ขอแชร์หน่อยค่ะ

โดย putarn เมื่อ 18 มิถุนายน 2011 เวลา 6:45 (เย็น) ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 2877

 

 

 

เมื่อได้อ่านบทความชิ้นยาวมากของนักเรียนแพทย์ท่านนี้แล้ว บอกตามตรงว่าอยากให้กำลังใจ แต่ให้ไม่ถูก เพราะความจริงที่คุณหมอเล่ามาทั้งหมดนี้ทำให้จุกค่ะ

ก็พอดีนึกขึ้นได้ถึงชุมชนออนไลน์แห่งนี้ที่เปรียบเสมือนศูนย์รวมภูมิปัญญาอันสุขุมคัมภีรภาพ

ถ้าไม่เป็นการรบกวนเกินไป ดิฉันใคร่เรียนขอคำชี้แนะจากทุกท่านที่ได้แวะเวียนเข้ามาอ่านด้วยค่ะ เพื่อเป็นกำลังใจและเป็นแนวทางแก้ปัญหาดินพอกหางหมูที่สะสมกันมายาวนานจากรุ่นสู่รุ่นเหล่านี้

ขอขอบพระคุณทุกท่านล่วงหน้าค่ะ

 

 
Photobucket
 

 

 

“มุมมองต่อหมอของคนไทยสมัยนี้เปลี่ยนไปแล้วล่ะมั้ง”

หลังๆมานี้ เวลาอ่านเจอ comment ของคนไทยที่มีต่อแพทย์แล้วรู้สึกท้อแท้เศร้าใจยังไงไม่รู้ มีเรื่องฟ้องร้อง มีเรื่องด่าว่า เรื่องเหน็บแนมหมอออกมาให้อ่านให้เห็นบ่อยๆ   พี่ๆน้องๆ ที่อคติไปกับหมอทั่วๆไปนั้น คุณรู้ชีวิตจริงๆ ของพวกเราแค่ไหนกันแน่นะ T.T เราคงว่าไม…่ได้หรอก ถ้าคุณอาจจะได้พบประสบการณ์ไม่ดีๆ จากหมอบ้าง (ซึ่งอาจเกิดจากนิสัยของหมอแต่ละคนเอง หรือที่จริงแล้วเค้ามีสาเหตุอะไรที่คุณไม่รู้หรือเปล่า ถ้าอ่านต่อจะมีบอกเป็นระยะๆ)   ชีวิต หมอเดี๋ยวนี้กดดันมากนะคับ คนสมัยก่อนมองว่า เรามาทำงาน มาตรวจเค้า มาช่วยเค้า รักษาเค้าให้หายจากโรค (ตอนนี้ส่วนใหญ่คนกลุ่มนี้อายุ 40 ขึ้นไป น่ารักมากๆๆ) แต่คนสมัยใหม่ (ไม่ทุกคนนะครับ) มีเยอะแยะมากเลยที่มองว่า เรามาเป็นหมอเนี่ย เป็นงานบริการ เป็นหน้าที่ เป็นสิ่งที่ต้องทำ และถ้าทำออกมาได้ไม่ดี ไม่ 100% ก็เป็นความผิดอีกด้วย   ซึ่ง ตรงจุดนี้ ผมคิดว่าหมอทุกคน (อย่างน้อยก็ 95% ของหมอนะครับ) เวลาเราไปรักษาคนไข้น่ะ เราอยากให้พวกคุณหาย อยากให้พวกคุณมีความสุขยิ้มแย้มกลับบ้านนะครับ ไม่มีหมอคนไหนที่รักษาโดยตั้งใจไม่ให้คุณหายหรอกครับ คำว่าเลี้ยงไข้น่ะ ไม่มีคนไหนทำหรอกครับแค่ที่ต้องตรวจๆอยู่ทุกวันนี่ก็เล่นเอาเหนื่อยลากเลือด ละ ถ้าหายปกติ ไม่ต้องมาหาใหม่ได้ จะดีที่สุดเลย ทำไมคนในสังคมบางคนถึงต้องโกรธเกลียดอาชีพเราด้วยล่ะครับ  

 

 1.งาน ในรพ.รัฐนั้น เยอะมากๆๆๆๆ เลยครับ ผมคิดว่าหมอที่ทำงานทุกคนมีความคิดเห็นเหมือนกันล่ะครับ เราไม่ได้อยากได้เงินเยอะขึ้นนะครับ เราอยากให้งานที่ทำอยู่ตอนนี้มันน้อยลงบ้างต่างหาก   - อย่างเช่น งานในโรงบาลอำเภอ ตื่นเช้ามา 8 โมง …แน่ะ สงสัยล่ะสิคับว่าเห็นหมอมาตรวจผู้ป่วยนอกก็เกือบ 10 โมงทุกที จริงๆแล้วเราไปถึงโรงบาลตั้งแต่ 8โมงแล้วนะคับแต่ ไปเริ่มตรวจที่ผู้ป่วยใน (เต็มที่ 30 เตียง มักจะมีคนไข้จริงประมาณ 10-20 เตียง ถ้าช่วงไข้เลือดออกระบาดก็ปาเข้าไป 50 กว่าเตียง) ถ้าเคสละ 3-5 นาทีก็หายไปเป็นชั่วโมงแล้วครับ เสร็จแล้วก็เดินไปห้องคลอด ไปวางแผนให้คนที่ยังไม่คลอดและดูว่ามีปัญหาอะไรรึเปล่าจะได้แก้ไว้ก่อน เสร็จแล้วเราก็ยังไม่ได้ไปผู้ป่วยนอกนะ เดินไปแวะห้องฉุกเฉินก่อนว่ามีเคสด่วน อุบัติเหตุอะไรรึเปล่า แล้วก็ไปถึงห้องตรวจผู้ป่วยนอกก็เกือบ 10 โมง มองไปเห็นคนไข้กว่า 100 คนที่บางคนมองด้วยสายตาสงสัยว่า ทำไมหมอมันมาเอาป่านนี้ฟะ แล้วก็ก้มๆเงยๆตรวจคนไข้ 100 กว่าคนให้เสร็จก่อน 4 โมงเย็นบางวันก็ล้นไป5โมง6โมง แต่ยังไงก็ต้องตรวจให้หมดนะครับ ไม่มีคำว่า วันนี้ 4 โมงเย็นแล้ว ลุงมารอตรวจใหม่พรุ่งนี้นะ พอตรวจเสร็จ เราก็อยู่เวรครับ คือ เวรเนี่ยมันอยู่ 4 โมงเย็นถึง 8 โมงเช้านะครับ สามารถตามเราไปดูคนไข้ได้ตลอดเวลา จะกินข้าว จะอึ จะนอน หรือจะโทรคุยกับแฟนอยู่ ก็ต้องไป เมือคืนนี่โดนจัดหนัก กลับบ้านเที่ยงคืน โดนตาม ตี4 1 ครั้ง ตี4 ครึ่ง 1ครั้ง ตี5 1ครั้ง 6โมงเช้าอีก 1 ครั้ง แล้ว 7โมงครึ่ง เราก็ตื่นเพื่อแปรงฟันอาบน้ำไปทำงาน ชะเอิงเงย   - ที่นี้เวรเนี่ย ปีนึงมีกี่วัน มันก็ต้องมีหมออยู่ทุกวันล่ะคับ อย่างที่โรงบาลผมมีหมอ 2 คน ก็อยู่กันคนละครึ่งปี หมายถึงทำงานกลางวันอย่างเดียวครึ่งปี และ ทำงานทั้งวันทั้งคืนอีกครึ่งปีนะ  (อ่านไม่ผิดคับ ทำทั้งวันครึ่งปี ทั้งทั้งวันทั้งคืนอีกครึ่งปี) ส่วนเสาร์-อาทิตย์และ วันหยุดยาว เราก็ต้องผลัดกันได้กลับบ้านไปหาครอบครัว คนนึงหยุดช่วงปีใหม่ อีกคนนึงหยุดช่วงสงกรานต์ เป็นต้น (สงกรานต์ที่ผ่านมา เราอยู่เวร 120 ชั่วโมงรวด อุบัติเหตุอื้อเลย T.T) >> คุณคิดว่าเหนื่อยหรอคับ ถ้าผมบอกว่า ตอนสมัยผมฝึกงานปี2 ผมเคยไปดูงานโรงบาลอำเภอแห่งหนึ่งในจ.สุราษฎร์ อยู่ห่างจากถนนใหญ่เข้าไป 60 กิโล มีแพทย์อยู่คนเดียว ผมนับถือความอึดของพี่หมอคนนั้นมากเลยคับ เพราะถ้าผมอยู่สองคนต้องอยู่เวรคนละครึ่งปี พี่เค้าอยู่คนเดียว ทุกคนก็คงเข้าใจนะครับว่าอยู่เวรปีละกี่วัน (คงขึ้นกับว่าเดือนกุมภาปีนั้น มีกี่วันอะนะ ผมว่า)   - วันเกิดปีนี้กลับไปกินเค้กกับแม่ที่บ้าน แม่บอกว่าดีใจจัง ตั้งแต่ลูกเรียนขึ้นปี 4 มาจนตอนนี้ (ตั้ง 5ปีละ) เห็นต้องไปอยู่เวรตอนวันเกิด พอดีทุกทีเลย ตอนปี5 เราได้ช่วยทำคลอดเด็กในวันเกิดตัวเองด้วย เราก็ยิ้มๆแล้วแซวคุณแม่เล่นๆว่า ลูกคุณเกิดวันเดียวกับหมอเลยนะ วันต่อมาพ่อแม่ของน้องเอาช่อดอกไม้มาให้ บอกว่า “สุขสันต์วันเกิดนะหมอ” ประทับใจสุดๆอะ เรายังจำได้นะ ที่เค้าตั้งชื่อเด็กว่า น้องไนน์ ป่านนี้น่าจะ 3-4 ขวบแล้วมั้งเนี่ย   - มีอยู่วันนึงที่เราตรวจคนไข้ทั้งวัน วิ่งไปวิ่งมาในรพ.ทั้งคืน พอตอนเช้าก็ไปตรวจอีก แล้วก็มีลุงคนไข้คนนึงถามว่า “หมอน่าสงสารจัง ได้นอนบ้างรึเปล่า” เรายิ้มแก้มปริเลยล่ะ เอาจริงๆนะ ถ้าคนไข้คนไหนถามหมอแบบนี้ หมอจะมีความสุขมากเลยล่ะ ลองไปถามดูนะ   - เคสผู้ป่วยนอกนี่ไม่เท่าไหร่ เคสห้องฉุกเฉินนี่ล่ะ ที่เล่นเอาเราเกือบตาย มีอยู่วันนึง(ตอนนั้นอยู่รพ.จังหวัด มีแพทย์อยู่ห้องฉุกเฉินครั้งละ 1-2 คน) อยากจะเรียกว่าวันแดงเดือดเหลือเกิน ในขณะที่กะลังดูเคสผู้ป่วยอุบัติเหตุหนัก 2 เตียง คนนึงปอดแตกต้องใส่ท่อ อีกคนหัวแตกไม่รู้สึกตัวต้องส่ง CT สมอง ก็มีแม่วิ่งร้องไห้อุ้มเด็กชักเข้ามา เราก็ตะโกนสั่งยากันชักแล้วก็ รีบช่วยเคสอุบัติเหตุก่อน แต่ก็ยังไม่เสร็จ ก็มีเคสคนเมายาบ้า ญาติมัดเป็นข้าวปุ้นเข็นเข้ามาอีกเตียงนึง ยังไม่ได้ไปดู มีมอเตอร์ไซด์ชนกันเข้ามาอีก 2 คน ตอนนั้นหัวผมจะระเบิดแล้วคับ ต้องสั่งรักษาคนไข้พร้อมๆกันหลายเตียง และแน่นอนว่าญาติใครๆก็รัก คนไหนเค้าก็อยากให้หมอดูญาติตัวเองก่อนนะครับ คือ สำหรับเรา เราคิดว่างานหนักไม่ได้กินไม่ได้นอน นั้นเป็นเรื่องปกติ แต่งานหนักที่ทำเต็มที่แล้วยังไงก็ไม่ทัน มันน่ากลัวมาก แล้วคนสมัยนี้ฟ้องเรากันเป็นว่าเล่นด้วย มันชวนเครียดมากๆเลยครับ อันท้ายนี้เจ็บสุดคือ ขณะที่เรากำลังปวดหัวดูแลคนไข้หนักไม่ทันอยู่นั้นเอง ก็มีคุณแม่อุ้มลูก 3 ขวบเดินเข้ามาด้วยอาการก้าวร้าว “หมอ ลูกชั้นมารอตั้งชั่วโมงนึงแล้วนะ เนี่ยเป็นไข้จะตายอยู่แล้ว” (เอ่อ ลูกแม่ไข้ ไอ เจ็บคอ รู้สึกตัวดี กินได้ ถ้าไม่รักษาหายเอง 7-10 วัน ถ้าให้ยา หายเร็วขึ้น 3-4 วัน มันไม่เรียกว่าจะตายนะแม่ แม่หันไปมองข้างหลังหมอก่อนได้มั้ยคับ) งานที่ว่ายุ่งแบบนี้ไม่ใช่นานๆครั้งนะครับ ผมว่าโดยประมาณ 4 ใน 7 วันจะเป็นอย่างนี้ล่ะ   - ลองมองกลับกันคุณสามารถมายืนในจุดนี้ รับแรงกดดันแบบนี้ได้หรือเปล่าครับ กับการทำงานเต็มที่ไม่ได้กินไม่ได้นอน แต่ก็ยังไม่ทัน ก็ยังโดนคนด่าคนฟ้อง โดยต้องทำใจเสมอว่า เค้าทำไปเพราะ สภาพอารมณ์เค้าย่ำแย่จากอาการเจ็บป่วย  T.T   - เรื่อง ทำไม่ทันนี่มีเยอะมากเลยนะ จากประสบการณ์จริงของเรากับเพื่อนๆที่จบด้วยกันมา อย่างเช่น เพื่อนคนนึงผ่านหอผู้ป่วยเด็ก มีเคสรายงานให้ไปรับเด็ก (ปล.การรับเด็ก คือ การตามหมอเด็กไปเตรียมตัวยืนรอในห้องคลอด ในกรณีที่คิดว่าเด็กที่เกิดมาเสี่ยง อาจมีปัญหาแรกคลอด จะได้ช่วยได้ทันที) ปัญหามันอยู่ที่ว่า เพื่อนผมมันมีอยู่ตัวเดียว สองมือ สองเท้า แต่มันโดนตามให้ไปรับเด็กสองคนพร้อมกันเนี่ยสิ คนนึงผ่าคลอดในห้องผ่าตัดชั้น4 อีกคนนึงน้ำคร่ำ เหม็นเขียว กำลังจะคลอดอยู่ที่ห้องคลอดชั้น3 >>  หมอนะ ไม่ใช่นินจาจะได้แยกร่างได้ เพื่อนๆก็เลยเอามาแซวกันเล่นทีหลังว่า ทำไมไม่บอกพี่พยาบาล ชั้น4 ว่า เดี๋ยวเด็กคลอด โยนลงมาทางหน้าต่างเดี๋ยวจะรอรับชั้น3นะ คุยกันขำๆล่ะ แต่ไอเพื่อนตอนที่อยู่เหตุการณ์จริงมันคงไม่ขำเท่าไหร่หรอก เพราะ ถ้าเด็กคนไหนออกมาแล้วแย่ขึ้นมา แล้วมัวไปดูอีกคนนึง ก็คงโดนฟ้องล่ะมั้ง หรืออย่างตอนเราเคยอยู่เวรอายุรกรรม ในแต่ละคืนมีคนไข้ในความดูแล 2 ตึก 4 ชั้น ประมาณเกือบ 200 เตียง ที่นอนๆอยู่มีทั้งมะเร็งปอด หัวใจตีบ ไตวาย ติดเชื้อช็อค >> ในที่ว่าๆมา มีแจ๊คพ็อตแตกอาการหนักพร้อมกันขึ้นมา 2-3 เตียงก็เป็นเรื่องเลย โดนตามพร้อมกันหนักทั้งคู่ อยู่คนละตึกกันด้วย ถ้าเป็นคุณๆจะทำยังไงล่ะคับ ถ้าคุณไปดูคนไหนก่อน อีกคนนึงไปไม่ทันแล้วอาการหนักเสียชีวิต โดนฟ้องไม่รู้ด้วยนะ เอ้อ   “บางครั้ง บางที ที่คนไข้และญาติคิดว่า หมอดูแลคุณช้า หรือไม่เต็มที่นั้น สาเหตุก็อย่างที่ว่านี่แหละครับ เราไม่ได้ดูแลคุณคนเดียว เรากำลังดูคนไข้ที่มีชะตากรรมเดียวกับคุณอีกไม่รู้กี่คน บางคนหนักกว่าคุณด้วยซ้ำ ถ้าทำได้ ก็ช่วยใจเย็นๆ คุยกับหมอเค้าดีๆหน่อยนะคับ เราเข้าใจและบอกตัวเองเสมอล่ะว่า คุณหรือญาติของคุณกำลังเจ็บป่วย ย่อมอยู่ในช่วงที่อารมณ์ควบคุมลำบาก แต่เวลาที่เราทำสุดชีวิตสุดใจขาดดิ้น แล้วโดนคุณด่า มันท้อนะครับ” (ผม เคยยุ่งจนไม่ได้กินข้าวติดต่อกันตั้ง 27 ชั่วโมงแน่ะ ถ้าเรื่องไม่ได้นอนก็เคยติดต่อกันประมาณ 60 ชั่วโมงได้ล่ะ ไอ้ที่ไม่ได้นอนนี่ ช่วงเรียนปี6 กะทำงานปีแรกนี่โคตรบ่อยเลย ถ้าถามว่าง่วงบ้างไหม ผมเคยเผลอหลับในขณะกำลังเขียนนามสกุลตัวเอง ในใบรับรองแพทย์ที่เขียนให้คนไข้นะคับ ลืมตาขึ้นมาปากกาอยู่ในมือ กับตัวหนังสือยึกยือ ไม่รู้เขียนอะไร เงยหน้ามาเจอคนไข้ยิ้มอยู่ เค้าคงเข้าใจผมล่ะคับ)   - เราคิดว่าสาเหตุจริงๆ ก็คงเพราะหมอไม่พอ หมอลาออกหรือไปอยู่เอกชนเยอะล่ะครับ ยิ่งวันก่อน อ่านไปเจอคนออกความเห็นว่า “เป็นหมอจะบ่นทำไมว่างานเยอะ ไม่อยากทำก็ลาออกซะสิ” มันแปล๊บนะครับ ที่เราไม่ออก เพราะ คนที่อยู่ต่อตายแหงแก๋ไงล่ะคับ คนหายไปคนนึงนี่ จำนวนคนหารที่ช่วยกันตรวจคนไข้นี่เล่นเอางานหนักเลยนะครับ แล้วถ้าหมอเหนื่อยแล้วไม่ไหว ออกไปอยู่เอกชนกันหมด อย่างที่เค้าว่าจริงๆ ใครลำบากล่ะครับ คนที่พูดคงไม่ลำบากหรอกมั้ง สงสัยจะตรวจแต่เอกชนอยู่แล้ว ชาวบ้านตาดำๆ ที่ต้องรอนานกว่าเดิมต่างหากที่น่าสงสารน่ะ  

