ภูมิปัญญาท้องถิ่น: ต้นทุนทางสังคมไทยในการจัดการความขัดแย้ง

ไม่มีความคิดเห็น โดย จอมป่วน เมื่อ 7 สิงหาคม 2011 เวลา 21:31 ในหมวดหมู่ จอมป่วน #
อ่าน: 2292

อาจารย์ บัณฑร อ่อนดำ ผู้เชี่ยวชาญด้านการมีส่วนร่วมของประชาชน

อดีตกรรมการปฏิรูป

บัณฑูร อ่อนดำ

อาจารย์เริ่มทำความเข้าใจกับแนวความคิดวัฒนธรรมชุมชนก่อน

อาจารย์ให้รายชื่อหนังสือให้ไปอ่าน  เช่น

  • แนวคิดวัฒนธรรมและเศรษฐกิจชุมชนกับการเปลี่ยนแปลงสังคมไทย (บริษัท สำนักพิมพ์สร้างสรรค์ จำกัด)
  • ภูมิปัญญา วิถีชุมชน  วิถีธรรมชาติ (ศยามล ไกยูรวงศ์และคณะ)
  • ภูมิปัญญาตะวันออกฝ่ามรสุมโลกาภิวัฒน์ (ยุค ศรีอาริยะ)
  • ภูมิปัญญาบูรณาการ (ยุค ศรีอาริยะ)
  • เกลืออีสาน….องค์ความรู้สู่ยุทธศาสตร์การจัดการอย่างยั่งยืน (เครือข่ายนักวิชาการนิเวศวัฒนธรรมอีสาน)
  • ราษีไศล ภูมิปัญญา สิทธิ และวิถีแห่งป่าทามแม่น้ำมูน (งานวิจัยไทบ้าน)
  • ฟื้นภูมิปัญญา ฝ่าวิกฤติโลก (เครือข่ายเกษตรกรรมทางเลือกภาคอีสาน)
  • ชุมชนปายกับกระบวนการสร้างวาทกรรมการพัฒนาและการกำหนดชะตากรรมของตนเองในแนวทางสิทธิมนุษยชน (คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ปี 2546-2549)
  • เยียวยาแผ่นดิน (คณะทำงานวาระทางสังคม สถาบันวิจัยสังคม จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย)

อาจารย์เล่าให้ฟังถึงเรื่อง สังคายนาวาติกันครั้งที่ 2

Altar-at-Vatican-II

……….ในสังคายนาครั้งนี้ มีพระสังฆราชเข้าร่วม 2860 องค์ พระสันตะปาปายอห์นที่ 23 ซึ่งเป็นผู้ประกาศให้มีสังคายนาครั้งนี้และได้ให้มีการเตรียมการก่อนถึงสาม ปีเศษ ได้เป็นผู้เปิดการประชุมเมื่อวันที่ 11 ตุลาคม 1962 ซึ่งได้ดำเนินไปจนถึงวันที่ 8 ธันวาคม 1965 จึงได้ปิดลง โดยพระสันตะปาปาปอลที่ 6 เป็นประธาน (เพราะพระสันตะปาปายอห์นที่ 23 ได้ถึงแก่อสัญกรรมในปี 1963 เมื่อสังคายนาได้ดำเนินมาเพียงภาคเดียว)

สังคายนาวาติกันที่ 2 สิ้นสุดลงพร้อมกับเอกสารสำคัญ 16 ฉบับ ซึ่งบรรดาพระสังฆราชได้ลงมติด้วยการออกเสียงสนับสนุนเป็นเอกฉันท์ ประกอบด้วยพระธรรมนูญ (Constitution) 4 ฉบับ กฤษฎีกา (Decrete) 9 ฉบับและปฏิญญา (Declaration) 3 ฉบับ……

จาก สังคายนาวาติกันครั้งที่ 2 เสรี พงศ์พิศ

อาจารย์สรุปว่า  ศาสนาคริสต์หันมามองในบริบทสังคมยุคใหม่  ศาสนาไม่ได้ช่วยอะไรเลย  ต้องปฏิรูปศาสนา

ศาสนาทำอะไรอยู่  รอคนเข้ามาหา  จะมีบทบาทอะไร?

