พระพุทธเจ้า

2 ความคิดเห็น โดย putarn เมื่อ 7 มีนาคม 2012 เวลา 12:07 (เย็น) ในหมวดหมู่ เนื่องมาจากการอ่าน, เล่าสู่กันฟัง #
อ่าน: 2044
Photobucket
บุพกรรมของพระพุทธองค์ครั้งยังดำรงอยู่ในอัตภาพของพระโพธิสัตว์ (ขุททกนิกาย อปทาน พุทธาปาทาน) อันเป็นสาเหตุทำให้ต้องทรงใช้ระยะเวลานานกว่าจะบรรลุพระอรหันตสัมมาสัมโพธิญาณได้นั้นกล่าวไว้ดังนี้
ในสมัยพระกัสสปะพุทธเจ้า พระโพธิสัตว์เกิดเป็นพราหมณ์ชื่อโชติปาละ ไม่มีความเลื่อมใสในพุทธศาสนา ทราบว่าพระกัสสปะทรงตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้กล่าวว่าการตรัสรู้ของสมณะโล้นจักมีมาแต่ที่ไหน
ด้วยวิบากแห่งกรรมนั้น พระโพธิสัตว์ต้องเสวยทุกข์ในอบายเป็นเวลานาน แม้ในภพสุดท้ายก่อนจะตรัสรู้ ด้วยเศษกรรมที่ยังเหลืออยู่ พระองค์ยังต้องหลงเดินทางผิด บำเพ็ญทุกรกิริยาทรมานพระองค์เองด้วยวิธีต่างๆ อันเป็นวัตรของเดียรถีย์ มีการอดอาหารเป็นต้น จนสรีระผอมเหลือแต่กระดูก ได้รับทุกขเวทนาอันเกิดจากความเพียรเป็นเวลานานถึง ๖ ปี กว่าจะได้ตรัสรู้พระสัมมาสัมโพธิญาณ
(จากหนังสือ พระพุทธประวัติ ของสุรีย์ มีผลกิจ และวิเชียร มีผลกิจ)
~~
คำเรียก พระพุทธเจ้า นั้นก็ด้วยเหตุที่ท่านเป็นเจ้า เป็นผู้นำ เป็นหัวหน้าของพระ หรืออีกความหมายหนึ่งคือ พระที่เป็นเจ้า เป็นขัตติยวงศ์
ในระยะอันใกล้ที่ได้ล่วงมาแล้วได้มีพระพุทธเจ้าตรัสรู้มา ๒๕ พระองค์ ซึ่งมีความแตกต่างกันทั้งอายุ ความสูง ตระกูล ปธาน (ระยะเวลาบำเพ็ญเพียร) รัศมี ยานพาหนะที่ใช้ออกผนวช ต้นไม้ตรัสรู้ และบัลลังก์ (มาในมธุรัตถวิลาสินี อรรถกถาขุททนิกาย พุทธวงศ์)
Photobucket
และแท้จริงแล้วพระพุทธเจ้าที่ตรัสรู้ล่วงมาแล้วมีเป็นจำนวนหลายหมื่นหลายแสนพระองค์โดยไม่นับพระปัจเจกพระพุทธเจ้าและเหล่าพระพุทธสาวก และยังมีที่จะตรัสรู้ในระยะเวลาอันใกล้นี้อีก ๑๐ พระองค์ด้วยกัน
ถ้าจะกล่าวถึงประเภทของพระพุทธเจ้า ท่านได้จัดไว้เป็นสามประเภท คือ ปัญญาธิกะ สัทธาธิกะ และวิริยาธิกะ
ในบทเจริญพระพุทธมนต์ก็มีการกล่าวถึงเช่นกัน ดังที่ปรากฏในบทสัมพุทเธ มีเนื้อหาว่า
สมฺพุทฺเธ อฏฺฐวีสญฺจ ทฺวาทสญฺจ สหสฺสเก
ปญฺจสตสหสสานิ นมามิ สิรสา อหํ
เตสํ ธมฺมญฺจ สงฺฆญฺจ อาทเรน นมามิหํ
นมการานุภาเวน หนฺตฺวา สพฺเพ อุปทฺทฺเว
อเนกา อนฺตรายาปิ วินสฺสนฺตุ อเสสโต ฯ
ข้าพเจ้า ขอนอบน้อม พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้ง ๕๑๒,๐๒๘ พระองค์ ด้วยเศียรเกล้า
ข้าพเจ้า ขอนอบน้อมธรรม และพระสงฆ์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเหล่านั้นด้วยความเคารพ
ด้วยอานุภาพแห่งการกระทำความนอบน้อม ขอจงขจัดอุปัทวะทั้งปวง อันตรายทั้งหลาย จงพินาศไปโดยไม่มีส่วนเหลือ
*ในบทแรกนี้จะหมายถึง พระพุทธเจ้าประเภทปัญญาธิกะ คือ พระพุทธเจ้าที่ใช้ปัญญาเป็นตัวนำในการสร้างบุญบารมีและบำเพ็ญเพียรเพื่อให้บรรลุสัมมาสัมโพธิญาณ
สมฺพุทฺเธ ปญฺจปญฺญาสญฺจ จตุวีสติสหสฺสเก
ทสสตสหสฺสานิ นมามิ สิรสา อหํ
เตสํ ธมฺมญฺจ สงฺฆญฺจ อาทเรน นมามิหํ
นมการานุภาเวน หนฺตฺวา สพฺเพ อุปทฺทฺเว
อเนกา อนฺตรายาปิ วินสฺสนฺตุ อเสสโต ฯ
ข้าพเจ้า ขอนอบน้อม พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้ง ๑,๒๔,๐๕๕ พระองค์ ด้วยเศียรเกล้า
ข้าพเจ้า ขอนอบน้อมธรรม และพระสงฆ์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเหล่านั้นด้วยความเคารพ
ด้วยอานุภาพแห่งการกระทำความนอบน้อม ขอจงขจัดอุปัทวะทั้งปวง อันตรายทั้งหลาย จงพินาศไปโดยไม่มีส่วนเหลือ
*ในบทที่สองนี้จะหมายถึงพระพุทธเจ้าประเภทสัทธาธิกะ คือ พระพุทธเจ้าที่ใช้ศรัทธาเป็นตัวนำในการสร้างบุญบารมีและบำเพ็ญเพียรเพื่อให้บรรลุสัมมาสัมโพธิญาณ
สมฺพุทฺเธ นวุตฺตรสเต อฏฺฐจตฺตาฬีสสหสฺสเก
วีสติสตสหสฺสานิ นมามิ สิรสา อหํ
เตสํ ธมฺมญฺจ สงฺฆญฺจ อาทเรน นมามิหํ
นมการานุภาเวน หนฺตฺวา สพฺเพ อุปทฺทฺเว
อเนกา อนฺตรายาปิ วินสฺสนฺตุ อเสสโต ฯ
ข้าพเจ้า ขอนอบน้อม พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้ง ๒,๗๔๘,๑๐๙ พระองค์ ด้วยเศียรเกล้า
ข้าพเจ้า ขอนอบน้อมธรรม และพระสงฆ์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเหล่านั้นด้วยความเคารพ
ด้วยอานุภาพแห่งการกระทำความนอบน้อม ขอจงขจัดอุปัทวะทั้งปวง อันตรายทั้งหลาย จงพินาศไปโดยไม่มีส่วนเหลือ
*ในบทสุดท้ายนี้จะหมายถึงพระพุทธเจ้าประเภทวีริยาธิกะ คือ พระพุทธเจ้าที่ใช้วิริยะ ความเพียร เป็นตัวนำในการสร้างบุญบารมีและบำเพ็ญเพียรเพื่อให้บรรลุสัมมาสัมโพธิญาณ
จากบทเจริญพุทธมนต์ดังกล่าวสรุปได้ว่า
ในอดีตกาลอันยาวนานมา พระพุทธเจ้าที่ใช้วิริยะความเพียรเป็นตัวนำในการบำเพ็ญเพียรจนบรรลุธรรมเป็นพระอรหันตสัมมาสัมมาพุทธเจ้า มีมากกว่า พระพุทธเจ้าที่ใช้ความศรัทธา ความเชื่อมั่นเป็นตัวนำสองเท่า และมากกว่า พระพุทธเจ้าที่ใช้ปัญญาเป็นตัวนำสี่เท่า
*** กราบนมัสการพระคุณเจ้า พระมหาวิเศษ ปญฺญาชิโร (ผศ.) ปธ.๙, ศษ.บ, ศน.ม. ***


