บทที่ 16 เขียนบันทึกด้วยใจ
อ่าน: 14498จาก คำบัญชาี่ ทำให้ีตาเหลือกว่าจะเขียนยังไง(หว่า) เพราะคนที่โดนบังคับก็(ดั๊น)ไม่ค่อยเขียนเหมือนกัน…
วันนี้พอมีเวลาว่างจากการนอนเลยถือฤกษ์ดีเขียนก็เขียน(ฟะ) ส่วนจะอ่านรู้เรื่องหรือเปล่านั่นอีกเรื่องหนึ่งมันเป็นคนละหน้าที่กันฮ่ะ ^ ^
ชื่อบทบอกแล้วว่าเขียนบันทึกด้วย”ใจ” ..ดังนั้นจึงเริ่มที่ใจ แต่ ใจแบบไหนที่ทำให้ “เขียนได้ เขียนเป็น”….คำตอบก็คือ ใจที่ไม่กลัว ค่ะถึงจะทำได้ อาจมีคนแย้งว่าเป็นไปไม่ได้ เพราะความกลัวเป็นความรู้สึกพื้นฐานของมนุษย์อยู่แล้ว ไม่มีใครที่ไม่กลัว..ถูกค่ะ ไม่มีใครที่ไม่กลัว ในเวลาเขียนบางครั้งเบิร์ดก็กลัว แต่กลัวแล้วทำอย่างไร? 1.อยู่กับความกลัวโดยให้มันครอบงำพร้อมเหตุผลต่างๆนานาว่าทำไม่ได้ ทำไม่เป็น เขียนไม่เก่ง ไม่กล้า เขียนไปก็ไม่มีคนอ่าน(เห็นความคาดหวังลึกๆในใจมั้ยคะ) แต่ก็มีความฝันแบบกล้าๆกลัวๆที่อยากเขียน หรือ 2.รู้ว่ากลัวแต่ไม่ให้มันมีอิทธิพลกับตัวเราจนปิดกั้นหนทางของการเรียนรู้ที่จะเรียบเรียงและสัมผัสกับ”โลกภายใน”ของตัวเอง..
คนเราไม่ได้ถนัดไปหมดทุกอย่างหรอกนะคะ แต่เราสามารถฝึกฝนได้ โดยตอบโจทย์ง่ายๆว่า
1. เขียนแนวไหนที่เราถนัด แบบวิชาการจ๋าี่ไม่มีอารมณ์ใดๆ เหมือนยกตำรามากาง หรือเกลาให้ง่ายผสานลูกเล่น ลีลากุ๊กกิ๊กให้เบาสบาย หรือเขียนแบบคุยกับผู้อ่านที่อาจมีประเด็นมากมายหรือไม่เน้นประเด็นเด่นนัก หรือเขียนแบบพาเที่ยวลัดเลาะสายลม แสงแดดไปเรื่อยๆ หรือเขียนแบบโยนคำถามเพื่อกระตุกต่อมคิด หรือเขียนเพื่อระบายอารมณ์สนใจแต่จะเขียนๆๆๆ หรือเขียนแบบตามใจฉันที่เขียนได้หลากหลายแนวมากๆ ฯลฯ
สำหรับมือใหม่หัดเขียน แนะนำว่าเขียนแบบมีเป้าหมายคือ อยาก เขียนเรื่องอะไร แล้วหาข้อมูล (ไม่จำเป็นต้องค้นหนังสืออ้างอิงเป็นล่ำเป็นสันเพราะไม่ได้เขียนตำราวิชาการ แต่จะค้นก็ได้ไม่ผิดเพื่อทำให้เรื่องที่เขียนแน่นขึ้น สิ่งสำคัญคือ อย่าลืมค้้นในตัวเรา ว่าพอจะเขียนเรื่องนั้นๆให้้ยาวเกิน 8 บรรทัดได้ไหม ที่ให้ 8 บรรทัดขึ้นไปเพราะหวังให้เกิดอานิสงส์ช่วยยกเกณฑ์เฉลี่ยการอ่านหนังสือของไทยที่ประมาณการไว้ว่า 8 บรรทัด/วันได้น่ะค่ะ แหะแหะ)+หาลีลาในการสื่อเอาเอง ลีลาที่ใกล้เคียงกับตัวเราที่สุดคือการพูดคุย ใช้รูปแบบที่มักใช้ในการคุยทั่วๆไปนั่นแหละค่ะ ตอนแรกอาจจะไม่พลิ้วนัก ก็ไม่เป็นไร เพราะบล็อกในลานฯสามารถซ่อนบันทึกไว้ก่อนได้ ค่อยๆอ่าน ค่อยๆเกลา จนรู้สึกว่า อ่านไม่สะดุด ไม่ห้วน มีสิ่งที่อยากจะสื่อครบถ้วน กระชับ เข้าใจง่าย และเป็นความจริงที่”เห็น”ในขณะนั้น (เพิ่มเติมตามคำเสริมของพี่รอกอด) แล้วค่อยคลิกเผยแพร่นะจ๊ะๆ
** เทคนิค ที่ทำให้น่าอ่านมากขึ้นคือรูปภาพ การเว้นวรรคตอน การขึ้นพารากราฟใหม่ ไม่เขียนติดกันเป็นพรืด พืด(ตามคำชี้แนะของพี่รอกอด)จนตัวหนังสือเรียงเป็นแถว ระวังการใช้คำเชื่อมมากมายจนรุงรังหรือคำที่มีความหมายซ้ำไปซ้ำมา การใช้สี หรือสัญลักษณ์หัวข้อก็ช่วยทำให้อ่านง่ายขึ้นค่ะ
2. ข้อมูลที่จะนำมาเขียน อยู่รอบ ๆ ตัวเรานี่แหละ และบางครั้งก็อยู่ในตัวเราเลย การเขียนจึงเป็นการเปิดโลกภายในให้เราได้รับรู้ไงคะ …สิ่งที่เคยคิดว่า”รู้”นั้น รู้จริงหรือ และรู้เท่าไหร่? ..รู้เพียงแค่แง่มุมที่เราคุ้นชินหรือมีการผสานกับมุมมองอื่นๆ และเมื่อยังรู้ไม่พอทำยังไง? …การค้นพบโลกภายในของตัวเองทำให้เรามี”พื้นที่”อิสระของใจค่ะ ..ไม่รู้คือไม่รู้ความไม่รู้ทำให้เราลดอหังการ์ ลดการตีตรา ลดการตัดสินคนอื่น ทำให้ใจเราอ่อนน้อมลง… ความไม่รู้นี้ รวมไปถึงว่าไม่สามารถ ไม่อาจทำให้เป็นส่วนหนึ่งของเราได้ ไม่ได้เป็นเนื้อเป็นตัวเรา ไม่เนียน — และรวมความไปถึงทักษะโดยเฉพาะทักษะในการเรียนรู้ด้วยใจอย่างใคร่ครวญด้วยนะคะ
เห็นความสำคัญของการสื่อกับโลกภายในผ่านการเขียนหรือยังคะ …ดังนั้น เมื่อใดที่เราเขียนด้วยใจที่ไม่กลัว เมื่อนั้นเราจะอิสระและค้นพบเสียงของตัวเอง เกิดการเติบโต ใคร่ครวญ พิจารณาและงอกงามจากภายใน ทำให้มีพื้นที่ว่างๆมากมายทั้งในใจและี่ข้างนอกเพื่อรองรับทุกๆคน ค่ะ (การเขียนในที่นี้ไม่เพียงแต่การเขียนบันทึกเท่านั้นนะคะ ยังรวมถึง”ความเห็น” ด้วยค่ะ ทำเกินหน้าที่นะเนี่ย อิอิอิ)
3. หลักจำเป็นของการเขียน มี 2 ข้อค่ะ (ได้จากนักเขียนซีไรท์)
3.1 สำนวนโวหาร งานเขียนที่ดีภาษาควรสวย สละสลวยและเป็นธรรมชาตินะคะ ไม่ตกแต่งจนเลิศหรูอลังการเกินความจำเป็น เหมาะสมกับเนื้อเรื่องหรือการสนทนา สอดคล้องกับวัยวุฒิ คุณวุฒิของผู้เขียน ผู้อ่าน
3.2 ผสานสำนึก งานเขียนดีๆจะเหมือนมีดที่คมกริบ จึงควรใช้ไปในทางที่สร้างสรรค์ และควรใช้เพื่อเป็นสะพานเชื่อมให้เกิดความเข้าใจในสังคมด้วยค่ะ
จริงๆแล้ว พื้นฐานของมนุษย์ต้องการอะไร?
สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่เราต้องการหรือไม่?่
ความปลอดภัย
ได้รับความเข้าใจ
ได้รับการรับฟัง
ได้รับการดู และแล
ได้รับการใส่ใจ
ไม่ถูกตัดสินว่าเลวหรือชั่ว โง่ บัดซบ..
ถ้าสิ่งเหล่านี้คือความต้องการของเรา..เหตุใดจึงไม่ให้กับคนอื่นด้วยเล่า?
อ่านเจอเป้าหมายของ HOST ( Human Oasis of Spiritual Transformation) แล้วชอบใจเลยเอามาฝากเผื่อจะช่วยให้หายกลัว และสนุกกับการเขียนค่ะ
ถ้าดูดีๆการเขียนบันทึกก่อให้เกิด…
การมีส่วนร่วมอย่างปลอดภัย Safety First!
น้อมรับและชื่นชมความแตกต่างหลากหลาย Appreciate and surrender differences and diversity
การสื่อสารอย่างแท้จริง True communication (เป็นแบบฝึกหัดอย่างดีทีเดียวค่ะ บางคนสื่อทีไรกระแนะกระแหน หรือวงแตกทู้กทีเพราะสื่อไม่เป็นและยิ่งก้าวร้าว โดดเดี่ยวเพราะคิดว่ามีแต่คนปิดกั้นขัดขวางความเจริญ.. ตัวอย่างเยอะมากเลยค่ะ การเมืองก็มี อิอิอิ)
สัมพันธภาพที่ลึกซึ้ง Deep connection (หมายถึงความสัมพันธ์ทางใจนะคะ ภาษาเขียนสามารถสื่อถึงความปราณีตใส่ใจ ความละเมียดละไม มุมมองของผู้เขียนได้เช่นเดียวกัน เพราะภาษาไม่ใช่เป็นเพียงเครื่องมือสื่อสาร แต่ยังเป็นเครื่องมือของการคิดอีกด้วยค่ะ)
ค้นพบปัญญาร่วม Discovery of group wisdom (เขียนแล้วได้อะไร?)
แปรเปลี่ยนยกแผง Collective transformation…(ทั้งเราและผู้อื่น ^ ^)
เมื่อการเขียนมีข้อดีมากมายดังกล่าวมา จึง…
“ยินดีต้อนรับเข้าสู่โลกของสายธารแห่งภาษาค่ะ“
(ภาพประกอบจิ๊กมาจากหลายบันทึกใครจำภาพของตัวเองได้ก็ตามมาแสดงตัวนะคะ 555)
« « Prev : บทที่ 9 การเขียนบันทึก ( รายละเอียดเพิ่มเติม)
Next : บทที่ 14 ลานเจ๊าะแจ๊ะ » »
34 ความคิดเห็น
พรืด น่าจะเป็น พืด นะครับ เปิดพจนานุกรมดู
เขียนความจริงตามที่เห็นด้วยครับ ถ้ามีจริงกว่า เดี๋ยวก็มีคนแก้ให้เอง เป็นโอกาสเรียนรู้ซะด้วย ผู้อ่านอื่นๆ ก็ตัดสินได้เองจากข้อมูลใหม่ว่าอะไรจริงกว่ากัน
สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่เราต้องการหรือไม่?่
ความปลอดภัย
ได้รับความเข้าใจ
ได้รับการรับฟัง
ได้รับการดู และแล
ได้รับการใส่ใจ
ไม่ถูกตัดสินว่าเลวหรือชั่ว โง่ บัดซบ..
ถ้าสิ่งเหล่านี้คือความต้องการของเรา..เหตุใดจึงไม่ให้กับคนอื่นด้วยเล่า?
อ่านเจอเป้าหมายของ HOST แล้วชอบใจเลยเอามาฝากเผื่อจะช่วยให้หายกลัว และสนุกกับการเขียนค่ะ
ขอบพระคุณ คุณหมอเบิร์ด นะคะ กานดาก็มาใหม่ยังไม่ได้สัมผัสลานปัญญามากนัก
แต่ก็อยากเรียนรู้ ยังมีหลายๆลานที่ยังไม่ได้อ่าน แรกสัมผัสก็รู้สึกอยากอ่าน พอทราบว่า
มีการเขียน ก็เริ่มรู้สึกกลัวเหมือนที่คุณหมอว่าทุกประการ..
แต่อ่านมาถึง ความต้องการ ก็เข้าใจ เข้าใจ๋ เข้าใจ.. ว่าทำไมจึงควรเขียน
แต่กระนั้น ก็ยังกลัวอยู่ดี เหมือนไปโรงเรียนวันแรก..