 

2. งานที่เราทำมันเป็นงานที่อยู่กับความเครียด อยู่กับความเจ็บป่วย อยู่กับคนที่กำลังจะตายตลอดเวลา ความสุขของงาน คือ การทำให้คนเหล่านั้นหน้ายิ้มแย้ม เดินกลับบ้านได้อย่างมีความสุข   - แต่ในความเป็นจริงแล้ว เราไม่ใช่ดอกเตอร์เค ไม่ใช่ก็อดแฮนด์เทรุ ที่รักษาได้ทุกโรค เราต้องอยู่กับคนเจ็บป่วยที่รักษาไม่หาย บางคนเป็นมะเร็งในช่องท้อง ท้องอืดโต ต้องเอาเข็มจิ้มพุงระบายน้ำออก 3-4 วันครั้ง ต้องนอนปวดร้องโอดโอยอยู่ตลอด บางคนก็ต้องพึ่งมอร์ฟีน เวลาที่เราต้องไปดูแลเค้าและสภาพจิตใจของผู้ป่วยและญาติที่ต้องอยู่กับภาพ แบบนั้นทุกวัน ถ้าสภาพใจเราไม่ดีพอ หมอเองก็จิตตกเอาง่ายๆเลยนะ (ยิ่งบางทีไม่ได้กินไม่ได้นอนอยู่ก่อนอีก)   - การที่เราต้องไปบอกคนที่เดินได้ ใช้ชิวิตปกติดี ว่าคุณเป็นเอดส์ คุณเป็นมะเร็ง มันไม่ใช่เรื่องที่สนุกเลย เราเคยเจอป้าคนนึงหายใจเหนื่อยๆ ตรวจเจอมะเร็งปอด ตอนที่บอกแก แกยิ้มแล้วบอกเราด้วยรอยยิ้มแบบขมขื่นว่า “แหม ว่าแล้วเชียว” (จริงๆแล้วแกไม่อยากให้หมอเครียดไปด้วย) บางคนนี่ทำใจไม่ได้นั่งนิ่งไปหลายนาที บางคนร้องไห้ไม่เป็นอันทำอะไรก็มี มันเป็นอะไรที่กดดันจิตใจคนเป็นหมออยู่บ่อยๆเลยนะ (ที่จริงมีคาบสอนเรื่อง วิธีการบอกคนไข้เหล่านี้ เรียนกันจริงๆจังๆหลายชั่วโมงเลย) และ เป็นสิ่งที่เราต้องทำด้วย เพื่อที่ผู้ป่วยจะได้รู้ว่า ตัวเองเป็นอะไร อยู่ได้อีกนานเท่าไหร่ จะทำอะไรก็รีบๆทำซะ มันเครียดมากๆ   - ไอ้ที่เครียดกว่าคือการต้องเจอกับคนไข้ หรือญาติที่จะเอานู่น จะเอานี่ ซึ่งถ้าไม่ได้เหลือบ่ากว่าแรงอะไร เราก็ยินดีจะทำให้นะครับ แต่บางอย่างที่มันส่งผลกระทบต่อคนอื่นๆ เราก็ทำตัวไม่ถูกเหมือนกัน อย่างเราเคยเจอคนวิ่งหัวไปชนฝา รู้สึกตัวดี ไม่ปวดหัว แต่ญาติบอกกลัวเลือดจะออกในหัว ขอให้ CT สมอง คือ เราจะบอกว่าการ CT มันมีข้อบ่งชี้นะ ว่าอาการอย่างไร ความเสี่ยงอย่างไร ควรทำแต่เวลาเจอมาแบบนี้ ลำบากใจแฮะ เพราะ CT ครั้งละ 3000-4000 เงินที่เอามาใช้ก็เงินที่รัฐเหมาจ่ายเป็นรายหัวโครงการ 30 บาทให้คนทั้งจังหวัดนั่นล่ะ ใช่เงินหมอเองซะที่ไหน ถ้าคนวิ่งๆชนๆ นิดหน่อยๆ รู้สึกตัวดี ขอ CT กันทุกคน แล้วเอาเงินส่วนนี้มาใช้กันหมด แล้วจะเอาเงินที่ไหนไปรักษา ไปเป็นค่ายาให้คนไข้คนอื่นๆล่ะ ซึ่งส่วนใหญ่ก็มักจะตามมาด้วยประโยคเด็ด ถ้าเราจะไม่ CT ให้ “ถ้าเป็น อะไรขึ้นมาทีหลังนะ ผมฟ้องคุณตายแน่” ….. ทีนี้ก็แล้วแต่หมอแต่ละคนแล้วล่ะ ว่าจะเลือกความปลอดภัยของตัวเอง หรือจะเลือกเงินค่าดูแลคนไข้ในโรงบาลของประชาชน   - ตัวอย่างที่เด็ดที่สุดนั้นเป็นเรื่องจริงที่เคยเกิดในเขตนราธิวาส ที่เอามาให้เราเรียนกันตอนเป็นนักศึกษาแพทย์ปี4 เพื่อให้คุยกันว่า ถ้าเกิดกรณีอย่างนี้ควรตัดสินใจอย่างไร เรื่องมีอยู่ว่า “มีชายหญิง คู่หนึ่งมาตรวจเลือดก่อนแต่งงาน ผลเลือดออกมาว่าสามีเป็นเอดส์ (สามีรู้อยู่แล้ว) สามีมาบอกหมอว่าห้ามบอกภรรยาที่กำลังจะแต่งงานกันเด็ดขาด ถ้าบอกจะตามยิงครอบครัวหมอให้ตายหมดบ้านเลย” เอาล่ะคับ ถ้าเจอเหตุการณ์อย่างนี้จริงๆ แบบที่พี่หมอคนนึงเคยเจอ เป็นคุณๆจะทำอย่างไร เหมือนที่หลายคนชอบพูดให้เห็นบ่อยๆว่าคนเป็นหมอต้องเสียสละตัวเองสิ แต่ถ้าเค้าจะยิงพ่อแม่ เมียลูกคุณด้วยล่ะ คุณจะโอเคหรอคับ..  

 

3.งาน ที่ทำอยู่เป็นงานที่ต้องรับผิดชอบสูงมาก จะทิ้งไปเฉยๆไม่ได้ ไม่ใช่ว่าบอกว่า โอ๊ยวันนี้เป็นไข้ปวดหัว แล้วจะไม่ไปตรวจก็ได้นะครับ บางที่ที่ตอนผมไปตรวจคนไข้ ตอนนั้นไข้ผมสูงกว่าเค้าอีกนะ ยิ่งตอนอยู่ในโรงบาลมหาลัย ผมเคยเห็นพี่คนนึงแกแทบจะไม่มีแรงแล้ว ให้น้ำเกลือ เดินเอามือค้ำเสาน้ำเกลือตัวเองไปดูคนไข้เลยนะ (อันนี้คงแล้วแต่แรงฮึดของหมอแต่ละคนมากกว่าแฮะ)   - อย่างที่บอกว่า งานมันเป็นงานที่จะหายไปเฉยๆไม่ได้ ต้องมีหมออย่างน้อยที่สุดหนึ่งคนอยู่ในโรงบาลนั้นตลอดเวลาเสมอ จะลาก็ต้องบอกก่อนจะได้หาหมอจากที่อื่นมาช่วยไว้ก่อน ต้องรื้อโทรศัพท์ขึ้นมาโทรหาเพื่อนหมอทีละคนๆ ที่เคยเรียนเคยทำงานด้วยกันมาก่อน ว่าวันนี้ใครที่ไม่อยู่เวรที่อื่นอยู่แล้วบ้าง มาอยู่ให้หน่อยพอดีมีธุระ เดี๋ยวจ่ายตังเพิ่มให้ ถ้าหาไม่ได้ เอ็งก็อยู่ไปเองเหอะ สำคัญแค่ไหนก็ไปไม่ได้หรอก ล่าสุดฟังมาจากรุ่นน้องปี 5 ว่ามีน้องคนนึงไปงานศพพ่อตัวเอง ขาดเรียนไป1-2 วันแต่โดนซ้ำทั้งวิชาไปเลย เราก็ไม่แน่ใจนะว่า คณะเค้าต้องการจะสอนรึเปล่าว่า ถ้าวันนึงเอ็งจบไปทำงาน แล้วเกิดญาติเสีย เมียคลอดลูก บ้านถูกไฟไหม้ ถ้าเอ็งยังหาคนมาอยู่แทนไม่ได้ เอ็งห้ามออกจากโรงบาลไปเกินระยะที่ตามได้ถ้ามีเคสอุบัติเหตุจะตายและมาถึง โรงบาลใน 5นาทีให้ได้อย่างนั้นล่ะมั้ง (เอ๊ะ อ่านประโยคนี้ซ้ำแล้วรู้สึกว่างานเรามันเหมือนอะไรไม่รู้ จะออกไปได้ต้องหาคนมาอยู่แทนให้ได้ก่อน เหอๆๆ )  

 

4. ความยากของการทำงาน

 งานของเราจัดเป็นวิชาชีพนะครับ ก็คือ อาชีพที่อยู่ดีๆ นึกจะเป็น ก็ไม่ใช่ว่าจะใส่ชุดหมอมาเป็นเลยได้ ต้องเรียนหนักกัน 6ปี เนื้อหาที่เรียนนั้นก็เยอะ (ทุกวิชาชีพก็เยอะทั้งนั้นล่ะผมว่า) แต่ที่มันค่อนข้างยากขึ้นมาอีกระดับนึงก็คือ ความรู้ทางการแพทย์เป็นความรู้ที่ดิ้นได้ มีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา และ ยังมีความไม่แน่นอนสูง คนไข้ที่มากด้วยอาการแบบเดียวกันเป๊ะๆ 100 คน สามารถเป็นโรคที่ต่างๆกันไปได้ถึง10โรค ยกตัวอย่างเช่น คนไข้ที่มาด้วยปวดท้องขวาล่าง สามารถเป็นได้ตั้งแต่โรคธรรมดาพื้นๆ ไม่อันตรายเช่น ฉี่ติดเชื้อ ลำไส้อักเสบ ปวดcyst นิ่วในท่อไต ไปจนถึงโรคที่อันตรายถึงชีวิตถ้าไม่ผ่าตัด อย่างเช่น ไส้ติ่งอักเสบ ท้องนอกมดลูก เป็นต้น ทำให้การวินิจฉัยนั้นบางครั้งค่อนข้างลำบาก โดยเฉพาะถ้าเป็นโรคระยะแรกๆ ที่อาการไม่ชัดเจน เราก็ต้องรักษาโดยคิดถึงโรคที่เป็นได้มากที่สุดก่อน แล้วค่อยนัดมาดูอาการครับ คนไข้ที่เดินเข้ามาอาจจะมีอาการเหมือนในหนังสือเป๊ะๆ หรือ เป็นอาการแบบเดิมที่เราเจอมาเป็นครั้งที่ร้อย ก็ไม่ได้แปลว่าจะต้องเป็นโรคนั้นที่เราคิดเสมอไปนะครับ ดังที่อาจารย์แพทย์จะกรอกหูพวกเราเสมอว่า “ไม่มีสิ่งใดแน่นอน 100% ใน medicine” เวลาที่เราคิดว่าผู้ป่วยเป็นอะไร ให้คิดโรคที่อาจเป็นได้อีกสาม-สี่โรคเผื่อไว้เสมอ

 

- ยกตัวอย่างอาการที่คน”ไข้” เดินมาหาเราบ่อยที่สุด ก็คือ “ไข้” ครับ คนทั่วไปอาจจะคิดว่า “ไข้” เป็นโรคบ้านๆ รักษาง่ายนะคับ ความเป็นจริงก็คือ มันง่ายเกินไปต่างหากที่คนๆนึงจะเป็นไข้ มันถึงได้ยากสำหรับหมอไงล่ะคับ

ไข้ ก็เหมือนกับเป็นอาการเตือนที่อยากบอกให้ร่างกายรู้ตัวว่าไม่สบาย ไม่ว่าคุณจะเป็นโรคอะไรก็ไข้ได้ทั้งนั้นล่ะคับ แต่เวลาหมอวินิจฉัย เราจะเอาไข้เป็นแค่ตัวประกอบร่วมกับอาการร่วมอย่างอื่นที่คุณเป็นต่างหาก เช่น ไข้+ไอ เจ็บคอ=คออักเสบ ไข้+ถ่ายเหลว=ลำไส้อักเสบ หรือ ไข้+แผลในปาก+ผื่นแพ้แสง+ฉี่เป็นฟอง+ซีด+..=โรคภูมิคุ้มกันทำลายตัวเอง หรือ ไข้+ร่าน+ติดเชื้อเป็นๆหายๆบ่อยๆ = เอดส์รึป่าวฟะ เป็นต้น แต่สมัยนี้ด้วยการแพทย์ที่เข้าถึงง่าย เราเคยเจอคนที่มาด้วยไข้ 5 นาที ไม่มีอาการอย่างอื่นเลย ตรวจร่างกายไม่เจออะไร แถมเอาปรอทวัดไข้ไปก็ไข้ไม่ขึ้นอีกต่างหาก >> เครียดคับ.. อันนี้ผมพูดถึงในเชิงระนาบ คือ หนึ่งคนหนึ่งโรคนะคับ แต่ที่เจอจิงๆ คนที่มาด้วยไข้ มีได้ตั้งแต่ ไม่เป็นโรคเลย มาโรงบาลตอนเช้าๆ บอกว่าตัวเองเป็นไข้ ขอใบรับรองแพทย์ลางานวันนี้ ไปจนถึง คุณป้าอายุ95 ปีที่นอนซมอยู่บ้าน ทั้งชีวิตไม่เคยมารพ.เลย ญาติพาออกจากบ้านมาได้ตอนที่แกไม่รู้สึกตัวแล้ว มาถึงห้องฉุกเฉิน X-rayปอดก็เจอปอดบวม เจาะเลือดก็ติดเชื้อในเลือด ส่งฉี่ตรวจก็มีเชื้อ พลิกดูหลังก็มีแผลเน่าที่ก้น คือ ตรวจไปเจอสาเหตุเป็นสิบๆโรคเลยก็มีคับ

 

- โรคบางโรคนั้นอันตราย เสี่ยงต่อการฟ้อง เจอได้น้อยมากในคนที่มีอาการแบบเดียวกัน และดันไม่มีวิธีตรวจยืนยันแบบง่ายๆซะอีกครับ ขอยกตัวอย่าง มะเร็งในกระเพาะแล้วกันนะครับ

“กระเพาะอักเสบ : มาด้วยอาการแสบแน่นลิ้นปี่ บางคนแน่นขึ้นอก บางคนคลื่นไส้อาเจียนร่วมด้วย”

“มะเร็งในกระเพาะ :มาด้วยอาการแสบแน่นลิ้นปี่ บางคนแน่นขึ้นอก บางคนคลื่นไส้อาเจียนร่วมด้วย”

 