เสน่ห์ชาวบ้าน

121 ความคิดเห็น โดย putarn เมื่อ 22 กุมภาพันธ 2011 เวลา 7:24 (เย็น) ในหมวดหมู่ เนื่องมาจากการอ่าน, เล่าสู่กันฟัง #
อ่าน: 2747

พักนี้มีโอกาสได้ดูชมความงามแห่งชีวิต…ตลอดสองฝั่งแม่น้ำโขง

ต้องยอมรับ…ถือเป็นการท่องเที่ยวทางลัดที่ให้ผลคุ้มค่าส่งวิสัยทัศน์ให้กว้างไกลออกไปอีก

กับการคล้องช้างที่อ่านแล้วอ่านอีกในนิทานโบราณคดี เมื่อได้มาดูของจริงจากคุณลุงชาวกูยและลูกทีมแสดงให้ดูว่าการคล้องช้างป่าต้องทำอย่างไรบ้าง… สเต็ปบายสเต็ป

ต้องขอบอกว่า ยิ่งใหญ่ น่าทึ่ง น่าทึ่ง และน่าทึ่ง… จนต้องเข้าอินเตอร์เน็ทหาความเป็นจริงที่น่าชื่นชมด้านอื่นอีก…ถ้ามี

แล้วก็พบเรื่องราวหนึ่งที่มีความเรียบง่ายคลาสสิคอย่างบังเอิญที่ผู้อยู่ในเหตุการณ์ทุกท่านก็ไม่เคยคาดคิดถึงผลลัพธ์มาก่อน…

 

 

เมื่อปี ๒๔๙๘

ชาวกูยได้ทราบข่าวว่ามีเฮลิคอปเตอร์มาลงที่บ้านตากลาง…หมู่บ้านของชาวกูย ที่ทุกบ้านเลี้ยงช้างเป็นสมาชิกของครอบครัว

ก็จึงชักชวนกันออกไปดู

โดยที่แต่ละคนแต่ละครอบครัวต่างพากันนั่งช้างออกไปดูเฮลิคอปเตอร์ !

พอไปถึงจุดที่เฮลิคอปเตอร์จอด ปรากฏว่าช้างที่ไปรวมกันอยู่ณ.ที่นั้นนับได้กว่า ๓๐๐ เชือก

ทำเอาคนที่มากับเฮลิคอปเตอร์ตกใจและแปลกใจมากกว่าชาวบ้านเสียอีก


เกมทายปัญหา

121 ความคิดเห็น โดย putarn เมื่อ 26 มกราคม 2011 เวลา 7:14 (เช้า) ในหมวดหมู่ เนื่องมาจากการอ่าน #
อ่าน: 2707

ทนายความหนุ่มและสาวผมบลอนด์นั่งเบาะติดกันบนเครื่องบินโดยสารระหว่างประเทศ

ทนายความนึกสนุกอยากชวนสาวเจ้าเล่นเกมทายปัญหา

แต่สาวบลอนด์อยากงีบหลับมากกว่าจึงปฏิเสธอย่างสุภาพแล้วหันหน้าหนี
 

ทนายหนุ่มไม่ลดละ แจกแจงว่าเกมนี้ทั้งง่ายทั้งสนุก

“คนหนึ่งถามคำถาม ถ้าอีกคนตอบไม่ได้ ก็ต้องจ่าย 5 ดอลลาร์”

 

แต่สาวบลอนด์ไม่สนใจ อยากจะหลับท่าเดียว
 

“เอางี้ ผมถามคุณ คุณตอบไม่ได้ คุณจ่าย 5 ดอลลาร์ แต่ถ้าผมตอบไม่ได้ ผมจ่ายคุณ 500 ดอลลาร์เลย”

ทนายความเพิ่มเดิมพัน คิดว่าทายปัญหากับสาวผมบลอนด์ยังไงก็ไม่แพ้
 

หญิงสาวระอาเต็มทีจึงยอมเล่นด้วย

ทนายความถาม “ระยะห่างระหว่างโลกกับดวงจันทร์คือเท่าไหร่?”
 

