ยางพารา

89 ความคิดเห็น โดย putarn เมื่อ 16 มกราคม 2011 เวลา 1:15 (เย็น) ในหมวดหมู่ เล่าสู่กันฟัง #
อ่าน: 2637

Photobucket

 

เคยเรียนเมื่อสมัยเด็กๆเรื่องยางพาราว่ามีปลูกกันมากมายในภาคใต้ แต่ก็จดจำอะไรไม่ได้มากไปกว่านี้และยังรู้สึกอีกด้วยว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องไกลตัว 

ครั้นมาอยู่ที่นี่ก็เคยได้ยินชาวอีสานมักเล่าให้ฟังถึงชีวิตลำเค็ญ(ที่เราไม่ค่อยอยากเชื่อนัก)ว่าพอหมดฤดูทำนาบางคนต้องเดินทางลงใต้เพื่อไปรับจ้างกรีดยาง

 

 

เมื่อกลางเดือนที่แล้วนับว่าเราเดินวินโดว์ช็อปปิ้งได้ดีมากเพราะได้ปิ๊งพบพรมขนสัตว์ชั้นเยี่ยมที่ทางร้านกำลังกระหน่ำลดราคาลงมาอย่างไม่น่าเชื่อเข้า(ราว๔๐%นิดๆ) 

 

เราใช้เวลาตัดสินใจ ๑ คืน เปลี่ยนพรมใหม่ทั้งหมด โดยมีของเดิมที่สภาพค่อนข้างจะไม่น่าดูไม่น่าใช้ต่ออยู่แล้ว เป็นตัวช่วยตัดสิน

  

วันต่อมาก็จึงกลับไปที่ร้านพรมอีกครั้งเพื่อตกลงสั่งซื้อ  
 

 

ครั้นคุณป้าคนขาย(ที่วัยน่าจะอยู่บ้านเลี้ยงเหลนมากกว่า)ถามว่าแล้วจะเอา underlay แบบไหน เราถึงกับใบ้รับประทาน

 

ด้วยในชีวิตไม่เคยต้องเปลี่ยนพรมเอง ไม่เคยรู้เห็นมาก่อนเลยว่าวิธีการปูพรมจริงๆแล้วเป็นอย่างไร บ้านหรืออพาร์ตเมนท์ที่เคยอยู่ก็ล้วนแล้วแต่เป็นของใหม่สำเร็จรูปทั้งสิ้น ส่วนบ้านที่เมืองไทยก็ไม่ต้องพูดถึงเลยเพราะไม่ปูพรมอยู่แล้ว จะมีก็เพียงพรมผืนที่นำมาใช้เป็นครั้งคราวเสร็จแล้วก็ซักเก็บ ซึ่งเป็นการดูแลที่แสนง่าย นำออกมาใช้เมื่อไหร่ก็สะดวก

 

 

 

Photobucket

 

เรามองหาผู้ช่วยเพื่อถามไถ่ปรึกษา มองหลังซ้ายขวาบนล่างแล้วก็ไม่ยักกะพบใคร จึงตัดสินใจถามคนตรงหน้านี่แหละ…แล้วเขาใช้อะไรกันล่ะคุณป้า
  

คุณป้าก็แสนดี กุลีกุจอวางตัวอย่างแผ่นเล็กๆที่มีคุณภาพให้ดูให้ทดลอง ๒ แผ่น พร้อมกับบอกว่าอย่างที่คุณภาพแย่กว่านั้นอย่าได้ใส่ใจให้เสียเวลา เก็บเชื้อโรคก็เท่านั้น เดินเหินไม่สนุกเท้าก็เท่านั้น และของอย่างนี้เราเลือกครั้งเดียวแล้วใช้ไปอีกนานมากจนถึงตลอดชีวิตก็ว่าได้ อีกทั้งพรมที่เราสั่งซื้อก็เยี่ยมที่สุดแล้วจะมาทำให้คุณภาพด่างพร้อยเพราะ underlay ไม่มีคุณภาพได้อย่างไร ของดีต้องคู่กับของดีจึงจะถูก…แล้วเธอจะไม่ผิดหวัง เชื่อฉันสิ 

 

 

เราฟังคุณป้าท่านเพลินๆและพินิจพิจารณาสินค้า ๒ ตัวนั้นเงียบๆ พอคุณป้าบอกว่า เชื่อฉันสิ เราก็เลือกได้ทันที…ถ้าอย่างนั้นใช้ตัวนี้ก็แล้วกัน  