แนวคิดการปฏิรูปศาสนา  ถ้าเป็นพระก็ต้องเป็นพระอยู่ในโลกนี้  ไม่ใช่อยู่นอกโลก  สรุปว่าต้องเปลี่ยนยุทธศาสตร์

ต้องลงไปหาประชาชน  ไปกิน  ไปอยู่ พลังของการปลดปล่อย  กอบกู้  หลุดพ้นอยู่ที่ประชาชน  ไปหามาให้เจอ

ทุกศาสนาค้นพบคล้ายๆกัน  “ความคิดของประชาชน แตกต่างจากพระและข้าราชการ”

อาจารย์พูดถึง

  • คุณพ่อนิพจน์ เทียนวิหาร จากศูนย์วิจัยและฝึกอบรมศาสนาและวัฒนธรรม อ. ดอยสะเก็ด เชียงใหม่  ที่ทำงานด้านคนลาวอพยพ
  • อาจารย์ฉัตรทิพย์ นาถสุภา  สนใจชุมชนด้านเศรษฐศาสตร์การเมือง
  • อาจารย์เทียนชัย วงศ์ชัยสุวรรณ หรือ ยุค ศรีอารยะ

ที่เริ่มสนใจวัฒนธรรมชุมชน  เริ่มค้นหาแนวความคิดของประชาชนตั้งแต่ทศวรรต ที่ 20 (ตั้งแต่ 2520..)

ชัชวาลย์ ทองดีเลิศ…….

…..แนวความคิดของชาวบ้านมีลักษณะเด่น 3 อย่าง

  1. เคารพธรรมชาติ  รวมถึงความเชื่อเรื่องผีสาง
  2. อยู่กันแบบพี่น้อง ญาติ
  3. มีการพึ่งพากันในชุมชน

แนวความคิดของคนข้างล่างมีอุดมการณ์  มีวัฒนธรรมเป็นทุนทางสังคม  และเปิดพื้นที่ทางสังคมใหม่ๆ

ภูมิปัญญาไม่ใช่เรื่องอดีตเท่านั้น  มีปัจจุบันด้วย  ไม่จำเป็นต้องเป็นภูมิปัญญาเก่า  แต่มีกระบวนการเรียนรู้ร่วมกัน  เกิดองค์ความรู้ใหม่ๆ

อาจารย์เล่าให้ฟังว่าเป็นที่ปรึกษาสมัชชาคนจน  และเกษตกรรายย่อยด้วย  เดิมก็ทำงานเกี่ยวกับภูมิปัญญาด้านการเกษตร  ภูมิปัญญาด้านยารักษาโรค(ยาสมุนไพร)

ไปทำงานด้านการมีส่วนร่วมที่ฮ่องกงอยู่พักนึง

การรวมกลุ่มมีทั้งการรวมกลุ่มเพื่อผลประโยชน์และการรวมกลุ่มเพื่อช่วยเหลือซึ่งกันและกัน

เดิมก็เข้าใจผิดเพราะเรียนมา  นึกว่าวิชาการใหม่ๆถูกต้อง  เชื่อและสอนแต่ทฤษฎีตะวันตก

ตอนหลังเปลี่ยนจากนักวิชาการมาเป็นนักปฏิบัติ – Activist

การลงแขกของเราก็เป็นการรวมกลุ่มอยู่แล้ว

ต่อสู้ระหว่างแนวความคิดสองด้าน  การเกษตรที่ใช้สารเคมี CP- เกษตรพันธะสัญญา vs เกษตรธรรมชาติ(ยั่งยืน)

ทศวรรตที่ 30

สมัยนายกฯ ชาติชาย  มีการแย่งชิงทรัพยากรธรรมชาติ  มีตัวละคร 3 ตัว

  1. ราชการ
  2. พ่อค้า นายทุน นักธุรกิจ
  3. ชาวบ้าน (ซึ่งแพ้มาตลอด)

อาจารย์พูดถึงการต่อสู้ทางแนวความคิดของ 2 ทฤษฎี คือ

  • กระบวนทัศน์ของชุมชนาภิวัฒน์- ตะวันออก
  • กระบวนทัศน์ของโลกาภิวัฒน์- ตะวันตก (ทุนนิยม)  ซึ่งทำให้ก้าวไปข้างหน้าแต่ขาดความเป็นมนุษย์

อาจารย์บอกว่าทางตะวันออกอธิบายด้วย เกิด แก่ เจ็บ ตาย เป็นวัฏจักร  แต่ของตะวันตก  ไปข้างหน้า  แล้วตกทะเลตาย

ความแตกต่างของความคิดของชาวบ้านกับระบบนายทุน  ไม่มีวันอธิบายได้ด้วยทฤษฎีของทางตะวันตก  ต้องใช้ทฤษฎีทางตะวันออกมาอธิบาย

ถ้ามีความขัดแย้งเกิดขึ้น  ภูมิปัญญาจะช่วยอะไรได้ไหม?