สาวผมบลอนด์ไม่ปริปาก มือล้วงกระเป๋าควักแบงก์ 5 ดอลลาร์ส่งให้
 

คราวนี้ตาเธอถามบ้าง “อะไรเอ่ย ขาขึ้นเนินมี 3 ขา ขาลงมากลับมี 4?”
 

ทนายจนถ้อยคำ ยกแล็ปท็อปขึ้นมาเสิร์ชหาคำตอบก็แล้ว กดโทรศัพท์ถามเพื่อนๆ ก็แล้ว

ยังตอบไม่ได้

ผ่านไป 1 ชั่วโมง จึงตัดสินใจปลุกสาวบลอนด์ ยื่นเงินให้ 500 ดอลลาร์

 

สาวเจ้ารับเงินแล้วทำท่าจะหลับต่อ
 

ทนายชักฉุน สะกิดถามเธอว่า “ตกลงแล้วคำตอบคืออะไรเล่า”
 

แทนคำตอบ

 

สาวผมบลอนด์ล้วงกระเป๋าควักแบงก์ 5 ดอลลาร์ให้แล้วนอนต่อ

 

 

 


ครูไทย

202 ความคิดเห็น โดย putarn เมื่อ 16 มกราคม 2011 เวลา 12:49 (เย็น) ในหมวดหมู่ เนื่องมาจากการอ่าน #
อ่าน: 7157

 

Photobucket

  

 

อุมามองดูต้นพุดตานซึ่งขึ้นอยู่ใกล้ๆ ดอกเป็นสีเข้มขึ้นตามอาการคล้อยของดวงตะวัน แล้วลุกไปเด็ดมาดูอย่างพิจารณาเช่นเดียวกับลูกจันทน์ซึ่งเก็บวางไว้ข้างตัว 

ลายเถาดอกพุดตานเป็นลายงดงามประจำตามหน้าบันโบสถ์วิหารหลายแห่ง ส่วนลายประจำยาม พ่อครูเคยสอนว่ามีต้นกำเนิดมาจากลูกจันทน์…ผ่าเอาเนื้อข้างในออกเหลือแต่เปลือกนอก กลายเป็นดอกดวงสะสวย เหมาะจะต่อเติมเป็นลายประจำยาม แล้วแบ่งตัวเป็นแบบต่างๆซับซ้อนขึ้นตามฝีมือช่าง…ตอนเริ่มหัดเขียนลาย อุมาเขียนลายดอกประจำยามเสียจนขี้นใจ แล้วต่อมาก็หัดต่อเติมด้วยเส้นโค้งหรือเส้นม้วนตัวอ่อนสลวยเป็นรูปร่างต่างๆ– —เป็นจุดเริ่มของงานฝีมือมานับแต่นั้น 

 

 

Photobucket

 

ความเป็นไปในโลกหลังสงครามโลกครั้งที่สองนับเป็นสิ่งที่เหนือความคาดเดา 

ความดีงามทั้งในตัวมนุษย์และในธรรมชาติได้ถูกปรับเปลี่ยนเพื่อให้เกิดความอยู่รอดในเชิงเห็นแก่ตัวอย่างเข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ และเรื่อยๆ…
 

จนมองไม่เห็นวันที่จะ หยุดนิ่ง.. 
 

ความเป็นไทยตลอดจนความเป็นไปในบ้านเมือง เมื่อถึงเวลานี้ก็เกือบจะกลายเป็นคนละอย่างเดียวกัน… 

และคาดว่าอีกไม่นานก็คงไม่รู้จักกันสิ้น 

ก็ดูอย่าง ตัวเรา ที่กำลังอยู่ในนาวาศตวรรษที่๒๑ ก็แทบจะไม่รู้จักอยู่แล้วหากไม่ได้อ่านหนังสือเล่มนี้อีกเล่มหนึ่ง…ผ้าทอง
 

บทบาทของครูไทยในสมัยก่อนสงครามโลกนั้นอบอุ่น เด่นชัด เป็นที่น่าเคารพสักการะบูชาแม้นเมื่อยามมีชีวิต

 

 

ความเป็นครู… พวกท่านเป็นกันในจิตวิญญาน และเป็นกันตลอดไปสำหรับศิษย์แต่ละคน 

ความเป็นครู…พวกท่านไม่คำนึงถึงผลตอบแทนทางวัตถุ หากคำนึงถึงความเป็นไปของชีวิตลูกศิษย์ว่าจะดีหรือร้ายประการใด
 

ครู จะปรากฏอยู่เสมอในยามที่ลูกศิษย์ต้องการที่พึ่งพิงทางใจ 

ครู จะปรากฏอยู่เสมอในยามที่ลูกศิษย์หมดสิ้นหนทาง

 

 

ช่างน่าเสียดาย…เมื่อเวลานี้ สิ่งดีงามเหล่านั้นได้ สูญหายไป จากสังคมไทยจนเกือบหมดสิ้นแล้ว

 

Photobucket

 

 

—อุมาหยิบกระดาษออกมา จะร่างลายตามที่ฝึกหัดเอาไว้ตั้งแต่เด็ก แต่แล้วก็ไม่มีสมาธิ เกิดความหงุดหงิดจนต้องเก็บใส่กล่องเอาไว้อย่างเก่า  ในที่สุดหล่อนก็ลงจากเรือนพัก เดินไปทางด้านลึกสุดของวังติดกับแม่น้ำซึ่งมืดครึ้มด้วยต้นไม้ใหญ่ๆจำพวกประดู่ ปีบ และสารภี  ราวกับป่าจนเกือบมองไม่เห็นเรือนแพเก่าๆมีสะพานทอดจากเรือนแพขึ้นมาบนที่ดินชายน้ำ

