ขอความเห็นผู้รู้ในลาน

8 ความคิดเห็น โดย maeyai เมื่อ 11 มิถุนายน 2011 เวลา 10:51 (เช้า) ในหมวดหมู่ งานอดิเรก, ชีวิตกับโรงเรียน, เรื่องที่เรียนรู้ #
อ่าน: 2024

ตั้งใจไว้ว่า  พวกงานอดิเรก ของเล่นต่างๆ  จะเป็นอะไรที่  ราคาย่อมเยา  ไม่สร้างความเดือดร้อน แก่เงินโรงเรียน (กงสี) จะใช้เฉพาะเงินเก็บส่วนตัว ที่ได้รับจากเงินที่ปรึกษา  เดือนละพอกินพอใช้เท่านั้น    ที่ผ่านๆมาก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ  แต่ของเล่น หรืองานอดิเรกชิ้นใหม่ คือเรื่อง ทำนาทดลอง   อาจต้องโอนให้เป็น โครงการของโรงเรียน และใช้เงินโรงเรียนเสียแล้ว  เพราะรู้สึกว่าชักจะเกินกำลัง  (กระเป๋า ส่วนตัว)  

 

เดิมตั้งใจไว้ว่า จะทำนา ปลูกข้าว กับทำสวนป่า เล็กๆไว้เป็นให้เด็กนักเรียนได้มาศึกษา หาความรู้ กับภูมิปัญญาไทย   การจะพาเด็กนักเรียนมาทัศนศึกษา เข้าสังเกตการณ์ ลงมือปฏิบัติ   ก็ต้องวางแผนเรื่องสถานที่  พอสมควร  เพื่อความสะดวก  และรวมถึงความสวยงามด้วย    จึงได้วางผังที่นา  ไว้เป็นสัดส่วน  ได้เนื้อที่ทำนา ประมาณสองไร่   นอกนั้น จะเป็นที่ปลูกป่า และพืชผักต่างๆตามฤดูกาล  ตามที่ได้เคยเขียนเอาไว้ในบล๊อค  ชื่อ  วันเริ่มต้น หลังจากรอผู้รับเหมาถมดินชุดแรกอยู่ สามอาทิตย์  ก็ยังไม่มาเสนอราคา คงเป็นเพราะฝนฟ้าตก  จนทำไม่ได้ หรือไม่ ก็ยังติดงานที่อื่นอยู่    เวลาดำนาปลูกข้าวก็ใกล้เข้ามา  จนแม่ใหญ่ใจร้อน  ไปหาผู้รับเหมารายใหม่  มาตีราคา   เจ้านี้  ค่อยว่องไวหน่อย  ให้งานไปแค่สองวัน  เขียนแบบ ส่งราคามาเร็วทันใจ  แต่เล่นเอา แม่ใหญ่ หัวใจตกไปอยู่ที่ตาตุ่ม (เนื่องจากไม่เคยทำเรื่องถมดินมาก่อน )  ผู้รับเหมา  เสนอราคามาที่ สามแสนเศษๆนิดหน่อย   ใบเสนอราคาที่ส่งมา ทำมาโดยละเอียดตามหลักวิชาการ มีการคำนวณดินที่ใช้ถมถนน กว้าง ขนาด 6 เมตร  ยาว 100 เมตร ถนนสูง 1.40 เมตร  ถนนยาวเข้าไปถึง สระน้ำด้านหลัง  โดยใส่ท่อระบายน้ำ ให้ด้วย  3 จุด  และคำนวณดินที่จะใช้ถมที่ที่จะเตรียมไว้ปลูกบ้านเรือนไทย เนื้อที 5.00*40.00*1.40  เมตร รวมทั้งเตรียมที่ทำนา แต่งคันนาให้เป็นที่เรียบร้อย 

การทำตามแบบนี้   จะต้องใช้ดินเป็นพันๆคิวที่เดียว   แม่ใหญ่ส่ายหัวดิกๆ   ไม่ได้ว่าเขาเสนอราคาเกินเหตุหรอก  ดูจากจำนวนดินที่เขาคำนวณออกมาแล้ว  มันก็มากจริงๆ  เพราะที่นาเป็นที่ลุ่ม ลึกกว่าถนนตั้ง 1.40 ม. แต่มันเกินงบ ที่คิดจะทำเป็นงานอดิเรกเสียแล้ว    ได้ลองปรึกษา  ผู้รับเหมาว่า จะทำอย่างไร ให้งบประมาณ  ลดลงไปสักครึ่งหนึ่งจะได้หรือไม่  ผู้รับเหมาก็เลยลองคำนวณดูว่า  ถ้าจะเอา งบประมาณเป็นตัวตั้งก็ได้เหมือนกัน  แต่ถนนที่คิดไว้จะสูง    1.40  เท่าถนนด้านหน้า   ก็จะลดลงมาที่ 70 ซ.ม. แทน   แต่รูปร่างทุกอย่างก็ยังคงเป็นตามผังเดิมที่แม่ใหญ่วางไว้