ต้องการศึกษาว่า ภูมิปัญญาจะช่วยแก้ไขความขัดแย้งอะไรได้บ้าง?  อย่างไร?

Post to Facebook Facebook


แลกเปลี่ยนเรียนรู้กับอาจารย์นพพร โพธิรังสิยากร

ไม่มีความคิดเห็น โดย จอมป่วน เมื่อ 6 สิงหาคม 2011 เวลา 23:43 ในหมวดหมู่ จอมป่วน #
อ่าน: 2168

ดร. สมหมาย ปรีชาศิลป์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดมุกดาหาร

ถ้าการเจรจาใช้กลุ่มจะได้ผลไหม?

อาจารย์นพพร โพธิรังสิยากร

ถ้าเจรจากับกลุ่มก็ใช้การเจรจากับตัวแทน  มีการจัดแบ่ง Stakeholder จะลดจำนวนคนที่จะเจรจาให้เหลือน้อยลง  เป็นอีกวิชาหนึ่งว่าด้วยการจัดการอารมณ์  การเปลี่ยนประเด็น การลดทุนทรัพย์  คงจะเป็นอาจารย์หมอวันชัยมาพูดเรื่องนี้

อับดุลอซิซ ตาเดอินทร์ ประธานฝ่ายสิทธิมนุษยชน สมาคมยุวมุสลิมแห่งประเทศไทย

การเจรจาต้องมี 2 ฝ่าย  สำหรับกรณีสามจังหวักชายแดนภาคใต้  ไม่ทราบว่าใครจะเป็นคู่เจรจา  หรือรัฐบาลไม่ยอมรับคู่เจรจา

อาจารย์นพพร โพธิรังสิยากร

ที่อาเจะห์ มินดาเนา ไอร์แลนด์เหนือ  อัฟริกาใต้ก็มีตัวแทนมาเจรจา  แต่ประเทศไทยการเมืองยังไม่นิ่ง  เลยไม่รู้จะเจรจากับใคร

หะยีสุหลงก็เป็นคนที่เรียกร้องให้กับ 4 จังหวัดภาคใต้ในขณะนั้น  แต่โอกาสไม่เอื้ออำนวย  ถูกจับ ถูกจำคุก  หลังจากพ้นโทษก็หายสาปสูญไปในปี 2497

แล้วใครล่ะจะกล้ามาเป็นตัวแทนมาเจรจา

ทำไมไม่ทำเหมือนในต่างประเทศ ?  การเมืองต้องนิ่งก่อน

…………อาจารย์คงหมายถึงรัฐบาลต้องมีเสถียรภาพ  มีอำนาจที่แท้จริง  สามารถกำหนดนโยบายต่างๆ  และทุกฝ่ายต้องดำเนินการตามนโยบายที่รัฐบาลได้เสนอต่อประชาชนและนโยบายที่ได้แถลงต่อสภาฯ ไว้

Post to Facebook Facebook


ศาสตร์และศิลป์แห่งการเจรจาไกล่เกลี่ย(3)

ไม่มีความคิดเห็น โดย จอมป่วน เมื่อ 6 สิงหาคม 2011 เวลา 22:18 ในหมวดหมู่ จอมป่วน #
อ่าน: 1693

ความสัมพันธ์มีความสำคัญในเรื่องของความขัดแย้ง

circle_of_conflict1

Circle of Conflict

จะเห็นว่าคนเราจะมีความขัดแย้งกัน

  • ด้านความสัมพันธ์
  • ข้อมูล
  • ผลประโยชน์
  • โครงสร้าง
  • ค่านิยม

ความสัมพันธืเป็นสิ่งที่สร้างได้ง่ายและสามารถทำลายได้ง่ายที่สุดด้วย

ความเสี่ยงช่วยสร้างและทำลายความสัมพันธ์  ความเสี่ยงน้อยความสัมพันธ์ก็จะดี  ความเสี่ยงมากความสัมพันธ์จะไม่ดี

ความหวง ความห่วงและความกังวลทำให้เกิดความเสี่ยง  ถ้าต้องการลดความเสี่ยงก็จะต้องลดความหวง ความห่วง  และความกังวลลงให้เหลือน้อยที่สุด  แล้วความสัมพันธืจะดีขึ้น  ความใส่ใจก็จะกลับมา