อย่างไรก็จะทำตามที่คุณหมอแนะนำค่ะ
ขอบพระคุณค่ะ
พี่รอกอด..(หนึ่งในผู้ที่ถูกจิ๊กภาพมาประกอบบันทึก อิอิอิ)
ช่ายค่ะ เขียนความจริงตามที่เห็นและที่เป็นจริง ถ้ามีจริงกว่าก็จะมีคนเข้ามาบอกเราเอง และเราก็ได้ทราบว่าที่เห็นนั้นใช่จริงหรือ..เกิดการเรียนรู้ในตัวเองอย่างแจ่มจ้าทีเดียวเชียวล่ะค่ะ
อยู่ที่”ใจ”พร้อมยอมรับหรือไม่เนาะคะ
สวัสดีค่ะคุณ”ป้าหวาน” (แต่ไม่น่าจะอายุเยอะนะคะเนี่ย ^ ^)
ยินดีต้อนรับและรออ่านด้วยความสุขค่ะ เวทีของลานฯมีพี่เีลี้้ยงเสมอเพียงแต่ส่วนใหญ่จะเดินตามเงียบๆเพื่อไม่ให้รบกวนกระบวนการเรียนรู้ด้วยตัวเอง แต่เมื่อใดที่ร้องขอเมื่อนั้นจะมีหลายมือยื่นมาให้จับดึงค่ะ
ความกลัวอย่างที่คุณป้าหวานบอกเกิดขึ้นได้ทุกคนนะคะ เพราะเราเจอพื้นที่ที่ไม่คุ้นเคย ไม่แน่ใจว่าการสื่อสารแบบทางเดียวนั้นจะครบถ้วน บอกกล่าวได้ดังใจหรือไม่ และผู้ี่อ่านจะคิดอย่างไร
เบิร์ดเห็นว่าเป็นเรื่องดีที่ทำให้เราเห็นความเปราะบาง ความอ่อนแอของตัวเอง เพราะนั่นคือสิ่งบอกว่าเราเป็นมนุษย์ มีอารมณ์ มีความรู้สึก เป็นเรื่องสวยงามนะคะ..นอกจากการเห็นความกลัวแล้วเรายังพบความตั้งใจที่จะหาคำตอบและก้าวผ่านความกลัวด้วยตัวเราเองอีกด้วย..ดังนั้นในความเปราะบางก็ทำให้้ค้นพบความเข้มแข็งที่แอบซ่อนอยู่เนาะคะ
การเขียนคงไม่ใช่แค่เรามีโน้ตบุ๊ค คอมพิวเตอร์ พิมพ์ดีด ดินสอหรือปากกาอยู่ในมือเท่านั้นแต่อยู่ที่ตัวเราว่าจะเขียนหรือไม่เขียน และจะเขียนอย่างไร..ถ้าพบปัญหาหรืออุปสรรคใดขออย่าละความพยายามค่ะ เทคนิคหรือกลวิธีเป็นเพียงวิธีการหรือพื้นฐานเท่านั้นเองนะคะ แต่ยังมีอีกหลายกลวิธีที่ควรศึกษาค้นคว้าและทดลองด้วยตนเอง เพราะศิลปะทุกอย่างพลิกแพลงได้ค่ะแม้แต่”ศิลปะของการใช้ชีวิต”… อิอิอิ
เป็นกำลังใจให้ค่ะ ^ ^
มอบหมายถูกคนแล้วหละ อิอิ
เพียงคำสั้นๆก็ทำให้ยิ้มมมมมมมมมมมมมมมมมมมม ปากถึงหูเชียวค่าท่านพี่ แหม ! ตาถึง ฮี่ฮี่ฮี่
ชีวิตคนทุกวันนี้แห้งแล้งนะคะพี่ตึ๋ง การทำงานต่างๆจึงแห้งแล้งด้วย เหมือนเราไม่ Connect หรือเราไม่เชื่อมต่อ/สัมผัสถึงคนอื่นอีกต่อไป ต่างคนต่างก็เป็นเกาะแก่ง มีวัฒนธรรมแบบใหม่ มีลัทธิอุตสาหกรรมในที่ทำงาน ลัทธิปัจเจกในการครองชีวิต ทำให้เราแปลกแยกออกจากคนอื่น ทำให้ชีวิตเราโดดเดี่ยวปราศจากสีสัน(ใหญ่ ..วิศิษฐ์ วังวิญญูกล่าวไว้)
โจทย์คือเราจะนำสีสันกลับมา นำการเชื่อมโยง/ต่อติด/สัมผัส/สัมพันธ์กลับมาให้เรา้เกิดความชุ่มฉ่ำแก่หัวใจ/ต่อติด/ต่อเติม/เชื่อมโยงเกาะแก่งต่าง ๆ ให้เป็นผืนดินเดียวกันได้อย่างไร? (อิอิอิ โยนตัวกวนให้จอมป่วนมั่ง)
แงๆๆ ป้าหวานลองเขียนค่ะ แล้วก็ไปติดที่วิธีการ สร้างบล๊อก
พยายามเปิดไปมา หาคำตอบ ก็ยังไม่เจอหน้าที่จะสร้างบล๊อกเลยค่ะ Dashboard
ก็เปิดดู หลายรอบก็ไม่เหมือนกับแนวทางในคู่มือ ทั้งของใหม่ ของเก่านะคะ
คุณลุงหมอช่วยด้วย คุณหมอเบิร์ดขอบคุณมากนะคะที่ให้กำลังใจ
ป้าหวานเปิด Dashboard แล้วก็ลองเขียนโดยยังไม่ทำอย่างอื่น
พอป้าหวาน save เพื่อที่จะเก็บไว้ทำต่อไป แน่ใจว่า ตั้ง ไม่เผยแพร่ และ ไม่ได้กดเผยแพร่
แต่ก็ไปโชว์ที่ลานเจ๊าะแจ๊ อ่ะค่ะ อ้อ กดดูที่ข้างบนด้วยค่ะ เลยลบออกหมดก่อนค่ะ ทำใหม่
โอ๋ๆๆๆ เดี๋ยวขอลำดับเหตุการณ์ก่อนนะคะ
1. มั่นใจว่าคุณป้าหวานที่น่ารักเข้าลานฯในฐานะสมาชิกได้แน่นอนเพราะเข้า Dashboard (ในบล็อกของตัวเอง?)ได้
2. ป้าหวานลองเปิดดูที่ Draft หรือยังคะ เข้า Dashboard ก็จะเห็นหน้าตาคล้ายๆแบบนี้ แต่ชื่อลานจะเป็นชื่อบล็อกของป้าหวานไม่ใช่คู่มือลานปัญญา อิอิอิ
ภาพที่เบิร์ดนำขึ้นให้ดูป้าหวานจะเห็นใต้แถบแดงมีคำว่าคุณมี…บันทึก,…ดร๊าฟท์(ร่าง) ถ้ามีตัวเลขอยู่หน้าคำว่าดร๊าฟท์(ร่าง) บันทึกที่ป้าหวานเขียนจะอยู่ที่นั่นค่ะ คลิกเข้าไปดูได้เลย ลองค้นดูหรือยังคะ
ได้ผลยังไงบอกด้วยนะคะ จะได้ช่วยงมต่อถูก ^ ^
เขียนแบบมั่ว ๆ อยู่ตั้งนานแหน่ะค่ะ อิอิ
ขอบคุณคร๊าบ
เอ รูปสุดท้ายคุ้น ๆ เน๊อะ
เคยเห็นที่ไหนหว่า เหอ..เหอ..