 

เราฟังคุณป้าท่านเพลินๆและพินิจพิจารณาสินค้า ๒ ตัวนั้นเงียบๆ พอคุณป้าบอกว่า เชื่อฉันสิ เราก็เลือกได้ทันที…ถ้าอย่างนั้นใช้ตัวนี้ก็แล้วกัน  

 

 

 

 

 

 

 

 

Photobucket

 

 

นั่นคือ…

 

 

underlay ที่ผลิตจากยางพารา มีราคาแพงกว่าอีกตัวหนึ่ง ๙ เหรียญต่อตารางเมตร

 

ส่วนสาเหตุที่เราเลือก ไม่ใช่เราเชื่อคุณป้าท่านหรอก

หากเราคิดถึงบ้านเราและจำได้ยางพารามีมากในภาคใต้ สินค้าตัวนี้อาจใช้วัตถุุดิบจากที่นั่นก็ได้

 

 
เราอยากอุดหนุนสินค้าบ้านเรา

 

 

Photobucket

 

Note: คำโฆษณา underlay   

-         เป็นวัสดุธรรมชาติเพราะทำจากยางพารา  

-         ต่อต้านการเจริญเติบโตของแบคทีเรีย

-         ดูดซับคลื่นเสียงหรือเก็บเสียงในแต่ละห้อง

-         ติดไฟยาก

-         สะอาด ไม่เก็บกักฝุ่น ไม่เป็นที่อยู่ของริ้นไร

-         ระบายอากาศได้ดีเยี่ยม ไม่กักเก็บความชื้น

-         ทนทานความร้อนได้ถึงอุณหภูมิ ๔๐ องศาเซลเซียส

-         มีการระเหยของสารประกอบต่ำมากจึงแน่ใจได้ว่าอากาศภายในบ้านไร้มลพิษ

-         ช่วยกักเก็บความร้อนไว้ภายในบ้านได้นาน

-         ช่วยรองรับน้ำหนักที่กดลงบนฝ่าเท้าได้ดี ทำให้รู้สึกนุ่มเท้า

 

 


ครูไทย

202 ความคิดเห็น โดย putarn เมื่อ 16 มกราคม 2011 เวลา 12:49 (เย็น) ในหมวดหมู่ เนื่องมาจากการอ่าน #
อ่าน: 7252

 

Photobucket

  

 

อุมามองดูต้นพุดตานซึ่งขึ้นอยู่ใกล้ๆ ดอกเป็นสีเข้มขึ้นตามอาการคล้อยของดวงตะวัน แล้วลุกไปเด็ดมาดูอย่างพิจารณาเช่นเดียวกับลูกจันทน์ซึ่งเก็บวางไว้ข้างตัว 

ลายเถาดอกพุดตานเป็นลายงดงามประจำตามหน้าบันโบสถ์วิหารหลายแห่ง ส่วนลายประจำยาม พ่อครูเคยสอนว่ามีต้นกำเนิดมาจากลูกจันทน์…ผ่าเอาเนื้อข้างในออกเหลือแต่เปลือกนอก กลายเป็นดอกดวงสะสวย เหมาะจะต่อเติมเป็นลายประจำยาม แล้วแบ่งตัวเป็นแบบต่างๆซับซ้อนขึ้นตามฝีมือช่าง…ตอนเริ่มหัดเขียนลาย อุมาเขียนลายดอกประจำยามเสียจนขี้นใจ แล้วต่อมาก็หัดต่อเติมด้วยเส้นโค้งหรือเส้นม้วนตัวอ่อนสลวยเป็นรูปร่างต่างๆ– —เป็นจุดเริ่มของงานฝีมือมานับแต่นั้น 

 

 

Photobucket

 

ความเป็นไปในโลกหลังสงครามโลกครั้งที่สองนับเป็นสิ่งที่เหนือความคาดเดา 

ความดีงามทั้งในตัวมนุษย์และในธรรมชาติได้ถูกปรับเปลี่ยนเพื่อให้เกิดความอยู่รอดในเชิงเห็นแก่ตัวอย่างเข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ และเรื่อยๆ…
 

จนมองไม่เห็นวันที่จะ หยุดนิ่ง.. 
 