ในกรณีที่คนไข้ฟ้องหมอ  ก็เป็นเพราะความสัมพันธ์ไม่ดี  เพราะหมอทำให้เกิดความเสี่ยงมาก  พ่อแม่ ญาติพี่น้องพาคนไข้ไปโรงพยาบาลจะมีความเป็นห่วง  ความกังวลมาก  แต่ไปเจอหมอ  พยาบาล  บุคลากรในโรงพยาบาลท่าทีเฉยๆเพราะเจอมามาก  เห็นมามาก  รู้ว่าไม่เป็นอะไรมากก็มีท่าทีเฉยๆ  อาจจะรอผลแลป  ผลการตรวจเอกซ์เรย์  แต่ญาติเห็นไม่ทำอะไร  รู้สึกว่าไม่ใส่ใจ  ไม่เอาใจใส่  ห่วงมาก  กังวลมาก  ทำให้เกิดความเสี่ยงมาก

ต้องทำให้ความเสี่ยงน้อยลง  ในต่างประเทศโรงพยาบาลจะมีหลักสูตรบริหารความเสี่ยง  ลดความเสี่ยง  ทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างโรงพยาบาล  บุคลากรของโรงพยาบาลกับคนไข้และญาติดีขึ้น

การจะพบกันครึ่งทางหรือหารสองต้องสร้างโอกาสเริ่มจากลดความเสี่ยง  ทำให้ความสัมพันธ์ดีขึ้น

มนุษย์เรามีกิเลสซ่อนอยู่ในตัว  มนุษย์เรายากหรือจะไม่มีวันที่จะมองเห็นหรือยอมรับความดี  ประโยชน์ ความเป็นธรรม  ที่ผู้อื่นหยิบยื่นให้ ถ้าจะให้ผู้อื่นยอมรับต้องให้มีส่วนร่วม

6-8-2554 21-42-56

ความจริงเส้นดำทั้งสองเส้นเท่ากัน  แต่คนเรามักจะมองว่ามันไม่เท่ากัน

การเจรจาที่ไม่สำเร็จมักเกิดเพราะติดจุดยืน ถ้าไม่เอาหารสอง  ไม่เอาเกลี้ยกล่อม  ต้องการ win-win  ก็ต้องเจรจาที่เหตุ  ไม่ใช่เริ่มที่ผล  ยกตัวอย่างกรณีเขื่อนแก่งเสือเต้น  มีคนอยู่ 2 ฝ่าย  คือสร้าง กับไม่สร้าง

สร้างก็เป็นผล  ไม่สร้างก็เป็นผล  เจรจากันที่ผล  จึงไม่สำเร็จ  ต้องดึงมาเจรจาที่เหตุ

สร้าง(ผล) ทำไมอยากจะสร้าง เพราะจะได้บริหารน้ำและได้กระแสไฟฟ้า (เหตุ)

ไม่สร้าง(ผล) ไม่อยากให้สร้างเพราะกลัวสิ่งแวดล้อมจะเสียหาย  วิถีชุมชนจะเสียหาย

น้ำต้องบริหารไหม?  ต้อง

ไฟฟ้าจำเป็นไหม?   จำเป็น

สิ่งแวดล้อมเสียเอาไหม?    ไม่เอา

วิถีชุมชนเสียหายเอาไหม?  ไม่เอา

ก็คุยกัน  น่าจะเป็น win-win

ที่บราซิล  เจรจากันนานสิบปี  ตอนนี้สร้างเสร็จแล้วเพราะคุยกันที่เหตุ  เหตุเปลี่ยน  ผลก็เปลี่ยน

ยกตัวอย่างคดีมรดก  ทั้ง 2 ฝ่ายต้องการเป็นผู้จัดการมรดก  การหารสองป่านอาจทะเลาะกันหนักกว่าเดิม  ไม่จบกันง่ายๆ  ถ้าเริ่มที่หาความต้องการ  ทั้งสองฝ่ายต้องการหลักประกันว่าจะรวบรวมมรดกอย่างไร?  จะแบ่งอย่างไร?  ตกลงกันได้ตรงนี้  ใครจะเป็นผู้จัดการมรดกก็ไม่สำคัญแล้ว

กรณีคนสองคนทะเลาะกัน คนหนึ่งต้องการเปิดหน้าต่าง  อีกคนหนึ่งต้องการปิดหน้าต่าง  หาความต้องการ

