ความมั่นยืนในหัวใจ

อ่าน: 2982

(ตัดต้นไม้ 2 ต้น ขยายพื้นที่ปลูกผักให้โปร่งขึ้น)

สังคมมนุษย์โลกมีมุมมองออกจากความต้องการของตนเองเป็นที่ตั้ง น้อยนักที่จะมองความมั่นคงความยั่งยืนในภาพรวม ซึ่งก็เข้าใจได้ว่าต้องเอาเรื่องปากท้องของตนเองให้รอดก่อน แต่กิเลสไม่เข้าใครออกใคร พอมีเงินความคิดก็เปลี่บน อำนาจเงินชักจูงให้ไปสู่อำนาจอื่นกลายเป็นกิเลสกองใหม่ที่ใหญ่และบ้าคลั่งยิ่ง ๆ ขึ้นไป ความละโมบทรัพยากรของโลกที่เป็นส่วนรวมของมนุษย์ทุกคนมาเป็นของส่วนตัว สมัยนี้เขายกย่องด้วยนะว่าเป็นคนเก่งมีความสามารถ ที่ดึงตัวเองไปยืนแถวหน้ายิ้มระรื่นว่าข้าแน่ ข้าเนียน ข้าโกงเก่ง เป็นตัวอย่างให้แมลงเม่าบินตามไปเป็นฝูง เมื่อมันเป็นกระแสเถื่อนที่มอมเมาคนยุคใหม่ ใคร ๆ ก็ตะเกียกตะกายเอาแบบอย่าง โลกใบนี้จึงเต็มไปด้วยศาสตร์งูกินหาง ที่สอนวิชาบูด ๆ เบี้ยว ๆ โดยแม่ปูขาเป๋ เมื่อเป็นเช่นนี้ ก็ลองตรองดูเถิดว่าสังคมมนุษยชาติจะอยู่โดยไม่ย่ำยีธรรมชาติได้อย่างไร ?

(ส่วนโคนต้นทำไม้แปรรูป)

คนเรามองความมั่นคงได้หลากหลายมิติ ความมั่นคงทางอาหาร ความมั่นคงทางวัฒนธรรม ความมั่นคงทางด้านคุณธรรม หรือความมั่นคงทางด้านสิ่งแวดล้อม และยังมีความมั่นคงกระแสหลัก กระแสรองอะไรนั่นอีกเยอะแยะ รวมทั้งวาระแห่งชาติบ้า ๆ บอ ๆ ที่ทยอยออกมาแต่ไม่เอาจริงสักเรื่อง สังคมที่มีปัญหาเรื่องความรู้ไม่พอใช้ จะ้เกิดวิกฤติบานปลายออกไปเรื่อย ๆ ที่น่ากลัวคือไม่รู้จะทำอย่างไรกับเรื่องที่ลุกลามเหมือนไฟโหมไหม้บ้านเมือง กฎหมาย กฎหมู่ กฎเมิน กดขี่ กคคอ กฎบ้า ๆ บอ ๆ ที่อ้างหลักการแล้วก็แก้ผ้าเอาหน้ารอดไปอย่างนั้นเอง เมื่อไม่มีคนจริง มันก็มีคนจ๋อย แค่นั้นแหละครับ ทำไงได้

(ส่วนปลายทำฟืน-เผาถ่าน กิ่ิ่งเล็กกิ่งน้อย-ใบ-สับทำปุ๋ย แต่เสียดายไม่มีเครื่องสับกิ่งไม้)

ผมสนใจที่ Logos นำเสนอเรื่องธนาคารต้นไม้ ที่จริงเรื่องนี้ผมคิดมาตั้งแต่ปีมะโว้แล้ว รวมทั้งเรื่องการยึดครองที่ดินต่าง ๆ นั่นด้วย เคยเสนอให้รัฐฯเอาที่ดินที่อยู่นอกเอกสารสิทธิ์ นำมาให้ประชากรทำกินได้(พลเมืองเพิ่มมากขึ้นทุกปี) และประเทศเราทำการเกษตรกรรม เคยเสนอให้รัฐเอาที่ดินที่ยังไม่มีเอกสารสิทธิ์ และเป็นพื้นที่อยู่นอกเขตที่ต้องกันไว้เพื่อส่วนรวม เช่นพื้นที่วนอุทยาน พื้นที่ต้นน้ำ พื้นที่อนุรักษ์ ฯลฯ มาให้ประชาชนเช่า แทนการออกเอกสารสิทธิ์เป็น สปก. เพราะเห็นว่าถึงพื้นที่เช่านี้จะอยู่ที่ใครยังไงก็ยังเป็นของรัฐบาล ตอนหลังรัฐก็ยอมให้เอกชนเช่านะครับ แต่จะให้เฉพาะรายใหญ่ เช่น การให้สัมปทานปลูกป่าในอำเภอชายแดนจังหวัดบุรีรัมย์ คน ๆ เดียวเช่าได้เป็นพันเป็นหมื่นไร่ พอเก็บเกี่ยวผลประโยชน์จนสิ้นซากแล้วหมดระยะสัมปทาน ตอนนี้ชาวบ้านหลายตำบลที่อยู่รอบบริเวณนั้นต่างบุกเข้ายึดครองพื้นที่ทำกินกันโฉ่งฉ่าง งัดเหตุผลมาต่อสู้กับรัฐฯอย่างถึงพริกถึงขิง เทียบกับเรื่องเขายายเที่ยงแล้วกระจอกมาก แต่ฟันธงได้ว่าเรื่องการบริหารพื้นที่ของหน่วยงานหรือองค์กรต่าง ๆ ของประเทศนี้ยังเป็นแบบปล้ำผีลุกปลุกผีนั่ง ใครมือยาวสาวได้สาวเอา ใครซวยโดนจับได้ ต้องหนีคดีเผ่นไปนอนเลียแผลที่ทะเลทรายตะวันออกกลาง