เมื่อคืนนอนคิดอยู่คนเดียว ว่า  ถ้าเราจะเปลี่ยนแผน  คือไม่ทำถนนเข้าไปหาบ่อน้ำ  แต่ถมที่ด้านหน้า  เอาไว้ปลูกบ้าน โดยมีเนื้อที่ทำสนามหน้าบ้านเล็กน้อย   ปล่อยท้องนาและสระว่ายน้ำไว้หลังบ้าน    วิธีนี้จะเร็วและราคาถูกลงมากกว่าครึ่ง           โทรไปปรึกษากับผู้รับเหมา เขาก็บอกว่า  เขาทำให้ได้ง่ายและเร็วมาก  แต่มันจะไม่ได้สวยสมใจตามฝันที่แม่ใหญ่วางไว้  ที่ว่าบ้านทั้งสองหลังจะหันหน้าไปทางสระน้ำ  และมีท้องนา มาเป็นฉากหน้าของบ้าน

แม่ใหญ่ ถ่ายรูปผังทั้งสองแบบ   มาลงไว้ในบล็อคนี้แล้ว    ยังตัดสินใจไม่ได้ ว่าจะใช้ผังเก่า(แบบถนนสูง 70 ซ.ม) หรือผังใหม่  ที่เอาบ้านไว้ด้านหน้าดี    อยากฟังความคิดเห็น  ของผู้รู้ในลานสักหน่อย  ขอเป็นวิทยาทานก็แล้วกัน     แม่ใหญ่ต้องรีบหน่อยแล้ว เดี๋ยวทำนาไม่ทันหน้านานี้พอดี

 

 


ยิ่งค้นยิ่งเจอ

1 ความคิดเห็น โดย maeyai เมื่อ 26 พฤษภาคม 2011 เวลา 10:53 (เช้า) ในหมวดหมู่ เรื่องที่เรียนรู้ #
อ่าน: 1501

ระหว่างรอการจัดรูปที่นาให้เรียบร้อย  ก็ศึกษาค้นคว้าเรื่องปลูกข้าวไปเรื่อยๆ รวมทั้งคุยกับคนทำงานที่โรงเรียนที่เขาทำนามานานแล้ว  เราก็ขอเขามาเป็นที่ปรึกษา พร้อมทั้งเอาเรื่องใหม่ๆที่เราค้นเจอไปให้เขาอ่านดูด้วย โดยพรินท์ไปให้เขาอ่าน ประกอบวิธีดั้งเดิมของเขา   

ลุงโก้เป็นสารพัดช่างประจำโรงเรียน มาหลายสิบปี   และเป็นผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านอยู่แถวบ้านสำราญ ขอนแก่น ถึงหน้านา   แกก็จะลาไปดำนา 3-4 วัน  พอถึงหน้าเกี่ยวแกก็จะลาอีกครั้ง  แกเป็นคนฉลาด มีไหวพริบ  และ  มีความคิดริเริ่มดีเหมือนกัน  คิดว่าแกคงจะสนใจ เรื่องใหม่ๆที่แม่ใหญ่ค้นเจอ   

แม่ใหญ่พรินท์เรื่อง

http://www.oknation.net/blog/print.php?id=626950  การทำนาโยน (แกอ่านแล้วบอกว่า กำลังฮิต  ประชุมลูกบ้านทีไร มีคนเอาเรื่องนี้เข้าพูดคุยกันเสมอ  แต่ยังไม่ได้ลองทำ)

http://lanpanya.com/withwit/archives/32 แนวคิดการทำนาแบบหยอดหล่น ( แกอ่านแล้วเห็นภาพ  เพราะแกเป็นช่างอยู่แล้ว  แกว่าทำวิธีนี้  ต้นข้าวจะเรียงกันสวยงามและผลผลิตน่าจะดีกว่าแบบโยนด้วยซ้ำ)

http://lanpanya.com/withwit/archives/33 การทำนาแบบปลูกสลับฟันปลา เพื่อลดการบังแดดและเพิ่มระยะห่าง (อันนี้แถมให้แก  เพราะบางที มันเข้าตำรา เส้นผมบังภูเขา ทำมาตั้งนานแต่ก็นึกไม่ถึงเหมือนกัน)

เอาไปให้ลุงโก้อ่านดู  แล้วชวนแกมาเป็นที่ปรึกษา   ทำนาที่แปลงทดลองแม่ใหญ่    ทำมันหลายๆแบบไปเลย  แล้วเราจะบันทึกไว้ว่า แบบไหนได้ผลดีที่สุด  เราคงทดลองกันได้ ปีละหลายครั้ง เพราะนาเราไม่ขาดน้ำมีคลองชลประทานไหลผ่านทั้งหัวนา และปลายนา    ถ้าแบบไหนดี  ลุงจะได้เอาไปบอกลูกบ้านที่ลุงเป็นผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านอยู่  ส่วนทางเราก็จะทำทุกปีให้นักเรียนได้ศึกษา  (แต่ต้องหลังจากเรารู้จริงๆเสียก่อน)

มีคนแนะนำให้ไปเข้าคอร์สที่ โรงเรียนชาวนา ที่จังหวัดสุพรรณบุรี  ของมูลนิธิ ข้าวขวัญ ติดต่อที่คุณจันทนา โทร 084 646 5908 (โฆษณาให้หน่อย) เปิดคอร์สให้เข้าไปเรียน ไปกินไปนอนอยู่กับนา 3 วัน ข้าวปลาอาหารพร้อม  คิดค่าเล่าเรียน 3000  บาท ต่อคอร์ส  เรื่องค่าเล่าเรียนแม่ใหญ่ไม่เกี่ยง แต่จะลงไปเรียนเองนี่ชักกังขา  เพราะไม่ค่อยแน่ใจในสังขาร  แต่ก็ตั้งใจว่าว่างๆจะไปเยี่ยมชมดูสักครั้ง