คนหนึ่งอึดอัด  อยากให้อากาศระบาย  อีกคนหนึ่งบอกว่าลมพัด  กระดาษปลิว  ทำงานไม่ได้  คงไม่ตกลงกันว่างั้นก็แง้มๆหน้าต่างก็แล้วกัน  แต่ควรจะมานั่งคุยกันว่าทำอย่างไรถึงจะมีการระบายอากาศ  และลมก็ไม่พัดกระดาษปลิวจนทำงานไม่ได้

กรณีที่เจอศพเด็ก  2002 ศพ  ก็เกิดประเด็นทำแท้งดี  หรือไม่ให้ทำแท้ง  ซึ่งไปมองที่ผล  เถียงกันก็ไม่จบ  แต่ถ้ามามองที่เหตุ  ฝ่ายทำแท้งเพราะไม่อยากมีลูก ฝ่ายไม่ให้ทำเพราะกลัวผิดศีลธรรม  กลัวเป็นอันตราย  หันมาคุยกันว่าทำอย่างไรไม่ให้มีลูก  ไม่ผิดศีลธรรม  ไม่เป็นอันตราย  ก็พบคำตอบ  ทำอย่างไรไม่ให้มีเพศสัมพันธ์หรือให้มี Safe Sex  ไปเปลี่ยนที่ค่านิยม  หันมารณรงค์ให้ความรู้เพศศึกษาดีกว่า

นักศึกษาโอกาสในการไกล่เกลี่ยระดับชาติ  ระดับหน่วยงานน้อย  แต่โอกาสไกล่เกลี่ยเรื่องครอบครัว  เรื่องการหย่าร้าง  อาจมีพรรคพวกเพื่อนฝูงมาปรึกษา  ยึดหลักเหตุเปลี่ยน  ผลเปลี่ยน

คุยทีละฝ่าย

หาความต้องการของภรรยา

  • ไม่ต้องการให้เตะ  ซ้อม
  • ไม่อยากให้เมา
  • ไม่กลับบ้านดึก
  • ให้เกียรติกันบ้าง
  • ให้เงินใช้ตามสมควร
  • ทำการบ้านมั่ง
  • ฯลฯ

คุยกับทางสามีบ้าง

  • เตะทำไม? ซ้อมทำไม?
  • ทำไมเมา?
  • ทำไมกลับบ้านดึก?
  • ทำไมไม่ให้เกียรติ
  • ทำไมไม่ให้เงินใช้
  • ทำไมไม่ทำการบ้าน
  • ฯลฯ

ถ้าเปลี่ยนเหตุได้ก็จะเปลี่ยนผลได้

Post to Facebook Facebook


ศาสตร์และศิลป์แห่งการเจรจาไกล่เกลี่ย(2)

ไม่มีความคิดเห็น โดย จอมป่วน เมื่อ 6 สิงหาคม 2011 เวลา 21:00 ในหมวดหมู่ จอมป่วน #
อ่าน: 2374

ทำที่เหตุ   /   ทำที่ผล

เวลามีปัญหาต้องเข้าใจเหตุผล  แต่จริงๆมันแยกกัน  ต่างกัน  ต้องแยกเหตุออกจากผล  เหตุกับผลเกี่ยวข้องกัน

เหตุ คือสิ่งที่ก่อให้เกิดผล

ผล คือสิ่งที่สร้างมาจากเหตุ

6-8-2554 20-17-02

คนทะเลาะกัน  เจรจาให้ดีกันไม่มีทาง  เพราะเหตุไม่มี  ผลไม่เกิด

ถ้าต้องการทำที่ผล  ก็จะไม่เกิด  ต้องไปทำที่เหตุ  เช่นอยากให้ลูกนอน  บังคับให้ลูกนอน  ลูกก็จะนอนไม่หลับ    แต่ลองให้นั่งอ่านหนังสือ  อ่านแป๊บเดียวก็ง่วง  เพราะการอ่านหนังสือเป็นเหตุให้ง่วงนอน  ทำที่เหตุก็สำเร็จ

ผู้ชายเจอผู้หญิงแล้วชอบ  รัก  ถ้าลุยไปบอกรักทันที  ผู้หญิงเดินหนีแน่นอน  เพราะถ้าต้องการให้รัก  ไปทำที่ผล  ไม่ได้สร้างเหตุ