คุณหมอเบิร์ดคะ ขอบคุณมากนะคะ ป้าหวานลองกลับไปทบทวนดูแล้วค่ะ อาจเป็นเพราะมันโหลดอยู่หรือเปล่า ป้าหวานถึงได้ไม่เห็น แล้วเปลี่ยนไปไวเกินไป อีกอย่างคือ ป้าหวานอ่านกระโดดไป กระโดมาหรือเปล่าวิธีการ น่ะค่ะ ก็เลยตั้งใจจะค่อยๆคลำ ค่อยๆแกะอีก แต่หมดเวลาก่อน แล้วป้าหวานจะพยายามใหม่ค่ะ ส่วนหน้าที่คุณหมอเบิร์ดเปิดให้ดู ป้าหวานเห็นแล้วค่ะ เรื่องดร้าฟท์ ป้าหวานก็ลองกดดูแล้วค่ะ
ขอบคูณมากนะคะ แต่ร่างของป้าหวานมันลบไปแล้วค่ะ ป้าหวานลบเอง มันไม่เรียบร้อยแล้วก็ยังไม่ได้
คิดให้ดีเลย แค่ลองๆดูอ่ะค่ะ เดี๋ยวเขียนใหม่ได้ หมดเวลาอีกแล้ว ขอบคุณมากๆนะคะ
น้องครูปูที่รัก มั้ยล่าพี่นึกแล้วว่าต้องจำได้ 555
บันทึกของน้องครูปูบอกทุกๆคนว่า น้องมีเสียงของตัวเอง จ้ะ ที่พูดแบบนี้ได้เพราะสิ่งที่น้องเขียนไม่มีความกลัวแฝงอยู่ในตัวอักษรหรือความรู้สึกที่สัมผัสเมื่ออ่านเลย
เปิดเผย ฉับไว กระตือรือร้น สดใส มั่นใจ กล้าและไม่กลัว ..นี่เป็นส่วนหนึ่งของบุคลิกภาพน้องครูปูหรือเปล่า่? ..และนี่ก็คือความรู้สึกของคนที่อ่านและสัมผัสจากงานเขียนของน้องไงจ๊ะ…พลังของงานเขียน จึงอยู่ที่ ..หา”เสียงของตัวเองให้เจอ” ซึ่งจะหาเจอได้ก็ต่อเมื่อไม่กลัวร่วมกับสามารถทำให้สิ่งที่”อยากเขียน”นั้นกลืนเป็นส่วนหนึ่งของความคิด ความรู้สึกและตัวตนข้างในของเรา โดยไหลระเรื่อยออกมาตามความรู้สึกที่อยากบอก (ภาษาของวงน้ำชาเรียกว่า”ธาราลิขิต” Spontaneous Writing จ้ะ)….. ไม่มีความเกร็ง ไม่กังวล ทำให้อ่านแล้วไม่สะดุด ไม่รู้สึกอึดอัด หรือรู้สึกว่ายังสื่อออกมาได้ไม่หมดดังใจ
ส่วนรูปแบบการเขียนสามารถพัฒนาขึ้นได้เรื่อยๆตามลักษณะของงานที่อยากจะสื่อ มีนักเขียนหลายคนที่เขียนแนวเล่าเรื่องได้ดีมากๆ สนุก ฮาก๊าก ..และมีแรงดึงดูดให้ติดตามอ่าน แต่เค้าไม่เหมาะกับงานเขียนแบบวิชาการแม้แต่น้อย ในขณะที่มีนักเขียนอีกหลายๆคนที่เขียนแนววิชาการได้น่าเชื่อถือ น่าอ่านแต่ไม่สามารถเขียนแนวสนุก โรแมนติกได้เลย… …เอกลักษณ์ของแต่ละคนจึงมีเสน่ห์ไม่เหมือนกันเนาะจ๊ะ ^ ^
กอดด้วยความคิดถึงจ้ะ …
ป้าหวานขา
เพียงแค่”อยากเขียน”…ก็เดินทะลุกำแพงความกลัวออกมาแล้วล่ะค่ะ ส่วนที่เหลือจะเติบโตพัฒนาขึ้นเองเมื่อมีการเรียนรู้ผ่านการกระทำ ต้นไม้จะเริ่มงอกงามก็เมื่อรากแทงทะลุเปลือกหุ้มเมล็ดเนาะคะ
เอาใจช่วยค่ะ และเบิร์ดเห็นด้วยว่าคู่มือลานฯฉบับนี้กำลังอยู่ในระหว่างปรับปรุง ทำให้บทกระโดดไปกระโดดมา จึงลำบากในการติดตามเอาการ ดังนั้นเห็นควรให้พี่ตึ๋ง”จัดการ”อะไรหลายๆอย่างให้เหมาะสมในเร็ววัน อิอิอิ
(ป้าหวานโปรดอย่ากังวลว่าเบิร์ดเข้าใจผิด คิดว่าคู่มือลานปัญญาไม่ดีนะคะ …่เบิร์ดแหย่ให้ผู้จัดการหญ่ายท่านได้ป่วนอีกรอบน่ะค่ะ ฮี่ฮี่ฮี่)
อนาคตคงจะดี เพราะกำลังพัฒนาก็มีคนมารออ่านแล้ว อิอิ
ใครว่างก็ช่วยอ่านแล้วแสดงความเห็นหน่อย ที่อ่านมาก็เห็นบทที่ 16 เนี่ยเขียนดีที่สุด คนมอบหมายงานนี่เก่งเน๊าะ ฮ่าๆๆๆๆๆ ฮิ้ว………..
ฮี่ฮี่ฮี่ น่านสิคะ คนอะไรก็ไม่รู้ตาถึงจริงๆ ^ ^
ยอมรับว่าการเขียนบทนี้ทำให้เบิร์ดคิดถึงการสนทนากับใหญ่(วิศิษฐ์ วังวิญญู) ในวันที่พี่ตึ๋งพาไปคุยเรื่องการเขียนบล็อกขึ้นมาทันทีเลย และพบว่าเริ่มเข้าใจถึงความหมาย”เสียงของตัวเอง” ที่ใหญ่พูดได้ชัดเจนมากขึ้นกว่าเดิมเมื่อมีการทบทวนและเชื่อมโยงกับหลายอย่าง
การต่อติดกับโลกภายในของตัวเอง ทำให้ใจเราโน้มต่ำลง มองโลกกว้างขึ้น และสื่อสารแบบที่จิตวิทยาเรียกว่า I Message ซึ่งเป็นเทคนิคการสื่อสารอย่างสุภาพวิธีหนึ่ง คือการบอกในรูปแบบ “ฉัน..รู้สึก + สิ่งที่ต้องการอย่างสุภาพ” ซึ่งดีกว่าการพูดว่า “แกและตามด้วยคำตำหนิ” อย่างที่เห็นกันเกร่อทั่วๆไป (แบบนั้นเรียกว่า You Message เหมือนการชี้นิ้วไปที่คนอื่นนั่นแหละค่ะ)
การสื่อสารผ่านการเขียนจึงถือเป็นอีกวิธีหนึ่งที่มีประสิทธิผลสูง เช่น เขียนจดหมาย เขียนบันทึกเล็กๆวางไว้บนโต๊ะอาหาร ติดไว้ที่ตู้เย็น เขียนบอกข้อเท็จจริง บอกความในใจ บอกความรู้สึกที่แท้จริง บอกความปรารถนาดี บอกความห่วงใย ขอโทษ ขอบคุณ โดยไม่มีอารมณ์รุนแรงแบบควบคุมไม่อยู่เจือปนลงไปหรือไม่ก่อให้เกิดการสาดอารมณ์ใส่กันเหมือนพูดกันต่อหน้า
ซึ่งเบิร์ดใช้เทคนิคนี้เยอะนะคะ ใช้ในการปรับพฤติกรรมหรือให้คนไข้สามารถควบคุมอารมณ์ตัวเองและเรียนรู้การจัดการอารมณ์ได้ดีขึ้น …เหล่านี้ี่คือเสน่ห์ของการเขียนทั้งนั้น แต่เรามักลืมว่ายังมีช่องทางอื่นๆอีกมากมายที่ช่วยเสริมการสื่อสารให้มีพลังและช่วยปรับตัวตนข้างในของเราให้เติบโต งดงาม จึงเห็นแตคนสื่ื่อสารแบบ U Message (สื่อแล้วเป็นบูมเมอแรงวกกลับเข้าหาตัวเอง เพราะคนอื่นเห็นความก้าวร้าว ไม่มีวุฒิภาวะี่) อยู่ทั่วไปสิน่า
ขอบคุณค่ะ วันนี้มาอ่านนะคะ
เรื่องการเขียน เหมือนที่คุณหมอเบิร์ดบอกไว้นะคะ สำหรับป้าหวาน..ใช่เลย..