นอกจากนี้ ก็ยังได้เห็นประชาสัมพันธ์  เกี่ยวกับ โครงการ ปลูกข้าวแนวพระราชดำริ หนึ่งไร่ หนึ่งแสน  ที่  โคราช  และ ขอนแก่น ด้วย ล้วนเป็นเรื่องให้ติดตามและศึกษาและต่อยอดได้ทั้งนั้น

เรื่อง “ทำนา” นี่ ยิ่งค้น  ก็ยิ่งเจอนะ เข้า google มีเวปให้เปิดอ่านมากมาย   เพราะมีคนศึกษา และเขียนไว้หลายเวปมาก   และมีคนทดลองทำไปแล้วก็มากเช่นกัน    เครื่องไม้เครื่องมือสำหรับผ่อนแรง  (สำหรับพวกทำเป็นสิบเป็นร้อยไร่)  ทั้งเครื่องดำนา เครื่องนวดข้าว  เครื่องเกี่ยวข้าว ก็มีคนคิดไว้แยะ  แต่สำหรับแม่ใหญ่นั้น ตั้งใจจะทำทดลองทำนาเล็กๆ แบบธรรมชาติๆ ไม่ได้มุ่งหวังอะไรมาก  แค่อยากให้เด็กนักเรียนได้สำนึกและตระหนักว่า กว่าจะมาเป็นข้าวแต่ละคำนั้น  มันมีกระบวนการมามากมายและชาวนาต้องเหนื่อยยากกันเพียงใด

 

 

 


เรียนรู้จากสวนป่า

2 ความคิดเห็น โดย maeyai เมื่อ 18 พฤษภาคม 2011 เวลา 8:38 (เย็น) ในหมวดหมู่ เรื่องที่เรียนรู้ #
อ่าน: 1508

ตามออตและฮัคสกูลไปสวนป่าพ่อครู   เมื่อวานและกลับมาถึงบ้านวันนี้   ได้เรียนรู้หลายเรื่องที่ไม่เคยรู้แม้จะมีอายุปูนนี้แล้ว  เรื่องของสภาพสวนป่าโดยทั่วๆไปจะไม่เล่า ให้คนในลานฟังหรอก เพราะ  ส่วนใหญ่ได้เคยไปมาก่อนแม่ใหญ่แล้วทั้งนั้น   เอาเรื่องที่แม่ใหญ่ไม่เคยรู้  แต่เพิ่งจะมารู้คราวนี้ดีกว่า

  • ไม่เคยรู้จักต้นกระสัง  และไม่รู้ว่า  เอากิ่งมะนาวกับมะกรูด มาทาบต้นกระสัง  แล้วจะได้ มะนาว มะกรูด ผลงาม อยู่ใกล้แค่มือเอื้อมเด็ด  (ผลพลอยได้  ได้รับต้นกระสังมาลองปลูกสองต้น)
  • ไม่เคยรู้ว่าเอาต้นมะรุมมาปลูกเป็นรั้วได้    ต้นเตี้ยๆ  ใบหนา  สูงแค่เอว  อยากใช้ใบก็ไปเก็บเอามาได้ง่ายๆ
  • สงสัยว่า  ทำไมคะน้าจึงงามนัก แถมไม่มีร่องรอยใบแหว่งเว้าทั้งๆที่ไม่ใช้ยาฆ่าแมลง  คำตอบก็คือปลูกรวมๆกันไปกับต้นอื่น ๆ รวมทั้งหญ้าก็ไม่ต้องถอนทิ้ง  ถึงเวลาแมลงมันก็ไปเลือกกินต้นอื่นที่อร่อยกว่าคะน้าเอง
  • รู้ว่า วัวบางพันธ์เป็นสัตว์รู้ภาษา  ขนาดเดินตามเจ้าของต้อยๆ  และบางพันธุ์สอนเท่าไหร่ก็ไม่จำ  วัวแต่ละตัวนิสัยไม่เหมือนกัน  แต่ทุกตัวชอบกินใบไม้ กิ่งไม้สับ จนอ้วนท้วน ไม่ได้กินแต่หญ้า
  •  รู้ว่าค้างที่ปลูกต้นถั่วฝักยาว  ใช้ก้านกล้วยมาผูกเป็นค้างได้  พอถั่วได้ที่เก็บกินได้  ก้านกล้วยก้ผุเปื่อยพอดีๆ ไม่ต้องเปลืองไม้
  • รู้ว่าไม้ยูคา เอามาทำพื้น ทำฝา  ทำเพดานบ้าน  ได้อย่างสวยงามและคงทน  แถมเอามาเฟอร์นิเจอร์ได้หลากหลาย ไม่ใช่แค่เอาไปทำนั่งร้าน หรือไม้โครงติดป้ายโฆษณา
  • เคยคิดว่าใต้ต้นไม้ใหญ่จะปลูกอะไรไม่ขึ้น  แต่จริงๆแล้วถ้าเลือกไม้ให้เหมาะให้แก่ลักษณะนิสัยของมัน  ก็ปลูกได้งามดี   และเป็นไม้คลุมดินที่สร้างความชุ่มชื้นให้ผืนป่าอีกด้วย 
  • รู้ว่าเวลาปลูกกล้าไม้ของต้นไม้ใหญ่  ในหน้าฝนแล้วปล่อยให้มันเติบโตเอง ไม่จำเป็นต้องไปประคบประหงม รดน้ำเช้าเย็น ต้นไม้เขาจะปรับตัวของเขาเอง  ไม่อย่างนั้น ป่าธรรมชาติมันจะเกิดและเติบโตได้อย่างไร
  • รู้จักและได้เห็น ได้เอามือสัมผัสกับต้นไม้อีกหลายชนิด  ที่คนอื่นเขารู้จักแล้ว แต่เราไม่รู้จัก เช่น ยางนา  ลำดวน  อคาเซีย(กระถินณรงค์ พันธ์ยักษ์ ต้นใหญ่ตรงสูงลิ่ว) และทำให้อยากรู้อยากเห็นเรื่องต้นไม้ต่างๆให้มากกว่านี้อีก
  • รู้ว่าไก่ต๊อกหลายๆตัว  มันชอบไปแอบไข่รวมๆกันบางทีถึงร้อยฟอง  แต่คนหาไม่ค่อยเจอ
  • รู้ว่านกกระจอกเทศไม่ฟักไข่เอง  ต้องเอาเข้าเครื่องอบราคาเป็นล้าน  สวนป่าเลยเลี้ยงไว้ดูเล่นซะงั้น
  • รู้ว่าหมูบางพันธุ์( จำชื่อไม่ได้ )ออกลูกครอกละยี่สิบตัว (อะไรจะขนาดนั้น)
  • รู้ว่าใบโหระพาเอามาชุบไข่ทอด  อร่อยมากไม่แพ้ชะอม (ขอบคุณแม่หวีที่แนะนำเมนูเด็ด)