การรณรงณ์ปลูกป่าในประเทศนี้ทำกันมาพอสมควร แต่มันก็ไอ้แค่นั่นแหละ ส่วนมากจะเป็นงานโชว์หรือเป็นนิทรรศการจัดฉากต้อนรับตำแหน่งใหม่ เพื่อออกทีวีก็เยอะ พระบาทสมเด็จพระเ้จ้าอยู่หัวปลูกป่าในวังสวนจิตรลดาจนต้นยางสูงเป็นกลุ่มไม้ที่สมบูรณ์ แต่พสกนิกรตาถั่วมองไม่ค่อยเห็น แทนที่จะปลูกไม้ยืนต้นก็หันมาปลูกผักชีกันเป็นแถว ..ช่วงที่ผมริเริ่มปลูกสร้างสวนป่าใหม่ ๆ ต้องเผชิญกับโจทย์ในชีวิตที่ต้องจัดการอย่างทุลักทุเล ลองนึกดูง่าย ๆ  ชาวบ้านกี่คนสนใจจะปลูกป่าไม้เป็นอาชีพ

จะปลูกต้นอะไร

จะปลูกอย่างไร

กี่ปีัถึงจะมีรายได้

ระหว่างที่ไม่มีรายได้จะทำอะไร อยู่อย่างไร กินอะไร

การปลูกต้นไม้ต้องใช้ระยะเวลานานแค่ไหน

เงินลงทุนจะไปเอาที่ไหน

จุดคุ้มทุนอยู่ตรงไหน

คำถามพวกนี้ผมเจอด้วยตัวเองมาก่อน และได้รับคำถามซ้ำ ๆ เหล่านี่สักหมื่นครั้งได้ล่ะมั๊ง ในช่วงที่เป็นวิทยากรเดินทางไปขายขี้เท่อทั่วประเทศ และในงานสัมมนาทางวิชาการทุกระดับ ผมเริ่มตั้งต้นตระเวนไปดูงานตามสวนป่าของกรมป่าไม้ที่สำคัญ ๆ ทั่วประเทศ รวมทั้งของ ออป. ก็ไปดูด้วยตาตนเองมาหลายแห่ง ท่านก็คงทราบนะครับว่าสวนป่าของรัฐเกิดขึ้นได้เพราะเงินงบประมาณแผ่นดินทุ่มลงมาในแต่ละปี ซึ่งก็ไม่ใช่น้อยเลยนะ (มีคนคำนวณว่าต้นละกว่า 100 บาท) แต่ถ้ามาดูการปลูกสร้างสวนป่าภาคเอกชนบ้าง ทุกอย่างชาวบ้านต้องควักกระเป๋าลงทุนเอง นอกจากรัฐฯจะไม่ช่วยเหลือแล้ว ยังมีกฎหมายมาถ่วงจำเพาะอย่างเหลือเชื่อ นโยบายทุกฉบับเขียนสวยหรูแต่ในทางปฏิบัติตรงกันข้าม ยกตัวอย่างแค่ผมจะเผาถ่านไม้ที่ตัวเองปลูกไปขายนี่แหละ อย่านึกว่าจะทำได้ง่าย ๆ นะครับ ต้องไปขึ้นทะเบียน ต้องไปแจ้งเจ้าหน้าที่ให้มาตรวจไม้ก่อนเข้า - ออกเตาทุกครั้ง จะขนส่งถ่านข้ามจังหวัดต้องไปขอใบอนุญาตสารพัดจะจิ้มก้อง ถ้าจะตั้งโรงงานแปรรูป โห!นี่เรื่องคอขาดบาดตายเชียวแหละถ้าไม่จ่ายทั้งข้างบนข้างล่าง นึกดูเถิดกว่าจะปลูกไม้โตให้พอเก็บเกี่ยวประโยชน์ได้บ้าง ก็มาเจอก้างขวางคอ เจอหมาหวงรางอีกยุบยับ อีกเรื่องหนึ่งที่ตลกมาก..คนปลูกป่าไม้จำเป็นต้องมีเลื่อยยนต์ไว้ตัดต้นไม้ใช่ไหมครับ แต่กฎหมายประเทศนี้ห้ามประชาชนมีเลื่อยยนต์ ใจคอจะให้ให้ชาวบ้านใช้มีดใช้ขวานตัด มันทุเรศทุรังสิ้นดี เลื่อยยนต์ที่มีเกร่อเป็นเลื่อยเถื่อนที่ตำรวจไปไล่จับมาทั้งนั้น จับมาแล้วบางคนก็งุบงิบเก็บของกลางเอาไว้ให้พวกมอดไม้เช่าไปทำมาหากินแบ่งกัน อาชีพปลูกสร้่างสวนป่าในประเทศนี้ยุ่งยากกว่าการขายยาบ้าเสียอีก แล้วอย่างนี้เมื่อไหร่จะมีคนมาเสี่ยงปลูกป่าละครับ ส่วนมากจะหันไปทำสวนยางพารา สวนปาล์ม แต่เรื่องสวนป่าเมินเสียเถอะ เพราะเขาชอบฮุบป่ามากกว่าที่จะมาลงทุนปลูกป่า จะมีให้เห็นบ้างก็แต่ป่าที่พระวัดป่าดูแลรักษา ส่วนป่าที่เจ้าหน้าที่ของรัฐฯดูแลเหลือแต่ตอ บอกให้เปลี่ยนชื่อใหม่เป็นกรมตอไม้ ก็โกรธอีกแน๊ะ