ใช่ครับ ในคนไข้ที่เดินเข้ามาหาเราด้วยอาการปวดแน่นลิ้นปีวันละสิบยี่สิบคน ในคนไข้เหล่านั้น เราตรวจซักเดือนสองเดือน จะมีคนไข้ที่จิงๆแล้วเป็นมะเร็งในกระเพาะแอบอยู่ซัก 1คนคับ แต่อาการคือมาแบบเดียวกันเป๊ะๆเลยคับ (บางคนก็บอกว่า มะเร็งก็น่าจะคลำได้ก้อนสิ >> ก้อนมันไม่จะเป็นต้องยื่นออกมาด้านนอกกระเพาะนี่ครับ เวลาตรวจผมก็ไม่เคยเอาแขนล้วงลงไปในคอคนไข้ซะด้วย) วิธี่ที่จะบอกว่าเป็นหรือเปล่าก็มีอยู่ แค่ส่องกล้องกับ เอกซเรย์คอมพิวเตอร์เจอ (แต่เอกซเรย์ทั่วไปไม่เห็นนะคับ เห็นแต่ลมกลมๆดำๆในกระเพาะ) มันจะหนักใจหมอตรงที่ว่าเคสไหนเราควรจะส่งไปส่องกล้องนะสิครับ อย่างเช่น จังหวัดผมมีหมอศัลย์ส่องกล้องได้อยู่สามคน แต่มีคนที่มีอาการแบบนี้หลายแสนคน ผมก็คงไม่ส่งไปส่องกล้องทุกคนจิงมั้ยครับ เราก็เลือกเป็นรายๆไป อย่างเช่น แก่มาก มีประวัติคนในครอบครัวเป็นมะเร็งกระเพาะมาก่อน ถ้าดูแล้วเสี่ยงเราก็ส่งให้เลย แต่ถ้าเป็นคนทั่วไป เราก็รักษาดูก่อน คนไหนที่กินยาแล้วกินยาอีกยังไม่ดีขึ้น จัดเป็นความเสี่ยงข้อนึงครับ ให้ส่งไปส่องกล้องได้เลย อันนี้คือตามหนังสือเรียนจริงๆนะครับ แต่ในความเป็นจริงก็คือ กับคนที่ปวดท้องมาแบบนี้ พอเราให้ยารักษาไปปุ๊บ พอไม่ดีขึ้นก็ไปอีกโรงบาลนึง ไม่ดีขึ้นก็ไปที่คลินิค พอเจอหมอคนใหม่ หมอทุกคนก็ทำตามหลักครับ ถ้าไม่มีความเสี่ยงก็รักษาก่อนถ้าไม่ดีขึ้นค่อยส่งไปส่องกล้อง สุดท้ายเปลี่ยนหลายๆที่เข้าก็ไปลงที่รพ.เอกชน >> รพ.เอกชนส่องทีนึงเรียกตังเป็นหมื่นครับ จะเสี่ยงไม่เสี่ยงเค้ายินดีจะส่องกล้องให้คุณอยู่แล้ว พอส่องเจอปุ๊บ แจ๊คพ็อตก็ลงกับหมอโรงบาลแรกๆไงคับ เราตรวจคุณตามเกณฑ์นะคับ ตามหนังสือเรียนเลยคับแต่สุดท้าย เราก็กลายเป็นหมอที่ว่า “เนี่ย ชั้นไปรพ.สั่งแต่ยากระเพาะมาให้ ต้องไปตรวจรพ.เอกชน ไม่งั้นไม่รู้นะเนี่ยว่าตัวเองเป็นมะเร็ง (พยายามลดระดับความรุนแรงของการด่าให้แล้วนะคับ)”

 

ผมอยากให้มีใครซักคนคิดค้นวิธีตรวจมะเร็งกระเพาะที่ง่ายกว่านี้มากๆเลยค้าบบบบบ

 

- ความรู้ของเรานั้นเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา วันๆนึงจะมีผลวิจัยออกใหม่จากทั่วโลกวันละเป็นร้อยๆฉบับ บางอันเป็นของจริง บางอันเป็นของที่บริษัทยาจ้างให้ทำเนียนออกมา ที่ต้องมีหมอเฉพาะทางไม่ใช่แค่เพราะ เนื้อหามันเยอะต้องแบ่งย่อยลงไปถึงจะรู้ได้ละเอียด แต่เพราะคนที่เป็นหมอเฉพาะทาง เค้าจะต้องไปติดตามนั่งดูผลวิจัยและความรู้ที่เปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆเหล่านี้ในขอบข่ายงานของเค้าด้วยคับ เรื่องบางเรื่องที่ผมเรียนจบมาตอนปี6 พอผมทำงานปีแรก มันก็เปลี่ยนไปแล้วก็มีครับ ยกตัวอย่าง เรื่องสำคัญๆ เลยแล้วกันนะคับ การช่วยเหลือคนที่ไม่หายใจและหัวใจหยุดเต้น เรียนกันมา6ปี เค้าสอนให้เป่าปากช่วยหายใจก่อนแล้วค่อยปั๊มหัวใจ พอผมจบมาทำงานปีแรก องค์การแพทย์โลกก็บอกให้เราเปลี่ยนจาก ปั๊มหัวใจก่อนแล้วค่อยเป่าปากครับ สรุปหรือว่าไอคนที่มันสอบไม่ผ่านข้อนี้ตอนสอบจบหมอเมื่อปีที่แล้ว จิงๆแล้ว มันรู้ล่วงหน้าว่าปีนี้เค้าจะเปลี่ยนวิธีการ แล้วจิงๆมันเป็นคนเดียวที่ทำถูกอยู่แล้วรึป่าวหว่า อันนี้ก็ไม่รู้เหมือนกันนะ

 

ยากใช่มั้ยล่ะครับ การเป็นหมอ กับ องค์ความรู้ในการวินิจฉัยและรักษา ที่เยอะ ไม่แน่นอน กำกวม ครึ่งๆกลางๆ และยังเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา แต่ห้ามพลาดนะ พลาดขึ้นมาก็ ..โดนฟ้อง.. ไงครับ

 

55 หัวเราะทั้งน้ำตา (ยังไม่เคยโดนนะ และหวังว่าจะไม่โดนต่อไป เพี้ยงงงง!!)

 

 

5. เรื่องฟ้องร้อง ที่จริงอันนี้มันก็เป็นสิทธิของคนไข้น่ะแหละครับ เราคงจะเปลี่ยนแปลงอะไรไม่ได้อีกแล้วกับค่านิยมของคนไทย(สมัยใหม่) ที่มองหมอว่าเป็นอาชีพเงินถุงเงินถังนั่งกินนอนกิน ฟ้องนิดฟ้องหน่อยคงไม่เป็นไรล่ะมั้ง (ถ้าอ่านมาจากข้างบนจะรู้ว่าแลกมาด้วยการไม่ได้กินไม่ได้นอน ไม่ได้เที่ยว เท่าไหร่นัก) ยิ่งถ้าเจอแบบที่ว่า ทำเต็มที่ที่สองมือสองเท้าจะมี แต่ก็เอาไม่ทัน ก็ยังโดนฟ้องน่ะ หมอสมัยนี้ถึงหนีออกไปหมดไงครับ ไปอยู่รพ.เอกชน คนไข้น้อยกว่า จะตรวจอะไรก็เงินคนไข้เองนั่นล่ะ อยากตรวจอะไรบอกมาพี่จัดให้ ว่างั้นเหอะ อยู่รพ.รัฐทำก็ไม่ทัน ต้องตรวจแบบโคตรจะเร็วโดยที่บอกว่าไม่ให้ผิดพลาดเลย ปีนึง 10,000-30,000 เคส เอ่อ ผมว่าสงสัยต้องเปลี่ยนไปใช้ I-core seven แล้วล่ะมั้ง จะตรวจอะไร เราก็ต้องตรวจตามข้อบ่งชี้ เพราะเงินค่าตรวจก็ค่ารักษาที่เค้าเหมาจ่ายให้คนในจังหวัดน่ะแหละ   - ยิ่งล่าสุด ที่มีข่าวเรื่อง พรบ.คุ้มครองผู้เสียหายจากการแพทย์ อันนี้ที่รู้ๆมา หมอจะประท้วงกันเยอะ ก็คงไม่แปลกเท่าไหร่ เพราะ ที่เห็นแผนภูมิวิธีปฏิบัติงานแล้วโคตรจะ but-soap เลย ฟ้องปุ๊บ จ่ายตังก่อนเลย ถูกผิดไม่เกี่ยว (ยังกะแอนตาซิล) เสร็จแล้วก็จะยกมาวินิจฉัยด้วยคณะกรรมการซึ่งต้องไม่มีหมออยู่ในคณะนั้น เพราะคิดว่าหมอจะออกความเห็นเข้าข้างหมอด้วยกัน (เอ่อ คือพี่จะตัดสินเรื่องการวินิจฉัยและรักษาโดยไม่ต้องมีความรู้ทางการแพทย์ ประกอบก็ได้ว่างั้นเหอะ) แถมเงินที่จ่ายชดเชยให้คนไข้ก็ยังไม่เห็นมีบอกชัดเจนว่าตัดสินยังไงว่าให้ เท่าไหร่ ตรวจสอบยังไง ถ้านี่เราฮั้วกันเอง ฟ้องแล้วยกฟ้องกันเล่นเอาตังเล่นๆ ดีมะ สงสัยเค้าคิดว่า คนสมัยนี้ยังชอบฟ้องหมอกันไม่พอล่ะมั้งครับ สนับสนุนกันขนาดนี้ ทำไมรู้สึกว่าถ้าเป็นเกม อาชีพเราก็เหมือนบอสในเกมที่ดรอบของดีๆ ให้ตังเยอะ แต่ไม่เคยโจมตีกลับ ยังไงยังงั้นเลย ไม่รู้เหมือนกันแฮะ   - ผมรู้สึกว่าคนทั่วไปคงจะคิดว่า พรบ.พวกนี้ออกมาเหอะ ถ้าหมอตั้งใจทำงานเต็มที่และถูกต้องจริงๆ จะกลัวโดนฟ้องไปทำไม ในความเป็นจริงมันไม่เป็นเช่นนั้นน่ะสิครับ อย่างที่เล่าๆไปบ้างแล้ว ว่าต่อให้คุณทำเต็มที่จนไม่ได้กินไม่ได้นอนแล้ว ถ้ามันโชคร้าย เอาไม่ทัน คนไข้หนักกำลังจะตายพร้อมๆกัน อยู่คนละตึกกัน ก็เตรียมตัวได้เลยอยู่ที่ญาติเห็นใจคุณแค่ไหนแล้วล่ะ ยิ่งตอนพวกอุบัติเหตุหมู่รถทัวร์ รถไฟ รถเด็กนักเรียนชนกันนะ พระเจ้าจอร์จ เค้าประกาศเรียกหมอทั้งโรงบาลมาช่วยกันที่ห้องฉุกเฉินเลยคับ อันนี้ทำได้ถ้าอยู่โรงบาลใหญ่ แต่ถ้ารถมันชนบนถนนทางหลวง แล้วบาปมันไปตกอยู่ที่โรงบาลอำเภอเจ้ากรรมที่มีหมอ 2-3 คนล่ะคับ พวกคุณยังอยากให้สิ่งเหล่านี้ทำร้ายจิตใจหมอที่ตั้งใจทำงานจริงๆอีกหรอคับ   - ผมคิดว่า คนที่ผลักดันพรบ.นี้น่าจะมีอยู่ 2 กลุ่มล่ะ หนึ่งคือพวกที่เคยได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ที่เค้าต้องสูญเสียจริงๆ  และอยากให้แพทย์และโรงพยาบาลมีคุณภาพมากขึ้น ซึ่งเราคิดว่าถ้าโรงบาลต้องเอาเงินที่ติดหนี้ตัวแดงกันทุกโรงบาลทั้งประเทศ อยู่แล้วจากโครงการ 30 บาท แบ่งมาให้กองทุนกลางอย่างที่พรบ.นี้บอก เงินที่เหลืออยู่อย่าว่าแต่เอามาพัฒนาโรงบาลหรือจ่ายค่าจ้างหมอและลูกจ้าง โรงบาลเลย ผมว่าค่ายาจะรักษาคนไข้จะไม่พอด้วย ถ้าหลายๆคนยังไม่รู้ บางโรงบาลจังหวัดหลายๆแห่งเริ่มมียากลุ่มดีๆที่ใช้ๆอยู่ค่อยๆหายไปแล้วนะ วันก่อนจะสั่งยาแล้วหาไม่เจอ เคยไปถามห้องยา เค้าบอกว่า โรงบาลค้างค่ายาบริษัทมา 6 เดือนละ เค้าเลยไม่ให้ยามาแล้ว กลุ่มที่สองคงเป็นกลุ่มที่รอรับผลประโยชน์ที่ยังไม่รู้ว่าเค้าจะตรวจสอบยัง ไงอย่างที่ว่านี่ล่ะ คงต้องเรียกว่า พวกทำนาบนหลังคน แถมทำบนหลังคนที่กำลังพยายามช่วยเหลือคนอื่นอีกต่างหาก ไอพวกโคตร “ที่นี่” เอ๊ย (กรุณาเปลี่ยนเป็นภาษาอังกฤษก่อนอ่านนะครับ)   - พอเราไม่พอใจพรบ.นี้ ก็มีการประท้วงกันด้วยการนัดกันใส่ชุดดำไปตรวจ ซึ่งก็แน่นอน พวกที่ผลักดันพรบ.ก็ออกมาด่ามาว่าหมอนั่นล่ะ จะบอกว่า เราก็ทำได้แค่นั้นล่ะครับให้พวกคุณรู้ว่าเราไม่ต้องการพรบ.นั้นขนาดไหน จะให้พวกเราประท้วงหยุดงานทั่วประเทศหรอ เชื่อเหอะ ว่าต่อให้มีคนบ้าจี้ยุให้ทำกันจริงๆ ก็ไม่มีหมอคนไหนหยุดงานประท้วงหรอกครับ งานเรามันต่อเนื่องนะครับ ถ้าผมหยุดไป ใครจะไปดูคนไข้ผมล่ะคับ จะปล่อยเค้านอนเจ็บนอนตายหรืออย่างไร ถ้าเป็นหมอจิงๆ ทำไม่ได้หรอกครับ   - ผลที่ตามมาจากการฟ้องร้องเยอะก็มีนะครับ >> หมอโรงบาลอำเภอ เดี๋ยวนี้แทบจะเลิกผ่าตัดกันทั้งประเทศแล้วครับ ทำดีเท่าทุน ผ่าคนไข้หายเป็นร้อยเป็นพันก็ไม่ได้มีใครมาเห็น แต่เกิดคนไข้มีปัญหาขึ้นมาซักคนก็โดนฟ้องตามระเบียบ ข้อดีคือคนไข้ได้เข้าไปผ่าตัดโรงบาลจังหวัด มันก็ดีนะ เสี่ยงน้อยลง แต่ก็ต้องรอคิวยาวขึ้นล่ะคับ เพราะ จิงๆแล้วหมอที่อยู่โรงบาลอำเภอผ่าตัดบางโรคได้ แต่ไม่ผ่ากันแล้ว คนไข้ก็ไปกองกันอยู่ที่โรงบาลจังหวัดอย่างเดียว ผ่ากันทั้งวันทั้งคืนเลย จิงๆแล้วจะบอกว่า บางที่นั้นรพ.จังหวัด แพทย์ที่กะลังผ่าตัดไส้ติ่ง ผ่าคลอดให้น่ะ เป็นรุ่นน้องผมนะ ใช้ทุนปีแรกที่โรงบาลจังหวัดก็ต้องช่วยผ่าตัด ถ้ามีปัญหาให้ตามพี่ที่กำลังผ่าอยู่ห้องข้างๆ เพราะหมอผ่าตัดจริงๆ ขาดแคลนมากๆๆๆๆ แต่พอขึ้นใช้ทุนปี2ปี3  มาอยู่ที่โรงบาลอำเภอ เราก็เลิกผ่ากันซะงั้น พวกเพื่อนหมอศัลย์หมอสูที่กำลังเรียนต่อกันอยู่ก็ประสบปัญหา คนไข้ส่วนใหญ่ยืนยันไปรพ.มหาลัย เค้าจะผ่ากับอาจารย์หมอเท่านั้น อันที่จริงแล้ว คือ เราให้ผ่าตัดโดยมีอาจารย์หมอยืนคุมน่ะล่ะ แต่คนไข้เดี๋ยวนี้ไม่เอาแล้ว ก็แค่สงสัยว่า ถ้าอาจารย์หมอที่อยู่กันรุ่นนี้เกษียณไปหมดในอีก 10-20 ปี คนที่จะผ่าได้ระดับเก่งในอีก 10-20 ปีข้างหน้าคงลดลงมากล่ะนะ เพราะ ไม่รู้จะเอาประสบการณ์จากไหน อันนี้ เราได้ยินวิธีแก้ปัญหาสุดเด็ดมาด้วย เพราะช่วงปีก่อนชอบได้ยินในคณะลือกันเหลือเกินว่า เค้าจะยืดอายุราชการหมอให้เกษียณที่ 70 ปี ^^ ลือมายังไงไม่รู้ล่ะ แต่ไม่ค่อยขำเท่าไหร่ เพราะอายุขัยเฉลี่ยของแพทย์นั้นน้อยกว่า อายุขัยเฉลี่ยประชากรทั้งประเทศนะครับ ที่จำได้ คือมันน้อยกว่า 70 ปี นี่ล่ะ เลยไม่แน่ใจว่าไอแนวคิดนี้มันจะให้เราทำงานจนตายแล้วขุดเราขึ้นมามาทำงานต่อ อีกรึเปล่า   - การฟ้องร้องเดี๋ยวนี้มันเยอะจิงๆ ที่จิงบางอย่างมันไม่น่าจะฟ้องกันได้เลยนะ ตัวอย่างที่เพื่อนผมโดนมาก็มีตั้งแต่ A. เพื่อนผมกำลังตรวจห้องฉุกเฉิน มีคนไข้อาการหนักที่ต้องรีบรักษาอยู่ มีคนเดินเข้ามาบอกให้เขียนใบรับรองแพทย์ให้ทันที เค้าจะรีบใช้ เพื่อนผมบอกให้เค้าไปรอก่อน จะตรวจคนไข้หนัก แล้วคนไข้ก็หงุดหงิดเดินหายไป พร้อมกับวันต่อมารพ.ก็โดนฟ้องร้องมาว่า ขอใบรับรองแพทย์แล้วไม่เขียนให้ ชะเอิงเงย   B. ผมเองตรวจคนไข้เป็นหอบหืด พ่นยาไม่ดีขึ้นแปลนนอนรพ. ปกติ คนไข้ชั้น 3 กับ 4 เค้าจะรับคนไข้ใหม่สลับกัน คิวของลุงต้องไปอยู่ชั้น 4 ปรากฏว่า ลุงลงมาด่าผมให้ผมย้ายแกให้ไปนอนชั้น 3 เพราะ แกไม่ถูกกะพยาบาลชั้น 4 ผมก็คิดว่ามันไม่จำเป็น คนไข้ชั้น3 ก็นอนเต็มอยู่แล้ว ปรากฏว่า เรื่องไปถึงผอ. สุดท้ายก็แจ้งลงมาว่าให้ผมย้ายคนไข้ดังกล่าวไปนอนชั้น 3 โดย ต้องไปขอคนไข้อีกคนที่นอนอยู่ชั้น3 ให้ย้ายขึ้นไปอยู่ชั้น4 เหตุการณ์นี้ตอนเที่ยงคืนกว่านะครับ >> เหตุผล คือ ถ้าโรงบาลโดนฟ้อง ไม่ว่าจะไร้สาระแค่ไหนมันก็ต้องเขียนรายงาน พี่เค้าเลยบอกว่าให้ยอมๆไปเหอะ เฮ้อ อ้อ ประเด็นสำคัญ ตือ คนไข้คนนี้เค้าไม่เต็มอ่าคับ ไม่ใส่เสื้อผ้า พูดวกไปวนมาไม่รู้เรื่อง คือจะบอกว่า เดี๋ยวนี้เพื่อหลีกเลี่ยงการฟ้องร้อง หมอต้องยอมตามหมดแม้กระทั่งคนบ้าแล้วนะคับ   C. เพื่อนอีกคน โดนตามไปดูคนไข้รับใหม่ตอนตีสาม ถ้าถามผม ผมว่าหนึ่งคือหน้าแกง่วงมากน่ะแหละ เพราะอยู่ติดกัน 40-50 ชั่วโมง สองคือ หน้าแกออกแนวโหดๆ ผิวออกคล้ำๆหน่อย (เป็นคนใต้น่ะ) เช้าวันต่อมา โดนเรียกไปคุย เพราะญาติบอก หมอหน้าไม่รับแขก…. เอ่อ พี่ญาติเค้าคิดว่าเพื่อนผมเป็น counter-service หรอเนี่ย   D.เป็นเรื่องที่ฟังมาจากพี่หมอห้องฉุกเฉินโรงบาลมหาลัยแห่งหนึ่ง เคสเด็กเป็นไข้ พี่หมอวินิจฉัยเป็นไข้เลือดออก เนื่องจากเด็กมีชีพจรเร็ว ความดันต่ำๆ จึงแนะนำนอนโรงบาล แม่เด็กปฏิเสธด้วยเหตุผลว่า ร้านค้าไม่มีคนเฝ้า >> 1 วันต่อมา เด็กมาแบบเพลีย กระสับกระส่าย อยู่ในสภาวะช็อค พ่อและญาติๆของเด็ก รุมด่าประนามหมอที่หน้าห้องฉุกเฉินว่า ทำไมถึงปล่อยลูกผมกลับบ้าน คุณคิดว่าแม่เค้าทำอะไรอยู่คับ ยืนก้มหน้าอยู่ข้างหลังเฉยๆคับ ปล่อยให้หมอโดนด่าไป แต่เคสนี้เค้าไม่ได้ฟ้องอะไรโรงบาลนะคับ แม่เค้าคงรู้อยู่ในใจดีล่ะ แต่ผมสงสัยว่าพี่หมอเค้าทำอะไรผิดไปตรงไหนหรือคับ ที่ต้องโดนคนด่าแบบนั้น และในทางกลับกัน ถ้าเหตุการณ์แบบนี้ที่แนะนำนอนโรงบาลแต่แม่จะพากลับบ้านให้ได้เกิดขึ้นอีก คุณคิดว่าพี่เค้าควรทำอย่างไรหรอคับ   E . อันนี้เป็นเรื่องของอาจารย์หมอศัลยกรรมที่ผมเคยทำงานด้วยนะคับ แกก็ผ่าตัดแทบทั้งวันทั้งคืนอยู่แล้ว คืนนึงมีคนไข้โดนมีดกระซวกท้องมา คนแทงเป็นเพื่อนบ้านกัน (รู้สึกจะมีอิทธิพลในแถวนั้นล่ะคับ) จาย์หมอรีบเอาเข้าไปผ่าตัด ออกมาคนไข้ก็ยังอาการหนักมาก ประโยคแรกที่ ญาติพูดกับจารย์ผม คืออะไรรู้มั้ยครับ “รักษาให้เต็มที่นะหมอ ลูกผมเป็นอะไร ผมจะฟ้อง” จารย์ผมสวนตรงนั้นเลย แกคงวีนแตกไปแล้วล่ะ “หมอรักษาแทบตาย คุณจะฟ้องหมอ แต่คนแทง คุณไม่ว่าอะไร ปล่อยให้นอนกระดิก ไหค่ อยู่บ้านหรอ” เป็นที่สะใจของพวกผมมากๆเลยคับ   อันนี้คงเป็นความคิดส่วนตัวของผมนะคับ งานเราไม่ได้เปลี่ยนไปมากหรอกคับ แต่สภาพสังคมที่เปลี่ยนไปและไม่เข้าใจเราต่างหากที่ทำให้หมอต้องอยู่ในสภาพชีวิตแบบนี้ ผมคิดว่าต่อๆไป ถ้าเรื่องแบบนี้รู้กันในวงกว้างมากขึ้น ผมก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่า เด็กๆในอนาคตที่จะเข้าเรียนหมอจะเปลี่ยนไปในรูปแบบไหน คะแนนสอบเข้าหมอน่าจะต่ำลงเรื่อยๆทุกปีๆ อาจเป็นคนที่มีระดับผลการเรียนปานกลางแต่ใจรักจะเป็น มารักษาลูกๆหลานๆในอนาคตมากกว่า เพราะ เด็กเก่งๆ ถ้าเค้าไม่ได้รักจริงๆ เค้าได้รับรู้ในสิ่งที่เกิดขึ้น เค้าอาจจะหนีไปเรียนอย่างอื่นกันหมด ถ้าคุณจะเีถียงว่า ก็หมอเป็นอาชีพที่มีเกียรติ ผมคิดว่า ครูกับราชการก็เป็นอาชีพที่มีเกียรติเหมือนกันครับและก็เป็นที่นิยมในสมัย 20-30 ปีก่อนเหมือนกัน แต่สมัยนี้คนเก่งๆ ก็ไม่นิยมที่จะเรียนกันมากเหมือนแต่ก่อนอีกแล้ว สำหรับน้องๆที่จะเข้าแพทย์จริงๆ ถ้าน้องไม่แน่ใจว่าตนเองเหมาะรึเปล่า แนะนำว่า มหาลัยแพทย์ทุกที่มีจัดกิจกรรมค่ายเพาะกล้านะครับ เพื่อให้น้องได้สัมผัสส่วนนึง ของการเป็นหมอ แล้วน้องค่อยตัดสินใจก็ได้ครับว่าตนเองรักและพร้อมที่จะเข้ามาเป็นวิชาชีพเดียวกับพวกพี่ๆรึเปล่า   ” อาชีพแพทย์นั้นมีเกียรติ แพทย์ที่ดีจะไม่ร่ำรวย แต่ไม่อดตาย ถ้าใครอยากร่ำรวย ก็ควรประกอบอาชีพอื่น ” พระราชดำรัสของพระราชบิดาแห่งวงการแพทย์ไทยครับ   สุดท้ายนี้ ขอบคุณมากที่อ่านมาถึงนี่ บ่นซะยาวเลย ก็แค่เหนื่อยแค่ท้อ กับการที่เห็นคนออกมาด่ามาว่าอาชีพของเรา ทั้งที่เราก็ทำกันเต็มที่ ผมว่าคนส่วนใหญ่ไม่ค่อยรู้ด้วยว่า ส่วนลึกมันมีแบบนี้อยู่ อาชีพใคร ใครก็รัก ใครก็ภูมิใจในอาชีพของตน   ผมชอบอาชีพนี้นะ คุยกะคนไข้ สนุกดี ลุงๆป้าๆก็น่ารัก แกล้งเด็กๆก็สนุก ที่เคยเจอจริงๆ ก็มีแค่คนไข้ส่วนนึงแค่หยิบมือน่ะแหละที่ทำให้เราท้อแท้เหนื่อยใจ เหมือนที่คนไข้เองก็ต้องคิดเหมือนกัน ว่ามีหมอแค่ส่วนนึงเท่านั้นล่ะที่ทำตัวไม่ดี (ยอมรับว่ามีให้เห็นจริงๆนะล่ะ) แต่อย่าเอาสิ่งที่เกิดขึ้นมาเหมารวม มาลงโทษหมอทั้งหมดสิครับ หมอที่ตั้งใจทำงาน เวลาเจอเรื่องแบบนี้แล้วเหนื่อยจิงๆนะ อยู่เวรเดือนละ 25 วัน ยังไม่เท่าเหนื่อยใจกับเรื่องพวกนี้เลย   ผมคิดว่า อ่านจบแล้วคุณจะเกลียด จะอคติกับอาชีพของเราน้อยลงบ้างซักนิดนะคับ   สุดท้ายนี้ คงต้องอ้างมาจาก คำสอนของพระบิดาที่บอกเพื่อสอนแพทย์จบใหม่ทุกคน i don’t want you to be only a doctor but i also want you to be a man เป็นคำสอนสำหรับแพทย์ทุกคนว่า อย่าเป็นแค่หมอ แต่ให้เราเป็นมนุษย์คนนึงด้วย คือ เวลารักษา อย่าตรวจแต่โรคอย่างเดียว ให้มองว่าเค้า คือ คนทั้งคน ไม่ได้เป็นแค่สิ่งมีชีวิตที่มาด้วยโรค แต่อยากให้สังคมสมัยนี้รับรู้ด้วยว่า I don’t want you to see me only as a doctor but i also want you to see me as a man too T.T เพราะ หมอเองก็มีชีวิต มีจิตใจ มีครอบครัวต้องดูแลเหมือนกันนะครับ  