ความจริงมีเรื่องที่เพิ่งรู้มากกว่านี้  แต่จำได้ ไม่หมด  วันหลังจะไปเรียนต่อ

ขอบคุณผืนป่า เจ้าของป่า และสัตว์อีกหลากชนิด รวมทั้งคนที่ชวนไปสวนป่าในครั้งนี้  ทีทำให้แม่ใหญ่ได้ประสบการณ์ตรงมากมาย  คิดถึงนักเรียนที่โรงเรียนจัง  ถ้าพ่อแม่เขายอมให้พามาทัศนศึกษา  คงได้เรื่องที่เรียนรู้อีกมากมาย

 


สนทนาธรรมต่อเนื่อง

1 ความคิดเห็น โดย maeyai เมื่อ 11 พฤษภาคม 2011 เวลา 7:01 (เย็น) ในหมวดหมู่ เรื่องที่เรียนรู้ #
อ่าน: 1444

ได้กลับไปร่วมสนทนาธรรมกับกลุ่มอีกวันหนึ่ง   เดิมกำหนดเขาห้าวัน  แต่ได้ไปเข้าแค่สองวันสุดท้าย  แม่ใหญ่ คงจะพลาดเนื้อหาไปแยะเหมือนกัน 

วันนี้ ช่วงเช้า   เขาพูดเรื่อง สังโยชน์4  http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%AA%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B9%82%E0%B8%A2%E0%B8%8A%E0%B8%99%E0%B9%8C   ฟังแล้ว มีประโยชน์และเห็นจริงเกี่ยวกับ การละกิเลสจริงๆ  มีทั้งละแบบเบื้องต่ำ และละแบบเบื้องสูงที่ปุถุชนธรรมดาอย่างเราคงละไม่ได้    เนื่องจากเล่าเอง ไม่ถูก คำบาลีแยะ  จึงกลับมาค้นหาลิงค์ที่อธิบายไว้ง่ายๆ  เพื่อตอกย้ำสิ่งที่ฟังมาจากอาจารย์วันนี้     หากมีผู้สนใจ  เชิญคลิ๊กเข้าไป  ที่ลิงค์ด้านบนได้เลย  แม่ใหญ่เองก็คงต้องเข้าไปอ่านอีกหลายรอบ  รู้สึกว่าตัวเองพอจะละได้สักสองข้อแรกเท่านั้นเอง

ต่อมา อาจารย์พานั่งสมาธิ 3 แบบ คือแบบนั่ง  แบบยืน  และแบบเดินจงกรม  แล้วกลับมานั่งอีกครั้ง  เป็นเวลารวม  1 ชั่วโมง อาจารย์เน้นๆว่าให้มีสมาธิอย่างต่อเนื่องเมื่อเปลี่ยนอิริยาบท   ปกติแม่ใหญ่ทำคนเดียวไม่เคยได้  อย่างมากก็ได้สัก 10 นาทีเอง  แต่วันนี้มีอาจารย์ และมีเพื่อนร่วมวง นั่งไปพร้อมๆกัน ก็เลยทำได้บ้าง    แต่ตอนท้ายๆรู้สึกขี้เกียจมากๆ แอบหรี่ตาดูคนอื่น เขายังนั่งตัวตรงกันอยู่เลย แม่ใหญ่เองเมื่อยปวดหัวเข่า ขยุกขยิกไปมา  จนคิดว่าหลุดออกจากสมาธิ ตั้งแต่ 45 นาทีแล้ว