เรือนแพหลังนั้นเคยเป็นที่เรียนวิชาพิเศษของอุมาตั้งแต่เด็กจนกระทั่งโตเป็นสาว ผู้อยู่อาศัยคือสามีภรรยาแก่ๆคู่หนึ่ง—

เรือนแพแห่งนี้เปรียบเหมือนโรงเรียนสอนวิชาช่างและการเรือนสำหรับสาวๆในวังหลายต่อหลายรุ่น จนบัดนี้ก็ยังมีสาวชาววังรุ่นเล็กอายุสิบสามสิบสี่มาเรียนวิชาทำขนม หรือ เขียนลายไทยอยู่ทุกเย็นเมื่อกลับจากโรงเรียน 

 

 

 

 

 

 

Photobucket

 

เมื่ออุมาไปถึง  ป้าละไมกำลังทำขนมหม้อตาล— —  — บรรดาเด็กสาวรุ่นๆที่มาเรียนก็ก้มหน้าก้มตาปั้นแป้งและเขียนลายกันอยู่อย่างเอาใจใส่—

“ไม่เห็นเสียหลายวัน คุณอุมา” ป้าละไมทักหญิงสาวเมื่อเดินข้ามสะพานมาถึงชานหน้าเรือนแพ

“กลับไปเยี่ยมบ้านค่ะ กลับมาเลยมีชาจีนกับน้ำผึ้งมาฝากด้วย” อุมาวางของแล้วยกมือไหว้ “น้ำผึ้งป่าแท้นะคะ ไม่มีน้ำเชื่อมปน”

“แหม ขอบใจนะแม่คุณ ขอให้เจริญๆเถอะ” ป้าละไมรับของไปด้วยความยินดี แล้วชวนคุยว่า…

 ”คิดจะมาเขียนลายใหม่บ้างหรือเปล่าล่ะ ติดขัดตรงไหนก็บอกพ่อเขาได้นะคุณอุมา”

“นึกๆอยู่เหมือนกันค่ะ พ่อครูอยู่ไหนล่ะคะ”

—                                               

อุมาก็เลยช่วยปั้นแป้งไปบ้างฆ่าเวลา —

“วันนี้เป็นอะไรหรือเปล่า หน้าตาหมองๆ”

หญิงสาวฝืนยิ้ม “ดิฉันกลับไปเยี่ยมบ้าน คุณแม่ท่านก็ชวนให้กลับไปอยู่ด้วยกันเพราะทางบ้านไม่มีใคร พี่ชายเรียนอีกหลายปีกว่าจะกลับ ดิฉันเองก็ไม่อยากจากวังกลับไป แต่ก็เกรงใจคุณแม่”

ผู้สูงวัยปั้นแป้งพลางมองอีกฝ่ายพลางอย่างเห็นอกเห็นใจ

“ถ้าดิฉันไปอยู่ที่บ้าน คงจะไม่ได้มาหาพ่อครูกับคุณป้าอีก”  อุมาพูดเสียงอ่อยๆ

“คิดถึงเมื่อไรก็มาหา ใช่ว่าอยู่ห่างไกลกันเมื่อไรล่ะ”

 

 

 

Photobucket

 

 

 

 

หญิงสาวปั้นแป้งอยู่สักพัก ป้าละไม— — —ก็บอกให้ไปเดินเล่นรอพ่อครูบนฝั่งเสียจะดีกว่า อุมาเดินข้ามสะพานกลับไปเดินเล่น เก็บลูกจันทน์ที่ร่วงหล่นอยู่ตามโคนต้นใหญ่ ดมเล่นได้กลิ่นหอมเอียนๆเพราะสุกงอมแล้วอยู่พักหนึ่ง ก็เห็นชายชราเดินหลังค้อมลัดเลาะหมู่ไม้มาแต่ไกล หล่อนจึงรีบสาวเท้าไปรับ ยกมือไหว้

“เจอป้าแล้วหรือ” — —

เมื่ออุมาตอบรับ เขาก็นั่งลงบนม้าหินเก่าๆแถวนั้น อุมาถอยไปนั่งบนรากไม้ใกล้ๆ เป็นที่รู้กันว่าครูกับลูกศิษย์ชอบสนทนากันในที่สงบ ปลอดจากเสียงเซ็งแซ่หรือหัวร่อต่อกระซิกของเด็กสาวๆในเรือนแพ

“ดิฉันยังตรองไม่ตกจะกลับบ้านดีไหม” หลังจากเล่าเรื่องอย่างย่อๆแล้วอุมาก็จบประโยคอย่างอ่อนใจ

สายตาขุ่นมัวตามวัยของครูมองลูกศิษย์อย่างปรานี แต่ไม่ได้ตอบ หญิงสาวจึงพูดต่อไปว่า

“ถ้ากลับไปอยู่บ้าน จะมัวแต่นั่งเย็บเสื้อปักผ้าอยู่ คุณแม่คงไม่ชอบ ท่านอยากให้ช่วยจดบัญชีทำรายรับรายจ่ายเรื่องเงินทอง คุณพ่อจะตั้งสโมสร ดิฉันก็ต้องไปช่วยเรื่องจัดอาหารคาวหวานเลี้ยงพวกสมาชิก ฝึกหัดคนเสิร์ฟข้าวเสิร์ฟน้ำ แล้วยังต้องดูแลตึกดูแลสนามให้เรียบร้อยอีกด้วย ถ้าดิฉันไม่ทำก็เหมือนปล่อยให้คุณพ่อคุณแม่เหนื่อยอยู่สองคน”