ความเป็นไทยตลอดจนความเป็นไปในบ้านเมือง เมื่อถึงเวลานี้ก็เกือบจะกลายเป็นคนละอย่างเดียวกัน… 

และคาดว่าอีกไม่นานก็คงไม่รู้จักกันสิ้น 

ก็ดูอย่าง ตัวเรา ที่กำลังอยู่ในนาวาศตวรรษที่๒๑ ก็แทบจะไม่รู้จักอยู่แล้วหากไม่ได้อ่านหนังสือเล่มนี้อีกเล่มหนึ่ง…ผ้าทอง
 

บทบาทของครูไทยในสมัยก่อนสงครามโลกนั้นอบอุ่น เด่นชัด เป็นที่น่าเคารพสักการะบูชาแม้นเมื่อยามมีชีวิต

 

 

ความเป็นครู… พวกท่านเป็นกันในจิตวิญญาน และเป็นกันตลอดไปสำหรับศิษย์แต่ละคน 

ความเป็นครู…พวกท่านไม่คำนึงถึงผลตอบแทนทางวัตถุ หากคำนึงถึงความเป็นไปของชีวิตลูกศิษย์ว่าจะดีหรือร้ายประการใด
 

ครู จะปรากฏอยู่เสมอในยามที่ลูกศิษย์ต้องการที่พึ่งพิงทางใจ 

ครู จะปรากฏอยู่เสมอในยามที่ลูกศิษย์หมดสิ้นหนทาง

 

 

ช่างน่าเสียดาย…เมื่อเวลานี้ สิ่งดีงามเหล่านั้นได้ สูญหายไป จากสังคมไทยจนเกือบหมดสิ้นแล้ว

 

Photobucket

 

 

—อุมาหยิบกระดาษออกมา จะร่างลายตามที่ฝึกหัดเอาไว้ตั้งแต่เด็ก แต่แล้วก็ไม่มีสมาธิ เกิดความหงุดหงิดจนต้องเก็บใส่กล่องเอาไว้อย่างเก่า  ในที่สุดหล่อนก็ลงจากเรือนพัก เดินไปทางด้านลึกสุดของวังติดกับแม่น้ำซึ่งมืดครึ้มด้วยต้นไม้ใหญ่ๆจำพวกประดู่ ปีบ และสารภี  ราวกับป่าจนเกือบมองไม่เห็นเรือนแพเก่าๆมีสะพานทอดจากเรือนแพขึ้นมาบนที่ดินชายน้ำ

เรือนแพหลังนั้นเคยเป็นที่เรียนวิชาพิเศษของอุมาตั้งแต่เด็กจนกระทั่งโตเป็นสาว ผู้อยู่อาศัยคือสามีภรรยาแก่ๆคู่หนึ่ง—

เรือนแพแห่งนี้เปรียบเหมือนโรงเรียนสอนวิชาช่างและการเรือนสำหรับสาวๆในวังหลายต่อหลายรุ่น จนบัดนี้ก็ยังมีสาวชาววังรุ่นเล็กอายุสิบสามสิบสี่มาเรียนวิชาทำขนม หรือ เขียนลายไทยอยู่ทุกเย็นเมื่อกลับจากโรงเรียน 

 

 

 

 

 

 

Photobucket

 

เมื่ออุมาไปถึง  ป้าละไมกำลังทำขนมหม้อตาล— —  — บรรดาเด็กสาวรุ่นๆที่มาเรียนก็ก้มหน้าก้มตาปั้นแป้งและเขียนลายกันอยู่อย่างเอาใจใส่—

“ไม่เห็นเสียหลายวัน คุณอุมา” ป้าละไมทักหญิงสาวเมื่อเดินข้ามสะพานมาถึงชานหน้าเรือนแพ

“กลับไปเยี่ยมบ้านค่ะ กลับมาเลยมีชาจีนกับน้ำผึ้งมาฝากด้วย” อุมาวางของแล้วยกมือไหว้ “น้ำผึ้งป่าแท้นะคะ ไม่มีน้ำเชื่อมปน”

“แหม ขอบใจนะแม่คุณ ขอให้เจริญๆเถอะ” ป้าละไมรับของไปด้วยความยินดี แล้วชวนคุยว่า…

 ”คิดจะมาเขียนลายใหม่บ้างหรือเปล่าล่ะ ติดขัดตรงไหนก็บอกพ่อเขาได้นะคุณอุมา”

“นึกๆอยู่เหมือนกันค่ะ พ่อครูอยู่ไหนล่ะคะ”