จบการนั่งสมาธิ 1 ช.ม. ถึงเวลาเบรค   อาจารย์ให้ไปทานของว่าง  ซึ่งเป็น ขนมเปี๊ยะ  กับโอวัลตืน  อาจารย์ให้ลองเคี้ยวสิบนาทีแล้วค่อยกลืน  และให้ตามความรู้สึกตอนอาหารผ่านลำคอลงไป  อุแม่เจ้า ไม่นึกว่ามันจะยากเย็นแสนเข็ญอะไรเช่นนั้น  ใครไม่เชื่อ โปรดไปลองทำดู ยากมากที่สุด  ยิ่งอีตอนจะกลืน  อย่าให้พูดเลย  รีบหลับหูหลับตากลืน  แล้วดื่มโอวัลตินตามอย่างรวดเร็ว  ไม่งั้นอาจจะทำอาการน่ารังเกียจให้คนอื่นเห็นได้  อาจารย์พูดให้ฟังว่า การฝึกตัวนี้ จะเป็นการฝึกให้ละสังโยขน์ตัวที่ 4 คือ กามราคะได้  เพราะจะทำให้  ไม่ติดใจในกามคุณ คือการหลงในรูปรส กลิ่นเสียง จนขาดความยับยั้งชั่งใจ

กลับจากเบรค อาจารย์ให้ทุกคนเล่าประสบการณ์ที่สัมผัสมาในช่วงเช้า  จนถึงเบรค   แทบทุกคนรู้สึกไม่ต่างกันนัก เรื่องเคี้ยวของว่าง 10 นาที แต่เรื่องนั่งสมาธิ หลายคนนิ่งได้จริง  และไม่หลุดออกจากสมาธิเลย  อาจารย์บอกว่าให้กลับไปฝึกอย่างต่อเนื่อง  อย่าทิ้งไป  เพราะจะเป็นผลดี ต่อการใช้ชีวิตจริงต่อไป โดยเฉพาะชีวิตการเป็นผู้นำที่ต้องเป็นคนที่นิ่งมากๆ   ปัญญาจึงจะเกิดเมื่อมีปัญหาเข้ามาให้แก้

ตอนกลางวัน อาจารย์ก็ให้ไปทานข้าวอย่างมีสติอีก ไม่ให้พูดจากัน ต่างคนต่างทาน และให้เคี้ยวสี่สิบครั้งก่อนกลืน  อาหารมื้อนี้จริงๆแล้วมีแต่ของอร่อยๆทั้งนั้น  แต่ด้วยวิธีเดี้ยวดังกล่าว อาหารหมดรสหมดชาดเลย  ใครที่อยากลดความอ้วนไม่ต้องไปเสียเงินสถานลดความอ้วนที่ไหน   ใช้วิธีนี้ รับรองได้ว่า ได้ผล 1000 เปอร์เซ็นต์ (ถ้าทำได้จริง)

ช่วงบ่ายเป็นช่วงสังเคราะห์ความรู้ทั้งหมดที่ได้รับทั้ง 5 วัน โดยอาจารย์ ตั้งคำถามให้ทุกคนตอบ 10 ข้อ ที่เกี่ยวเนื่องกับการเป็นผู้นำในกระบวนทัศน์ใหม่  อาจารย์มีกิจกรรมให้พวกเราได้อยู่กับตนเองอีก ด้วยการให้ตอบคำถามทั้งสิบข้อ  แล้วนำคำตอบ ออกไปเดินในบริเวณ  ที่ตนเองพอใจ  ให้หยิบหินขึ้นมาสองก้อน  วางก้อนแรกไว้  แล้วให้อ่านคำตอบข้อแรก  ให้หมุนตัวตามต้องการแล้วเดินไปในทิศทางที่อยากเดินจะเป็นกี่ก้าว ก็ได้   โดยถือหินก้อนที่สองไปด้วย  อยากหยุดตรงไหนก็หยุด แล้วก็อ่านข้อสอง  แล้วก็หมุนตัวเดินไปหยุดจุดที่สาม  อ่านคำตอบข้อที่สาม  ทำอย่างนี้ จนอ่านคำตอบของตนเองครบสิบข้อ  แล้วอาจารย์ให้วางหินก้อนที่สองลงไปที่พื้นดิน  คราวนี้ อาจารย์ให้ เดินจากหินก้อนที่2กลับไปหาหินก้อนที่ 1  ในระหว่างเดินกลับให้สังเกตความรู้สึกของตัวเอง

หลังจากเวลาผ่านไปประมาณครึ่งชั่วโมง ทุกคนก้เสร็จภารกิจ   กลับมานั่งล้อมวงกันเหมือนเดิม เล่าประสบการณ์ที่ตนเองได้รับรู้ และรู้สึกตลอดจนเล่าถึงคำตอบของแต่ละคนทั้งสิบข้อ    บางคนมองว่ากิจกรรมที่อาจารย์ให้ทำ เป็นพิธีกรรมอย่างหนึ่ง ในการรับพลังจากธรรมชาติ  และจากพื้นดินที่ทำให้ สามารถคิดทบทวนคำตอบของตนเอง  และนำมาเล่าให้ฟังได้อย่างชัดเจน   บางคนรู้สึกถึงความสงบเย็น ในช่วงเดินกลับมายังหินก้อนที่ 1  บางคนรู้สึกอยากแก้ไขคำตอบของตัวเองบางข้อที่ตอบไว้แต่แรก  