ถามว่าทำไมไม่เสนอปัญหาเหล่านี้ระดับนโยบาย เรื่องแบบนี้ถ้าท่านไม่เจอด้วยตัวเองจะไม่ทราบซึ้งถึงกระดองใจหรอกนะครับ กว่าจะส่งเรื่องผ่านไปทีละโต๊ะ กว่าจะมีการพิจารณา กว่าจะเสนอกฎหมายเข้าสภา กว่าจะกรรมมาธิการมาพิจารณา  รัฐบาลก็ล่มจบเห่ทุกๆ1-2 ปี กว่าจะมีรัฐบาลใหม่เข้ามารับช่วง ยังไม่ทันไรรัฐบาลก็ตกกระป๋องไปเสียแล้ว เลยจัดการอะไรไม่ได้สักอย่าง ปล่อยให้พระราชบัญญัติแห้งเหี่ยวคารังคาซังอยู่อย่างนี้ กฎหมายป่าไม้บางฉบับชราภาพจนปู่เรียกพี่ ดังนั้นเวลาพูดถึงนโยบายส่งเสริมการปลูกป่า การอนุรักษ์ธรรมชาติ การดูแลโลกร้อน หรือแม้แต่ธนาคารต้นไม้นี่ก็เถอะ มันก็เหมือนจำอวดคณะใหม่ ๆ ที่หลงโรงมานั่นเอง หาคนรับผิดชอบเป็นเจ้าภาพตัวจริงเสียงจริงไม่ได้หรอก สภาพสังคมลิงหลอกเจ้ามันเป็นเช่นนี้เองนะขอรับ..

ย้อนมาเมื่อปี 2522 ผมคิดจะปลูกป่าแล้วนะ ผมมีที่ดินเสื่อมโทรมจากการปลูกพืชเชิงเดี่ยว มีสภาพเป็นที่แห้งแล้งดินทรายสุดโหด ฝนตกมาเก็บน้ำไม่ได้ ขุดสระน้ำก็เก็บน้ำไม่ได้ ขุดบ่อก็ไม่ได้เพราะระดับน้ำอยู่ลึกมาก ต้องเอาเกวียนไปบรรทุกน้ำใส่ถัง 200 ลิตรมาใช้ ระยะทางไปกลับ 10 ก.ม. อ้อ!มีเงินที่แม่ให้มา 30,000 บาท นี่คือต้นทุนแท้ ๆ จะที่สู้ชะตากรรมกับผืนดินแห่งนี้ หลังจากไปตระเวนดูงานมาแล้ว ผมก็มานั่งเขียนโครงการจะกู้เงินธนาคาร เอาตัวเลขการลงทุนรายรับรายจ่ายคำนวณเสร็จสรรพ (ซึ่งมันก็ดูสมเหตุสมผลและดูดีเชียวแหละ) นึกว่าจะมีใครชื่นชมที่มีคนคิดบ้าปลูกต้นไม้ ผมเที่ยวไปยื่นทุกธนาคาร บางธนาคารก็ส่งคนมาดู บางธนาคารเขาก็เรียกไปคุย  ..ได้คำตอบตรงกันแป๊ะ ครงการนี้น่าสนใจมาก ..แต่ธนาคารเรายังไม่มีนโยบายปล่อยสินเชื่อประเภทนี้ แหม..หาประตูออกแทบไม่เจอเลยละครับ

พึ่งแมวที่ไหนไม่ได้ มันก็ต้องพึ่งตัวเองนี่แหละชัวส์ที่สุด เลือดเข้าตาแล้ว ผมเรียกลูกน้องมือขุดหนูเก่ง ๆ มา ทำไมถึงเรียกพวกนี้ ท่านลองไปถามนักขุดหนูดูก็แล้วกัน จอมปลวกใหญ่ ๆ ที่เต็มไปด้วยรากไม้และดินแข็งโปก พวกนี้ลุยขุดตามรูหนูที่คดเคี้ยวมีทางหนีทีไล่ให้ปวดขมอง กว่าจะไล่ไปที่ละรู กว่าจะเจอตัวหนูบางทีจอมปลวกใหญ่กระจัดกระจายไม่มีชิ้นดี เมื่อเลือกฝีมือชั้นนี้เอามาขุดบ่อน้ำจึงเชื่อใจได้ แต่ก็อีกนั่นแหละ ขุดเท่าไหร่ก็ไม่เจอน้ำ โยงดินจนปวดไหล่ปวดไปทุกเส้นเอ็นก็ไม่เจอน้ำ น้ำ น้ำ ใครไม่เคยเสาะแสวงหาน้ำแบบความหวังเลือนรางไม่มีทางเข้าใจหรอก

ถึงลูกน้องจะท้อแต่ผมไม่ถอยหรอกนะครับ

เฮ้ย! ขุดแค่นี้ทำสำออยศรีไปได้

ย้ายที่ขุดใหม่

คราวนี้ขุดปากหลุมกว้าง ๆ ลงลึก ๆ จะได้มีอากาศหายใจสะดวก

ดินสวนป่าเป็นดินทรายแดงชุดโคราช มีความแข็งเป็นธรรมชาติ ดีตรงที่ขุดบ่อดินพังแน่นอน แต่ดินก็แข็งพอ ๆ กับที่ชดเชยการไม่ยุบตัวนั่นแหละ ต้องเพิ่มจำนวนคน ใช้รอกโยงดินขึ้นมาถังแล้วถังเล่า จากวันแรกถึงวันที่ 10 ขุดได้ลึกประมาณ 9 เมตร เซียนทะลายจอมปลวกเอ็ดตะโรขึ้นมาจากก้นบ่อ

“เฮีย ๆ จบ ๆ เลิกเลย ผมขุดเจอหินแข็งโป๊ก ขุดต่อไม่ได้หรอก”

เมื่อเจอตอ..ผมก็หวั่นใจอยู่บ้าง ทำไมปัญหามันตามมารังควานเราไม่ลดราวาศอกเสียเลย จึงลงไปดู โห อากาศข้างล่างนี่ร้อนอบอ้าวมาก ไปนั่งงงอยู่อึดใจ ลองเอาชะแลงแซะหินดู อ้าวมันเป็นหินดานนี่หว่า กระแทกแรง ๆ ก็พอเจาะเข้าไปได้บ้าง รู้แล้วก็ปีนขึ้นมานั่งหอบอยู่ปากบ่อ คุยกับเซียนขุดที่กระปลกกระเปลี้ยกันเต็มที  นักสู้หน้าเหลืองทั้งทีม บางคนก็ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อถึงกับจับไข้ ผมจัดการไล่เงินจ่ายค่าแรงบัดเดี๋ยวนั้น บอกว่ากลับบ้านได้ อีก 5 วันนัดเจอกันใหม่ อย่าเบี้ยวเสียละ เจ้าปากไวถามว่า..