 

ปล. มีคนถามเข้ามาว่า บทความนี้เอาไป share ต่อที่อื่นได้มั้ย ขอตอบว่าได้ครับ คนทั่วไปที่ได้อ่านบทความนี้จะได้เข้าใจในอาชีพและการทำงานของแพทย์มากขึ้นไงครับ share ได้เลยครับ ไม่มีการตามไปเก็บตังตามหลังแน่นอนคับ ^^

 

« « Prev : เผื่อไว้ก่อน

Next : ทำไมต้องซัก » »


ผู้ใช้ Facebook สามารถให้ความเห็นที่นี่ได้ โดยกด Like เพื่อแสดงตัว

109 ความคิดเห็น

  • #1 จอมป่วน ให้ความคิดเห็นเมื่อ 18 มิถุนายน 2011 เวลา 9:36 (เย็น)

    ผมเป็นหมอ ลูกเป็นหมอ คนในตระกูลเป็นหมอหลายสิบคน……
    ประเทศไทยผิดปกติ สังคมผิดปกติ วงการแพทย์ผิดปกติ วงการอื่นๆก็ผิดปกติ
    คนในวงการต่างๆไม่มีความสุข คนในสังคมไม่มีความสุข คนในประเทศไทยไม่มีความสุข
    ……
    แต่เราก็ยังไม่ทราบต้นตอรือรากเหง้าหของปัญหาจริงๆ ถึงแก้ไขไม่ถูกจุด แก้ไขไม่ได้
    เป็นโจทย์ที่พ

  • #2 จอมป่วน ให้ความคิดเห็นเมื่อ 18 มิถุนายน 2011 เวลา 9:37 (เย็น)

    ผมเป็นหมอ ลูกเป็นหมอ คนในตระกูลเป็นหมอหลายสิบคน……
    ประเทศไทยผิดปกติ สังคมผิดปกติ วงการแพทย์ผิดปกติ วงการอื่นๆก็ผิดปกติ
    คนในวงการต่างๆไม่มีความสุข คนในสังคมไม่มีความสุข คนในประเทศไทยไม่มีความสุข
    ……
    แต่เราก็ยังไม่ทราบต้นตอรือรากเหง้าหของปัญหาจริงๆ ถึงแก้ไขไม่ถูกจุด แก้ไขไม่ได้
    เป็นโจทย์ที่พวกเราทุกคนต้องร่วมกันคิดและแก้ปัญหาร่วมกัน……อิอิ

  • #3 น้ำฟ้าและปรายดาว ให้ความคิดเห็นเมื่อ 18 มิถุนายน 2011 เวลา 9:48 (เย็น)

    เข้าใจความรู้สึกที่คุณ Putarn พูดว่า “อยากให้กำลังใจ แต่ให้ไม่ถูก เพราะความจริงที่คุณหมอเล่ามาทั้งหมดนี้ทำให้จุก” เลยค่ะ เพราะส่วนตัวเองก็อ่านด้วยความรู้สึกหลากหลายเช่นกัน

    หน้าที่แพทย์นั้นหนักทั้งหนักอึ้งและหนักหน่วง หนักในที่นี้คือภาระงานที่ต้องการความรวดเร็ว แม่นยำ ก้าวหน้า และหนักในด้านความมั่นคง หนักแน่นทางอารมณ์…เพื่อเผชิญกับทุกสิ่งอย่างดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ในขณะนั้น เพราะการต่อกรกับมือที่ทรงอำนาจอย่างหัตถ์แห่งความตาย กดดัน เจ็บปวดและขมขื่นเสมอ

    ข้อเขียนชิ้นนี้ทำให้เราเห็นถึงการแยก”ปัญหา” กับ”ความทุกข์” ได้อย่างชัดเจน ด้วยความตั้งใจที่แน่วแน่ของผู้เขียนเอง …”ปัญหา”คือ”ความจริง” ที่เผชิญอยู่ในฐานะแพทย์คนหนึ่ง ซึ่งมีทั้งปัญหาที่พอรับมือได้ และเกินกำลังคนๆเดียวจะแก้ไหว และ”ความทุกข์”ที่เกิดขึ้นคือ”ความรู้สึก” ในฐานะ I don’t want you to see me only as a doctor but I also want you to see me as a man too. ชื่นชมในความกล้าหาญที่เผชิญกับความรู้สึกอย่างตรงไปตรงมาของน้อง และถ่ายทอดได้อย่างดีนะคะ

    ไม่มีใครในโลกนี้ที่ตัดสินใจถูกต้องทุกครั้ง ตอนที่เราตัดสินใจทำอะไรลงไป ทุกคนล้วนมีความเชื่อว่าสิ่งที่ตัดสินใจลงไปนั้นถูกต้อง เหมาะสมมากกว่าผิด เพราะคงไม่มีใครเลือกเส้นทางที่รู้แก่ใจว่าผิดพลาดหรือไม่เหมาะสม…แต่การตัดสินใจคือความเสี่ยงเนาะคะ เสี่ยงว่าผลที่ออกมาจะเป็นไปตามคาดหมายหรือไม่ และไม่มีใครหยั่งรู้อนาคต จึงไม่สามารถบอกถูก-ผิดในช่วงเวลานั้นได้ ต้องให้อนาคตเป็นผู้สรุปคำตอบ …ถ้าถูกต้องก็คือการตัดสินใจนั้นเหมาะสมแล้ว แต่ถ้าผิดพลาด ก็ควรแก้ไขและปรับปรุง แต่จะแก้ไข ปรับปรุงได้ย่อมต้องการโอกาสและความเข้าใจ

    เคยดูหนังเรื่อง The interpreter มั้ยคะ ชอบช่วงที่นิโคล คิดแมนเล่าเรื่อง กฎของชาวคูให้ฌอน เพนน์ฟัง ดูซ้ำหลายรอบตรงนี้เพื่อทำความเข้าใจกับมัน

    กฎของชาวคู คือ ถ้าคนที่เรารักถูกฆ่า ฆาตกรจะถูกขังเป็นเวลา 1 ปี หลังจากนั้นจะถูกพิพากษาด้วยพิธีที่เรียกว่า”วายชนม์พิพากษ์”

    จะมีงานเลี้ยงริมแม่น้ำตลอดคืน พอเช้าฆาตกรจะถูกพาขึ้นเรือ มัดมือมัดเท้าเพื่อไปโยนลงกลางแม่น้ำ ครอบครัวของผู้ถูกฆ่าจะเป็นผู้พิพากษาว่าจะปล่อยให้ฆาตกรตายต่อหน้า หรือจะว่ายน้ำไปช่วย…เขาเท่านั้นที่เป็นผู้ตัดสิน

    ถ้าปล่อยให้ตาย 1 ชีวิต ต่อ 1 ชีวิต…ก็ดูยุติธรรมดีใช่มั้ยคะ แต่ชาวคูเชื่อว่าครอบครัวผู้ตายจะติดกับบ่วงความเศร้าตลอดไป เพราะเห็นคนๆหนึ่งจมน้ำตายต่อหน้า ทั้งๆที่เราคือคนที่ช่วยเขาได้

    ในทางกลับกัน ถ้าเลือกลงไปช่วย แน่นอนว่าไม่ยุติธรรมต่อผู้ตาย ซึ่งครอบครัวนี้”ยอมรับ”ถึงความไม่ยุติธรรมนั้น แต่เขาจะพ้นจากบ่วงความเศร้าไปตลอดกาล

    มุมที่นิโคลเล่านี้คมมากเลยล่ะค่ะ ตั้งแต่การเลื่อนการพิพากษาไป 1 ปี เพราะถ้าพิพากษาเลยอารมณ์ยังกรุ่น ทุกข์ยังเต็มอก …แต่ถ้าผ่านไป 1 ปี ความรู้สึกมันตกผลึก เหตุผลจะตามมา และการให้ครอบครัวผู้เสียหายเป็นผู้พิพากษาก็คมเหลือใจ การให้โอกาสเลือกว่าจะให้คนรอดหรือตาย เป็นการบอกว่ายังมี”ทางเลือกอื่น” ที่มากกว่าหนึ่ง และทุกการตัดสิน มีสิ่งที่ได้-เสีย มีบวก-ลบ ไม่มีใครได้เพียงอย่างเดียว

    ถ้าเลือกให้ 1 ชีวิตตายไปต่อหน้า สิ่งที่ครอบครัวนั้นต้องจ่ายไปคือการติดบ่วงความเศร้า
    แต่ถ้าเลือกให้ฆาตกรมีชีวิต แน่นอนว่ามันดูไม่ยุติธรรม แต่ตัวเขาได้ปลดปล่อยความเศร้าที่ยึดกุมจิตใจ เป็นการยอมรับว่าคนที่รักไม่มีชีวิตอยู่ในโลกนี้อีกแล้ว..