 สำหรับแม่ใหญ่ เอง มีความรู้สึกว่า กิจกรรมของอาจารย์นี้เป็นอุบาย ที่ทำให้จิตเรา สงบ และจดจ่ออยู่กับคำตอบของตัวเอง  มีเวลาอยู่กับตัวเอง ใคร่ครวญอย่างมีสติ โดยไมว่อกแว่กไปทางอื่น  อยู่ในสิ่งแวดล้อมที่ตัวเองเลือกเอง อย่างอิสระ ไม่ว่าจะหันหรือหมุนหรือเดินไปทิศทางไหน   การเดินจากจุดหนึ่งไปยังจุดหนึ่ง จนถึงจุดหมายสุดท้าย  ทำให้จิตไม่ส่ายไปทางอื่น ดังนั้น  สมองจึงว่าง และโปร่ง  จำสิ่งที่ตัวเองอ่านซ้ำได้ เป็นอย่างดี   เมื่อนำมาเล่า  ก็เป็นการสังเคราะห์ข้อมูลของตัวเอง ออกมาได้อย่างครบถ้วน (กิจกรรมนี้จะเอามาลองให้ครูทำเหมือนกัน  แต่เปลี่ยนเนื้อหาให้เข้ากับกลุ่มครูสักหน่อย จะได้คนพูดคนเล่าได้ โดยไม่ต้องไปสั่งการเลย  คำพูดมันคงจะพรั่งพรูออกมาเอง  เพราะทั้งเขียนเอง อ่านเอง รู้เอง)

เมื่อแม่ใหญ่ได้ฟังคนในกลุ่มทั้งยี่สิบคน   พูดถึงประสบการณ์ตนเองกับคำตอบทั้งสิบข้อ  ในมุมมองของแต่ละคน    แม่ใหญ่ก็สามารถติดตามเรื่องที่เขาคุยกันเมื่อสามวันที่แม่ใหญ่ ไม่ได้มาเข้าได้เกือบครบ   เพราะคำถามที่อาจารย์ถาม  ได้ครอบคลุมเนื้อหาทั้งหมดไว้แล้ว  เป็นการสอบที่ผู้ถูกสอบไม่รู้ตัวจริงๆด้วย  อาจารย์ประชา หุตานุวัตรนี่ท่านเยี่ยมจริงๆ ขอปรบมือดังๆ

  


ธรรมะอย่างง่าย

1 ความคิดเห็น โดย maeyai เมื่อ 11 พฤษภาคม 2011 เวลา 8:06 (เช้า) ในหมวดหมู่ เรื่องที่เรียนรู้ #
อ่าน: 1452

วันนี้จะเข้ามาบันทึกเรื่องที่ไม่ถนัดอธิบาย แต่คิดว่าตัวเองปฏิบัติอยู่โดยไม่รู้คัมภีร์ไปบ้างแล้ว  สืบเนื่องมาจาก คณะเทศบาลขอนแก่น นำโดยนายกเทศมนตรี เชิญชวนให้ไปเข้าสัมนาเชิงปฏิบัติการ เรื่อง  “ผู้นำกระบวนทัศน์ใหม่”  โดย  อาจารย์ประชา หุตานุวัตร เป็นวิทยากร  คนที่มาเข้าร่วมสัมนา  เป็นพนักงานและผู้บริหารของเทศบาลเกือบทั้งหมด  ไม่มากนักราวๆ 20 คน เท่านั้น

เขาสัมนากันมาก่อนแล้วสามวัน แต่เนื่องจากแม่ใหญ่ไปกรุงเทพจึงกลับมาเข้าสัมนา ในวันที่สี่    แต่ก็คิดว่า ไป ดีกว่า ไม่ไป  เคยเข้าสนทนาธรรมกับอาจารย์วิทยากรมาก่อน  รู้สึกถูกจริต  เพราะมันไม่ยากเกินกว่าที่คนธรรมดาๆที่เข้าวัดทำบุญบ้างอย่างแม่ใหญ่จะพอเข้าใจ

วันนี้อาจารย์ เริ่มด้วยการสนทนากัน ถึงหนังสือเล่มหนึ่ง ที่อาจารย์แจกให้มาอ่านล่วงหน้า  ชื่อเรื่อง คนสองหน้า  ของ อัลเบิร์ต การ์มู  หนังสือเล่มนี้เป็นหนังสือ ที่อ่านแล้วต้องอ่านซ้ำหลายครั้ง เพราะนักประพันธ์ ซึ่งเป็นถึงผู้ได้รับรางวัลโนเบล สาขาวรรณคดี เมื่อปี 2500 ได้เขียนเอาไว้ ให้ติดตามตัวนำเรื่องย้อนกลับไปกลับมาตามแบบฉบับหนังสือตะวันตก  จนบางที่ขณะอ่านไม่รู้ว่า ตอนนี้เป็นอดีต ปัจจุบัน หรืออนาคต  แต่เนื้อหาก้ดีมากทีเดียว 