“เฮียจะให้ทำอะไร”

“เออน่ะ..มาเดี๋ยวก็จะรู้เอง”

มันบ่นกระปอดกระแปด “..กูว่าแล้ว ขุดไม่ได้ ๆ ก็ดื้อ”

ครบกำหนดเซียนขุดมาพร้อมหน้าพร้อมตา ดูหน้าตาสดชื่นครึกครื้นกันทุกคน

ผมบอกว่า เมื่อเช้านี้ได้ทำพิธีเซ่นเจ้าที่เจ้าทาง

ว่าแล้วก็ชวนกันร่วมวงเจี๊ยะหัวหมู เป็ดไก่ สุราอาหารกันครื้นเครง

ก่อนจะเมาเจ้าปากไวถามว่า

“เฮียมีงานอะไรให้พวกผมทำต่อไหม”

“มีสิ พรุ่งนี้มาขุดบ่อต่อ”

“ฮ้า!”

แทบหายเมาเลยละครับ พวกนี้ทำหน้าเหรอ คงนึกในใจว่าผมนี่ดื้อฉิ.. ผมคิดว่าลงทุนลงแรงไปแล้วมันต้องตามให้ถึงที่สุด ถามตัวเองว่าขุดบ่อนี้ถึงที่สุดแล้วยัง เมื่อมันยังขุดได้ก็ขุดต่อนะสิ ผมแนะให้ใช้เหล็กแชลงเจาะเป็นจุดเล็กๆก่อน เพราะไม่แน่ใจว่าชั้นหินดาลไปลึกเท่าไหร่ เจ้าพวกนักขุดรับไปปฏิบัติ ค่อย ๆ แซะหลุมลึกลงไปได้ประมาณ 1 ฟุต ก็ทะลุชั้นหินดาล เฮ้อ..แบบนี้ค่อยมีกำลังใจหน่อย ผมลงไปดูอีกรอบ แล้วบอกให้จอมขุดเจาะให้หินแตกออกทั้งแผ่น พวกเราต่างคิดว่ายังไง ๆเจาะทะลุหินนี้ต้องเจอน้ำแน่ ๆ จากที่เหนือย ๆ ก็ขมีขมันร้องฮุยเลฮุย..เร่งรีบโยงหินขึ้นมาจนหมด แต่วิบากกรรมยังไม่สิ้น แทนที่จะเจอน้ำ เจอแต่ดินทรายขาวเหนียวเล็กน้อย

..ปัญหาอยู่ที่ว่าจะคุยกับลูกน้องอย่างไร ทุกคนอยากจะจบเพราะหมดกำลังใจ ขุดหนูยังเห็นหางหนู แต่ขุดบ่อไม่เห็นอะไร เหนื่อยมากแถมยังหวังอะไรไม่ได้เลย ผมบอกใ้ห้เจ้าคนที่อยู่ข้างล่างขึ้นมา นั่งพักเหนื่อยแล้วคุยกัน เจ้าปากไวถามว่า ผมหายข้องใจแล้วยัง บอกก็ไม่เชื่อว่ามันไม่มีน้ำ ไม่มีน้ำ..หลังจากปลอบโยนให้กำลังใจแล้ว ให้ทุกคนกลับบ้านได้เร็วขึ้นกว่าทุกวัน แล้วนัดว่าพรุ่งนี้มาเจอกันใหม่ เจ้าปากไวถามว่าจะให้ทำอะไร..

วันรุ่งขึ้น ไม่มีงานใหม่ มีแต่งานขุดต่อ ๆ ไป..ทุกคนทำงานแบบเหงา ๆ เหนื่อยมากขึ้นเพราะต้องโยงดินระยะยาว ทั้งหนักอึ้งและหนักใจ แต่ยังไง ๆ ก็โยงก็ขุด เกไพ่หมดหน้าตักมันก็ต้องตามไปดูสิ..หลังจากตะลุยกันวันสุดท้าย ขุดลงไปได้อีกประมาณ 2 ฟุต มีน้ำซึมออกมาเรื่อย ๆ แต่ไม่มีตาน้ำผุดเหมือนบ่อในหมู่บ้าน แค่ได้น้ำซึมบ่อทรายนี้ผมก็ดีใจแทบตายแล้ว ปล่อยทิ้งไว้หนึ่งคืน รุ่งขึ้นไปวัดปริมาณน้ำ มีน้ำท่วมปากปิ๊บ แค่นี้ก็เป็นพระคุณอย่างที่สุดแล้วละครับท่านเจ้าที่เจ้าทาง

ผมรักบ่อประวัติศาสตร์นี้มาก นัดลูกน้องมาเอาท่อซีเมนต์หลายสิบท่อนลงไปตบแต่งให้ถาวร แล้วก็ได้ใช้น้ำที่เปรียบเสมือนน้ำทิพย์นี้เพาะต้นไม้ ผมเลือกเพาะต้นไม้หลายชนิด แต่เพาะต้นยูคาลิปตัสมากเป็นพิเศษ เพราะต้องการปลูกเป็นไม้เบิกนำ คุณสมบัติทนต่อความแห้งแล้ง ไม่มีฝนไม่ต้องใส่ปุ๋ยก็โตได้ เรียกว่าปลูกแล้วไม่เสี่ยง อย่างน้อยพื้นที่โล่งโจ้งที่เสื่อมโทรมนี้ก็จะมีต้นไม้ขึ้นทอดยอดเขียวๆให้เห็น ผมก้มหน้าก้้มตาปลูกท่ามกลางเสียงค่อนแคะทั่วประเทศ ยูคาฯมันไม่ดีอย่างนั้นอย่างนี้ มันกินน้ำกินปุ๋ย มันเสียดิน มันๆๆๆร้อยแปดพันเก้า ผมนึกในใจว่าพวกคุณพ่อรู้ดีเหล่านั้นเคยปลูกยูคาลิปตัสมาสักกี่ต้น และเขาจะมารักห่วงใยที่ดินของผมมากกว่าผมอย่างนั้นหรือ ทุกอย่างจบที่การเรียนรู้ ในโลกนี้ไม่มีอะไรเลวสุดโต่งและเลิศประเสริฐศรีจนไม่มีที่ติ ขึ้นอยู่กับว่าเราจะบริหารข้อเท็จจริงกันอย่างไร