—                                               

อุมาก็เลยช่วยปั้นแป้งไปบ้างฆ่าเวลา —

“วันนี้เป็นอะไรหรือเปล่า หน้าตาหมองๆ”

หญิงสาวฝืนยิ้ม “ดิฉันกลับไปเยี่ยมบ้าน คุณแม่ท่านก็ชวนให้กลับไปอยู่ด้วยกันเพราะทางบ้านไม่มีใคร พี่ชายเรียนอีกหลายปีกว่าจะกลับ ดิฉันเองก็ไม่อยากจากวังกลับไป แต่ก็เกรงใจคุณแม่”

ผู้สูงวัยปั้นแป้งพลางมองอีกฝ่ายพลางอย่างเห็นอกเห็นใจ

“ถ้าดิฉันไปอยู่ที่บ้าน คงจะไม่ได้มาหาพ่อครูกับคุณป้าอีก”  อุมาพูดเสียงอ่อยๆ

“คิดถึงเมื่อไรก็มาหา ใช่ว่าอยู่ห่างไกลกันเมื่อไรล่ะ”

 

 

 

Photobucket

 

 

 

 

หญิงสาวปั้นแป้งอยู่สักพัก ป้าละไม— — —ก็บอกให้ไปเดินเล่นรอพ่อครูบนฝั่งเสียจะดีกว่า อุมาเดินข้ามสะพานกลับไปเดินเล่น เก็บลูกจันทน์ที่ร่วงหล่นอยู่ตามโคนต้นใหญ่ ดมเล่นได้กลิ่นหอมเอียนๆเพราะสุกงอมแล้วอยู่พักหนึ่ง ก็เห็นชายชราเดินหลังค้อมลัดเลาะหมู่ไม้มาแต่ไกล หล่อนจึงรีบสาวเท้าไปรับ ยกมือไหว้

“เจอป้าแล้วหรือ” — —

เมื่ออุมาตอบรับ เขาก็นั่งลงบนม้าหินเก่าๆแถวนั้น อุมาถอยไปนั่งบนรากไม้ใกล้ๆ เป็นที่รู้กันว่าครูกับลูกศิษย์ชอบสนทนากันในที่สงบ ปลอดจากเสียงเซ็งแซ่หรือหัวร่อต่อกระซิกของเด็กสาวๆในเรือนแพ

“ดิฉันยังตรองไม่ตกจะกลับบ้านดีไหม” หลังจากเล่าเรื่องอย่างย่อๆแล้วอุมาก็จบประโยคอย่างอ่อนใจ

สายตาขุ่นมัวตามวัยของครูมองลูกศิษย์อย่างปรานี แต่ไม่ได้ตอบ หญิงสาวจึงพูดต่อไปว่า

“ถ้ากลับไปอยู่บ้าน จะมัวแต่นั่งเย็บเสื้อปักผ้าอยู่ คุณแม่คงไม่ชอบ ท่านอยากให้ช่วยจดบัญชีทำรายรับรายจ่ายเรื่องเงินทอง คุณพ่อจะตั้งสโมสร ดิฉันก็ต้องไปช่วยเรื่องจัดอาหารคาวหวานเลี้ยงพวกสมาชิก ฝึกหัดคนเสิร์ฟข้าวเสิร์ฟน้ำ แล้วยังต้องดูแลตึกดูแลสนามให้เรียบร้อยอีกด้วย ถ้าดิฉันไม่ทำก็เหมือนปล่อยให้คุณพ่อคุณแม่เหนื่อยอยู่สองคน”

“แล้วจะไม่มีเวลาว่าง พอทำอะไรที่เราชอบบ้างทีเดียวหรือ” ครูถามเสียงเนิบๆ

“ถึงมีคงยากละค่ะ ดิฉันหางานใหม่เอาไว้แล้วว่าจะปักฉากไปตั้งที่สโมสร คุณแม่เห็นเกี่ยวกับงานของคุณพ่อก็เลยไม่ดุ ที่จริงหาเรื่องทำไปอย่างนั้นเองเพราะจะเย็บปักอย่างอื่นท่านก็คงไม่ชอบเท่าไร  แต่งานนะคะ ถ้าไม่ได้ฝึกฝนทุกวันแล้ว อีกหน่อยก็มือไม้แข็งจับดินสอจับเข็มไม่ถนัด”