อะไรเป็นเหตุให้เกิดความรัก

  1. ความใกล้ชิด
  2. พิเศษ
  3. ความผูกพัน

ถ้าทำ 3 อย่างนี้ได้  รักแน่นอน

แต่บางครั้งก็ต้องสร้างเหตุซ้อนเหตุ  แล้วก็จะได้ผล

ผู้หญิงถ้าอยากบอกเลิกฝ่ายชาย  ไปบอกเลิกไม่ได้ผลเพราะไปทำที่เหตุ  จะไม่สำเร็จ  ถ้าจะเลิกได้สำเร็จต้องทำที่เหตุ  เช่นอยากเลิกกับแฟนก็ต้องทำสิ่งที่ผู้ชายไม่ชอบอย่างเคร่งครัด  3 เดือนเลิกแน่นอน  ไม่ต้องไปบอกเลิก

หรือต้องรักอย่างที่สุด เช่นไปหาทุกวัน  อะไรที่วิเศษที่สุดก็กระตุ้นให้ทำ  ให้เลิกเหล้า  ให้เลิกบุหรี่  ให้เลิกกลับบ้านดึก  ให้ออกกำลังกายทุกวัน  จู้จี้ๆๆๆๆ  บังคับให้ทำสิ่งที่ดีๆ  อย่างนี้ก็เลิกได้แน่นอน

6-8-2554 20-37-55

สิ่งที่ทำให้มนุษย์มีปัญหาเกิดจากจิตสำนึก 10%  เกิดจาดจิตใต้สำนึก 90%

จิตสำนึกไม่ได้ทำงานตลอดเวลา  แต่จิตใต้สำนึกทำงานตลอดเวลา

สิ่งที่ซ่อนอยู่ในจิตใต้สำนึกคือความเห็นแก่ตัว  ความเห็นแก่ได้  หรือก็คือความโลภนั่นเอง  ความโลภมีอยู่ในตัวคน 24 ชั้วโมง  โกรธ หลง  ไม่ได้อยู่ตลอด 24 ชั่วโมง

ถ้าตัดความโลภได้หมด  จะบรรลุจุดมุ่งหมายสูงสุดในแต่ละศาสนา

การแก้ปัญหาด้วยการเจรจาด้วยวิธีต่างๆ เช่น

  • ลุยให้แหลกไปข้าง (Contending, Conpeting)
  • ยอม (Yielding, Accommodating)
  • เฉยๆ (Inaction)
  • พบกันครึ่งทาง, หารสอง (Compromising)
  • ร่วมมือกันแก้ไขปัญหา (Collaborating)

อาจารย์ยกตัวอย่างเวลาไปซื้อส้มจากแม่ค้า  ก็จะเลือกส้มลูกที่ดีๆ  เวลาจ่ายตังก็จะเลือกเอาแบงค์เก่าๆจ่าย  ไม่มีใครเลือกส้มเน่าๆแล้วเอาแบงค์ใบใหม่สุดจ่ายแม่ค้า

ในการเจรจาไกล่เกลี่ย  การหารสองหรือพบกันครึ่งทางไม่ได้ผล  เพราะทุกคนอยากได้สิ่งที่ดี  และไม่อยากได้สิ่งที่ไม่ดี  มนุษย์เราไม่รู้ว่าตัวเองโลภ

ยกตัวอย่างเวลาซื้อของจากแม่ค้า ครึ่งกิโล  แม่ค้าจะหยิบหรือตักมาขาดก่อน  แล้วจะค่อยๆเติมจนครบครึ่งโล  แต่ถ้าหยิบหรือตักเกินครึ่งโลแล้วค่อยๆหยิบออกให้เหลือครึ่งโล  เราจะรู้สึกไม่ดี

การหารสองหรือพบกันครึ่งทางทำให้รู้สึกสูญเสีย  ไม่ดี

หารสองได้ความสัมพันธ์ต้องดี  ถ้าความสัมพันธ์ไม่ดี  หารสองไม่สำเร็จ

Post to Facebook Facebook


ศาสตร์และศิลป์แห่งการเจรจาไกล่เกลี่ย(1)

ไม่มีความคิดเห็น โดย จอมป่วน เมื่อ 6 สิงหาคม 2011 เวลา 19:51 ในหมวดหมู่ จอมป่วน #
อ่าน: 2244

 