    ชาวคูเชื่อว่าหนทางเดียวที่จะปลดปล่อยตัวเองออกจากบ่วงความเศร้าคือการช่วยชีวิตคนอื่น
    และถ้าคนอื่นที่เขาเลือกช่วยคือ”ฆาตกร”…มันเป็นการอภัยที่ยิ่งใหญ่ที่สุดเลยนะคะ เพราะอภัยกับศัตรู

    มันเป็นการตัดสินใจที่กล้าหาญ ไม่ใช่ความอ่อนแอ

    …”ความยุติธรรม” ไม่ได้ทำให้โลกนี้สงบเย็น แต่”การให้อภัย”ต่างหากที่ทำให้คนอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข

    เพราะส่วนตัวเชื่อเสมอว่าโลกนี้ไม่มีความ”ยุติธรรมที่เที่ยงแท้”หรอกค่ะ แม้แต่คำพิพากษาก็ยังเห็นไม่เหมือนกันเลย โจทก์รู้สึกอย่าง จำเลยรู้สึกอย่าง แล้วอะไรคือ”ยุติธรรม”? …

    ชอบที่สุดคือนิยามความแค้นของชาวคูในเรื่องนี้

    เขาบอกว่า”ความแค้น”คือความเศร้าที่ตกตะกอน เศร้าจากความสูญเสีย เจ็บปวด แล้วคิดวนเวียนจนความเศร้านั้นตกตะกอน เปลี่ยนเป็นความแค้น

    ถ้าเราจะเยียวยาจิตใจ สถานการณ์หรือชำระล้างใจของเราเอง อย่าปล่อยให้ความเศร้าตกตะกอนเลยนะคะ ;)

  • #4 sutthinun ให้ความคิดเห็นเมื่อ 19 มิถุนายน 2011 เวลา 5:11 (เช้า)

    ดีใจที่ได้อ่านความในใจอย่างหมดเปลือก
    คิดต่อว่า..ไม่ว่าอาชีพไหนๆก็มีปัญหาให้ฉุกคิดทั้งนั้นละครับ
    ไม่มีอะไร ดีกว่าอะไร อยู่ที่เราทำอย่างไร ให้พอดีได้อย่างไร
    ไม่ได้ขึ้นอยู่กับอาชีพนั้นดีกว่าอาชีพนี้
    ถ้ามีเกณฑ์เข้าใจที่คลาดเคลื่อนแต่แรก จะบีบคั้นตัวเอง
    ทำสิ่งที่ชอบที่ดี ติดโชคอัพให้กับตัวเองไว้บ้าง
    ชีวีจะมีสปริง ไม่แข็งทื่อ ทดท้อ ทรมาน
    ดูหมอจอมป่วนเป็นตัวอย่าง หาเรื่องสนุกๆทำตลอดชีวิต
    ไม้ได้จมปลักอยู่กับคำว่า”หมอ” หลงกับคำว่าหมอ

    หมอทำอะไรได้มากมาย อีก และอีก อีก ๆๆๆๆ อิ อิ..

  • #5 maeyai ให้ความคิดเห็นเมื่อ 19 มิถุนายน 2011 เวลา 7:03 (เช้า)

    อ่านแล้วก็เห็นใจ และต้องถอนใจ มีความรู้สึกว่าผู้เขียนกำลังเป็นคนไข้เสียเองแล้ว ดูแลตัวเองด้วยนะคะ อย่าหักโหมนัก หมอดีมีมาก หมอไม่ดีเห็นแก่เงินก็มีจริงๆ แต่คงไม่มากนักหรอก เพียงแต่คนเราชอบเอาของไม่ดีมาวิพากษ์มากกว่าของดีอยู่แล้ว เข้าใจจิตใจผู้เขียนมาก ทุกตัวอักษร สะท้อนอะไรๆออกมาได้มากจริงๆ

  • #6 อุ๊ยสร้อย ให้ความคิดเห็นเมื่อ 19 มิถุนายน 2011 เวลา 1:06 (เย็น)

    อาชีพไหนๆ ถ้ามุ่งมั่นตั้งใจทำงานเพื่อสังคมที่ดีขึ้น แรงเสียดทานมันก็เยอะเป็นธรรมดา
    คนที่จะทำให้โลกดีขึ้นนั้น
    อุดมการณ์ต้องมาก่อน งานมาเป็นที่สอง เงินเป็นอันดับสุดท้าย

    แต่โลกก็มีคนอีกกลุ่มที่มากเหลือเกินคือคนที่เรียงลำดับจากข้อสามเป็นหนึ่ง

    คนกลุ่มแรก ไม่ว่าแรงเสียดทานมาอย่างไร…สิ่งที่ทำอย่างมากก็บ่นหรือระบายแล้วก็กลับไปก้มหน้าทำในสิ่งที่ยึดปณิธานไว้
    ที่ดีกว่า คือ …สังคมควรแยกแยะด้วยว่า ใครเป็นอย่างไร และดูแลคนกลุ่มแรกด้วย

  • #7 bangsai ให้ความคิดเห็นเมื่อ 19 มิถุนายน 2011 เวลา 3:31 (เย็น)

    ทุกวงการมีทั้งคนดีและคนไม่ค่อยดี มากน้อยแตกต่างกันไป เพื่อรักเป็นหมอก็เคยทำผิดพลาด เขาก็มาเปิดอกให้ฟังตรงไปตรงมาเรารับได้ และเข้าใจว่าสิ่งีท่อยู่ข้างในตัวนั้นมองไม่เห็นแต่อาศัยวิชาชีพ คามรู้ประสบการณ์ เครื่องมือ การสอบสวนหาข้อเท็จจริง ฯลฯ ล้วนประกอบให้แพทยตัดสินใจ โธ่มันง่ายซะเมื่อไหร่ ยิ่งมีวิชาชีพ จรรยาบรรณกำกับ บาเรื่องพูดตรงๆไม่ได้ต้องอ้อมไปอ้อมมา บางเรื่องก็ตรงเสียจนตกกะใจ

    ผมกราบคุณหมออย่างสนิทใจหลายท่าน ซาบซึ้งในการทำหน้าที่ของท่าน
    แต่ผมก็อยากกระโดดต่อยคุณหมอบางคน ที่บางช่วงเวลาขาดจรรยาบรรณ เอาเรื่องคนไข้สตรีมาเล่าในที่สาธารณะเป็นที่สนุกสนาน
    ดีครับที่เล่ามา หลายท่านจะได้เห็นชีวิตของคุณหมอมากขึ้น ครับ

  • #8 สาวตา ให้ความคิดเห็นเมื่อ 19 มิถุนายน 2011 เวลา 9:29 (เย็น)

    เรื่องที่เล่าสะท้อนความไม่ถูกใจเน้อ ไม่ถูกใจที่ทำดีแล้วคนไม่รับรู้ความดีงามที่มีอยู่ในตัวคน ความเหนื่อยล้าทำให้น้อยใจที่ทำความดีแล้วถูกเมินเฉย จึงขอระบายออกซะหน่อย

    อ่านแล้วก็มองเห็นความต้องการการดูแลจากสังคม การมองเห็นคุณค่าของคนเป็นหมอ เพื่อเติมพลังใจ ขอกำลังใจ ขอความห่วงใย ขอความเข้าใจ

    อ่านแล้วสัมผัสความมีอุดมการณ์ที่แฝงอยู่ในตัวว่ายังมีพลัง แต่ยามนี้ด้วยกายที่เหนื่อยล้า ใจที่ถูกกระทำให้ขวัญเริ่มถดถอย อุดมการณ์นั้นเริ่มสั่นคลอน ด้วยความไม่ต้องการสูญเสียตัวตน จึงออกมาส่งเสียงบอกสังคม เหมือนกำลังส่งสัญญาณว่า ขณะนี้กำลังหยุดอยู่ที่ทาง ๒ แพร่ง และไม่ได้อยากจะเลือกเดินไปในแยกที่สูญเสียตัวเอง ชื่นชมค่ะ

    ในเรื่องราวทั้งหมดที่ได้เล่าออกมา เห็นความสุขที่อยู่ใกล้ตัว แม้จะมีเหนื่อยกายเรื่องงานเยอะ จัดการไม่ทัน เห็นความไม่สบายใจที่ถูกคนอื่นเข้าใจผิด เห็นความกลัวว่าจะพลาดในขณะที่งานล้นตัว เห็นความตั้งใจจะไม่ให้พลาด และเห็นความหวั่นไหวกับความไม่เชื่อถือของผู้คนที่มีต่อ

    ทั้งหมดที่อ่านนี้ก็เห็นความเป็นมนุษย์อยู่ในตัวอยู่มากมาย สมแล้วที่เป็นลูกพระราชบิดา

    เรื่องราวที่ดำเนินอยู่ของคนไข้หยิบมือนั้น มีรากมาจาก “ผิดความคาดหวัง” กับความไม่เข้าใจความเป็นมนุษย์ของเขา แล้วตอบสนองพลาดจนกลายเป็นสร้าง “แค้น” ที่ไม่ยอมเข้าใจซะที ถ้าหมอเราตอบโต้แบบตาต่อตา ฟันต่อฟัน ไม่ช่วยให้การล้างแค้นนี้เลิกรา แต่ถ้าใช้ความเป็นมนุษย์ที่พระราชบิดาทรงตรัสสอนไว้ ใคร่ครวญ ไตร่ตรองด้วยปัญญา เรื่องราวที่กำลังดำเนินอยู่ก็จะคลี่คลาย

    เรื่องราวแบบตาต่อตา ฟันต่อฟัน ย่อมไม่เกิดกับคนเป็นหมอที่มีหัวใจของความเป็นมนุษย์หรอกนะน้อง มั่นใจในความดีงามของตัวเองไว้เถิดค่ะ

    ดีใจที่ได้เห็นคนรุ่นน้องที่ยังมีอุดมการณ์ และมีใจของความเป็นมนุษย์สูง ยังคงดำรงตน ครองงานอยู่ในชนบทนะคะ

    เรื่องราวเกี่ยวกับหมอ พยาบาล ฯลฯ มีความซับซ้อนในเชิงระบบบริหารเข้ามาเกี่ยวมากมาย วันนี้ทุกคนเป็น “เหยื่อ” ของระบบ หากว่าระบบคุณธรรมในตัวเองมีปัญหาไปด้วย เมื่อนั้นก็เอาตัวไม่รอดหรอกนะคะ ดูแลตัวเองได้ดีแล้ว ท้อได้ เพราะความเป็นมนุษย์ปุถุชนนั้นหนีไม่พ้นเรื่องอารมณ์ ที่อยากชวนคือ ดูแลสติ เพื่อให้ปัญญาช่วยตนได้ค่ะ

    พี่หมอคนข้างบนพูดถูกแล้ว ว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ทุกคนแก้ไม่ถึงรากเหง้า ฐานะที่เป็นหมอคนหนึ่ง มองเห็นว่า “ความสุข” มาจากใจใคร ก็ต้องแก้ด้วย “ใจ” คนนั้น และถ้า “สุข” นั้นเป็นนิยามของคนหลายคน การร่วมกันแก้ก็เป็นทางออก การพบหน้ากันถือเป็นการแลกเปลี่ยน มิใช่การต่อรองเจรจาทำความตกลงเสมอไปนะคะ

    แลกเปลี่ยนกันจนเข้าใจได้ระดับหนึ่ง ก็สามารถคลี่คลายปมของความไม่เข้าใจได้ระดับหนึ่งเช่นกัน ตราบใดที่ความเข้าใจไม่เกิด การตอบสนองในเชิงบวกก็ไม่เกิด ใช่มั๊ยค่ะ

    ความเข้าใจกันเป็นกำไรที่ส่งความสุขให้ เหมือนอย่างเรื่องเล่านี้ที่ก่อนหมอนำเสนอออกมาจากใจ เป้าหมายก็ต้องการความเข้าใจเนอะ

  • #9 putarn ให้ความคิดเห็นเมื่อ 20 มิถุนายน 2011 เวลา 4:43 (เย็น)

    ขอขอบคุณกับข้อสรุปที่กระชับเห็นภาพชัดเจนมากค่ะคุณหมอจอมป่วน
    ตกลงเราก็ต้องพยายามหาต้นเหตุนั้นให้เจอต่อไปใช่ป่ะคะ
    และระหว่างนี้เราต้องอาศัยความอดทนและความอดกลั้น กับ ดูแลกันเองไปพลางก่อน…เอ ถูกหรือเปล่า ก็ชักไม่แน่ใจค่ะ แหะ แหะ..

  • #10 putarn ให้ความคิดเห็นเมื่อ 20 มิถุนายน 2011 เวลา 5:00 (เย็น)

    ข้อชี้แนะคุณน้ำฟ้าและปรายดาวถูกใจดิฉันมากค่ะ ขอบคุณเหลือเกินที่คุณน้ำฟ้าและปรายดาวได้กรุณาแจกแจงอย่างละเอียดเป็นขั้นเป็นตอนกับปัญหาที่ช่างเปราะบางเหลือหลายนี้่
    ใช่ค่ะ โดยปกติในเรื่องราวอื่นหรือในวงการอื่นที่ไม่หมายถึงความเป็นความตาย เราก็ใช้ระดับการตัดสินใจที่คิดแล้วคิดอีกว่าถูกต้องแล้วเสมอนะคะ
    หากกับเรื่องของการตัดสินใจให้ชีวิตหนึ่งนี้ ข้อที่ถูกก็คือความเสมอตัว ส่วนข้อที่ผิดนี่สิคะต้องใช้พลังใจมหาศาลที่จะนำพาตัวเองก้าวออกจากความรู้สึกผิดนั้นให้ได้ มิเช่นนั้นชีวิตที่เหลืออาจทำอะไรต่อไปไม่ได้อีกเลย ซึ่งนับเป็นความเสี่ยงเหลือเกิน…อันนี้ดิฉันก็หวังว่าผู้ที่ตั้งใจมั่นในการออกกฏเกณฑ์มหาชนให้ปฏิบัติตามเป็นบรรทัดฐานจะได้สำเหนียกและเข้าใจให้มากถึงความต่างในอาชีพนี้เมื่อเทียบกับอาชีพทั่วไป และ…

    “ขอให้มีความมั่นใจอย่างหนี่งว่า กฏเกณฑ์ทั้งหลายที่พวกท่านได้กำหนดออกมา จะดูแลความรู้สึกของกลุ่มผู้เสียสละตนเองเพื่อประโยชน์สุขของผู้อื่นเหล่านี้ด้วยค่ะ”

    ดิฉันยังไม่เคยดูเรื่องThe interpreterเลยค่ะ ไม่ทราบพลาดไปได้อย่างไร หนังดีๆอย่างนี้ ;p
    ขอบคุณคุณน้ำฟ้าและปรายดาวอีกครั้งค่ะ

  • #11 putarn ให้ความคิดเห็นเมื่อ 20 มิถุนายน 2011 เวลา 5:08 (เย็น)

    ฮ่ะๆๆ ขอขอบคุณคุณสุทธินันท์กับข้อชี้แนะเพื่อชีวีมีสุขถาวรมากๆค่ะ

    จะว่าไปตามเนื้อผ้า ปัญหาที่คุณหมอท่านนี้พบพานไม่น่าจะแก้ยากนะคะ ถ้ามีความคิดถึงการหามาตรการเพิ่มจำนวนหมอเข้ามาในระบบของบ้านเรา
    แต่ก็ไม่แน่ค่ะว่า การฝึกหมอให้อดหลับอดนอนหรืออดกินเป็นวันๆนี่่ จะเป็นสุดยอดเคล็ดวิชาของการฝึกบุคคลากรด้านนี้หรือเปล่าคะ…อันนี้ดิฉันก็บ่นๆไปงั้นเองค่ะ ฮ่า..