“คุณอุมา” ครูผู้ชราเรียกเบาๆเป็นเชิงเตือน

“งานช่างอย่างนี้ จะว่าไปแล้ว ถึงทำแล้วรักจับอกจับใจ ทำเท่าไรไม่มีเบื่อ แต่ก็เป็นงานอาภัพ ช่างฝีมือยากนักจะร่ำรวยเหมือนอาชีพอื่น นั่งหลังขดหลังแข็งทำข้ามวันข้ามคืน ฝีมืออาจจะดี ทำด้วยความยากลำบาก แต่ว่าได้เบี้ยแทบไม่พอยาไส้ ครูเองถ้าไม่ได้อาศัยพระบารมีเสด็จฯ ก็คงไม่อยู่มาได้จนทุกวันนี้”

“แต่ทางบ้านของดิฉันก็ไม่ได้ขัดสนเรื่องเงินทอง” อุมาแย้งเบาๆ

“คุณมีหน้าที่ต้องรักษาสมบัติที่พ่อแม่หามาให้  คุณพ่อคุณแม่คิดถึงข้อนี้จึงอยากให้กลับบ้าน ไปฝึกฝนเรื่องค้าขายทำการทำงาน พี่ชายคุณก็อยู่ห่างไกลนัก คุณเองเป็นผู้หญิง ถ้าไม่รู้เรื่องภายนอกเสียบ้างก็จะถูกคนฉ้อโกงได้ง่าย”

พ่อครูกวาดสายตาไปรอบๆ ถอนใจแล้วปรารภว่า

“อยู่ในวังนี้ก็ได้ฝีมือได้ความรู้พอควรแล้ว เหลือแต่ว่าจะออกไปปฏิบัติตัวอย่างไรเท่านั้น คุณเป็นลูกสาวเศรษฐี ผู้คนมากมายย่อมหวังปอง…ไม่ใช่ปองตัวคุณอย่างเดียว แต่ปองมรดกของคุณด้วย หลังสงครามนี้ ศีลธรรมเสื่อมลงจนน่าใจหาย คนมีแต่คิดตะเกียกตะกายจะเอาเงิน หมดความละอายต่อบาปกรรม คุณจะต้องรู้เท่าทันคนพวกนี้ด้วย จะมัวแต่ผูกลาย เขียนลาย ปักผ้าอยู่ คงไม่ได้ละมัง”

คำตอบของครูทำให้อุมาอึ้ง ตอบไม่ทันว่าจะแย้งอย่างไร หล่อนไม่เคยคิดถึงข้อนี้มาก่อน — —

“คุณพ่อท่านก็มีมากแล้ว” หล่อนหลุดปากออกไปอย่างอึกอัก “ดิฉันไปทำอะไรได้”

นัยน์ตาอ่อนโรยของครูบอกความปรานี

“อีกหน่อยกลับไปบ้านก็รู้เอง การหาเงินมามากๆไม่ใช่ของง่าย ส่วนการรักษาเอาไว้ก็ยากพอกัน ยากที่สุดคือทำให้มันทวีขึ้น ครูรู้จักคุณพ่อคุณแม่ของคุณ  ไม่ใช่ง่ายๆนะกว่าท่านจะเป็นเศรษฐีขนาดนี้ คุณเกิดมาตอนพ่อแม่ร่ำรวยแล้ว ไม่เข้าใจหรอก”

อุมานิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่งก็ตระหนักว่าถึงเวลาที่หล่อนจะต้องก้าวเดินไปทางใหม่แล้วอย่างไม่มีทางเลือก หล่อนจึงยกมือไหว้เป็นการรับโอวาท นิ่งอยู่สักครู่ก็เปลี่ยนเรื่อง

“ดิฉันตั้งใจว่าจะปักฉากเป็นฉากกั้นห้องค่ะ เคยเห็นตัวอย่างที่วัดเทพฯทำเป็นลายนกยูงเกาะกิ่งไม้ แต่ดิฉันว่าจะปักเป็นลายไทยดีกว่า คุณพ่อท่านมีเพื่อนฝูงเป็นแขกจีนฝรั่งมากมายจะได้อวดฝีมือเขาได้”

 

 

 

 

Photobucket

 

เมื่อพูดถึงลายไทย พ่อครูก็ดูกระปรี้กระเปร่าขึ้น

“เรื่องลายไทย ครูก็สอนมามากแล้ว คิดจะทำอะไรแปลกๆหรือเปล่าล่ะ ถึงได้มาถาม”