ยูคาฯมันกินน้ำมาก

ผมถามว่ากินน้ำแล้วมันมีขาเดินหนีไปที่อื่นหรือ

น้ำที่มันกินไปอยู่ที่ไหน

ถ้ากินแล้วมันยังอยู่บนที่เราก็ให้มันกินมากยิ่งดี

น้ำฝนมันจะได้ไม่ไหลทิ้งเปล่าประโยชน์

เลือกระหว่างปล่อยให้ดินที่เสื่อมโทรมว่างเปล่า

กับการที่มีต้นไม้ขึ้นอย่างไหนจะดีกว่ากัน

ที่เลือกปลูกยูคาฯเพราะมันมีรายได้เร็ว (4-5ปี)

ทำให้เรามีศักยภาพที่จะปลูกไม้ชนิดที่ต้องรอนาน ๆ ได้

ชาวบ้านไม่มีเงินถุงเงินถุงมาลงทุน ไม่มีรัฐบาลอุดหนุนเหมือนของต่างประเทศ

จึงต้องออกแบบปลูกต้นไม้ที่พอมีรายได้ระยะสั้น-กลาง-ยาว และปลูกไม้ติดแผ่นดินได้

ผมไม่ได้บ้าปลูกยูคาฯอย่างเดียวหรอกนะครับ นักปลูกต้นไม้ทุกคนในโลกนี้ ย่อมสนใจที่จะปลูกต้นไม้นานาชนิด พวกวิญญาณป่าเข้าสิงจะเป็นอย่างนี้ทั้งนั้น จะรักการปลูกมากกว่าการวิพากษ์วิจารณ์โดยไม่ดูตาม้าตาเรือ ระยะทางระยะผ่านผมได้เรียนผิดเรียนถูกมาอย่างสนุก ทุกวันนี้ต้นไม้ที่มีอายุ25ปีขึ้นไป ต่างผลิดอกออกผลให้เราเก็บเมล็ดขยายพันธุ์ได้มากขึ้นๆ กลุ่มแม่ไม้พันธุ์ดีเป็นพื้นที่แห่งความหวัง เป็นรางวัลแห่งความเหนื่อยยากที่ต้องใช้เวลามาค่อนชีวิต ค่ำคืนนี้กลิ่นดอกลำดวนโชยมาถึงในห้อง เผลอสูดหายใจแรงด้วยความสุข ไม่เรียกร้องไม่ร้องขอแม่ดอกลำดวนก็ตอบแทนบุณคุณไม่อั้นนับแต่นี้ไป แล้วยังไม้ชนิดอื่นๆอีกละ ต้นวาสนาเพิ่งจะโรยราดอก วันนี้ดอกแก้วช่อขาว ๆ ก็มารับช่วงแทน ส้มโอเจอฝนแตกตุ่มดอกเต็มต้น อีกหน่อยก็คงจะบานแล้ว กลิ่นดอกส้มโอนั้นหอมลึกซึ้งนัก น้ำหอมยี่ห้อไหนในโลกก็ชิดซ้าย..

ด้วยอานิสงส์ของเทพารักษ์ที่สิงสถิตอยู่ในต้นไม้

ทำให้ผมได้รับรางวัลพระราชทานจากพระหัตถ์พระบาทสมด็จพระเจ้าอยู่หัว

ในฐานะเกษตรกรดีเด่นแห่งชาติ สาขาปลูกสร้างสวนป่า

ได้รับรางวัลจาก FAO.

ได้โล่จากกรมป่าไม้

ได้รับเชิญให้ไปตระเวนดูงานป่าไม้ที่ออสเตรเลียครึ่งทวีป

ในระยะหลังได้เจอจอมยุทธนักปลูกป่าทั่วโลก

(ดอกบัว-ผัก ปลูกในถังติดล้อเลื่อน อยากจะชมจะชิมใกล้ๆก็เลื่อนเข้า-ออกได้)

ถามว่ามีความมั่นคงในชีวิตไหม

ขึ้นอยู่กับการตีความ..จะเอาให้มั่นคงแบบไหนละ

..มีต้นไม้ก็มีความมั่นคงสิ ในเมื่อต้นไม้ให้ทุกสิ่งทุกอย่างแก่เราโดยไม่มีเงื่อนไข

ผมจึงรักต้นไม้ยิ่งกว่าน้องเมีย..

และสิ่งหนึ่งที่ดีใจที่สุดในชีวิต..

นกยูงมาอยู่ด้วยคู่หนึ่ง เช้า-สาย-บ่าย-เย็น-เธอก็จะเดินมาอวดแววหาง

บางวันก็ร้องกะโต้งโหงเสียงก้องไปทั้งพงไพร

ตอนนี้มีน้ำ มีดอกบัว มีผักหลายชนิด มีอินเตอเน็ท มีเครือญาติชาวเฮ แล้วจะเอาอะไรอีกละ

เรื่องเหล่านี้ละเอียดอ่อน เขียนเล่ายังไงก็ไม่จบ

ยกยอดไว้คุยตอนครูอึ่งพาเพื่อน ๆ มาที่นี่ดีกว่านะ

Key word ถ้าเราเป็นที่พึ่งของต้นไม้ ต้นไม้ก็จะเป็นที่พึ่งที่ดีที่สุดให้เรา

อย่างน้อยตายไปก็ยังมีฟืนเผา

เหงามาก็ยังมีดอกไม้เป็นเพื่อน

แคว๊กๆ

« « Prev : มุมตัวเอง

Next : คนเผาถ่าน » »