อาจารย์นพพร โพธิรังสิยากร ท่านเป็นผู้พิพากษาศาลฎีกา  เป็นผู้ที่สนใจและทำงานด้านการเจรจาไกล่เกลี่ยของวงการยุติธรรมของประเทศไทยมาตั้งแต่เริ่มต้น  เป็นผู้ที่มีความสามารถและมีประสบการณ์  แถมบรรยายสนุก จนอับดุลอซิซ กล่าวขอบคุณอาจารย์ที่มาให้ทั้งความรู้และความบันเทิง

นพพร2

 

อาจารย์เริ่มจาก……

สัตว์มีความสามารถในการสื่อสารกัน  แต่มีเพียงมนุษย์ที่มีความสามารถในการเจรจา  แต่จะเจรจาเป็นหรือไม่เป็น  จะรู้วิธีเจรจารหรือไม่ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง

เวลาคนขับรถเฉี่ยวชนกัน  ก็ทะเลาะกัน  ผู้นำเจรจากับม็อบไม่สำเร็จก็เป็นเรื่องปกติ  เวลามีเรื่องก็เจรจากันไป  แต่วิธีการเจรจาจะแตกต่างกับการสื่อสาร

หลักการจัดการความขัดแย้งด้วยสันติวิธีมีอยู่สองด้าน  คือด้านการป้องกันและการแก้ไข  ก็ต้องอาศัยการเจรจาทั้งคู่   วิธีการป้องกันที่ดีที่สุดคือกระบวนการมีส่วนร่วม  กระบวนการแก้ไขความขัดแย้งวิธีที่ดีที่สุดคือการเจรจาไกล่เกลี่ย

ถ้าจะเริ่มต้นเจรจาไกล่ไกลี่ยต้องทราบอะไรบ้าง

อาจารย์ก็อธิบายคำภาษาจีน  It-国 ซึ่งแปลว่าประเทศ 

มาจากเส้นสามเส้นที่หมายถึงดิน คนที่ยืนอยู่บนดิน  และสวรรค์

ถ้ามีเส้นเชื่อมสามเส้นนี้เข้าด้วยกันก็หมายถึงฮ่องเต้  และถ้ามีติ่งเล็กๆที่ฮ่องเต้ถือก็หมายถึงหยก

แต่ถ้าขีดเส้นสี่เหลี่ยมล้อมรอบก็จะหมายถึงประเทศ

 

วิกฤติ

แล้วอาจารย์ก็อธิบายคำว่า ถ้าเอาตัวแรกคำว่าวิกฤติ (Danger) มารวมกับคำแรกของคำว่าโอกาส (Opportunity)จะเป็นคำใหม่ว่า ความขัดแย้ง (Conflict)

* แต่ไปค้นมา  ถ้าเอาคำแรกของคำว่าอันตราย (Danger) มารวมกับคำแรกของโอกาส (Opportunity) จะได้คำว่าวิกฤติ (Crisis)

เพราะฉะนั้นความขัดแย้งก็มาจากวิกฤติและโอกาส  มนุษย์เราจะมองเห็นวิกฤติก่อนเพราะเป็นคำแรกของคำว่าความขัดแย้ง  ในทุกความขัดแย้ง  ถ้าเรามองเป็นความขัดแย้งเป็นวิกฤติก็จะเจอแต่วิกฤติเป็นคำตอบ  ถ้าเรามองความขัดแย้งเป็นโอกาสก็จะเจอโอกาสเป็นคำตอบ  อยู่ที่มุมที่เรามองและความประสงค์ที่เราต้องการ  ยกตัวอย่างเด็กที่ชอบเถียง  เราอาจมองว่าเป็นเด็กที่มีปัญหา เป็นเด็กดื้อ  หรือเป็นเด็กที่ฉลาด กล้าคิดกล้าแสดงออก

หรือถ้ากลับบ้าน เมียบ่นๆๆๆๆๆ เราหงุดหงิดก็ทะเลาะกันแน่นอน แต่ถ้ากลับบ้าน  เมียบ่นๆๆๆๆๆ  ….โอ้ พระเจ้าได้บอกความบกพร่องของเราผ่านเมีย ….ก็เกม  มีความสุข

ทุกวิกฤติสร้างโอกาส

ยกตัวอย่างประเทศเกาหลี เมื่อ 17 ปีที่แล้วเกาหลีมีปัญหาความขัดแย้งในประเทศมี่รุนแรงมาก  ตีกันทุกวันนานถึง 3 ปี  เหมือนประเทศไทยหมดยกเว้นเรื่องเผาบ้านเผาเมือง  แต่ปัจจุบันก็แก้ไขข้อขัดแย้งได้และพัฒนาประเทศจนเจริญไปมาก