ระหว่างที่หาวิธีเขียน ป้าหวานก็พบว่า สิ่งที่จะเขียนก็ต้องกลับไปหาอีก
เพราะ ความคิดไม่หยุดนิ่ง ป้าหวานอ่านหลายๆลานที่นี่ (แต่ยังมีอีกมากที่ยังไม่ได้อ่านนะคะ )
ก็เกิดความคิดว่า ยังต้องค้นหาอีกเยอะ ที่คิดว่าจะเขียนออกมาได้เร็วๆนี้ ก็เปลี่ยนใจเสียแล้ว
ยังต้องศึกษาอีกค่ะ ทั้งภายใน ทั้งภายนอก แล้วป้าหวานจะมาส่งข่าวเรื่อยๆนะคะ ขอบคุณค่ะ
พี่ลุงหมอจอมป่วนคะ ป้าหวานขอแสดงความเห็นว่า ป้าหวาน งง กับ การนำเสนอ
คู่มือลานปัญญา ตอนนี้มีสองคู่มือ ของท่านรอกอด ที่อยู่ที่ ลานคู่มือลานปัญญา
กับอีกชุดหนึ่งที่คุณลุงหมอกำลังทำการรวบรวมเรียบเรียงอยู่
ป้าหวานยังสับสน เพราะ ตอนนี้ มี 2 คู่มือ
ประกอบกับ คนอ่าน อย่างป้าหวานอาจมีทักษะไม่พอ คนอื่นๆอ่านอาจจะไม่งงก็ได้นะคะ
ที่หน้าแรกเมื่อเข้ามาลานปัญญา ตรงนั้นน่าจะเป็นจุดเริ่มต้นสำหรับการสร้างบล็อกของตัวเอง
แต่คนที่มาใหม่ อย่างป้าหวาน ยังไม่คิดว่าจะเขียนทันที คิดจะอ่านก่อน จึงเหมือนผ่านเลยไป
หลังจากที่เข้าไปอ่านก็จะพบอะไรๆอีกมาก รวมถึงคู่มือลานปํญญาของคุณหมอที่กำลังรวบรวมอยู่
ก็จะไปติดตามอ่านที่นี่ด้วยค่ะ สรุปก็คือ สำหรับป้าหวานก็เลยยังต้องหาทางเชื่อมโยง
และทำความเข้าใจ กับทั้ง 2 คู่มือค่ะ
ประโยคที่ให้เข้า Dashboard ก่อน จึงน่าจะเป็น ไปที่หน้าแรก ของลานปัญญาก่อน
คลิก สร้างบล็อก แล้วจึงเข้า Dashboard ที่หน้าบล๊อก ของตัวเอง อย่างนั้นหรือเปล่าคะ
ขอประทานโทษถ้าป้าหวานเข้าใจผิดค่ะ อาจทำได้หลายวิธีหรือเปล่าคะ
ขออนุญาตเจ้าของบ้านครับ
บ้านนี้น่านั่งคุย จิบน้ำชาฟรี อิอิ
ป้าหวานครับ ลานปัญญานี่เกิดแบบพิสดาร รวดเร็ว ท่ามกลางความไม่พร้อม แบบว่ามีแต่ตัวกับหัวใจครับ
คู่มือลานปัญญา อันนี้เป็นคู่มือที่รอกอดและนายเม้งช่วยกันเขียนขึ้นแนะนำสมาชิกใหม่ และยังมีอีกมากที่แทรกๆอยู่ตามบันทึกต่างๆ
มีคนบ่นว่าลานปัญญาใช้ยาก ทั้งที่บางคนไม่ยอมอ่านคู่มือหรือคำแนะนำ
บางคนก็อ่านแต่ก็บ่นว่าเข้าใจยาก (อาจจะจริงเพราะเขียนโดยเซียนที่รอบรู้เรื่องนี้ แต่ชาวบ้านธรรมดา ไม่มีพื้นฐานทางด้านคอมพิวเตอร์อ่านแล้วไม่เข้าใจ
ส่วนคู่มือลานปัญญาอันใหม่ เป็นอันที่ชาวเฮฮาศาสตร์ปรึกษากันว่าจะเขียนคู่มือขึ้นมาใหม่ เพื่อให้อ่านง่ายขึ้นและเป็นระบบมากขึ้น กำหนดแล้วเสร็จใน 2 เดือนครับ
จริงๆก็เป็นคู่มือที่อยู่ในระยะ Under Construction ครับ เพราะเขียนโดยคนหลายคนตามจิตอาสา เลยกลับหน้ากลับหลัง ไม่เรียงตามบท
ป้าหวานมาใหม่ก็พอดีเลยนะครับ ช่วยอ่านดูแล้วช่วยให้ความคิดเห็นแบบไม่ต้องเกรงใจเลยนะครับ
คู่ขนานกันก็จะมีทีมงาน (น้าอึ่งอ๊อบ น้าแป๊ด…และอีกหลายๆท่าน) ที่จะช่วยเรียบเรียง wording ใหม่ หารูปภาพที่เหมาะสมมาเปลี่ยน
คงจะแล้วเสร็จก่อนกำหนดครับ
สุดท้ายนี้ไม่อยากเป็นลุงหมอคู่กับป้าหวานครับ เป็นพี่ดีกว่า อิอิ
ลืมตอบคำถามไปครับ
การไปที่หน้าแรกของลานปัญญา เพื่ออ่านคู่มือและคำแนะนำให้เข้าใจก่อนครับ
ส่วนการเข้าหลังโรง หรือ Dashboard ก็เพื่อเข้าไปปรับข้อมูลของผู้ใช้ การอนุญาตให้แสดงความคิดเห็น แต่งหน้าบล็อก เขียนบันทึก ฯลฯ ครับ
ยินดีรับใช้ครับ น้องป้าหวาน อิอิ
มาช้าไปหน่อยค่ะ.. เสริฟน้ำชาเย็นๆหอมๆพร้อมลากหมอนมานั่งคุยด้วยคนนะคะ
คุณลุงหมอ(ชอบจริงๆคำนี้ อิอิอิ) ได้อธิิบายให้ป้าหวานทราบถึงที่มาที่ไปของ 2 คู่มือแล้วนะคะ ซึ่งต่อไปก็จะเหลือคู่มือเดียวแล้วล่ะค่ะ หลังจากผ่านการโมดิฟายด์ โดยมีป้าหวานและสมาชิกร่วมด้วยช่วยกันลอง