ผู้ใช้ Facebook สามารถให้ความเห็นที่นี่ได้ โดยกด Like เพื่อแสดงตัว

20 ความคิดเห็น

  • #1 dd_l ให้ความคิดเห็นเมื่อ 27 มกราคม 2010 เวลา 7:45

    ครูบาคะ  ได้อ่านเรื่องราวเหล่านี้ยามเช้า ช่วยเติมเรียวแรงและปัญญาให้อีกมาก
    อ่านไปก็คิดถึงบรรยากาศที่ได้มาอาศัยร่มเงาของผลงานที่ครูบาทุ่มเทชีวิตสร้างมา  ทำให้เห็นภาพ เห็นคุณค่า เห็นเบื้องหลังของการต่อสู้ชีวิตได้มากมาย

    นึกถึงเวลาที่ครูบาเล่า  เรื่องราวมักจะเจือด้วยเสียงหัวเราะฮ่าๆ  แต่ถ้านึกถึงเวลาที่เผชิญกับสิ่งที่ครูบาเล่าแล้ว  การจะผ่านมาได้ต้องอาศัยหัวใจที่เด็ดเดี่ยว  กล้าหาญ  มุ่งมั่น ฯลฯ  อย่างยิ่ง

    ส่วนใหญ่..ใครๆ  ก็มักจะมองแต่ความสำเร็จ  และผลงานปลายทางที่ปรากฏนะคะ  แต่กว่าจะมาถึงความสำเร็จ  มีรายละเอียดและขั้นตอนต่างๆ มากมาย  กว่าจะได้เห็นผล   มีความล้มเหลวกี่ครั้ง..ที่ต้องฉุดดึงตัวเองให้ลุกขึ้น และเดินต่อไป หรือ ปรับเปลี่ยนวิธีใหม่  กว่าจะได้เห็นหนทางสู่ความสำเร็จ  ต้องมีลูกฮึดอีกกี่ครั้ง  ที่จะสร้างเรี่ยวแรงให้เดินไปตามหนทางนั้น  ใช้จิตใช้ใจเช่นใดหรือ จึงก้าวข้ามผ่านอุปสรรคมาได้

    จะมีใครสักกี่คนที่ยิ้ม..และขอบคุณความล้มเหลว  แถมยังแบ่งปันเรื่องราวอันเป็นบทเรียนให้คนอื่นได้รู้อย่างสนุกสนาน เฮฮา

    นึกถึงเพื่อน พี่ น้อง “บ้านมกรา”ที่สนใจในชีวิต  จึงชวนให้มาเรียนรู้ชิวิตที่ยิ่งใหญ่ที่สวนป่า..  ขอบพระคุณครูบาที่โหมโรงให้อย่างที่อยากจะเร่งวันคืนให้ถึงเดือนพฤษภาคมเร็วๆ เหลือเกินค่ะ

  • #2 สาวตา ให้ความคิดเห็นเมื่อ 27 มกราคม 2010 เวลา 7:59

    ชอบบันทึกนี้มากๆ ดีใจที่พ่อครูเขียนออกมาค่ะ นึกอยู่มานานแล้วว่าเรื่องอย่างนี้แหละที่พ่อครูน่าเขียนออกมารวมเล่ม

  • #3 น้ำฟ้าและปรายดาว ให้ความคิดเห็นเมื่อ 27 มกราคม 2010 เวลา 9:21

    แหมเด็ดดวง…ต้องอย่างงี้สิคะพ่อ ^ ^
    25 - 28 กพ.ไปไม่ได้แล้วล่ะค่ะ เพราะมีคนจองคิวให้เป็น Note Taker ทำ KM ในวันที่ 26-27 กพ. ซึ่งเจาะจงจองตัวมาตั้งแต่เดือน ธค. …ส่งใจไปช่วยนะคะ สู้ ๆ ๆ

  • #4 sutthinun ให้ความคิดเห็นเมื่อ 27 มกราคม 2010 เวลา 10:02

    เขียนไปเรื่อยๆ เหนื่อยก็จบ เ้อาไว้เล่าต่อตอนครูอึ่งกับอุ้ยมา อิอิ

  • #5 sutthinun ให้ความคิดเห็นเมื่อ 27 มกราคม 2010 เวลา 10:04

    เขียนอย่างนี้บางคนก็ไม่ชอบหรอกนะครับหมอเจ๊
    เขาหาว่าไปแหย่รังแตน
    กระเทือนซางคนอื่น
    แคว๊กๆ

  • #6 sutthinun ให้ความคิดเห็นเมื่อ 27 มกราคม 2010 เวลา 10:08

    แหม พอรู้ว่าหมอเบริร์ดมาไม่ได้  โลกนี้เฉาไปครึ่งหนึ่ง
    เอายังงี้ไหมละวันที่ 27 ออกจากห้องประชุมบึ่งมาเลย
    เราจะเลี้ยงฉลองกันตอนเย็นๆ
    หน่วยงานไหนนะมาตัดหน้าชิงคนยิ้มหวานไปจากเราำได้
    โอ้หนอ..แม่ดอกจำปา ถ้าแม่เบี้ยวมา จะฮัดฉ่า ฮัดเช้ย เอ๋ย
    แคว๊กๆ