  • #12 putarn ให้ความคิดเห็นเมื่อ 20 มิถุนายน 2011 เวลา 5:11 (เย็น)

    ขอขอบคุณคุณแม่ใหญ่แทนคุณหมอด้วยค่ะ

  • #13 putarn ให้ความคิดเห็นเมื่อ 20 มิถุนายน 2011 เวลา 5:13 (เย็น)

    ขอบคุณมากค่ะคุณอุ๊ยสร้อย
    ปรัชญาของคุณอุ๊ยสร้อย ดิฉันเองก็คงต้องขอน้อมรับนำไปปฏิบัติและหมั่นเตือนตนเองด้วยเหมือนกันค่ะ ฮา…

  • #14 putarn ให้ความคิดเห็นเมื่อ 20 มิถุนายน 2011 เวลา 5:19 (เย็น)

    ฮ่าๆๆๆ ขออนุญาตฝากคุณbangsaiเบิ้ลเผื่อด้วยค่ะเวลาที่กระโดดต่อยคุณหมอบางคนนั่น หมอไร้จรรยาบรรณแบบนั้นก็ไม่รู้จะเก็บไว้ทำไมนะคะ

    ขอขอบคุณแทนคุณหมอสำหรับกำลังใจด้วยค่ะ

  • #15 putarn ให้ความคิดเห็นเมื่อ 20 มิถุนายน 2011 เวลา 5:34 (เย็น)

    ขอบคุณคุณสาวตา..คุณหมอเจ๊เรียนโลก..มากค่ะที่ชี้แนะและติงเตือนอย่างผู้ที่เข้าใจปัญหาภายในเป็นอย่างดี
    ดิฉันชอบตรงนี้มากค่ะ “เรื่องราวแบบตาต่อตา ฟันต่อฟัน ย่อมไม่เกิดกับคนเป็นหมอที่มีหัวใจของความเป็นมนุษย์หรอกนะน้อง”

    ได้ใจจริงๆค่ะ ขอบอก

    หากก็มีจุดหนึ่งที่ไม่เข้าใจจากมุมมองของผู้ที่ทำอาชีพอื่นนะคะ
    เป็นเรื่องของบุคคลากรไม่พอค่ะ
    ซึ่งถ้าเป็นวงการอื่นเค้าจัดการเพิ่มบุคคลากรกันแล้วค่ะ ไม่ปล่อยให้งานท่วมท้นผู้ที่ทำอยู่อย่างเด็ดขาด เพราะเสี่ยงต่อความสูญเสียบุคคลากรดีๆไปอย่างไม่ฉลาด
    อันนี้ก็ไม่ทราบว่าทำไม กับวงการแพทย์บ้านเราจึงไม่แก้ไขกันสักทีนะคะ เพราะเห็นเป็นอย่างนี้มาตั้งนานแล้วค่ะ
    จะว่าเพื่อฝึกความอด และความทน มันก็มากไปนิดคะ
    เพราะทางฝรั่งเค้าเทียบกันอย่างนี้นะคะ ผู้ที่อดหลับอดนอน ๒๐ ชั่วโมงเทียบเท่ากับผู้ที่มีปริมาณแอลกอฮอล์ในร่างกายที่มาตรวัด ๐.๐๕ ซึ่งจัดเป็นอินดิเคเตอร์ที่ห้ามขับรถแล้วค่ะ และมาตรวัดนี้จะเพิ่มขึ้น ๐.๐๑ ต่อการอดนอนที่เพิ่มขี้นทุกๆ ๑ ชั่วโมงค่ะ

  • #16 สาวตา ให้ความคิดเห็นเมื่อ 20 มิถุนายน 2011 เวลา 9:26 (เย็น)

    วิธีแก้ก็มีอยู่หรอกค่ะ แต่ไม่ง่ายเลย เพราะว่าปัญหามันเป็นเชิงซ้อน การแก้จึงเหมือนจับปูใส่กระด้งยังไงยังงั้น การแก้ปัญหาต้องการมือไม้รอบนอกเข้ามาช่วยกันเป็นทีม ต้องการเครือข่ายเข้ามาช่วยหยิบทำ หลายเรื่องเชียวแหละค่ะ

    ยกตัวอย่างที่รพ.หมอ มีหมอผ่าสมองอยู่คนเดียว เป็นคนเดียวทั้งจังหวัดที่มีความสามารถทำได้ กว่าจะเก็บตัวเธอไว้ได้มานับวันนี้กว่า ๗ ปี ก็ต้องทำอะไรหลายอย่างกับระบบงานทั้งภายในระบบของรพ.เอง ระบบงานระหว่างอาชีพ (หมอ พยาบาล พขร. บริหาร การเงิน ฯลฯ) ระบบงานระหว่างรพ. ระบบงานระหว่างสถานบริการ มากมายหลายมุม มาจนถึงวันนี้ยังแก้เรื่องนี้ไม่หมดเลยค่ะ ที่ยังคงเหลือให้ทำ ก็เป็น ระบบงานระดับเขต และ ระบบงานระหว่างรพ.รัฐและรพ.เอกชน คนที่เข้ามาช่วยประสานให้เกิดการจัดระบบ มีตั้งแต่ผู้บริหารระดับสูงของรพ. ระดับจว. ระดับเขต และทีมงานบริหารระดับกลางของรพ. นี่แค่ทำเพื่อรักษาหมอที่ชำนาญสูงไว้คนเดียวนะคะ ยังใช้คนช่วยหลายระดับขนาดนี้

    ทำแล้วได้ข้อคิด เมื่อไรมีคนจัดการให้หมอกับหมอในแต่ละรดับ ได้มานั่งคุยกัน หลายอย่างที่ติดขัด เดินหน้าง่ายกว่า คิดให้แล้วมาสั่งการ การสั่งการที่ขาดข้อมูลความเป็นจริง แก้ปมปัญหาไม่ออกค่ะ

    ยังยืนยันในฐานะหมอว่าเรื่อง “อึด” และ “ทน” รักจะเป็นหมอต้องฝึกค่ะ เพราะว่าคนป่วยเขาเลือกเวลาป่วยไม่ได้ ไม่มีคำว่า “พักกินข้าวก่อน” “ขอนอนก่อน” สำหรับหมอได้เลย หากคนป่วยหนักอยู่ตรงหน้า ไม่อึดไม่ทน ทำงานอาชีพนี้ไม่ได้ ไม่อึดไม่ทน คนป่วยจะกลายเป็นแพะบูชายัญ เมื่อไรก็ได้ค่ะ

    สำหรับเรื่องของน้อง ถ้าเป็นหมอรุ่นเก่าๆ เขาจะฝึกทีมที่มีรอบตัวให้สามารถเป็นผู้ช่วยที่เก่งขึ้นมา ให้ช่วยในสิ่งที่วางใจได้กับความสามารถ ทำงานเป็นทีมแบบพี่ๆน้องๆ ให้เกียรติความสามารถของคนรอบข้าง ว่าศักยภาพเขามี ก็พอจะแบ่งเบา ภาระบางอย่างได้ ภายใต้การดูแลของตน การได้ช่วยกันและกันอย่างนี้เป็นเสน่ห์ของรพ.หนึ่งๆที่ลงมือทำ ทำให้รพ.นั้น ไม่สูญเสียคนเดิมๆออกไปด้วยค่ะ

    ปัญหาหลักของหมอ คือ ถูกสอนมาให้ทำทุกอย่างด้วยตัวเอง ไม่ดูแลคนด้วยตัวเองถือว่าไม่โอ ความอึด ความทน ทำให้มีนิสัยทำเองหมดทุกอย่าง ตั้งแต่ไม้จิ้มฟันยันเรือรบโดยไม่ยี่หระนัก

    ในสถานการณ์ที่เป็นความกลัวผิด ความใจกว้างให้คนอื่นช่วยอย่างที่คนรุ่นเก่ากล้าทำเกิดได้ยากมาก เรียกว่ารากปัญหามาจากตัวหมอเองขึ้นไปยันระบบงานและระบบฝึกเลยแหละค่ะ มันจึงแก้ยาก

  • #17 putarn ให้ความคิดเห็นเมื่อ 22 มิถุนายน 2011 เวลา 2:53 (เย็น)

    ขอขอบคุณคุณหมออีกครั้งค่ะที่กรุณากลับมาชี้แนะถึงปัญหาใยแมงมุมที่ยุ่งเหยิงใยนี้ ทำให้ดิฉันอดนึกไม่ได้ว่า แล้วสภาแพทย์เค้าไม่ทราบกันเลยเชียวหรือคะจึงปล่อยให้เรื่องราวเป็นแบบนี้ กับปล่อยให้ต่างกลุ่มต่างฝ่ายต่างก็ช่วยกันเองให้มากที่สุดต่อไปเรื่อยๆ พวกเค้าไม่เคยคิดนโยบายหรือยุทธวิธีเชิงรุกในการที่จะรวบรวมความคิดเห็นจากผู้ที่คลุกคลีอยู่ในงานโดยตรงแล้วเป็นตัวประสานกับทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องเพื่อสร้างหรือปรับปรุงระบบท้ังระบบให้มีประสิทธิภาพดีกว่านี้เหรอคะ แปลกจังเลยค่ะ ถ้านึกเทียบกับระบบงานที่ไม่มีเรื่องความเป็นความตายมาเกี่ยวข้อง เพียงแค่ต้องการอัพผลประกอบการแต่ละปีให้มากขึ้นกว่าเดิม พวกเค้าก็คิดหายุทธวิธีกันเป็นบ้าเป็นหลังแล้วค่้ะ

    เห็นทีคุณหมอคงต้องเทควิชา การบริหารจัดการ เข้าด้วยอีกอย่างน้อยหนึ่งวิชารึเปล่าคะเนี่ยะ

    (ความเห็นของดิฉันอาจผิดถูกอย่างไรก็ขออภัยด้วยนะค้า)

  • #18 สาวตา ให้ความคิดเห็นเมื่อ 22 มิถุนายน 2011 เวลา 7:25 (เย็น)

    ถ้าคุณพุดตาลเข้าใจความเป็นองค์กร ก็จะทราบว่าองค์กรแต่ละองค์กรมีบริบทเฉพาะของตน องค์กรที่มีเรื่องของหมอ มีอยู่หลายองค์กร ทำงานต่างบริบทกันไป

    เท่าที่มี ณ เวลานี้ ก็มีองค์กรที่มีบทบาทหลัก คือเตรียมความพร้อมให้กับสมาชิกแพทย์หลังจบเป็นแพทย์มาแล้ว เท่าที่ทำกันอยู่ก็เป็นการเติมองค์ความรู้ที่จำเป็น สำหรับการดูแลคนให้ทันยุคสมัย ทั้งที่พบจุดอ่อนในระบบบริการที่มีอยู่แล้ว และที่เป็นเรื่องใหม่ๆเพื่อให้ก้าวทันโลกในสาขาของตนให้กัน ชื่อที่สังคมคุ้นเคยขององค์กรเหล่านี้ ก็ได้แก่ แพทยสมาคม สมาคมวิชาชีพแพทย์ เช่น กุมารแพทย์ ศัลยแพทย์ อายุรแพทย์ ฯลฯ

    “แพทยสภา” เป็นองค์กรที่แตกต่างจากกลุ่มองค์กรข้างต้น ตรงที่ ดูแลกำกับหลักสูตรสร้างแพทย์ในแต่ละชั้นความเชี่ยวชาญ และดูแลกำกับการปฏิบัติหลังจบ ของแพทย์ให้เป็นไปตามหลักปกติโดยสากลของแพทย์ ทั้งด้านจริยธรรม คุณสมบัติของความเป็นแพทย์ด้านวิชาการ ที่ได้กรอบมาจากการเทียบเกณฑ์กับสากล และความคาดหหวังของสังคมไทย สังคมโลกที่มีต่อแพทย์ เป็นตัวแทนทำความตกลงการมอบอำนาจตามกฎหมาย ให้สามารถมีส่วนร่วมให้ความคุ้มครองประชาชนในมุมมองด้านวิชาการ เป็นผู้พิจารณาความบกพร่องของแพทย์สมาชิก กำหนดโทษ และลงโทษได้ ในด้านวิชาชีพ ครอบคลุมแพทย์ในทุกภาคส่วน

    สิ่งที่แพทยสภาทำมีเรื่องของการกลั่นกรองความรู้แพทย์ทุกเชื้อชาติ ที่จะเข้ามาประกอบอาชีพแพทย์ในประเทศไทยด้วย แพทย์ทุกคนที่สามารถปฏิบัติหน้าที่ เป็นแพทย์ในประเทศไทยโดยไม่ผิดกฏหมาย จะต้องผ่านการสอบความรู้ตามเกณฑ์แพทยสภาก่อน ใครสอบไม่ได้ไปทำงานรักษาคนไข้โดยพละการ แม้จะรักษาคนไข้ได้ ก็ยังได้ชื่อว่าเป็นหมอเถื่อนอยู่ค่ะ

    แพทยสภายังทำหน้าที่เป็นตัวแทน ในการทำความชี้แจงและให้ข่าวสารเกี่ยวกับ “ความเป็นแพทย์” ให้กับสังคมด้วย แล้วยังทำหน้าที่เป็นตัวแทนวิชาชีพ เข้าร่วมกลั่นกรองชี้แจงมุมลึกในมุมรายละเอียดของการทำงานของหมอ เพื่อให้กฎหมายที่มีแพทย์เกี่ยวข้องด้วยเกิดความเป็นธรรมในการคุ้มครองทุกฝ่าย ก่อนจะมีกฎหมายออกมาด้วย

    องค์กรนี้ทำหน้าที่เป็นผู้ให้ข้อมูลเพื่อการตัดสินใจ ในเชิงบริหารในส่วนที่เกี่ยวกับแพทย์ให้กับภาครัฐ ไม่ได้ทำหน้าที่บริหารอัตราแพทย์ที่ทำงานในภาครัฐค่ะ จึงช่วยได้อย่างมากก็แค่เสนอความเห็น

    องค์กรที่ทำหน้าที่เรื่องอัตราแพทย์ กำลังคนแพทย์ มีอยู่แค่ 2 องค์กรค่ะ องค์กรหนึ่งคือกระทรวงสาธารณสุข อีกองค์กรหนึ่งคือ ทบวงมหาวิทยาลัย (ซึ่งวันนี้รวมเป็นกระทรวงศึกษาธิการ) ส่วนแรกเกี่ยวข้องกับการจัดหาเงินเดือนมาให้แพทย์ ตกลงจำนวนแพทย์กับกพ. รวมไปถึงบุคลากรสาขาอื่นในด้านสาธารณสุข ได้มาก็แบ่งสันปันส่วนไปตามความต้องการของแต่ละรพ.ตามที่เป็นไปได้ ส่วนหลังเกี่ยวข้องกับการจัดหากำลังอาจารย์แพทย์ และเป็นที่ผลิตแพทย์รุ่นใหม่เอ๊าะๆมาให้ส่วนแรก

    ที่จริง 2 องค์กรนี้ก็ดูดกำลังคนกันไปมา ส่วนใหญ่แล้วส่วนหลังจะชนะได้คนไป แต่ทั้ง 2 ก็มีตาอยู่เข้ามาเกี่ยว ดูดคนไปอีกต่อเมื่อเผลอ ตาอยู่ที่ว่านี้ก็คือ โรงพยาบาลเอกชน วังวนหมุนกันไปก็เป็นอย่างนี้เรื่อยมา นี่เป็นเรื่องระหว่างอค์กรนะคะ

    วันนี้เรื่องราวระหว่างองค์กรเริ่มหมุนสู่การเปลี่ยนผ่าน มีการประสานกันเพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพในภาพรวมมากขึ้น มีการคุยกันในเชิงการบริหารจัดการเชิงระบบในภาพรวมขึ้นบ้างแล้ว ส่วนหนึ่งของระบบที่หมุนผ่าน ก็อย่างเช่นตัวอย่างที่หมอเล่าให้ฟังเรื่องของรพ.หมอนั่นแหละ ที่เล่าขาดไปก็คือ ส่วนของรพ.หมอเอง เราเชื่อมต่อถึงรพ.มหาวิทยาลัยแล้วด้วยในเชิงระบบค่ะ

    ทั้งหมดที่เป็นผลเกิดขึ้น เป็นเรื่องของการใช้วิชาบริหารจัดการทั้งสิ้น และที่เกิดความก้าวหน้าขึ้นอย่างที่เล่า ก็เพราะการทำงานเป็นทีมในเชิงบริหาร ความซับซ้อนในเชิงบริการทางการแพทย์เป็นอะไร ที่ต้องอาศัยการบริหารจัดการเชิงระบบมาก ถ้าบริหารคนเดียวไม่มีทางทำได้เลย ต้องทำงานเป็นทีม ต้องการความใจกว้าง และต้องการความ “อึด และ “ทน” ในการที่จะเริ่มบริหาร

    เคยมีคนบอกว่า “ให้หมอมาทำหน้าที่บริหารเท่ากับเสียหมอดีๆไปคน และได้ผู้บริหารที่ไม่ได้เรื่องมาแทน” ในขณะที่คุณพุดตาลมีความเห็นต่างไป ทั้ง 2 ความเห็นก็ถูกนะคะ และถูกคนละมุมค่ะ