ความเห็นของป้าหวานมีคุณค่ามากๆสำหรับผู้ร่วมก่อการดีทุกๆท่าน เราต้องการผู้ที่”ลงมือ”ใช้ ้แล้วบอกข้อขัดข้องทั้งหมดให้เราทราบ เหมือนป้าหวานนี่แหละค่ะ
และทุกบันทึกบนลานฯมีคุณค่าทั้งหมดนะคะ เนื่องจากลานฯมีลักษณะการใช้งานแบบผู้ใช้ลงมือเรียนรู้ด้วยตัวเองตามคู่มือฯ และฝากคำถามทิ้งไว้ในหน้าแรกของลานฯเมื่อมีข้อขัดข้อง
..การก้าวผ่าน Learning Curve ที่ชันแบบนี้ทำให้ทุกบันทึกมีคุณค่าด้วยตัวผู้เขียนเองอยู่แล้วค่ะ เป็นผลงานที่น่าภาคภูมิใจ ี่เกิดจากการลองผิดลองถูก ก้าวผ่านความงุนงง กังวล กล้าๆกลัวๆ ไม่แน่ใจได้ด้วยตัวเอง ..เพียงเท่านี้ก็ถือเป็นผลงานที่หาได้ยากแล้วววว ถ้าไม่ทราบว่าจะเริ่มด้วยบันทึกอะไรลองเขียนแนะนำตัวเองก็ได้นะคะ เป็นการเปิดตัวและเขียนง่ายที่สุด ร่วมกับการบรรยายความยาก-ง่ายของการเรียนรู้ผ่าน Learning Curve จนมาถึงวันที่เขียนบันทึกแรกได้สำเร็จด้วยตัวเอง ให้เป็นประวัติศาสตร์หน้าหนึ่งของบล็อกไปเลย ^ ^
การปรับเปลี่ยนเรียนรู้มีทั้ง Inside Out & Outside In และเรามักพูดเสมอๆว่า Learning by Doing ..ซึ่งคิดว่าไม่น่าจะยาก แต่เราลืมไปอย่างหนึ่ง เมื่อจินตนาการถึงคำ Learning by Doing เราจะคิดถึงแต่สภาพแวดล้อมที่เราคุ้นเคย จึงรู้สึกว่าสบายๆ….
แต่ลานฯเป็นการจัดสภาพแวดล้อมใหม่ให้พบกับสิ่งที่ไม่คุ้นเคย (การปรับเปลี่ยนเรียนรู้แบบ Outside In) แต่ไม่ได้โดดเดี่ยวเพราะมีคู่มือฯ ..มีผู้ดูแล มีเพื่อนที่พร้อมจะยื่นมือเข้ามาเมื่อร้องขอ เพื่อให้เราได้สนุกกับ”การจัดการ”ด้วยตัวเราเองน่ะค่ะ….เวลา “ทำได้” นี่ภูมิใจชะมัด ^ ^ (แถมแนะนำคนอื่นๆต่อได้ด้วย อิอิอิ)
คุณลุงหมอ(ที่พยายามจะเป็นพี่) เป็นหนึ่งในผู้ปลุกปล้ำยุคบุกเบิกของลานฯ (ร่วมกับหลายๆท่านเช่นคุณเม้ง คุณโส พี่รุมกอด พี่หลิน พี่เหลียง พ่อครู ฯลฯ) จึงให้ข้อมูลได้ชัดเจนแบบข้างบนนู้นแหละค่ะ .. ส่วนเบิร์ดเป็นเด็กเสริฟชา ฮี่ฮี่ฮี่
ป้าหวานมาแจ้งช่าวดีค่ะ ป้าหวานได้ บล็อก ของตัวเองแล้ว เย้ๆๆๆๆๆๆๆๆๆ
ด้วยการกลับไปอ่านและลอง ในลานคู่มือลานปํญญา หน้าแรก ของท่านรอกอด นะคะ
เฉลย โจทย์ ของป้าหวานก็คือ
เมื่อต้องการเริ่มต้นสร้างบล็อก ไปคลิกที่หน้าแรกของลานปัญญา ที่ท่านรอกอดทำไว้ให้คลิก
เข้าไปแล้วจะเจอว่า ให้ตั้งชื่อลาน ( ตรงนี้ที่คู่มือยังไม่มีรูปมั๊งคะ ) ซึ่งจริงๆ เป็นชื่อที่นำไปใช้ใน url
ไม่ใช่ชื่อที่ปรากฏ ว่า ลานสาวกอด หรือ ลานเจ๊าะแจ๊ะ ดังนั้นเราต้องใส่อักษรภาษาอังกฤษและตัวเลข
( ตรงนี้ยังไม่มีบอกค่ะ มีตัวอย่างแต่ป้าหวานนึกไม่ถึงอ่ะ..) ไม่ใช่ภาษาไทยเน้อ…
เสร็จแล้วบรรทัดต่อมา จึงใส่ชื่อภาษาไทยที่เราต้องการ…เย้ๆๆๆ ลานกานดา …เกิดแล้ว
พอเท่านี้ก่อนนะคะ แล้วจะมาช่วยเสริมสำหรับคนที่คล้ายๆป้าหวานอีกค่ะ
สำหรับความเป็นพี่น้อง ระหว่างคุณลุงหมอ กะ ป้าหวาน คะเนว่า เราคงเกิดรอบเดียวกัน อิอิอิ
ไม่ถึงกับคนละรอบม้าง…คุณลุงจะแก่เกินไป..อิอิ ป้าหวานเกิด ปีจอ ค่ะ เรารู้กันก่อนนิ..5555
แล้วคุณลุงจะให้ป้าหวานเรียกพี่ได้หรือยัง
เบิร์ดกำลังติดตามสถานการณ์อยู่ค่ะ ดีใจที่ป้าหวานเปิดบล็อกของตัวเองได้แล้วนะคะ แต่ยังงงว่าทำไมไม่เห็นชื่อลานกานดาบนหน้าบล็อกใหม่น้อ
หน้าที่ป้าหวานเล่าให้ฟังถึงการสร้างบล็อกใหม่จากหน้าแรกของลานฯคือภาพนี้หรือเปล่าคะ?
่ซึ่งเมื่อคลิ้กตรง สมัครสมาชิกหรือเปิดบล็อกใหม่(ลูกศรชี้) หน้าเพจจะเปลี่ยนเป็นแบบนี้
แล้วป้าหวานก็กรอกรายละเอียดใน 2 ช่องตรงลูกศรชี้ ?