  • #7 sutthinun ให้ความคิดเห็นเมื่อ 27 มกราคม 2010 เวลา 10:10

    ส่งข่าวถึงตาหวาน มีคำสะกดผิดเยอะ ว่างตอนไหนช่วยแก้ให้ต๊วยเน้อ แคว๊กๆ

  • #8 krupu ให้ความคิดเห็นเมื่อ 27 มกราคม 2010 เวลา 10:13

    ทำเช่นไรผลเป็นเช่นนั้นจริง ๆ นะคะพ่อ ถ้ายังไม่มีความรู้ความเข้าใจก็คง
    ยังไม่มีการเปลี่ยนแปลงหรอกเนอะคะ คุณภาพของสิ่งแวดล้อม ระดับของ
    การพัฒนาการในเรื่องต่าง ๆ ของสังคม คุณภาพชีวิตที่เรา ๆ ได้รับกันอยู่
    ถือเป็นกรรมส่วนรวมของพวกเรากันเองแหล่ะเนอะ ต้องมีคนตื่นมากกว่า
    คนหลับ ต้องมีคนรู้มากกว่าคนไม่รู้และต้องมีคนลงมือทำจริง ๆ เสียด้วยนิ
    แบบพ่อนี่งายย…
    แถมยังเขียนๆ คัน ๆ ช่วยกันตีฆ้องร้องป่าวทู๊กวันอีกต่างหากอีกแนะ :P

    ตาหวานบอกไม่ว่าง ให้แห้วหวาน เอ๊ย ยิ้มหวานแก้แทนไปก่อนนะ พ่อนะ
    ฮิ๊ว………

  • #9 sutthinun ให้ความคิดเห็นเมื่อ 27 มกราคม 2010 เวลา 11:39

    ดีๆ ที่รู้จักช่วยกันทำมากิน เอ๊ยช่วกกันแก้ ไม่งั้นเขาจะเรียกว่ายุคการมีส่วนร่วมรึ แคว๊หกกกกกกกกกกกกก

  • #10 Lin Hui ให้ความคิดเห็นเมื่อ 27 มกราคม 2010 เวลา 13:30

    อดทนไม่ทนอดเป็สุดยอดเทนนิคบริหารลูกน้อง แบบคนจีนกองทับเดินด้วยท้อง สมองไม่หยุดนิ่ง ยิ่งทำยิ่งได้ๆ มากกว่าแค่ตามองเห็น คนธรรมดาใช้ตามองเห็น คนมองเป็นไม่ต้องต้องใช้ดวงตา ประสบการณ์กว่าจะได้ มันต้องแรกกับความมุ่งมั่นอดทน ความยากลำบากที่สุดทำมาแล้ว ที่เหลือมันก็เรื่องง่ายๆทั้งนั้นค่ะครูบา

  • #11 ป้าหวาน ให้ความคิดเห็นเมื่อ 27 มกราคม 2010 เวลา 14:11

    มาเรียน..รู้  มาเรียน…รับ  มาคำนับ..พ่อครูของพวกเราค่ะ 
    ดีใจจริงที่มีวาสนาได้รู้จัก  ลานปัญญา แคว๊กๆๆ 

  • #12 Panda ให้ความคิดเห็นเมื่อ 27 มกราคม 2010 เวลา 14:29

    บทเรียนจากชีวิตจริง ยิ่งกว่านิยาย…..ขอบคุณ ๆ ที่มีวาสนาได้เรียนรู้

  • #13 bangsai ให้ความคิดเห็นเมื่อ 27 มกราคม 2010 เวลา 16:07

    ..ได้คำตอบตรงกันแป๊ะ โครงการนี้น่าสนใจมาก ..แต่ธนาคารเรายังไม่มีนโยบายปล่อนสินเชื่อในเรื่องนี้ แหม..หาประตูออกแทบไม่เจอเลยละครับ

    เฮ่อ   ธนาคาร…..  น้องสาวก็ทำงานธนาคาร หลานก็ทำงานธนาคาร ญาติหลายคนก็ทำงานธนาคาร แต่ผม…มีอัคติกับ…..ธนาคาร เรื่องมันเป็นยังงี้ครับพ่อครูบาฯ

    เพื่อนรักผมคนหนึ่งเขาเป็นคนเก่งรอบด้าน พูดเก่ง เขียนเก่ง เล่นดนตรีได้ เป็นนักคิด นักวิทยากร และทำงาน NGO คบคนได้ทุกชั้น คนอะไรเก่งไปหมด… วันหนึ่งนักธุรกิจเมืองใหญ่เมืองหนึ่งอยากกู้เงินธนาคารมาทำธุรกิจอย่างหนึ่ง  แต่เขียนโครงการไม่เป็น เคยเขียนแต่ไม่ผ่าน  บังเอิญเพื่อนผมคนนี้เขารู้จักกันกับนักธุรกิจหนุ่มคนนั้น ทั้งๆที่ครอบครัวก็มีเงิน แต่หลักการนักธุรกิจชอบที่จะกู้มากกว่าควักกระเป๋าตัวเอง

    เพื่ออาสาเขียนให้ เสนอครั้งเดียวผ่านฉลุย…. ผมว่า ไอ้หมอนี่เก่งจริงๆ

    ย้อนกลีบไปชนบท เราทำงานกับชาวบ้านมาทั่วบ้านทั่วเมือง เรารู้เต็มอกว่า ชาวบ้านมีหนี้สิน และจำนวนมากที่เป็นหนี้เพราะภัยธรรมชาติ หนี้สินก็พอกพูนมา ทำเรื่องขอกู้ธนาคาร ก็มาสอบแล้วสอบอีก ไม่ผ่าน กี่ครั้งก็ไม่ผ่าน  ทั้งๆที่เราเองก็ไปอธิบายให้เขาด้วย เพราะชาวบ้านพูดไม่เก่ง…. อย่างไรก็ไม่ได้ ก็ไปจมอยู่ที่ ธกส. มีเงื่อนไขมากมาย ต้องรวมกลุ่ม ต้อง…..ต้อง…..ต้อง….. เราเองทำงานกับชาวบ้านเรารู้ว่าใครมีนิสัยอย่างไร ก็มาแล้วท่าทางรอดหรือไม่รอด เราเองก็รู้  แต่คำพูดเราไม่มีน้ำหนัก เบาเหมือนนุ่นถูกพายุนากิสพัด

    แต่หันมาดูเพื่อนเขียนโครงการให้นักธุรกิจกู้ ผ่าน……….