“แล้วจะไม่มีเวลาว่าง พอทำอะไรที่เราชอบบ้างทีเดียวหรือ” ครูถามเสียงเนิบๆ

“ถึงมีคงยากละค่ะ ดิฉันหางานใหม่เอาไว้แล้วว่าจะปักฉากไปตั้งที่สโมสร คุณแม่เห็นเกี่ยวกับงานของคุณพ่อก็เลยไม่ดุ ที่จริงหาเรื่องทำไปอย่างนั้นเองเพราะจะเย็บปักอย่างอื่นท่านก็คงไม่ชอบเท่าไร  แต่งานนะคะ ถ้าไม่ได้ฝึกฝนทุกวันแล้ว อีกหน่อยก็มือไม้แข็งจับดินสอจับเข็มไม่ถนัด”

“คุณอุมา” ครูผู้ชราเรียกเบาๆเป็นเชิงเตือน

“งานช่างอย่างนี้ จะว่าไปแล้ว ถึงทำแล้วรักจับอกจับใจ ทำเท่าไรไม่มีเบื่อ แต่ก็เป็นงานอาภัพ ช่างฝีมือยากนักจะร่ำรวยเหมือนอาชีพอื่น นั่งหลังขดหลังแข็งทำข้ามวันข้ามคืน ฝีมืออาจจะดี ทำด้วยความยากลำบาก แต่ว่าได้เบี้ยแทบไม่พอยาไส้ ครูเองถ้าไม่ได้อาศัยพระบารมีเสด็จฯ ก็คงไม่อยู่มาได้จนทุกวันนี้”

“แต่ทางบ้านของดิฉันก็ไม่ได้ขัดสนเรื่องเงินทอง” อุมาแย้งเบาๆ

“คุณมีหน้าที่ต้องรักษาสมบัติที่พ่อแม่หามาให้  คุณพ่อคุณแม่คิดถึงข้อนี้จึงอยากให้กลับบ้าน ไปฝึกฝนเรื่องค้าขายทำการทำงาน พี่ชายคุณก็อยู่ห่างไกลนัก คุณเองเป็นผู้หญิง ถ้าไม่รู้เรื่องภายนอกเสียบ้างก็จะถูกคนฉ้อโกงได้ง่าย”

พ่อครูกวาดสายตาไปรอบๆ ถอนใจแล้วปรารภว่า

“อยู่ในวังนี้ก็ได้ฝีมือได้ความรู้พอควรแล้ว เหลือแต่ว่าจะออกไปปฏิบัติตัวอย่างไรเท่านั้น คุณเป็นลูกสาวเศรษฐี ผู้คนมากมายย่อมหวังปอง…ไม่ใช่ปองตัวคุณอย่างเดียว แต่ปองมรดกของคุณด้วย หลังสงครามนี้ ศีลธรรมเสื่อมลงจนน่าใจหาย คนมีแต่คิดตะเกียกตะกายจะเอาเงิน หมดความละอายต่อบาปกรรม คุณจะต้องรู้เท่าทันคนพวกนี้ด้วย จะมัวแต่ผูกลาย เขียนลาย ปักผ้าอยู่ คงไม่ได้ละมัง”

คำตอบของครูทำให้อุมาอึ้ง ตอบไม่ทันว่าจะแย้งอย่างไร หล่อนไม่เคยคิดถึงข้อนี้มาก่อน — —

“คุณพ่อท่านก็มีมากแล้ว” หล่อนหลุดปากออกไปอย่างอึกอัก “ดิฉันไปทำอะไรได้”

นัยน์ตาอ่อนโรยของครูบอกความปรานี

“อีกหน่อยกลับไปบ้านก็รู้เอง การหาเงินมามากๆไม่ใช่ของง่าย ส่วนการรักษาเอาไว้ก็ยากพอกัน ยากที่สุดคือทำให้มันทวีขึ้น ครูรู้จักคุณพ่อคุณแม่ของคุณ  ไม่ใช่ง่ายๆนะกว่าท่านจะเป็นเศรษฐีขนาดนี้ คุณเกิดมาตอนพ่อแม่ร่ำรวยแล้ว ไม่เข้าใจหรอก”

อุมานิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่งก็ตระหนักว่าถึงเวลาที่หล่อนจะต้องก้าวเดินไปทางใหม่แล้วอย่างไม่มีทางเลือก หล่อนจึงยกมือไหว้เป็นการรับโอวาท นิ่งอยู่สักครู่ก็เปลี่ยนเรื่อง

“ดิฉันตั้งใจว่าจะปักฉากเป็นฉากกั้นห้องค่ะ เคยเห็นตัวอย่างที่วัดเทพฯทำเป็นลายนกยูงเกาะกิ่งไม้ แต่ดิฉันว่าจะปักเป็นลายไทยดีกว่า คุณพ่อท่านมีเพื่อนฝูงเป็นแขกจีนฝรั่งมากมายจะได้อวดฝีมือเขาได้”

 

 

 

 

Photobucket

 

เมื่อพูดถึงลายไทย พ่อครูก็ดูกระปรี้กระเปร่าขึ้น

“เรื่องลายไทย ครูก็สอนมามากแล้ว คิดจะทำอะไรแปลกๆหรือเปล่าล่ะ ถึงได้มาถาม”

“ยังคิดไม่ออกเลยค่ะ ใจคอไม่ค่อยสบาย” อุมาตอบอย่างหงุดหงิดเล็กน้อย “ถ้าใจไม่สงบแล้วคิดอะไรไม่ออก ต้องเดินมาหาพ่อครู”

“ถ้างั้นก็ค่อยๆคิด ให้ใจเย็นเสียก่อน อย่ารีบร้อน” พ่อครูตอบ เสียงเหมือนปลอบเด็กขวัญเสีย

“อย่างที่เคยสอน ดูโน่นดูนี่รอบตัวไปก่อน แถวนี้ต้นหมากรากไม้มากมายพอจะคิดดัดแปลงได้  ลายไทยนั้นจะว่าไปแล้วก็เอามาจากของจริงในธรรมชาติ แต่เอามาปรุงแต่งด้วยฝีมือช่างแต่ละคน ไม่ลอกเลียนแบบธรรมชาติ ถ้าลอกแล้วก็ไปถ่ายรูปเอาดีกว่า สะดวกกว่า”

