สนทนาธรรมต่อเนื่อง

โดย maeyai เมื่อ 11 พฤษภาคม 2011 เวลา 7:01 (เย็น) ในหมวดหมู่ เรื่องที่เรียนรู้ #
อ่าน: 1370

ได้กลับไปร่วมสนทนาธรรมกับกลุ่มอีกวันหนึ่ง   เดิมกำหนดเขาห้าวัน  แต่ได้ไปเข้าแค่สองวันสุดท้าย  แม่ใหญ่ คงจะพลาดเนื้อหาไปแยะเหมือนกัน 

วันนี้ ช่วงเช้า   เขาพูดเรื่อง สังโยชน์4  http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%AA%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B9%82%E0%B8%A2%E0%B8%8A%E0%B8%99%E0%B9%8C   ฟังแล้ว มีประโยชน์และเห็นจริงเกี่ยวกับ การละกิเลสจริงๆ  มีทั้งละแบบเบื้องต่ำ และละแบบเบื้องสูงที่ปุถุชนธรรมดาอย่างเราคงละไม่ได้    เนื่องจากเล่าเอง ไม่ถูก คำบาลีแยะ  จึงกลับมาค้นหาลิงค์ที่อธิบายไว้ง่ายๆ  เพื่อตอกย้ำสิ่งที่ฟังมาจากอาจารย์วันนี้     หากมีผู้สนใจ  เชิญคลิ๊กเข้าไป  ที่ลิงค์ด้านบนได้เลย  แม่ใหญ่เองก็คงต้องเข้าไปอ่านอีกหลายรอบ  รู้สึกว่าตัวเองพอจะละได้สักสองข้อแรกเท่านั้นเอง

ต่อมา อาจารย์พานั่งสมาธิ 3 แบบ คือแบบนั่ง  แบบยืน  และแบบเดินจงกรม  แล้วกลับมานั่งอีกครั้ง  เป็นเวลารวม  1 ชั่วโมง อาจารย์เน้นๆว่าให้มีสมาธิอย่างต่อเนื่องเมื่อเปลี่ยนอิริยาบท   ปกติแม่ใหญ่ทำคนเดียวไม่เคยได้  อย่างมากก็ได้สัก 10 นาทีเอง  แต่วันนี้มีอาจารย์ และมีเพื่อนร่วมวง นั่งไปพร้อมๆกัน ก็เลยทำได้บ้าง    แต่ตอนท้ายๆรู้สึกขี้เกียจมากๆ แอบหรี่ตาดูคนอื่น เขายังนั่งตัวตรงกันอยู่เลย แม่ใหญ่เองเมื่อยปวดหัวเข่า ขยุกขยิกไปมา  จนคิดว่าหลุดออกจากสมาธิ ตั้งแต่ 45 นาทีแล้ว

จบการนั่งสมาธิ 1 ช.ม. ถึงเวลาเบรค   อาจารย์ให้ไปทานของว่าง  ซึ่งเป็น ขนมเปี๊ยะ  กับโอวัลตืน  อาจารย์ให้ลองเคี้ยวสิบนาทีแล้วค่อยกลืน  และให้ตามความรู้สึกตอนอาหารผ่านลำคอลงไป  อุแม่เจ้า ไม่นึกว่ามันจะยากเย็นแสนเข็ญอะไรเช่นนั้น  ใครไม่เชื่อ โปรดไปลองทำดู ยากมากที่สุด  ยิ่งอีตอนจะกลืน  อย่าให้พูดเลย  รีบหลับหูหลับตากลืน  แล้วดื่มโอวัลตินตามอย่างรวดเร็ว  ไม่งั้นอาจจะทำอาการน่ารังเกียจให้คนอื่นเห็นได้  อาจารย์พูดให้ฟังว่า การฝึกตัวนี้ จะเป็นการฝึกให้ละสังโยขน์ตัวที่ 4 คือ กามราคะได้  เพราะจะทำให้  ไม่ติดใจในกามคุณ คือการหลงในรูปรส กลิ่นเสียง จนขาดความยับยั้งชั่งใจ