บทประพันธ์   ได้   แสดงให้เห็นถึงคนๆหนึ่งที่เริ่มต้นเรื่องด้วยความรู้สึกภาคภูมิใจในความเป็นคนดีของตัวเอง เป็นพ่อพระที่คอยช่วยเหลือผู้คนจนได้รับการสรรเสริญเยินยอไปทั่ว  แต่เจ้าตัวกลับ มาถามตัวเองในพฤติกรรมที่ว่าดีนั้น  ว่าทำไปเพื่ออะไร  ทำไปด้วยจิตใจสูงส่งจริงๆ หรือ   หรือทำไปเพราะอยากให้คนเห็น       รายละเอียดต่างๆมีมากมาย หลายเหตุการณ์   ซึ่งจะไม่เล่า ใครสนใจไปหามาอ่านเอง  แต่อยากจะบอกว่า อ่านแล้ว  จะรู้สึกว่า ตัวเอกของเรื่องมันอยู่ในผู้คนทุกเภททุกวัยในโลกใบนี้  ที่สับสนกับการกระทำของตัวเอง จนไม่สามารถพิพากษาตนเองได้อย่างตรงไปตรงมาว่าอะไรดี อะไรไม่ดี

กลุ่มสนทนาธรรม  ต่างๆให้ความคิดเห็นหลากหลายกับเรื่อง “คนสองหน้า” ที่ไปอ่านกันมา  ซึ่งช่วยให้ต่อยอดความคิดของกันและกันได้เป็นอย่างดี  บางมุมเราเองก็มองไม่เห็นเหมือนกัน  ดังนั้น กิจกรรมการอ่านหนังสือ แล้วเอามาแลกเปลี่ยนความคิดเห็นนี้ จึงเป็นกิจกรรมดีมากๆ กิจกรรมหนึ่ง  ที่แม่ใหญ่สามารถนำมาใช้กับครู และครูก็สามารถนำไปใช้กับเด็กระดับประถมได้ด้วย เป็นการกระตุ้นให้อ่าน ให้คิด และให้เห็นมุมมองที่แตกต่าง ได้ในกิจกรรมเดียว

แต่จุดมุ่งหมายที่อาจารย์ให้พวกเราอ่าน และมาพูดคุยกันเป็นอีกแบบหนึ่ง อาจารย์ ดึงเนื้อหาในเรื่องเข้ามาสู่ ความเป็น “สุญญตา” และ “อนัตตา” ในพุทธศาสนาของเรา  อาจารย์ได้อธิบายถึงความว่าง  ที่ไม่ได้แปลว่าอยู่เฉยๆ  ความไม่มีตัวตน ที่ไม่ได้หมายความว่า การไม่มีศักดิ์ศรี   ถ้าคนเรารู้จัก สุญญตา และอนัตตา  อย่างถ่องแท้ และนำมาใช้ในชีวิตประจำวัน  ก็จะเป็นประโยชน์แก่บรรดาผู้นำ เป็นอย่างยิ่ง

กิจกรรมที่สอง อาจารย์ ให้อาสาสมัครจากกลุ่มคนหนึ่ง   มานอนหลับตากลางวง  แล้วให้ทุกคน  เขียนลงบนกระดาษเอสี่ คนละ 50 รายการว่าเห็นอะไรบ้าง   หลังจากนั้น  ก้แบ่งกลุ่มออกเป็นสามกลุ่ม  ให้แต่ละกลุ่ม เอาสิ่งที่เห็นมาเขียนรวมกันบนกระดาษแผ่นใหญ่ อีกครั้ง ดังนั้น  เราจึงได้ “สิ่งที่เห็น”  เท่ากับ ห้าสิบคูณด้วยยี่สิบคน เป็นสิ่งที่เห็นที่หลากหลายมากในเวลาอันสั้น  มีทั้งที่เป็นสิ่งที่เห็นธรรมดาๆง่ายๆ เช่นแขน ขา หน้า ตา ตับ ไต ไส้ พุงฯลฯ กับสิ่งที่บางคนเห็นต่างๆและแปลกๆเช่น เห็นโรงบ่มแก๊ส  กองกระดูก อากาศธาตุ ฆาตกร ธาตทั้งสี่ฯลฯ  อื่นๆอีกมากมาย  หลังจากให้คนเขียนสิ่งที่เห็นแปลกๆมาเล่าให้ฟังว่าทำไมเขาถึงเห็นอย่างนั้น  อาจารย์ก็กระตุกต่อมคิด ด้วยการให้เรามองสิ่งที่นอนอยู่กลางวงว่า  อีก 10 ปีข้างหน้า เราจะเห็นว่าเป็นอย่างไร  อีก 100 ปี 1000ปี  10000 ปี  เราจะเห็นเป็นอย่างไร  กิจกรรมนี้เป็นกิจกรรมที่กระตุกต่อมคิดได้ดีอีกเหมือนกัน   สามารถนำไปประยุกต์ใช้ในโรงเรียนได้

กิจกรรมช่วงบ่าย อาจารย์ได้พูดถึงการมีสติกับอายาตนะหรือการสัมผัสทั้งหก     คือ การได้เห็น  การได้ยิน  การได้กลิ่น  ได้ลิ้มรส ได้กายสัมผัส และได้รู้สึกนึกคิด  แล้วให้ไปนั่งคนเดียว  สังเกตว่า ณ  เวลานั้นๆ สติเราอยู่กับสัมผัสใด  ถ้ารู้ก็ให้ขีดเส้น tally เหมือนนับคะแนนผู้แทนนั่นแหละ คือ ขีดได้สี่เส้น แล้วขีดขวาง อีกหนึ่งเป็น ห้า อาจารย์บอกว่า ถ้าเราสังเกตให้ดี จะรู้ว่า  ณ ปัจจุบันนั้น เราใช้ สัมผัสอะไรเด่นที่สุด  เพราะธรรมชาติของคนเราจะใช้ทีละสัมผัสเท่านั้น แต่ที่เราไม่เคยรู้เพราะเราตามไม่ทันนั่นเอง