“ยังคิดไม่ออกเลยค่ะ ใจคอไม่ค่อยสบาย” อุมาตอบอย่างหงุดหงิดเล็กน้อย “ถ้าใจไม่สงบแล้วคิดอะไรไม่ออก ต้องเดินมาหาพ่อครู”

“ถ้างั้นก็ค่อยๆคิด ให้ใจเย็นเสียก่อน อย่ารีบร้อน” พ่อครูตอบ เสียงเหมือนปลอบเด็กขวัญเสีย

“อย่างที่เคยสอน ดูโน่นดูนี่รอบตัวไปก่อน แถวนี้ต้นหมากรากไม้มากมายพอจะคิดดัดแปลงได้  ลายไทยนั้นจะว่าไปแล้วก็เอามาจากของจริงในธรรมชาติ แต่เอามาปรุงแต่งด้วยฝีมือช่างแต่ละคน ไม่ลอกเลียนแบบธรรมชาติ ถ้าลอกแล้วก็ไปถ่ายรูปเอาดีกว่า สะดวกกว่า”

คำสั่งสอนต้นตำรับนี้ อุมาฟังมาตั้งแต่เด็กจนโต จนท่องได้ขึ้นใจแล้วแต่ก็ไม่รู้สึกว่าซ้ำซาก เพราะพ่อครูพูดเพื่อกระตุ้นให้เกิดแรงบันดาลใจนั่นเอง ไม่ใช่พูดแล้วพูดอีกด้วยความหลงลืมตามประสาคนแก่

“สมัยก่อนฝรั่งเข้ามาค้าขายในสยาม เห็นภาพวาดตามผนังโบสถ์เข้า ก็ไม่รู้จักของดีของงาม กลับไปว่าเป็นภาพน่าเกลียดไม่มีระยะใกล้ไกล ไม่เหมือนของจริงอย่างรูปวาดเมืองฝรั่ง  เขาไม่รู้หรอกว่าคนตะวันออกไม่ลอกแบบธรรมชาติ แต่ประดิดประดอยขึ้นมาใหม่ให้งามกว่า เด่นชัดกว่า บางทีก็จับมาแต่เส้นแต่เค้าโครงที่งามจับใจ เพราะเรารู้จักความงามของเส้นมากกว่าความงามของแสงเงาอย่างฝรั่ง แล้วดูเอาเอง  แม้แต่ใบไม้ใบเดียวก็มีเส้นสายที่งามเกลี้ยงเกลาเหมาะจะเอามาเพิ่มความโค้ง เพิ่มลาย เพิ่มอาการไหวสะบัด กลายเป็นลายไทยได้งดงามตามฝีมือช่างได้”

เสียงแหบๆเย็นๆของพ่อครูทำให้อารมณ์ของอุมาสงบลงอย่างรวดเร็ว หล่อนชอบใช้เวลาว่างทบทวนคำสอนของครู แล้วเด็ดดอกไม้ ใบไม้ในวังมาพิจารณา หรือไม่ก็ไปเดินเล่นริมน้ำ ดูระลอกน้ำไหวพลิ้วตามกระแสลม มองออกไปไกลเห็นพระปรางค์วัดอรุณราชวรารามผุดสูงขึ้นทาบทับกับพื้นฟ้าสีครามสีเมฆอ่อนๆ ริมหยิกสวยลอยล่องกระจัดกระจาย  อุมามักเอากระดาษติดตัวไปด้วย ขีดเขียนลายเส้นอะไรเรื่อยเปื่อยไปในอารมณ์สงบ แล้วได้ลายกลับมาสำหรับงานชิ้นใหม่

“อย่าปล่อยใจให้ขุ่นมัว บางทีของดีของงามอยู่ตรงหน้านี้เองมองไม่เห็น เพราะโทสะ โมหะ บังเสียหมด”  …

พ่อครูเตือนอีกครั้งแล้วลุกขึ้น รับไหว้ลูกศิษย์ที่น้อมตัวลงไหว้อย่างนอบน้อม ก่อนจะเดินหลังค้อมข้ามสะพานไปที่เรือนแพ

 

Photobucket 

 

ขอขอบพระคุณผู้ประพันธ์ ผ้าทอง ในนามปากกา แก้วเก้า … รองศาสตราจารย์ ดร.คุณหญิง วินิตา ดิถียนต์

 



Main: 0.088068962097168 sec
Sidebar: 0.00018715858459473 sec