ถ้าใช่…รบกวนป้าหวานช่วยบอกนิดนึงนะคะ คุณลุงหมอจะได้มีแนวทางในการเขียนคู่มือลานฯต่ออีก…….(่ชอบชื่อ”ลานสาวกอด” แฮะ นึกถึงพี่รุมกอดยังไงพิกลแต่คุณลุงหมอคงอยากใช้เป็นชื่อลานมากกว่า อิอิอิ)
ตอบคุณหมอเบริร์ดค่ะ
ขอโทษค่ะที่ป้าหวาน เพิ่งมา มาช้า มาถึงเห็นลานกานดาแล้วอ้าว..เป็นออโต้ หรือคะ ป้าหวานยังไม่ได้เขียนอะไรงง นึกว่าจะเป็นแบบที่คุณหมอว่าคือ ค่อยๆเขียนแก้ไขดีแล้วจึงโพส แล้วลานจึงโชว์ ป้าหวานเข้าใจผิดอีกแล้ว
ตอบโจทย์ค่ะ ใช่ค่ะ ที่คุณหมอเบิร์ดเอารูปมา คือที่ป้าหวานพูดถึงค่ะ ตอนแรกป้าหวานเข้าใจว่า ถามชื่อลาน ให้ตั้งชื่อลาน คือความไม่เข้าใจที่ 1 ที่จริงของแรกให้ใส่ ชื่อสำหรับใช้ใน url ดังที่คุณลุงหมอ เอาไปเขียนแล้วค่ะ ส่วนบรรทัดที่สอง จึงเป็น ชื่อลาน ที่เราจะตั้ง เป็นชื่อบล็อกของเรา ซึ่งป้าหวานไปเข้าใจผิดว่า ช่องแรกคือ ชื่อนี้ และ เข้าใจผิดว่า ช่องที่ 2 เป็นชื่อตอน สงสัยภาษาอังกฤษของป้าหวาน ไม่ดีพอ
นะคะ ที่จริงมันนิดเดียวเอง และสำหรับคนที่งง ป้าหวานจะบอกว่า เมื่อเราทำถูกต้องแล้ว หน้าบล็อกชื่อที่เราตั้งก็จะปรากฎขึ้นมาเอง โดยเราไม่ต้องไปเรียกที่ไหนอีกค่ะ
ขอบคุณ คุณหมอเบิร์ดนะคะ ที่กรุณาให้คำแนะนำตลอด
ขอบคุณสำหรับการชี้ช่องมองทางค่ะป้าหวาน
ยินดีและมีความสุขมากเมื่อเห็นการเกิดขึ้นของ “ลานกานดา”…การเรียนรู้ร่วมกันทำให้ทราบว่าแม้จะมีเส้นทางอื่น นอกจากเส้นทางหลักก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่ เพราะท้ายที่สุด”เรา”ก็มาสู่ี่เป้าหมายเดียวกัน และช่วยวางป้ายบอกทางให้คนอื่นๆที่อาจเดินตามมาได้อีกด้วย นี่คือเสน่ห์ของคำว่า”พื้นที่ปลอดภัย”มั้งคะ ^ ^
ลาน มาจากคำว่า LAN ที่คุณเม้ง หรือ ดร.สมพร ช่วยอารีย์ (1 ในผู้ก่อตั้ง) ย่อมาจาก Local Area Network ( ถ้าจำตัวเต็มผิด ทั่นก็เข้ามาแก้ไขด้วยนะคะ) ลานจึงทำหน้าที่เชื่อมโยงปัจจัยเอื้อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทั้งภายในและภายนอกตัวคน เหมือนเป็น Man Mapping (แผนที่มนุษย์) บอกให้รู้ว่าใคร ทำอะไร ที่ไหน อย่างไร ส่วนการนำพาให้เกิดการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ เติมเต็มกันและกันนั้นเป็นส่วนที่สมาชิกจะแลกเปลี่ยนผ่านงานเขียน ความเห็นต่างๆในบล็อก เพื่อเปิดเผยตัวและเรียนรู้ที่จะเติบโตผ่านทักษะต่างๆของตนเองค่ะป้าหวาน
ยินดีต้อนรับเข้าสู่โลกของมิตรภาพและการเรียนรู้นะคะ ^ ^
ขอบคุณเช่นกันค่ะ วันนี้ ท่านรอกอดแจ้งว่าให้แก้ไขชื่อบันทึกด้วย ทำนองนี้นะคะ ป้าหวานเข้ามาตาม
เจอว่าท่านรอกอดแนะนำเรื่องการ embed เพลงว่าทำได้ แต่ upload ทำไม่ได้ เพราะเป็นการละเมิด
สิขสิทธ์ ข้อความนี้อยู่ในความคิดเห็นต่อจากที่ป้าหวานไปตอบคุณหมอเบิร์ดเรื่องการแปะเพลง ป้าหวานก็ไปตอบขอบคุณ แล้วต่อจากนั้นจะไปแก้ที่ท่านแจ้งไว้ แต่ป้าหวานไม่รู้จะทำยังไง ไปกดแก้ไข ที่ตรงบันทึก แล้วกดลบ ก็เลยกลายเป็นลบไปหมดเลย ทั้งเพลงทั้งความเห็น คงต้องปล่อยไปไหมคะ
ตอนนี้ป้าหวานนึกไม่ออกเลยค่ะว่าจะเขียนอะไร แนะนำตัวเอง เลยกลับมาอ่านที่นี่อีก ขอบคุณคุณหมอเบิร์ดค่ะ
ป้าหวานขา
บันทึกบนลานเจ๊าะแจ๊ะที่ป้าหวานตอบความเห็นของคุณลุงหมอ เบิร์ด และมีพี่รุมกอดเข้าไปอธิบายนั้น เค้าได้ทำหน้าที่ของบันทึกครบถ้วนแล้วค่ะ สารที่ตั้งใจจะสื่อก็สื่อได้แล้ว ผู้รับสารก็เข้าไปอ่านแล้ว และผู้ส่งสารก็ส่งได้สมความตั้งใจทุกประการแล้ว ..ดังนั้นถึงจะถูกลบไปก็ไม่เป็นไรค่ะ กลับเป็นโอกาสที่จะ้ทำความรู้จักกับเครื่องมือต่างๆมากขึ้นนะคะป้าหวาน
เบิร์ดอ่านบันทึกแนะนำตัวของป้าหวานแล้วค่ะ น่ารักมาก ^ ^ ..เพียงประสบการณ์ของการทำธุรกิจขนาดเล็กก็เป็นสิ่งที่น่าสนใจไม่น้อยแล้วค่ะ ยังไม่นับการค้นหาข้อมูลบนโลกอินเทอร์เน็ตทั้งๆที่เรียกตัวเองว่าป้าหวาน ก็ทำให้็ทึ่งกับวิสัยทัศน์และการปรับตัวเข้ากับโลกไซเบอร์ได้อย่างกลมกลืน ร่วมกับทักษะ+ความพยายามในการเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ นี่ยิ่งสุดยอด..
