูกต้อง มันถึงจะเกิดความมุมานะที่เต็มไปด้วยพลังระเบิดแห่งจินตนาการ
เมื่อก่อนรู้ตามคนอื่น เช่น เอาผลน้ำเต้าอ่อนมาแกงเลียง-ต้มจิ้มน้ำพริก-หรือชุบแป้งโกกิทอด
ต่อมาทดลองเอาผลสดอ่อนมายำแบบยำแตงกวาก็อร่อย
ตอนตาหวานมาทดลองเอามาลวกก่อนแล้วยำ พบว่ากรุ๊บกรอบคล้ายกระดูกอ่อนสุกร ก็อร่อยอีกแหละ
ต่อมาทดลองเอายอดอ่อนมาลวกจิ้มน้ำพริกก็ใช้ได้ แต่ถ้าเอามาผัดกะทะร้อนอร่อยกว่า
คุณสมบัติที่พิเศษ ยอดน้ำเต้ามีเส้นใยอาหารมาก
ปัญหาอยู่ที่.. ถ้าเห็นว่าดีและอร่อยเราจะมียอดน้ำเต้าจำนวนเพียงพอที่จะนำมาทำอาหารได้เท่าไหร่ ถ้าปลูกไปตามปกติ ให้เถาไต่เลื้อยแตกกิ่งก้านคลุมพื้นที่ เห็นยอดใหม่ ๆ ออกมาก็เด็ดไปทำอาหารได้บ้าง ถ้าเป็นไปตามสภาพนี้ยอดน้ำเต้าคงไม่พอแน่ จึงทดลองติดตามพฤติกรรมของน้ำเต้า ..ถ้าเราช่วยตัดใบแก่ออกเรื่อย ๆ จะเกิดการแตกกิ่งแขนงมากขึ้น และถ้าเราตัดยอด ตาแขนงก็จะแตกเพิ่มขึ้นในอัตรา 3-5 เท่าตัว ตรงนี้เห็นได้ชัดเลยละครับ แสดงว่าการปล่อยให้น้ำเต้าอยู่ในสภาพปกติกับการตัดแต่งใบและยอดออกเรื่อย ๆ ผลลัพธ์จะแตกต่างกันมาก
น้ำเต้าที่ปลูกไว้จำนวน 4 กอ
จะให้ยอดสดประมาณ 1 ก.ก. ทุก 5-7 วัน
ถ้าต้องการยอดน้ำเต้าผัดวันละ 4 จาน = 1 ก.ก.
เราต้องปลูกน้ำเต้าเพิ่มขึ้น 20 กอ
แค่นี้ก็มียอดน้ำเต้าให้ตัดหมุนเวียนทุกวัน
ในทางปฎิบัติ
ใครจะบ้ากินยอดน้ำเต้าทุกวันละครับ
ในเมื่อสวนป่ามีผักสารพัดชนิด
ส่วนมากถ้าชอบผักชนิดไหนก็เอามาประกอบอาหารบ่อยขึ้น
ทำเอง-กินเอง-อร่อยเอง-ชมตัวเองก็ดีนะ
จากอัตราเท่าที่เป็นอยู่เดี๋ยวนี้ถ้ากินเองตอบได้ว่าเหลือเฟือ
แต่ถ้าจะปลูกเพื่อการขยายผล รับรองลูกหลานที่มาเยี่ยมตามที่หมอเบิร์ดอยากเห็น
กรณีอย่างนี้ละครับที่สวนป่าจะต้องเปลี่ยนจากปลูกไว้โม้มาปลูกไว้หม่ำ
เมื่อโจทย์เปลี่ยน กระบวนการตามเก็บความรู้ก็เปลี่ยน
พบว่าผักทุกชนิดมีคุณสมบัติรองรับอยู่แล้ว เช่น
มะเขือเทศสุกเยอะ หมอเจ๊บอกให้ผ่าตากแดด นอกจากการเอามาใส่ส้มตำ หรือนำมาปั่น
ปลูกพริกเห็นยอดแตกงามสะพรั่งก็เด็ดยอดมาแกงมาผัด ผลอ่อนนำมาหั่นใส่ไข่้เจียว (เมนูเด็ดว่าที่มหาเม้ง)
ผักแทบทุกชนิดเปลี่ยนจากรอกินผลมากินยอดเสียก่อน
เข้าทำนองคิดใหม่ทำใหม่ได้เมนูใหม่ ๆ อร่อยทุกวัน
กระบวนการเกิดของใหม่ทุกวันนี่แหละเป็นเสน่ห์ของสวนป่า
สภาพเปลี่ยนไปในทางที่สุขสดใสจิตใจรื่นเริง
ใครวาสนาไม่ถึงก็ขอแนะนำให้อ่านแล้วจินตนาการเอา
เรื่องนี้ไม่ใช่ฝันลม ๆ แล้ง ๆ แน่นอน
แต่เป็นฝันที่ชุ่มฉ่ำเขียวขจีมีสีสันแสนบรรเจิด
ถ้าจะนอนให้จั๊กกะจั่นกล่อมก็รีบมา
แต่ถ้ามีสิ่งอื่นกล่อมนอนอยู่แล้วก็ไม่ว่ากัน
แคว๊ก ๆ
Next : มหาชีวาลัยจะเปิดคอร์สกระชับพุง? » »
6 ความคิดเห็น
เพิ่งมานึกได้ค่ะพ่อครูว่าพริกแห้งปลอดสารเคมีนั้นหายากในตลาด ฉะนั้นถ้ามีพริกเหลือเฟือก็อย่าลืมนำมาทำพริกแห้งชนิดที่ใช้ตำเครื่องแกงด้วยค่ะพ่อครู
มีในแผนอยู่แล้วครับ ถ้าพริกเหลือจะแปรรูปแบบประณีตอย่างไรบ้าง?