คำสั่งสอนต้นตำรับนี้ อุมาฟังมาตั้งแต่เด็กจนโต จนท่องได้ขึ้นใจแล้วแต่ก็ไม่รู้สึกว่าซ้ำซาก เพราะพ่อครูพูดเพื่อกระตุ้นให้เกิดแรงบันดาลใจนั่นเอง ไม่ใช่พูดแล้วพูดอีกด้วยความหลงลืมตามประสาคนแก่

“สมัยก่อนฝรั่งเข้ามาค้าขายในสยาม เห็นภาพวาดตามผนังโบสถ์เข้า ก็ไม่รู้จักของดีของงาม กลับไปว่าเป็นภาพน่าเกลียดไม่มีระยะใกล้ไกล ไม่เหมือนของจริงอย่างรูปวาดเมืองฝรั่ง  เขาไม่รู้หรอกว่าคนตะวันออกไม่ลอกแบบธรรมชาติ แต่ประดิดประดอยขึ้นมาใหม่ให้งามกว่า เด่นชัดกว่า บางทีก็จับมาแต่เส้นแต่เค้าโครงที่งามจับใจ เพราะเรารู้จักความงามของเส้นมากกว่าความงามของแสงเงาอย่างฝรั่ง แล้วดูเอาเอง  แม้แต่ใบไม้ใบเดียวก็มีเส้นสายที่งามเกลี้ยงเกลาเหมาะจะเอามาเพิ่มความโค้ง เพิ่มลาย เพิ่มอาการไหวสะบัด กลายเป็นลายไทยได้งดงามตามฝีมือช่างได้”

เสียงแหบๆเย็นๆของพ่อครูทำให้อารมณ์ของอุมาสงบลงอย่างรวดเร็ว หล่อนชอบใช้เวลาว่างทบทวนคำสอนของครู แล้วเด็ดดอกไม้ ใบไม้ในวังมาพิจารณา หรือไม่ก็ไปเดินเล่นริมน้ำ ดูระลอกน้ำไหวพลิ้วตามกระแสลม มองออกไปไกลเห็นพระปรางค์วัดอรุณราชวรารามผุดสูงขึ้นทาบทับกับพื้นฟ้าสีครามสีเมฆอ่อนๆ ริมหยิกสวยลอยล่องกระจัดกระจาย  อุมามักเอากระดาษติดตัวไปด้วย ขีดเขียนลายเส้นอะไรเรื่อยเปื่อยไปในอารมณ์สงบ แล้วได้ลายกลับมาสำหรับงานชิ้นใหม่

“อย่าปล่อยใจให้ขุ่นมัว บางทีของดีของงามอยู่ตรงหน้านี้เองมองไม่เห็น เพราะโทสะ โมหะ บังเสียหมด”  …

พ่อครูเตือนอีกครั้งแล้วลุกขึ้น รับไหว้ลูกศิษย์ที่น้อมตัวลงไหว้อย่างนอบน้อม ก่อนจะเดินหลังค้อมข้ามสะพานไปที่เรือนแพ

 

Photobucket 

 

ขอขอบพระคุณผู้ประพันธ์ ผ้าทอง ในนามปากกา แก้วเก้า … รองศาสตราจารย์ ดร.คุณหญิง วินิตา ดิถียนต์

 


ส่องกระจก

4 ความคิดเห็น โดย putarn เมื่อ 3 กันยายน 2008 เวลา 7:43 (เย็น) ในหมวดหมู่ เนื่องมาจากการอ่าน #
อ่าน: 1355

เมื่อคืนเราอ่านหนังสือของคุณแอนดรูว์ บิกส์ เล่ม…เมืองไทยในสายตาของผม(อีกแล้ว) อย่างเอ็นจอยอารมณ์

 

ก็ ๑๐ ปีมาแล้วสำหรับความคิดเห็นของคุณแอนดรูว์ ที่ปรากฏอยู่ในเล่มนี้

 

แต่เรารู้สึกว่า…ไม่เก่าเลย แถมยังเป็นสับปะรดมากด้วย

 

เรารู้สึกสะใจกับความเห็น…หมัดตรง…ในหลายเรื่องเกี่ยวกับเมืองไทยบ้านเกิดเมืองนอนของเรา…ที่หากคนไทยด้วยกันพูดเองรับรองว่าถูกหมั่นไส้ ไม่ว่าจะเป็น…

 

  • การขานเรียกอเมซซิ่งไทยแลนด์…เราฟังครั้งแรกก็รู้สึกหน่อมแน้มยกหางตัวเองยังไงไม่ทราบ ไม่มีคำอื่นให้เรียกแล้วหรืออย่างไร น่าจะรอให้ผู้มาเยือนเป็นฝ่ายหลุดคำนี้ออกมาเอง จะให้ความรู้สึกดีกว่ากันเยอะเลย

 

  • การโฆษณาเรียกลูกค้าต่างชาติที่น่าสับสน…ไทยเป็นเมืองพุทธ มีเมตตา โอบอ้อมอารีย์ มีวัดวาอารามมากมาย ครอบครัวอยู่ด้วยกันพร้อมหน้าเป็นครอบครัวใหญ่ อบอุ่น พ่อแม่ลูกอยู่ดูแลกันตลอด แต่ชีวิตจริง มีปรากฏการณ์พ่อแม่ขายลูกสาวให้เป็นโสเภณี คุณแอนดรูว์มีแนะด้วยให้ปิดพัฒน์พงษ์…เออ โดนเขาตบหน้าเข้าจังเบ้อเร้อ เจ็บไหมล่ะ

 

อีกอย่างไหนๆก็ไหนๆแล้ว ที่เราเองไม่ชอบคือการโฆษณาเมืองไทยด้วยภาพชาวเขา ทำราวกับคนไทยทั้งประเทศคือแบบนี้ เราเองต้องปฏิเสธมาแล้วว่าอยู่บ้านไม่เคยนุ่งอะไรอย่างนั้น หรือไม่อีกทีก็สุดโต่งเลย…ภาพเด็กนักเรียนในชนบท…เราไม่เชื่อหรอกนะว่าชีวิตปกติแนวอื่นๆในเมืองไทยจะไม่ดีพอจนเป็นจุดขายได้น่ะ