เมื่อได้ทำกิจกรรมนี้ มันเป็นเรื่องแปลกแต่จริงๆที่เรามีชีวิตอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน โดยไม่เคยรู้ว่า  ว่าเราได้ใช้สัมผัสทั้งหกนี้ อย่างเป็นขั้นเป็นตอนจริงๆ มีหลักฐานอย่างเห็นได้ชัด  จบจากการทดลองในเวลา 15 นาที  ก้ให้ทุกคนมาเล่าสู่กันฟังว่า รู้สึกอย่างไรบ้าง  ก็มีความเห็นที่แตกต่างกันออกไป    บางคนบอกตามไม่ทันจริงๆ  พอตาเห้นแล้วยังไม่ทันขีด มันคิดต่อ หูก็ไปได้ยินเสียงจั๊กจั่นร้อง รู้สึกเมื่อย(กาย) เบื่อ(ใจ)ฯลฯ ทุกอย่างไปมาเร็วมาก ปรู๊ดปร๊าดยิ่งกว่า ไอพ่นอีก

กิจกรรมต่อไป อาจารย์ให้แยก  สัมผัส 5 ข้อแรกคือ หู ตา จมูก ลิ้น  กายไว้ด้วยกันเป็นหัวข้อที่หนึ่ง   เอาความรู้สึกนึกคิดเป็นหัวข้อที่สอง  แล้วให้สังเกตและขีดจำนวนที่ได้สัมผัสทั้งสองหัวข้อ  อีก 15 นาที  จบกิจกรรมกลับมาสนทนากันอีก  ก็เป็นเรื่องแปลกที่คราวนี้  บางคนสัมผัสได้ข้อหนึ่งมาก  บางคนสัมผัสได้ข้อที่สอง  เป็นความนึกคิด ได้มากกว่า  บางคนยังจับไม่ค่อยถูกว่า ไหนเป็นข้อหนึ่ง ไหนเป็นข้อสอง บอกว่ามันชักจะเบลอๆ

กิจกรรมสุดท้าย  อาจารย์ถามคนที่นึกคิดได้มากครั้ง ว่าคิดเกี่ยวกับเรื่องอะไรบ้าง แล้วนำความคิดมาจัดหมวด  ซึ่งก็จะออกมาคล้ายๆกันคือ หมวดครอบครัว  ธรรมชาติ  การงาน  ครอบครัว เรื่องเที่ยว แล้วให้เริ่มสังเกตใหม่  อาจารย์ให้เวลาถึง 20  นาที   อาจารย์ให้ไปหามุมสงบของตัวเอง  แล้วให้ขีดเส้นความคิด  ว่า คิดถึงเรื่องในหมวดไหนกี่ครั้ง  โดยไม่ทิ้ง หัวข้อแรกอันว่าด้วยการสัมผัสทั้งห้า  ผลการนำเรื่องที่สังเกตกลับสนทนากัน  บางคนนับความคิดเป็นหมวดๆได้ชัดเจน แต่จะรู้สึกปวดหัวตึ๊บๆ    แต่สำหรับแม่ใหญ่เอง  ต้องสารภาพกับอาจารย์ว่า พอมีคำสั่งให้คิดแบบละเอียดขึ้น  แม่ใหญ่กลับไม่คิดเสียเฉยๆ  กลับใช้ ตา หู และกายสัมผัสกับบรรยากาศรอบข้าง ซึ่งเป็นบ้านสวนสวยงาม ลมพัดเย็นๆ น้ำในสระเป็นระลอก ต้นไม้หลากหลายชนิด  ที่ปลูกอยู่รอบบริเวณเขียวชอุ่ม  มีเสียงจั๊กจั่น ร้องเซ็งแซ่มาเป็นระยะๆ  ดูเพลินไปเพลินมา  สงสัยสติหลุดเลยหลับไปซะอย่างงั้น  อาจารย์บอกว่าไม่ใช่เรื่องแปลก  และนี่แหละคืออาการ สติไม่อยู่กับเนื้อกับตัวที่มนุษย์ทุกๆคนเป็นกันอยู่ในชีวิตประจำวัน 

วันนี้ขอบันทึกเท่าที่จำได้ แค่นี้ก่อน  เพราะจริงๆอาจารย์พูดเรื่องดีดีมากกว่านี้  แต่ฟังเพลิน และเข้าใจ  แต่ไม่ได้จด เลยเอามาบรรยายต่อไม่ได้  เพราะไม่คุ้นชินกับ ศัพท์ภาษาบาลีหลายๆตัว  จำได้คำเดียวคือ นิวรณ์ ที่ว่า ถ้ามีมากๆ  ก็จะทำให้จิตใจร้อนรุ่มกลุ้มใจ   เดี๋ยววันนี้ไปฟังอีกรอบ  จะจดเอามาขยายขี้เท่อ ในลานปัญญาบ้าง ซึ่งอาจจะไม่เป็นประโยชน์ต่อผู้รู้ทั้งหลายสักเท่าไหร่ก็ได้  แต่ถ้าสำหรับคนไกลวัดอย่างแม่ใหญ่อาจจะชอบใจก้ได้

 

 

 



Main: 0.1053831577301 sec
Sidebar: 0.10330080986023 sec