ขอบคุณที่ป้าหวานช่วยพิสูจน์ให้เห็นว่าไม่มีอะไรยากเกินความพยายามและมีความสนุกในการเรียนรู้นะคะ ชื่นใจจริงๆค่ะ ^ ^
ขอบคุณ คุณหมอเบิร์ด อีกครั้งค่ะ คุณหมอเก่งจริงๆนะคะ หาทางให้กำลังใจป้าหวานเจอ ป้าหวานยังหาตัวเองไม่เจอเลย ขอบคุณมากค่ะ โลกนี้ยังมีความสวยงามอยู่แม้เราจะมองหาไม่เห็น แต่แสงภายในใจจะช่วยนำทางไป ขอเพียงอย่ายอมให้ใจมืดมนเท่านั้น..ขอบคุณแสงจากใจคุณหมอที่มาช่วยเพิ่มแสงในใจป้าหวานค่ะ
ขอโทษที่ตอบช้ามากๆค่ะป้าหวาน
ลานเจ๊าะแจ๊ะเป็นแบบฝึกหัดในการทำความรู้จักกันได้ดีเนาะคะ และยินดีที่มีโอกาสเป็นส่วนหนึ่งในการเรียนรู้ของป้าหวานค่ะ ^ ^
เคยเห็นโคลงสี่สุภาพเกี่ยวกับความสำคัญของการเขียน แต่ไม่ทราบว่าของใครเพราะจดไม่ทันทำให้ไม่ได้ชื่อผู้แต่ง… เอามาฝากป้าหวานค่ะ
หาความรู้เร่งให้ แม่นยำ
ลืมย่อมแก้ด้วยจำ จดไว้
จำมากนักจักทำ ตนดุจ ห้องสมุด
การจดจึ่งต้องให้ ชอบใช้ ชาญเขียน
การเขียนจึงเป็นอีกหนึ่งทักษะที่ควรฝึกบ่อยๆ แล้วจะลื่นไหลมากขึ้นนะคะ (พี่ตึ๋งให้เบิร์ดเขียนบทนี้เพราะเบิร์ดไม่ค่อยเขียนบันทึก ถ้าเขียนเกี่ยวกับเรื่องนี้แล้ว(น่า)จะ”ร้อนตัว” ขึ้นมามั่ง สายตาผู้บริหารท่านจะวางหมากซ้อนหลายชั้น อิอิอิ..แต่เบิร์ดไม่ค่อยกระเทือนเท่าไหร่ 555)
น่าจะมาจากหนังสือ “โคลงกลอนครูเทพ” ของ มหาเสวกเอก เจ้าพระยาธรรมศักดิ์มนตรี (1 ม.ค. 2419 - 1 ก.พ. 2486) นามเดิม สนั่น เทพหัสดิน ณ อยุธยา เสนาบดีกระทรวงธรรมการ (รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ) ผู้วางรากฐานการศึกษาภาคบังคับพื้นฐานและการอาชีวศึกษา ผู้ร่วมดำริให้ก่อตั้งมหาวิทยาลัยแห่งแรกของประเทศ (จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย) ประธานสภาผู้แทนราษฎรคนแรก ผู้นำกีฬาฟุตบอลมาเผยแพร่ในประเทศไทย นักประพันธ์ (ใช้นามปากกา “ครูเทพ”) ผู้ประพันธ์เพลงกราวกีฬา รวมทั้งเพลงชาติฉบับก่อนปัจจุบัน
ประวัติท่านน่าอ่านครับ
สุดยอดและขอบคุณมากค่ะพี่รุมกอด เบิร์ดเคยคิดว่าไม่มีทางทราบแล้วว่าโคลงสี่สุภาพบทนี้เป็นของท่านใด แต่พี่ทำได้! (ฟังละม้ายๆรายการ”หนูทำได้”ยังไงพิกล 555)
อ่านประวัติท่านแล้วทึ่งว่าท่านทำได้อย่างไร และนึกถึงคำโบราณว่า “รู้อะไรให้รู้เป็นครูเขา”…จึงทำให้คนรุ่นก่อนมีความเชี่ยวชาญหลายสาขา เนื่องจากเมื่อศึกษาเรื่องหนึ่งแล้วก็จะพบว่ามีความเกี่ยวโยงกับเรื่องอื่นๆ จึงค้นคว้าศึกษากันต่อไปไม่จบหรือเปล่าน้อ
การวางรากฐานทางการศึกษา ถ้าผู้ทำไม่มีความรัก ความตั้งใจ ความห่วงใยคนรุ่นหลังและรู้ลึก รู้จริง เชี่ยวชาญ ชำนาญในหลายศาสตร์คงทำได้ยากนะคะ และขอบคุณอีกครั้งที่พี่รุมกอดทำให้เห็นว่าการศึกษาค้นคว้าอย่างแท้จริงคืออะไร ^ ^
ขอบคุณคุณหมอเบิร์ด และท่านรุมกอดนะคะ ขอบคุณลานปัญญาอย่างยิ่ง และ ขอบคุณพี่น้องที่นี่ทุกท่านที่ก่อให้เกิดการเรียนรู้กว้างขวางหลายเรื่องทั้งภายใน และภายนอกค่ะ
ยินดีที่ป้าหวานเข้ามาเ็ป็้นส่วนหนึ่งของลานปัญญานะคะ และทำให้เบิร์ดได้รู้จักเพื่อนใหม่บนความไว้ใจที่อบอุ่น กระตือรือร้นที่จะร่วมด้วยช่วยกัน..น่ารักมากเลยค่ะ ^ ^
เขียนบันทึกจนเกือบจะครบ 1 ขวบ อยู่แร่ะ (เข้าลานด้วยบันทึกแรกเมื่อ 25 ธ.ค.51) ตอนนี้ยิ่งเข้าใจคำว่าเขียนบันทึกด้วยใจมากขึ้น ทั้ง ๆ ที่ตัวเองก็ไม่ค่อยรู้อิโหน่อิเหน่อะไรหรอกค่ะ เขียนไปเรื่อย ๆ เรียกว่าเขียนเอามันส์.. ก็ว่าได้ค่ะ
เพิ่งมาค้นเจอคอมเมนท์ของพี่เบิร์ดที่เมตตาติชมการเขียนให้ ทำให้เหมือนค้นพบกระจกบานเบ้อเร่อช่วยสะท้อนสิ่งที่ตัวเองทำ (เขียน) ได้ชัดขึ้น
แถมยังเริ่มได้ยิน เสียงตัวเอง แว่ว ๆ ขึ้นมาบ้างแล้วด้วยนะคะ อิอิ
ขอบคุณพี่เบิร์ดมากค่ะ จะพยายามต่อไปนะคะ
จู้ เค้า น๊า ทาเคชิ
แถ่น.. แถ่น.. แทน.. แทน.. แท๊น.. แทน.. แถ่น.. แท๊น.. แทน..
สวัสดีค่ะ
ตามมาอ่านตามที่คุณป้าหวานแนะนำ
ยาว อ่านจนตาลาย… แต่ดี …มาก ๆ ๆ
ขอบคุณมากค่ะ
กำลังรวบรวมมากกล้าที่จะเขียนอะไรที่มันเป็นเรื่องเป็นราวอยู่ค่ะ มันก็ไม่น่ายากแต่ทำไมต้องทำใจนานด้วยนะเรา เฮ้อ!