 

  • การเรียกความสนใจจากฝรั่งมังค่าด้วยคำว่า Hey You…ขอย้ำว่าคำนี้เป็นคำที่ต้องลบออกไปเลยจากสารระบบแห่งความทรงจำของชาวเราเพราะมันหยาบคายที่สุดชวนให้คนถูกเรียกเกิดโทสะพร้อมกระแทกหน้าคนเรียกเอาได้ง่ายๆ

 

กับเราเองก็มีเพื่อนที่ไปเที่ยวเมืองไทยครั้งแรกในชีวิตด้วยสาเหตุเพราะเขาเป็น

เพื่อนสนิทกับเรา ก็เลยมองเมืองไทยด้วยความรู้สึกที่ดีที่สุดไม่ระแวงอะไรทั้งสิ้น

และเชื่อมั่นว่าคนไทยทุกคนที่นั่นต้องเหมือนเรา เอาเข้าจริง พอกลับมาเพื่อนบอก

เราว่าชีวิตนี้ไม่ขอไปเมืองไทยอีกแล้วและโกรธไม่ยอมหายเนื่องจากทุกหนแห่งที่

เขาท่องเที่ยวไปจะถูกเรียก Hey You..Hey You นี่แหละ อ้อ…กับอีกอย่างถูก

นำเสนอแม่น้องนาง…เลื้อเกิน !…เราหน้าชา

 

  • อีก๒คำที่เรียกขานนักท่องเที่ยว…มัน กับ ฝรั่ง…ทำยังกะฝรั่งทุกคนไม่รู้ไม่เข้าใจยังงั้นแหละ ฝรั่งที่บังเอิญเข้าใจภาษาไทยนิดหน้อย เขารู้ว่ามันไม่สุภาพตามมารยาทไทยที่เขากำลังได้รับจากคนพูดน่ะ…ความจริงใจเป็นภาษาสากลนะเราว่า

 

  • การโกหกหลอกลวงนักท่องเที่ยวให้เชื่อหรือบางรายถึงขั้นตีขลุม(บังคับด้วยถ้าสถานการณ์อำนวย)ทำทีพาเที่ยวแล้วพาไปซื้อเพชรซี้อจิวเวอรี่…งานนี้คุณแอนดรูว์ลงทุนล้วงลูกเองเลย และตบท้ายทนให้หลอกต่อไปไม่ไหว ก็ย้อนคนไทยทุเรศพวกนั้นเข้าให้…ซ้า(หน้าแตก หมอไม่รับเย็บ !)

 

  • แท็กซี่…โดนจนได้…เรียกแล้วบอกไม่ไปทั้งที่ป้ายบอกว่าว่าง ไปไม่ทันเพราะต้องส่งรถคือเหตุผล…คนไทยเองโดนประจำ เรากลับไปทีไรก็เจ๊อ

 

  • ตุ๊กตุ๊ก…ก็ไม่เว้น…หลังจากแท็กซี่มีมิเตอร์เราพบว่าค่าตุ๊กตุ๊กแพงกว่า ฮา….(ขอฮาหน่อยเถอะ แอร์ก็ไม่มีเนี่ยะนะ)

 

  • นอกจากนี้ที่ร้ายแรงกว่าเพื่อนแต่คุณแอนดรูว์ไม่ได้เขียนถึงก็คือเวลาสามีฝรั่งมองเห็นภรรยาตัวเองซึ่งเป็นคนไทยได้รับการเหมารวมจัดอันดับโดยอัตโนมัติผ่านการปฏิบัติและการพูดจาว่าเป็นแม่น้องนางบ้านนา จากคนไทยด้วยกันในเมืองไทย พวกเขาจะโกรธ จะไม่เข้าใจ เหตุใดคนไทยจึงตาไร้แววไปได้ แล้วก็พาลเที่ยวบ้านเมืองของภรรยาไม่สนุก ไปๆมาๆก็ไม่ไปซะเลย…เมืองไทย

 

ข้างต้นคือด้านเนกกาทีฟที่คุณแอนดรูว์กระทุ้งให้รู้สึกด้วยหวังดีที่อยากเห็นการปรับปรุงแก้ไข ด้านโพสสิทีฟก็มี๊ อย่าเพิ่งน้อยใจไป

 

ที่เราชอบมากก็ตอนที่คุณแอนดรูว์ชื่นชมกับความเป็นอยู่แบบชาวบ้านในระว่างที่ออกไปเยี่ยมหมู่บ้านเล็กๆทางภาคอีสานในวันหยุดสุดสัปดาห์ จนถึงกับเรียกตอนนี้ว่า…กลับมาเถิดวันวาน…คุณแอนดรูว์บอกว่ารู้สึกอิจฉากับชีวิตที่ไม่ต้องใช้เงินซื้อข้าวปลาอาหารของชาวบ้านในชนบท…ทุกสิ่งหาได้จากหลังบ้าน รั้วบ้าน และบ้านเพื่อน(แม้แต่เหล้าก็ยังหมักกันเอง)…เราเองก็อิจฉานะคุณแอนดรูว์

 