กลับจากเบรค อาจารย์ให้ทุกคนเล่าประสบการณ์ที่สัมผัสมาในช่วงเช้า  จนถึงเบรค   แทบทุกคนรู้สึกไม่ต่างกันนัก เรื่องเคี้ยวของว่าง 10 นาที แต่เรื่องนั่งสมาธิ หลายคนนิ่งได้จริง  และไม่หลุดออกจากสมาธิเลย  อาจารย์บอกว่าให้กลับไปฝึกอย่างต่อเนื่อง  อย่าทิ้งไป  เพราะจะเป็นผลดี ต่อการใช้ชีวิตจริงต่อไป โดยเฉพาะชีวิตการเป็นผู้นำที่ต้องเป็นคนที่นิ่งมากๆ   ปัญญาจึงจะเกิดเมื่อมีปัญหาเข้ามาให้แก้

ตอนกลางวัน อาจารย์ก็ให้ไปทานข้าวอย่างมีสติอีก ไม่ให้พูดจากัน ต่างคนต่างทาน และให้เคี้ยวสี่สิบครั้งก่อนกลืน  อาหารมื้อนี้จริงๆแล้วมีแต่ของอร่อยๆทั้งนั้น  แต่ด้วยวิธีเดี้ยวดังกล่าว อาหารหมดรสหมดชาดเลย  ใครที่อยากลดความอ้วนไม่ต้องไปเสียเงินสถานลดความอ้วนที่ไหน   ใช้วิธีนี้ รับรองได้ว่า ได้ผล 1000 เปอร์เซ็นต์ (ถ้าทำได้จริง)

ช่วงบ่ายเป็นช่วงสังเคราะห์ความรู้ทั้งหมดที่ได้รับทั้ง 5 วัน โดยอาจารย์ ตั้งคำถามให้ทุกคนตอบ 10 ข้อ ที่เกี่ยวเนื่องกับการเป็นผู้นำในกระบวนทัศน์ใหม่  อาจารย์มีกิจกรรมให้พวกเราได้อยู่กับตนเองอีก ด้วยการให้ตอบคำถามทั้งสิบข้อ  แล้วนำคำตอบ ออกไปเดินในบริเวณ  ที่ตนเองพอใจ  ให้หยิบหินขึ้นมาสองก้อน  วางก้อนแรกไว้  แล้วให้อ่านคำตอบข้อแรก  ให้หมุนตัวตามต้องการแล้วเดินไปในทิศทางที่อยากเดินจะเป็นกี่ก้าว ก็ได้   โดยถือหินก้อนที่สองไปด้วย  อยากหยุดตรงไหนก็หยุด แล้วก็อ่านข้อสอง  แล้วก็หมุนตัวเดินไปหยุดจุดที่สาม  อ่านคำตอบข้อที่สาม  ทำอย่างนี้ จนอ่านคำตอบของตนเองครบสิบข้อ  แล้วอาจารย์ให้วางหินก้อนที่สองลงไปที่พื้นดิน  คราวนี้ อาจารย์ให้ เดินจากหินก้อนที่2กลับไปหาหินก้อนที่ 1  ในระหว่างเดินกลับให้สังเกตความรู้สึกของตัวเอง

หลังจากเวลาผ่านไปประมาณครึ่งชั่วโมง ทุกคนก้เสร็จภารกิจ   กลับมานั่งล้อมวงกันเหมือนเดิม เล่าประสบการณ์ที่ตนเองได้รับรู้ และรู้สึกตลอดจนเล่าถึงคำตอบของแต่ละคนทั้งสิบข้อ    บางคนมองว่ากิจกรรมที่อาจารย์ให้ทำ เป็นพิธีกรรมอย่างหนึ่ง ในการรับพลังจากธรรมชาติ  และจากพื้นดินที่ทำให้ สามารถคิดทบทวนคำตอบของตนเอง  และนำมาเล่าให้ฟังได้อย่างชัดเจน   บางคนรู้สึกถึงความสงบเย็น ในช่วงเดินกลับมายังหินก้อนที่ 1  บางคนรู้สึกอยากแก้ไขคำตอบของตัวเองบางข้อที่ตอบไว้แต่แรก  