โห…หนึ่งคำถามได้คำตอบยาว..ที่สำคัญคือคนถามที่กลับได้เรียนกับคำตอบลึกซึ้งด้วย…สุดยอดเลยค่ะครูบา
มีเรื่องสังเกตพบอย่างหนึ่งคือ มะเขือเทศจากสวนป่า (วันนี้ยังเหลือผัดไข่ใส่วุ้นเส้น) จะคงความสดดีกว่าและผิวจะบางกว่ามะเขือเทศซื้อ เปลือกที่บางเหมือนเป็นเยื่อหุ้มความนิ่มข้างใน..คือถ้าจับขึ้นมาอาจจะคิดว่าเสียในแต่ไม่ใช่…ซึ่งต่างจากมะเขือเทศซื้อที่ถ้านิ่มขนาดนี้จะออกน้ำเละไปเลย….ความน่าสนใจอยู่ตรงนี้ค่ะครูบาว่า เกิดจากความเป็นมะเขือเทศอินทรีย์?? หรือเกิดจากระยะเวลาการเก็บเกี่ยว?? หรือเกิดจากสภาพดินและอากาศของสวนป่า??
ส่วนวิธีส่งจะทำอย่างไรให้ไม่แตกและคงความสดได้…น่าสนใจจริงๆค่ะ…
เมื่อวานหมอป่วนแวะเอาหนังสือมาให้อ่านและกำชับให้ออกความเห็น..หนังสือที่เกิดจากการเอาบันทึกของหมอป่วนในลานปัญญามารวมและเรียงลำดับเข้าเล่มก่อนจะทำฉบับจริง….ยังจำที่ครูบาเคยปรารภได้ค่ะ
ลองถามเทคนิคตากพริกแห้งให้แดงสวยจากวิทยาลัยเกษตรหรือป้าจุ๋มก็ได้ค่ะพ่อ เพราะพริกที่นำมาทำน้ำพริกแกงนั้นถ้าสีสวยและปลอดภัยยังไงก็เวิร์ค
เบิร์ดจะถามเทคนิคจากทางนี้ให้ด้วยค่ะ รู้สึกจะมีระยะเวลาเก็บและลักษณะการตากแดด ร่วมกับอะไรสักอย่างนี่แหละ
ยกระดับจากผู้ผลิตขั้นต้นเข้าสู่การแปรรูปจะทำให้ทางเลือกสำหรับผลผลิตมากขึ้นเยอะค่ะพ่อ อย่างมะเขือเทศถ้ามีเยอะมากลองติดต่อที่สถาบันอาหาร ม.เกษตรศาสตร์ดูสิคะพ่อ เพราะช่องทางของพริก และมะเขือเทศนั้นมีเยอะมาก เคยเห็นเค้าแปรรูปมะเขือเทศราชินีเป็นมะเขือเทศอบแห้ง และมะเขือเทศอบแห้งสามรส ก็น่าสนใจดีค่ะ นอกจากทำซอสมะเขือเทศ น้ำมะเขือเทศ หรือสนใจสูตรน้ำสลัดอร่อย ๆ มั้ยคะ จะได้เอาไว้ทำเป็นแพ็คเก็จจิ้งสลัดผักปลอดสารขาย จะได้หาและส่งไปใ้ห้ลองทำ เพราะพี่หนึ่งเจ้าของ PN.สลัดเงินแสนที่ออกรายการทีวีเส้นทางทำกินของน้องได๋ช่อง 7 เมื่อวานเป็นหนึ่งในแม่ค้าที่ถูกปลุกปั้นมาในโครงการอาหารปลอดภัย จนเดี๋ยวนี้พี่เค้าสามารถขยายไลน์ของตัวเองไปกทม.ได้สบาย ๆ ในขณะที่ชร.ก็ยังขายสลัดอยู่ (สารภาพว่าเมื่อวานเห็นพี่เค้าออกรายการแล้วมีความสุขสุด ๆ เลยค่ะ :) )
เริ่มจะสนุกแล้วละอุ้ย อิอิ
ของเรายังมีปริมารน้อย คงต้องค่อยคิดค่อยทำไป
กินเองจนแน่ใจค่อยขยาย นะเบิร์ดนะ