นอกจากนี้ก็ชอบตอนที่คุณแอนดรูว์ให้กำลังใจยามเกิดวิกฤตเศรษฐกิจชื่อดัง…ต้มยำกุ้ง…คุณแอนดรูว์ปลอบว่า…ถ้าคุณมีความรู้ความสามารถ มีสุขภาพที่แข็งแรง เราลุกขึ้นยืนได้ใหม่แน่นอน เราต้องอดทนเพื่อเรียนรู้บทเรียนสำคัญของชีวิต…กับอีกตอนที่ว่า…ก้าวไปข้างหน้าแล้วทำอะไรสักอย่างที่คุณไม่เคยทำมาก่อน —- คิดถึงโอกาสที่จะทำให้เกิดความแตกต่างให้กับชีวิตของคุณ เรียนรู้ทักษะใหม่ๆ —-  ออกไปข้างนอกและช่วยงานการกุศลให้มากๆ เชื่อผมเถอะ มันเป็นงานที่ให้ผลตอบแทนที่ดี ผมไม่ได้หมายความว่าต้องบริจาคเงินเพียงอย่างเดียว จริงๆออกไปพบกับคนที่ด้อยโอกาสกว่าคุณก็เป็นอีกวิธีหนึ่งเหมือนกัน เมื่อคุณได้เริ่มลงมือทำสิ่งเหล่านี้ คุณก็จะเริ่มเข้าใจความหมายของการเป็นมนุษย์ ? เหนือสิ่งอื่นใด คุณอาจได้พบกับความสุขที่แท้จริง — ท้ายที่สุด การที่คุณจะทำงานอะไร มันไม่ใช่สิ่งสำคัญอีกต่อไป —-  มันขึ้นอยู่กับตัวของคุณเอง สิ่งที่ผมหวังสำหรับคุณนั้นมีเพียงบ้านที่มีความสุข… และยังมีีตอนที่แนะว่า…คนกรุงเทพฯควรเอาอย่างชาวบ้านดีไหม ? เราควรประหยัดให้มาก ใช้ในสิ่งที่เรามี เราไม่ตาย ถ้าไม่มีมือถือ รถราคาแพง เสื้อผ้ามียี่ห้อ เราไม่ควรตกเป็นทาสวัตถุนิยมแบบนี้ หลายท่านที่อดรนทนไม่ได้ หากปราศจากของใช้แพงๆหรูๆ ปัญหาไม่ได้อยู่ที่เศรษฐกิจแล้ว มันอยู่ที่ความคิดความเชื่อของท่าน…เราว่าจนถึงเดี๋ยวนี้คำพูดเหล่านี้ก็ยังใช้ได้อยู่

 

แล้วก็มาถึงช่วงวิพากษ์สาวไทย คุณแอนดรูว์บอกว่า…ดูอย่างผิวเผินชายไทยมีสิทธิ์มีเสียงและมีอำนาจมากกว่าหญิงไทย —-  นั่นเป็นแค่ภาพลวงตาครับ ผมเริ่มรู้ว่า แท้จริงผู้หญิงในประเทศนี้เป็นผู้กุมอำนาจไว้โดยเด็ดขาด เป็นผบ.ทบ.ของครอบครัวและของสามีเธอ กระนั้นก็ตาม —-  ผู้หญิงหน้าตาดีๆ จู่ๆ เลิกแต่งตัวฟู่ฟ่า เปลี่ยนทรงผมเป็นโบราณ สวมแว่นตาปีกนกสีดำ แล้วแขวนป้ายไว้รอบคอว่า ปล่อยฉันไว้ตามลำพัง ฉัันแก่เกินมีคู่แล้ว ท่านผู้อ่านที่เป็นผู้หญิง ได้โปรดเชื่อผม เมื่อผมบอกว่าท่านสามารถทำอะไรก็ได้ในชีวิตของท่าน สำหรับท่านที่คิดว่าแก่จนขึ้นคาน อายุของท่านเท่าไรกันแน่? บางท่านอายุแค่ —-  แล้วจะแก่ได้อย่างไรกัน? —-  อย่างไรก็ตาม วัฒนธรรมทำให้ผู้หญิงเริ่มกังวลเมื่อมีอายุมากขึ้น —-  หากคุณไร้คู่จนอายุเฉียด๓๐ คุณเริ่มกระสับกระส่ายแล้ว ฝ่ายชายมักสรุปว่าหญิงที่ไม่มีีคู่ เพราะหน้าตาน่าเกลียดเกินไป มันไม่จริงครับ  —-   —-   —-   —-  สำหรับความเชื่อที่ว่าอายุคุณมากแล้วคุณขึ้นคาน ผมว่าเราควรยกเลิกมันเสีย เราไม่ควรเลือกคู่เพราะอายุ แต่เราควรเลือกคู่เพราะความเหมาะสมมากกว่า

 

ความจริงในเล่ม คุณแอนดรูว์ยังพูดถึงเรื่องราวอื่นๆอีกมากมายอย่างสนุกสนานและมีสาระตามสไตล์ของคุณแอนดรูว์(แม้แต่เรื่องการเมืองก็ยังมี) เราจึงสนับสนุนให้หามาอ่านถ้าเป็นไปได้(ช้าไปหน่อยไหมนี่ เรา)

 

ตบท้าย เราขอนำบางส่วนจากปกหลังมาให้อ่านกันเป็นของหวานอีกนิด

 

เมื่อผมอยู่ที่นี่และบอกว่าผมรักประเทศไทย

อาหารอร่อย สาวสวย ดนตรีไพเราะ

เป็นประเทศที่น่าอยู่นั้นเป็นเรื่องจริง

แต่นั่นก็ไม่ใช่ว่าเมืองไทยไม่มีข้อเสีย

ซึ่งคงไม่ต้องให้ผมพูดถึง

เพราะเป็นสิ่งที่คนไทยก็รู้สึกอยู่ทุกวันอยู่แล้ว

 

 

 

———-

 

 

 

ผมเคยมีคู่รักไม่เยอะ แต่ไม่น้อยด้วย

มันขึ้นอยู่กับว่า คนที่จะเข้าใจใจของเรามากกว่า

เพราะฉะนั้นถ้าจะชอบใคร

อยู่ข้างใน ไม่ใช่ข้างนอก

ในที่สุดความสวยของเขา

ก็เหมือนความหล่อของผมนะ

มันจะโทรมลงอย่างเร็ว

 

 

ขอบคุณคุณแอนดรูว์ที่พูดตรงๆ ชัดเหมือนส่องกระจกดีจัง

 

Thanks again, mate !



Main: 1.5475690364838 sec
Sidebar: 0.00021982192993164 sec