 สำหรับแม่ใหญ่ เอง มีความรู้สึกว่า กิจกรรมของอาจารย์นี้เป็นอุบาย ที่ทำให้จิตเรา สงบ และจดจ่ออยู่กับคำตอบของตัวเอง  มีเวลาอยู่กับตัวเอง ใคร่ครวญอย่างมีสติ โดยไมว่อกแว่กไปทางอื่น  อยู่ในสิ่งแวดล้อมที่ตัวเองเลือกเอง อย่างอิสระ ไม่ว่าจะหันหรือหมุนหรือเดินไปทิศทางไหน   การเดินจากจุดหนึ่งไปยังจุดหนึ่ง จนถึงจุดหมายสุดท้าย  ทำให้จิตไม่ส่ายไปทางอื่น ดังนั้น  สมองจึงว่าง และโปร่ง  จำสิ่งที่ตัวเองอ่านซ้ำได้ เป็นอย่างดี   เมื่อนำมาเล่า  ก็เป็นการสังเคราะห์ข้อมูลของตัวเอง ออกมาได้อย่างครบถ้วน (กิจกรรมนี้จะเอามาลองให้ครูทำเหมือนกัน  แต่เปลี่ยนเนื้อหาให้เข้ากับกลุ่มครูสักหน่อย จะได้คนพูดคนเล่าได้ โดยไม่ต้องไปสั่งการเลย  คำพูดมันคงจะพรั่งพรูออกมาเอง  เพราะทั้งเขียนเอง อ่านเอง รู้เอง)

เมื่อแม่ใหญ่ได้ฟังคนในกลุ่มทั้งยี่สิบคน   พูดถึงประสบการณ์ตนเองกับคำตอบทั้งสิบข้อ  ในมุมมองของแต่ละคน    แม่ใหญ่ก็สามารถติดตามเรื่องที่เขาคุยกันเมื่อสามวันที่แม่ใหญ่ ไม่ได้มาเข้าได้เกือบครบ   เพราะคำถามที่อาจารย์ถาม  ได้ครอบคลุมเนื้อหาทั้งหมดไว้แล้ว  เป็นการสอบที่ผู้ถูกสอบไม่รู้ตัวจริงๆด้วย  อาจารย์ประชา หุตานุวัตรนี่ท่านเยี่ยมจริงๆ ขอปรบมือดังๆ

  

« « Prev : ธรรมะอย่างง่าย

Next : ข้อคิดดีดี จาก Ernest Hemingway » »


ผู้ใช้ Facebook สามารถให้ความเห็นที่นี่ได้ โดยกด Like เพื่อแสดงตัว

1 ความคิดเห็น

  • #1 bangsai ให้ความคิดเห็นเมื่อ 11 พฤษภาคม 2011 เวลา 8:18 (เย็น)

    ท่านประชา ผมรู้จักท่าน พี่ชายท่านคือ ดร.ณรงค์ หุตานุวัตร ที่ย้ายจากค๊ะเกษตรมข.ไปอยู่ ม.อุบล น้อยชายท่านประชาเป็นนักกิจกรรมที่ มช.รุ่นน้องผม เราทำงานมาด้วยกัน ท่านประชาบวชในสมัย 14 ตุลา ในกลุ่ม อหิงสา ดูเหมือนจะก่อนพระไพศาล วิสาโล แต่ท่านประชาสึกออกมาก่อน และดำเนินชีวิตในเส้นทางกิจกรรมทางจิตวิญญาณของสังคม เช่นเดียวกับท่านวิศิษย์ วังวิญญู


แสดงความคิดเห็น

ท่านอยากจะเข้าระบบหรือไม่
You must be logged in to post a comment.

Main: 0.33228087425232 sec
Sidebar: 0.059757947921753 sec