    ท่านทราบไหมว่า เงินที่กู้เอาไปทำอะไร

    มั…เอาไปทำ “โมเต็ล” ครับ   เวรเอ้ย…….

    เงินในธนาคารเอาไปสร้างความบัดซบให้สังคมต่อไปอีก แต่ชาวบ้านจะเอามาส้รางเนื้อสร้างตัว ปลูกข้าวกรอกปาก ไม่ได้ ด้วยเหตุผลวิชาการทางเศรษฐศาสตร์ การเงิน  ที่เรียนมาจากสถาบันการศึกษามีชื่อเสียง   คิดไปคิดมา สถาบันนั่นสร้างวิชาการไปหนุนเนื่องใครกัีน…..

    จ๊ากสสสสส เดี๋ยวความดันขึ้น  อิอิ 

    ชอบบันทึกพ่อครูบาครับ

  • #14 sutthinun ให้ความคิดเห็นเมื่อ 27 มกราคม 2010 เวลา 18:47

    ขอบคุณอาจารย์หลินฮุ่ยที่ช่วยให้กำลังใจ แคว๊กๆ

  • #15 sutthinun ให้ความคิดเห็นเมื่อ 27 มกราคม 2010 เวลา 18:49

    อ้าวป้าหวานก็มา อาจารย์แพนด้าก็มา ท่านบางทรายก็มา เชียร์คนขายถ่าน เอิ๊อกๆๆ

  • #16 อัยการชาวเกาะ ให้ความคิดเห็นเมื่อ 27 มกราคม 2010 เวลา 21:02

    นี่แหละครับ เขียนเป็นตอนเริ่มตั้งแต่ขุดหลุม ไปเรื่อยๆแล่วรวมเล่มผมว่าน่าจะเป็นหนังสือที่ทำยอดขายถล่มทะลายเลยเชียวครับ ให้มันรู้ซะมั่งว่าไผเป็นไผ แคว๊กๆ
    ผมเขียนอุทธรณ์ตอนเป็นอัยการศาลสูงว่า “แม้จะมีกรมป่าไม้มานาน แต่ป่าไม้ก็หดหายไปเรื่อยๆ” อิอิ ตอนนี้มีเรื่องรบอีกแล้ว ที่ดินอยู่ในเขต ส.ป.ก. ฟ้องไปแล้ว อยู่ๆ ส.ป.ก.บอกว่าขอถอนฟ้อง เล่นเอาพวกเราร้องเฮ้ย…ถามไปที่เลขาฯ ส.ป.ก. ท่านก็ร้องเฮ้ย ถอนฟ้องไม่ได้ มันจบไปแล้วนึกว่าจะจบ ผมตรวจสอบ ส.ค.๑ พบว่าบินมาแน่นอน เตรียมพร้อมสู้คดีกันต่อๆ อยู่ๆพ่อเจ้าประคุณป่าไม้ มาบอกว่าให้อัยการช่วยร้องสอดว่าเป็นที่ป่าไม้ให้ที  โถ…คงนึกว่าพวกผมโง่กระมัง…เพราะถ้าร้องสอดว่าเป็นที่ป่าไม้ ก็เท่ากับว่าคดี ส.ป.ก.ก็ต้องถูกยกฟ้องโดยปริยายเพราะไม่ใช่ที่ของ ส.ป.ก. เหตุทึ่เป็นอย่างนี้เพราะมีการสร้างโรงแรมไปแล้ว  รบกับพวกบุกรุกก็ไม่เหนื่อยกับการรบกับเจ้าหน้าที่ของรัฐที่ทำอย่างนี้ เฮ้อ….

  • #17 sutthinun ให้ความคิดเห็นเมื่อ 28 มกราคม 2010 เวลา 6:07

    เรามาทำหน้าที่คนไทย ช่วยเหลือประเทศไทยตามสไตล์ชาวฮา แบบที่ท่านอัยการจัดการอยู่นี่ก็ดีนะครับ
    เจ้าหน้าที่ป่าม้วย จะได้รู้ว่า ไผๆๆๆ..ยึดมั่นในหลักการ และทำงานให้ประเทศไทย ไม่ได้รับใช้ใคร
    อ่านเรื่องการรุกที่ดินแล้วสนุก รุกไปรุกมาก็เหลิง มาเจอตอเสียบ้าง จะได้รู้ว่าตออัยการไม่เหมือนตอใคร
    -วันที่ 29 สสสส1 นัดรวมพลคนหน้าเดิมพี่บ้านพี่ติ๋ม จะมาได้ไหมครับ เห็นว่างานนี้ไม่จัดแบบปกติแน่ๆ  แคว๊กๆ

  • #18 อัยการชาวเกาะ ให้ความคิดเห็นเมื่อ 28 มกราคม 2010 เวลา 16:31

    ผู้ตรวจราชการท่านมาตรวจราชการวันที่ ๒๙ มกรา พอดีเลยครับเสียดายมากๆเลย แต่ต้องอยู่เพราะต้องนำเสนอผลงานครับ

  • #19 sutthinun ให้ความคิดเห็นเมื่อ 28 มกราคม 2010 เวลา 18:23

    เสียดาย ๆๆ เพื่อนคงถามหาตรึม แคว๊กๆ

  • #20 ออต ให้ความคิดเห็นเมื่อ 29 มกราคม 2010 เวลา 11:04
    • ฝนนี้ออตเตรียมยางนา 300 ต้นคับพ่อครู
    • กล้วยหอมทอง รอจากสวนป่าไม่ไหว สั่งไปห้าสิบ ลงฝนนี้คือกาน
    • เอาไว้ไปจ่ายดอก ธกส.

แสดงความคิดเห็น

ท่านอยากจะเข้าระบบหรือไม่


*
To prove you're a person (not a spam script), type the security word shown in the picture. Click on the picture to hear an audio file of the word.
Click to hear an audio file of the anti-spam word


Main: 0.50306606292725 sec
Sidebar: 0.066521883010864 sec