  • #19 putarn ให้ความคิดเห็นเมื่อ 24 มิถุนายน 2011 เวลา 6:52 (เย็น)

    ขอบคุณคุณหมออีกคร้ังค่ะที่กรุณากลับมาเล่าอธิบายความเป็นไปในองค์กรต่างๆของระบบการรักษาพยาบาลของบ้านเรา
    เมื่ออ่านครั้งแรกดิฉันยอมรับว่าซับซ้อนอย่างเป็นระบบจัง ต้องอ่านช้าๆอีกรอบจึงค่อยเข้าใจและรู้สึกว่าการปรับปรุงประสิทธิภาพต้องเยิ่นเย้อเพราะมีหลายองค์กรย่อยรึเปล่า
    แต่ถ้าคิดอีกทีองค์กรย่อยเหล่านี้คือฟันเฟืองที่ช่วยขับเคลื่อนให้ระบบเดินต่อไปได้ ก็รู้สึกค่อยยังชั่วค่ะ
    แต่ถึงอย่างไรก็ยังอยากเห็นการปรับปรุงให้มีประสิทธิผลเร็วกว่าปัจจุบันอีกนิ้ดค่ะ

    ฮ่ะๆๆ รู้สึกคนบอกจะรู้เรื่องดีเกี่ยวกับการบริหารรึเปล่าคะ จึงเผอิญได้เจอหมอที่บริหารไม่เป็นแล้วเหมารวมว่าหมอทุกคนต้องเป็นอย่างนั้น
    ส่วนตัว ดิฉันเชื่อว่า การบริหารเป็นเรื่องของพรสวรรค์ที่คนๆนั้นมีศาสตร์และศิลป์ติดตัวมาเพื่อการนี้ค่ะ ถ้าใครไม่มี ต่อให้ได้ร่ำได้เรียนมีดีกรีรับรอง ก็คงเป็นผู้บริหารที่ประสบความสำเร็จได้ยาก

  • #20 putarn ให้ความคิดเห็นเมื่อ 26 มิถุนายน 2011 เวลา 3:53 (เย็น)

    เรียนเพื่อนๆทุกท่านคะ ข้อความข้างล่างนี้เป็นเมนท์ตอบจากคุณหมอเจ้าของบันทึกฉบับนี้ค่ะ

    ^^^ ^^^ ^^^ ^^^ ^^^ ^^^^ ^^^^ ^^^

    “เรียนพี่ putarn ผมตามเข้าไปอ่านแล้วรู้สึกว่าพี่ๆ ได้พูดคุยกันเรื่อง การขาดแคลนแพทย์ อยากเข้าไปตอบด้วย แต่คอมผมพิมพ์ไปแล้วมันไม่ขึ้นเลยอ่าคับพี่ มันเด้งกลับหมดเลย ถ้าพี่กลับมาอ่าน ฝากคอมเมนท์ป๋มไปหน่อยน้าค้าบ ”

    สวัสดีคับ เราเป็นคนที่เขียนบันทึกอันนี้น้าคับ สาเหตุที่เขียนบทความก็คือ ได้ไปอ่านคอมเมนท์ที่มีคนพูดคุยกันในอินเตอร์เน็ตแล้ว รู้สึกว่า คนส่วนใหญ่ เห็นว่า หมอเป็นงานออฟฟิศ นั่งตรวจสบายๆ ไม่ต้องใช้แรงงาน จึงง่ายที่จะเกิดอคติไม่ดีกับแพทย์ได้อะคับ ก็เลยเขียนเล่าเรื่องจิงที่ ทำงานจิงๆในช่วงใช้ทุนปีหนึ่งที่รพ.จังหวัดออกมา ว่าในความเป็นจริงแล้ว งานที่ทำกันอยู่ตอนนี้ ค่อนข้างโหลดมากเลยคับ ดีใจที่มีคนรู้สึกว่าเป็นบทความที่มีประโยชน์และนำมาแบ่งปันต่อนะคับ ได้มาอ่านความคิดเห็นต่างๆที่นี่ รู้สึกว่า มีการพูดคุยกันอย่างมีประโยชน์มากเลย สำหรับความเห็นเรื่อง ปริมาณหมอที่ขาดแคลน >> ผมเห็นด้วยเลยคับ งานที่เราทำกันอยู่ขณะนี้ มันน่าจะทำด้วยปริมาณคนที่มากกว่านี้ 2-3 เท่าอะคับ ในทุกที่ ทุกรพ.รัฐ จิงๆ (ต่อให้รายได้ลดลง ถ้ามีเวลาได้พักผ่อนมากขึ้น จะดีมากเลยคับ เพื่อนผมทุกคนอยากขายเวรคับ แต่ที่ไม่ขายกันเอง เพราะ เท่ากับโหลดงานให้เพื่อนหมอคนอื่นเข้าไปอีก) สำหรับเรื่องผลิตหมอเพิ่ม ผมคิดว่า มันมีข้อจำกัดในเรื่องของคุณภาพที่จะผลิตออกมาอะคับ มหาลัย ไม่สามารถผลิตออกมามากเกินไป ซึ่งจะทำให้คุณภาพการเรียนการสอนตกลงไปได้ ในเรื่องของการที่หมอจะลาออกไปอยู่เอกชนนั้นก็เป็นปัญหาใหญ่ที่แก้ไขได้ยากยิ่ง เพราะ ในความเป็นจริง เอกชนไม่ได้เป็นผู้ลงทุนสร้างหมอ แค่เอาความสุขในการทำงานมาล่อ หมอก็ไปกันหมดแล้วอะคับ (เงิน3เท่า งานเบาลง5เท่า ได้อยู่กับครอบครัว ปริมาณงานที่ลดลงทำให้สามารถตรวจได้ละเอียด มีเวลาคุยทำความสนิทสนทกับคนไข้ ส่งตรวจlab ได้โดยไม่ต้องคำนึงถึงข้อบ่งชี้มากนัก เพราะเป็นเงินคนไข้เองไม่ใช่ภาษีโดยรวม) ซึ่งตรงจุดนี้รัฐบาลคงยากที่จะออกนโยบายใดๆมาทำให้หมออยากอยู่รพ.รัฐได้มากกว่าแน่นอน (ถ้าทำ น่าจะเจ๊ง) ตอนนี้หมอที่อยู่รพ.รัฐ ไม่ออกก็คือ รู้สึกทิ้งไปจากจุดที่ยืนอยู่ไม่ได้ ทำใจไม่ได้กับการทิ้งตำแหน่งตัวเองออกไปแล้วทำให้คนไข้ลำบากขึ้น เพื่อนหมอที่ทำงานอยู่ด้วยกันลำบากขึ้น ซึ่งจิงๆแล้วมันเป็นความสุขอย่างนึงที่รุสึกว่าเรายังทำอยู่ตรงนี้ได้นะ เป็นความภูมิใจในตัวเองอะคับ แต่กับสภาพสังคมที่คนไข้กับหมอห่างเหินกันออกไปเรื่อยๆ และถูกบีบคั้นมากขึ้นเรื่อยๆ บางครั้งความภูมิใจก็ไม่สามารถทานได้กับความน้อยใจที่เราพยายามทำเพื่อเค้าอย่างเต็มที่ แต่ก็ยังโดนด่าโดนว่า เพื่อนๆหมอก็เลยออกไปเอกชนกันเยอะอะคับ ปัญหาหมอภาครัฐไม่พอก็เลยมีแต่จะแย่ลงทุกวันๆ ผมรู้สึกว่าถ้าทิศทางยังเป็นอย่างนี้ ระบบสาธาณสุขไทยคงล่มในไม่ช้าแน่ๆเลยอะคับ T.T (อาจกลายเป็นแบบเอกชนเหมือนอเมริกา แต่ค่ารักษาที่สูงมากๆ น่าสงสารชาวบ้านมากๆเลยอะ T.T) ” ขอบคุณพี่ putarn มากคับ”

  • #21 Francesca ให้ความคิดเห็นเมื่อ 1 กุมภาพันธ 2019 เวลา 2:18 (เช้า)

    I could not refrain from commenting. Perfectly written!

  • #22 Silas ให้ความคิดเห็นเมื่อ 9 กุมภาพันธ 2019 เวลา 7:55 (เช้า)

    Now it is time to choose your specific investments.

  • #23 Reda ให้ความคิดเห็นเมื่อ 12 กุมภาพันธ 2019 เวลา 6:45 (เช้า)

    Monetary advisors business is people enterprise.

  • #24 Leesa ให้ความคิดเห็นเมื่อ 16 กุมภาพันธ 2019 เวลา 9:21 (เช้า)

    Schwab Clever Portfolios invests in Schwab ETFs.

  • #25 Francis ให้ความคิดเห็นเมื่อ 17 กุมภาพันธ 2019 เวลา 7:27 (เช้า)

    That is true for funding advice as well.

  • #26 Anglea ให้ความคิดเห็นเมื่อ 19 กุมภาพันธ 2019 เวลา 8:09 (เช้า)

    And this is an funding risk value taking.

  • #27 Matt Linklater ให้ความคิดเห็นเมื่อ 19 กุมภาพันธ 2019 เวลา 11:53 (เย็น)

    We’re a gaggle of volunteers and starting a brand new scheme in our community.
    Your web site provided us with useful information to work on. You
    have performed a formidable process and our
    entire neighborhood might be thankful to you.

  • #28 Luiz Gastão Bittencourt ให้ความคิดเห็นเมื่อ 20 กุมภาพันธ 2019 เวลา 9:56 (เช้า)

    After looking into a handful of the articles on your blog, I honestly
    appreciate your way of blogging. I added it to my bookmark website list and will
    be checking back soon. Take a look at my
    web site as well and tell me how you feel.

  • #29 Matt Linklater ให้ความคิดเห็นเมื่อ 24 กุมภาพันธ 2019 เวลา 2:37 (เย็น)

    I read this post fully concerning the resemblance of most up-to-date and
    previous technologies, it’s amazing article.

  • #30 Alphonso ให้ความคิดเห็นเมื่อ 1 มีนาคม 2019 เวลา 7:56 (เช้า)

    I am not sure where you’re getting your information, but good topic.
    I needs to spend some time learning much more or understanding more.
    Thanks for wonderful information I was looking for this information for my
    mission.

  • #31 Fidel ให้ความคิดเห็นเมื่อ 4 มีนาคม 2019 เวลา 4:09 (เช้า)

    Hi there! I just wanted to ask if you ever have any trouble with
    hackers? My last blog (wordpress) was hacked and I ended up losing many months of hard
    work due to no backup. Do you have any solutions to stop hackers?

  • #32 Matt Linklater ให้ความคิดเห็นเมื่อ 6 มีนาคม 2019 เวลา 12:33 (เย็น)

    I got this website from my friend who shared with me
    regarding this site and at the moment this time I am browsing this web page and reading very informative content at this time.

  • #33 Luiz Gastão Bittencourt ให้ความคิดเห็นเมื่อ 7 มีนาคม 2019 เวลา 10:19 (เช้า)

    Sweet blog! I found it while searching on Yahoo News. Do you have any
    tips on how to get listed in Yahoo News? I’ve been trying for a while but I never
    seem to get there! Thank you

  • #34 Charles ให้ความคิดเห็นเมื่อ 7 มีนาคม 2019 เวลา 5:10 (เย็น)

    This post is genuinely a good one it assists new the web users,
    who are wishing in favor of blogging.

  • #35 Luiz Gastão Bittencourt ให้ความคิดเห็นเมื่อ 9 มีนาคม 2019 เวลา 8:36 (เย็น)

    I’m amazed, I have to admit. Seldom do I encounter a blog that’s both educative and engaging,
    and without a doubt, you’ve hit the nail on the head.
    The problem is something which not enough men and women are speaking intelligently about.
    I’m very happy I came across this in my hunt for
    something concerning this.

  • #36 Luiz Gastão Bittencourt ให้ความคิดเห็นเมื่อ 10 มีนาคม 2019 เวลา 1:12 (เช้า)

    Appreciating the time and energy you put into your site and detailed information you provide.
    It’s nice to come across a blog every once in a while that
    isn’t the same outdated rehashed information. Fantastic
    read! I’ve saved your site and I’m including your
    RSS feeds to my Google account.

  • #37 tinyurl.com ให้ความคิดเห็นเมื่อ 13 มีนาคม 2019 เวลา 12:12 (เช้า)

    Hi, after reading this remarkable piece of writing i am as well happy
    to share my know-how here with mates.

  • #38 Doretha ให้ความคิดเห็นเมื่อ 13 มีนาคม 2019 เวลา 6:56 (เช้า)

    It’s really a nice and helpful piece of information. I’m satisfied that
    you just shared this useful info with us. Please keep us informed
    like this. Thanks for sharing.

  • #39 Nora ให้ความคิดเห็นเมื่อ 14 มีนาคม 2019 เวลา 12:01 (เย็น)

    Good site you’ve got here.. It’s hard to find good quality writing like yours these days.
    I seriously appreciate individuals like you!
    Take care!!

  • #40 Joseph ให้ความคิดเห็นเมื่อ 15 มีนาคม 2019 เวลา 3:44 (เช้า)

    Hi! Would you mind if I share your blog with my facebook group?
    There’s a lot of people that I think would really enjoy your content.
    Please let me know. Thank you

  • #41 Carlos Magno Nunes Barcelos ให้ความคิดเห็นเมื่อ 15 มีนาคม 2019 เวลา 2:35 (เย็น)

    Wow, awesome blog layout! How long have you been blogging for?
    you make blogging look easy. The overall look of your site is wonderful, as well as the
    content!

  • #42 Charis ให้ความคิดเห็นเมื่อ 17 มีนาคม 2019 เวลา 12:28 (เย็น)

    If you desire to take much from this article then you have
    to apply such strategies to your won web site.

  • #43 http://tinyurl.com/y5hbp7qm ให้ความคิดเห็นเมื่อ 21 มีนาคม 2019 เวลา 9:53 (เช้า)

    It’s a pity you don’t have a donate button! I’d most certainly donate to this excellent blog!
    I guess for now i’ll settle for book-marking and adding your RSS feed to my Google account.
    I look forward to new updates and will talk about this blog with my Facebook
    group. Chat soon!

  • #44 Imogene ให้ความคิดเห็นเมื่อ 27 มีนาคม 2019 เวลา 2:26 (เช้า)

    No matter if some one searches for his required thing,
    thus he/she wishes to be available that in detail, so that thing is maintained over here.

  • #45 tinyurl.com ให้ความคิดเห็นเมื่อ 27 มีนาคม 2019 เวลา 2:30 (เช้า)

    Hi there to all, how is all, I think every one is getting more from this web
    site, and your views are fastidious in support of new visitors.

  • #46 Carlos Eduardo Veiga Petrobras ให้ความคิดเห็นเมื่อ 28 มีนาคม 2019 เวลา 10:49 (เช้า)

    It’s truly very complicated in this busy life to listen news on TV,
    therefore I simply use web for that purpose, and get the hottest information.

  • #47 Felipa ให้ความคิดเห็นเมื่อ 28 มีนาคม 2019 เวลา 9:48 (เย็น)

    I’m gone to say to my little brother, that he should also pay a visit this blog on regular basis to get updated from most up-to-date news update.

  • #48 Grupo Coral ให้ความคิดเห็นเมื่อ 29 มีนาคม 2019 เวลา 12:02 (เช้า)

    Hello there! Do you know if they make any plugins to safeguard against
    hackers? I’m kinda paranoid about losing everything I’ve worked
    hard on. Any tips?

  • #49 Daniel Valente Dantas ให้ความคิดเห็นเมื่อ 29 มีนาคม 2019 เวลา 1:31 (เช้า)

    Hi there, I found your website by means of Google while searching for a related
    topic, your site came up, it appears good. I’ve bookmarked it in my google bookmarks.

    Hello there, just became alert to your blog
    thru Google, and located that it is really informative.
    I’m going to watch out for brussels. I’ll appreciate
    in the event you proceed this in future. A lot of other people can be benefited from your
    writing. Cheers!

  • #50 Eusebia ให้ความคิดเห็นเมื่อ 29 มีนาคม 2019 เวลา 3:10 (เช้า)

    Very energetic post, I loved that bit. Will there be a part
    2?

  • #51 tinyurl.com ให้ความคิดเห็นเมื่อ 30 มีนาคม 2019 เวลา 7:54 (เช้า)

    I needed to thank you for this fantastic read!!
    I absolutely loved every little bit of it.
    I’ve got you bookmarked to look at new stuff you post…

  • #52 http://tinyurl.com/y3e76tqs ให้ความคิดเห็นเมื่อ 30 มีนาคม 2019 เวลา 1:00 (เย็น)

    I just could not go away your site before suggesting that I extremely loved the usual info
    a person provide in your visitors? Is going to be again ceaselessly in order to investigate
    cross-check new posts

  • #53 http://tinyurl.com/ ให้ความคิดเห็นเมื่อ 30 มีนาคม 2019 เวลา 8:43 (เย็น)

    Nice post. I was checking constantly this blog
    and I am impressed! Very helpful info particularly the last part
    :) I care for such information a lot. I was looking for this particular info for a long time.
    Thank you and good luck.

  • #54 Ashlee ให้ความคิดเห็นเมื่อ 2 เมษายน 2019 เวลา 1:49 (เย็น)

    I think that what you published was actually very reasonable.
    However, what about this? what if you were to create a killer headline?
    I am not suggesting your content is not good., however suppose you added a title to possibly get people’s attention? I mean ธารปัญญา » ขอแชร์หน่อยค่ะ is a little
    boring. You could peek at Yahoo’s front page and
    see how they create news headlines to grab people to open the links.
    You might add a related video or a related pic
    or two to get people interested about what you’ve written. In my opinion, it would bring your blog a little
    bit more interesting.

  • #55 tinyurl.com ให้ความคิดเห็นเมื่อ 3 เมษายน 2019 เวลา 1:30 (เช้า)

    Great post. I was checking constantly this blog and I am
    impressed! Extremely helpful info specifically the ultimate part :)
    I maintain such info much. I used to be seeking this particular information for a very lengthy time.
    Thanks and good luck.

  • #56 Carlos Eduardo Veiga Petrobras ให้ความคิดเห็นเมื่อ 3 เมษายน 2019 เวลา 2:54 (เช้า)

    Informative article, totally what I needed.

  • #57 Carlos Magno Nunes Barcelos ให้ความคิดเห็นเมื่อ 3 เมษายน 2019 เวลา 6:13 (เช้า)

    Spot on with this write-up, I actually feel this website needs far more attention. I’ll probably be returning to read
    through more, thanks for the info!

  • #58 Carlos Magno Nunes Barcelos ให้ความคิดเห็นเมื่อ 3 เมษายน 2019 เวลา 2:32 (เย็น)

    Hi outstanding website! Does running a blog like
    this require a massive amount work? I have very little knowledge of
    coding but I was hoping to start my own blog soon. Anyhow, if you have any suggestions or techniques for new blog
    owners please share. I know this is off subject but I simply had to ask.
    Kudos!

  • #59 Antony ให้ความคิดเห็นเมื่อ 4 เมษายน 2019 เวลา 3:45 (เช้า)

    I think this is one of the most important info for me.
    And i’m glad reading your article. But should remark on few general things, The website style is great, the articles is really excellent :
    D. Good job, cheers

  • #60 John ให้ความคิดเห็นเมื่อ 4 เมษายน 2019 เวลา 7:54 (เย็น)

    Heya i’m for the primary time here. I came across this board and I find It truly helpful & it helped me out much.
    I’m hoping to offer something again and help others like you helped me.

  • #61 Maya ให้ความคิดเห็นเมื่อ 6 เมษายน 2019 เวลา 12:41 (เช้า)

    It’s the best time to make some plans for
    the future and it’s time to be happy. I’ve read this post and if
    I could I want to suggest you few interesting things or
    advice. Maybe you can write next articles referring to this article.
    I want to read more things about it!

  • #62 Drew ให้ความคิดเห็นเมื่อ 7 เมษายน 2019 เวลา 7:48 (เย็น)

    These are actually wonderful ideas in on the topic of blogging.
    You have touched some fastidious things here.
    Any way keep up wrinting.

  • #63 http://tinyurl.com/ ให้ความคิดเห็นเมื่อ 9 เมษายน 2019 เวลา 3:28 (เย็น)

    We are a group of volunteers and opening a new scheme in our community.
    Your site provided us with helpful info to work on. You have done a formidable activity and our whole community shall be thankful to you.

  • #64 Grupo Coral ให้ความคิดเห็นเมื่อ 9 เมษายน 2019 เวลา 6:25 (เย็น)

    I used to be recommended this website via my cousin. I am now
    not sure whether this put up is written by him as no one else realize such special about my difficulty.
    You are incredible! Thank you!

  • #65 tinyurl.com ให้ความคิดเห็นเมื่อ 9 เมษายน 2019 เวลา 7:07 (เย็น)

    Hmm it seems like your blog ate my first comment (it was super long) so I
    guess I’ll just sum it up what I had written and say, I’m thoroughly enjoying your blog.
    I too am an aspiring blog writer but I’m still new to everything.
    Do you have any suggestions for beginner blog writers?
    I’d genuinely appreciate it.

  • #66 tinyurl.com ให้ความคิดเห็นเมื่อ 12 เมษายน 2019 เวลา 12:33 (เช้า)

    Hey I know this is off topic but I was wondering
    if you knew of any widgets I could add to my blog that automatically tweet my newest twitter updates.
    I’ve been looking for a plug-in like this for quite
    some time and was hoping maybe you would have some experience with something like this.
    Please let me know if you run into anything. I truly enjoy reading
    your blog and I look forward to your new updates.

  • #67 Amie ให้ความคิดเห็นเมื่อ 16 เมษายน 2019 เวลา 2:58 (เย็น)

    You are so interesting! I don’t think I’ve truly
    read anything like this before. So nice to find another person with original thoughts on this
    subject. Seriously.. thank you for starting this up. This web site is one thing that’s
    needed on the web, someone with a bit of originality!

  • #68 tinyurl.com ให้ความคิดเห็นเมื่อ 18 เมษายน 2019 เวลา 6:35 (เช้า)

    Asking questions are genuinely nice thing if you are not understanding anything
    fully, except this piece of writing gives pleasant understanding yet.

  • #69 Darell ให้ความคิดเห็นเมื่อ 19 เมษายน 2019 เวลา 6:30 (เย็น)

    Attractive section of content. I just stumbled upon your web site and
    in accession capital to assert that I acquire in fact enjoyed account your blog posts.
    Any way I will be subscribing to your augment and even I achievement
    you access consistently quickly.

  • #70 tinyurl.com ให้ความคิดเห็นเมื่อ 20 เมษายน 2019 เวลา 9:32 (เช้า)

    I love it whenever people come together and share ideas. Great blog, stick with it!

  • #71 Umanizzare ให้ความคิดเห็นเมื่อ 22 เมษายน 2019 เวลา 2:03 (เย็น)

    If you desire to take a good deal from this piece of writing then you
    have to apply such methods to your won web site.

  • #72 tinyurl.com ให้ความคิดเห็นเมื่อ 22 เมษายน 2019 เวลา 3:19 (เย็น)

    I always spent my half an hour to read this weblog’s posts every day along with a
    mug of coffee.

  • #73 Carlos Magno Nunes Barcelos ให้ความคิดเห็นเมื่อ 22 เมษายน 2019 เวลา 11:01 (เย็น)

    Thank you for another wonderful article. Where else could anyone
    get that kind of information in such an ideal means of writing?
    I have a presentation subsequent week, and I’m on the look for such info.

  • #74 Eve ให้ความคิดเห็นเมื่อ 25 เมษายน 2019 เวลา 8:01 (เช้า)

    Hi there! This is kind of off topic but I need
    some guidance from an established blog. Is it very hard to set up your own blog?

    I’m not very techincal but I can figure things out pretty fast.
    I’m thinking about making my own but I’m not sure where to start.

    Do you have any points or suggestions? Cheers

  • #75 Wilhemina ให้ความคิดเห็นเมื่อ 26 เมษายน 2019 เวลา 10:37 (เช้า)

    I like the valuable information you provide in your articles.
    I will bookmark your weblog and check again here regularly.

    I am quite certain I’ll learn many new stuff right here!
    Good luck for the next!

  • #76 Jenifer ให้ความคิดเห็นเมื่อ 26 เมษายน 2019 เวลา 5:40 (เย็น)

    Link exchange is nothing else except it is simply placing
    the other person’s web site link on your page at appropriate place and other person will also
    do similar in favor of you.

  • #77 Bichara Previc ให้ความคิดเห็นเมื่อ 26 เมษายน 2019 เวลา 10:38 (เย็น)

    you are actually a good webmaster. The site loading speed is incredible.

    It sort of feels that you are doing any unique trick.
    Also, The contents are masterpiece. you’ve performed a magnificent task on this topic!

  • #78 Carlos Magno Nunes Barcelos ให้ความคิดเห็นเมื่อ 27 เมษายน 2019 เวลา 10:21 (เย็น)

    Hey There. I found your weblog the use of msn. That is a very well written article.
    I’ll make sure to bookmark it and return to learn more
    of your helpful info. Thanks for the post. I will certainly
    comeback.

  • #79 http://tinyurl.com/ ให้ความคิดเห็นเมื่อ 28 เมษายน 2019 เวลา 12:42 (เช้า)

    Wow, incredible weblog format! How lengthy have you been running a blog for?

    you make running a blog look easy. The whole glance of your web site is wonderful, let
    alone the content material!

  • #80 Christiane ให้ความคิดเห็นเมื่อ 28 เมษายน 2019 เวลา 3:24 (เช้า)

    Undeniably consider that that you said. Your favourite justification appeared to be at the
    web the simplest factor to be aware of. I say to you, I
    certainly get irked whilst people think about worries that they plainly do not
    realize about. You controlled to hit the nail upon the highest and outlined
    out the whole thing without having side effect , folks could take a signal.
    Will likely be again to get more. Thanks

  • #81 Mario Celso Lopes ให้ความคิดเห็นเมื่อ 28 เมษายน 2019 เวลา 10:40 (เช้า)

    You’ve made some really good points there. I looked on the internet for additional information about
    the issue and found most individuals will go along with your views on this website.

  • #82 http://bit.ly/ ให้ความคิดเห็นเมื่อ 28 เมษายน 2019 เวลา 11:57 (เช้า)

    It’s awesome in favor of me to have a site, which
    is valuable in favor of my knowledge. thanks admin

  • #83 Karry ให้ความคิดเห็นเมื่อ 29 เมษายน 2019 เวลา 12:52 (เช้า)

    I loved as much as you’ll receive carried out right here.
    The sketch is attractive, your authored material stylish.
    nonetheless, you command get got an shakiness over
    that you wish be delivering the following.
    unwell unquestionably come further formerly again since exactly the same nearly a lot often inside case you
    shield this increase.

  • #84 bit.ly ให้ความคิดเห็นเมื่อ 29 เมษายน 2019 เวลา 6:03 (เช้า)

    I have read several excellent stuff here. Certainly price bookmarking
    for revisiting. I surprise how so much attempt you place to
    create this kind of magnificent informative site.

  • #85 Kendall ให้ความคิดเห็นเมื่อ 29 เมษายน 2019 เวลา 9:56 (เช้า)

    We are a group of volunteers and opening a new
    scheme in our community. Your web site offered us with useful info to work on. You’ve performed a formidable process and
    our whole community will be thankful to you.

  • #86 Bichara Previc ให้ความคิดเห็นเมื่อ 30 เมษายน 2019 เวลา 5:16 (เช้า)

    Hello, I think your site might be having browser compatibility issues.
    When I look at your website in Opera, it looks fine but when opening in Internet Explorer, it has some overlapping.
    I just wanted to give you a quick heads up! Other then that, awesome blog!

  • #87 Klefer ให้ความคิดเห็นเมื่อ 30 เมษายน 2019 เวลา 1:44 (เย็น)

    Asking questions are truly nice thing if you are not understanding something completely, except this piece of writing provides good
    understanding even.

  • #88 Bichara Previc ให้ความคิดเห็นเมื่อ 1 พฤษภาคม 2019 เวลา 2:16 (เช้า)

    After looking over a few of the articles on your blog, I
    really appreciate your technique of writing a blog.

    I book marked it to my bookmark site list and will
    be checking back in the near future. Please visit my
    web site as well and let me know what you think.

  • #89 Sybil ให้ความคิดเห็นเมื่อ 1 พฤษภาคม 2019 เวลา 7:48 (เช้า)

    I was able to find good information from your content.

  • #90 Mario Celso Lopes ให้ความคิดเห็นเมื่อ 2 พฤษภาคม 2019 เวลา 12:14 (เย็น)

    Hello there! Do you know if they make any plugins to help with Search Engine Optimization? I’m trying to get my blog to rank for some targeted keywords but
    I’m not seeing very good results. If you know of any please share.
    Thanks!

  • #91 Klefer ให้ความคิดเห็นเมื่อ 2 พฤษภาคม 2019 เวลา 11:21 (เย็น)

    I’m more than happy to find this website. I need to to thank you for ones time
    for this particularly fantastic read!! I definitely enjoyed every little
    bit of it and I have you book marked to see new things in your web site.

  • #92 Dave ให้ความคิดเห็นเมื่อ 3 พฤษภาคม 2019 เวลา 12:43 (เช้า)

    Asking questions are truly fastidious thing if you are not understanding anything
    entirely, but this post presents pleasant understanding even.

  • #93 http://tinyurl.com/yy76uo85 ให้ความคิดเห็นเมื่อ 4 พฤษภาคม 2019 เวลา 11:26 (เช้า)

    Spot on with this write-up, I really think this web site needs much more attention. I’ll probably be returning to read through more, thanks
    for the advice!

  • #94 tinyurl.com ให้ความคิดเห็นเมื่อ 5 พฤษภาคม 2019 เวลา 5:43 (เช้า)

    It’s really very complicated in this active life to listen news on Television, so I only use web for that purpose, and obtain the
    newest news.

  • #95 Shela ให้ความคิดเห็นเมื่อ 6 พฤษภาคม 2019 เวลา 5:56 (เช้า)

    These are actually fantastic ideas in about blogging.
    You have touched some pleasant factors here. Any way keep up wrinting.

  • #96 http://tinyurl.com/y397exa6 ให้ความคิดเห็นเมื่อ 8 พฤษภาคม 2019 เวลา 1:36 (เย็น)

    If you want to obtain a great deal from this paragraph then you have to apply these techniques to your won blog.

  • #97 Beulah ให้ความคิดเห็นเมื่อ 16 พฤษภาคม 2019 เวลา 4:56 (เช้า)

    Quality articles or reviews is the crucial to invite
    the visitors to visit the site, that’s what this web site is providing.

  • #98 Mabel ให้ความคิดเห็นเมื่อ 19 พฤษภาคม 2019 เวลา 8:08 (เย็น)

    Financial advisors enterprise is people business.

  • #99 http://tinyurl.com/yxoy72ql ให้ความคิดเห็นเมื่อ 21 พฤษภาคม 2019 เวลา 1:29 (เย็น)

    Excellent article. Keep posting such kind of information on your page.
    Im really impressed by your blog.
    Hello there, You’ve done a great job. I will definitely digg it and individually suggest to my friends.
    I am confident they’ll be benefited from this website.

  • #100 Danilo ให้ความคิดเห็นเมื่อ 23 พฤษภาคม 2019 เวลา 1:13 (เช้า)

    Magnificent beat ! I would like to apprentice at the same time as you amend your web site,
    how could i subscribe for a weblog site? The account aided me a appropriate deal.
    I were tiny bit acquainted of this your broadcast provided brilliant clear idea

  • #101 Carlota ให้ความคิดเห็นเมื่อ 23 พฤษภาคม 2019 เวลา 4:09 (เย็น)

    I think this is among the most important information for me.
    And i’m glad reading your article. But wanna remark on some general things, The web site style is
    wonderful, the articles is really excellent : D.

    Good job, cheers

  • #102 Harrison ให้ความคิดเห็นเมื่อ 25 พฤษภาคม 2019 เวลา 6:16 (เช้า)

    I do believe all of the ideas you have offered in your post.
    They’re really convincing and can definitely work. Nonetheless, the posts
    are too short for beginners. May you please extend them a little from next time?
    Thanks for the post.

  • #103 tinyurl.com ให้ความคิดเห็นเมื่อ 26 พฤษภาคม 2019 เวลา 1:29 (เช้า)

    Howdy! I understand this is sort of off-topic however I had to ask.

    Does operating a well-established blog like yours require a large amount of work?
    I’m brand new to blogging but I do write in my journal every day.
    I’d like to start a blog so I will be able to
    share my personal experience and views online.
    Please let me know if you have any kind of suggestions or tips for brand new aspiring bloggers.
    Thankyou!

  • #104 Barbara ให้ความคิดเห็นเมื่อ 27 พฤษภาคม 2019 เวลา 2:26 (เช้า)

    What’s up colleagues, pleasant paragraph and fastidious urging commented at this place, I am in fact enjoying by these.

  • #105 Tonja ให้ความคิดเห็นเมื่อ 27 พฤษภาคม 2019 เวลา 10:50 (เย็น)

    Hey! I’m at work browsing your blog from my new iphone!
    Just wanted to say I love reading through your blog and look forward to all your posts!
    Keep up the fantastic work!

  • #106 Brooks ให้ความคิดเห็นเมื่อ 31 พฤษภาคม 2019 เวลา 5:51 (เช้า)

    I am sure this article has touched all the internet people, its really really nice article on building up new web site.

  • #107 Norma ให้ความคิดเห็นเมื่อ 5 มิถุนายน 2019 เวลา 11:20 (เย็น)

    Very descriptive post, I loved that bit. Will there be a part 2?

  • #108 Patsy ให้ความคิดเห็นเมื่อ 7 มิถุนายน 2019 เวลา 3:46 (เย็น)

    I feel that is one of the most significant info for me. And i am satisfied studying your article.

    But want to remark on few normal things, The site taste is wonderful,
    the articles is really great : D. Just right task, cheers

  • #109 Carlos Eduardo Veiga Petrobras ให้ความคิดเห็นเมื่อ 8 มิถุนายน 2019 เวลา 3:52 (เย็น)

    This is my first time pay a quick visit at here and i am really pleassant to read everthing
    at alone place.


แสดงความคิดเห็น

ท่านอยากจะเข้าระบบหรือไม่


*
To prove you're a person (not a spam script), type the security word shown in the picture. Click on the picture to hear an audio file of the word.
Click to hear an audio file of the anti-spam word


Main: 0.42816114425659 sec
Sidebar: 0.00014996528625488 sec