ที่อาเจะห์ อินโดนีเซีย ฟิลลิปปินส์  ไอร์แลนด์เหนือ  อัฟริกาใต้ต่างก็สามารถแก้ไขปัญหาข้อขัดแย้งได้

วิกฤติเป็นตัวจั้งให้ผ่านไปสู่โอกาส  คนที่สำเร็จก็ต้องผ่านวิกฤติมาก่อน  ไม่มีวิกฤติก็ไม่มีโอกาส

 

6-8-2554 19-10-46 

ถ้ารู้ว่าอีก 5 วันฝนจะตก  คงไม่มีใครกางร่มตั้งแต่วันนี้  มนุษย์เรามีเวลาแค่ 7 วินาทีที่จะลืม  ถ้าอยากจะจำต้อง Save ข้อมูลไว้ภายใน 7 วินาทีนี้

ถ้าปล่อยทิ้งไว้วิกฤติจะมากขึ้นเรื่อยๆ ปัญหาจะมากขึ้นเรื่อยๆ  อารมณ์ก็จะเกิดมากขึ้น  คนที่เกี่ยวข้องก็จะมากขึ้น  ประเด็นก็จะมากขึ้น  ทุนทรัพย์ก็จะมากขึ้น  ซึางจะทำให้การแก้ปัญหายากขึ้นเรื่อยๆ

ในความเป็นจริงจะมีสัญญาณเตือนตลอด  แต่เรามักไม่ให้ความสนใจ  1…2…3….4…5….6…7…วินาที  เราก็ลืมไปแล้ว  มนุุษย์เราถึงต้องมาแก้ปัญหาในระยะที่ 4 มาตลอด  คือปล่อยให้มันสุกงอม  ปัญหาลุกลาม  ใหญ่เกินจะแก้  ความขัดแย้งแก้ไขยิ่งเร็วยิ่งดี

คนเราทำผิดพลาดกันทุกคน  มีใครไม่เคยทำผิด?  มีใครมีสติตลอดเวลา?  คนเราทำผิดพลาดกันบ้างทุกคน  แต่ถ้าแก้ไขปัญหาทันทีก็ไม่มีปัญหา

ยกตัวอย่างน้องผู้หญิง กรณีรถซีวิคชนรถตู้ มีผู้เสียชีวิต 9 คน  แก้ปัญหาช้าเลยถูกคนทั้งเมืองด่า  เปรียบเทียบกับอีกกรณีที่ขับรถพุ่งชนคนเสียชีวิตแต่แก้ไขเหตุการณ์อย่างรวดเร็ว  ปัญหาจึงน้อยกว่า สังคมเงียบ

20100110184010_KKH2010-01-09.1

วันที่ ๙ ม.ค. ๕๓  ผู้อำนวยการโรงพยาบาลขอนแก่นและคณะผู้บริหารโรงพยาบาล  
ได้มอบเงินเยียวยาช่วยเหลือแก่ครอบครัวผู้ป่วยผ่าตัดต้อกระจก จำนวน ๖ ครอบครัว
และ วันที่ ๑๐ ม.ค. ๕๓ จำนวน ๒ ครอบครัว และได้กล่าวขอโทษในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น 
โรงพยาบาลขอนแก่นจะให้การดูแลรักษาต่อเนื่องตลอดชีวิตต่อไป  โดยดูแลดุจญาติมิตร 
ร่วมทุกข์ร่วมสุข  พร้อมกันนี้ได้กล่าวขอขอบคุณครอบครัวผู้ป่วยที่ให้อภัยโรงพยาบาลขอนแก่น 
และสร้างความมั่นใจแก่ผู้ป่วยในการดูแลรักษาพยาบาลต่อไป

….จาก website โรงพยาบาลขอนแก่น

ปลัดกระทรวงสาธารณสุข  และทางโรงพยาบาลก็ขอโทษ  ปลอบขว้ญและแก้ปัญหาทันที

การแก้ไขปัญหา ข้อขัดแย้งต้องทำให้รวดเร็ว  เพราะถ้าปล่อยไว้นาน  การเจรจาจะยากขึ้นๆ

 

Post to Facebook Facebook


ซักถาม แลกเปลี่ยนเรียนรู้กับลุงเอก

ไม่มีความคิดเห็น โดย จอมป่วน เมื่อ 4 สิงหาคม 2011 เวลา 15:08 ในหมวดหมู่ จอมป่วน #
อ่าน: 2977

เริ่มเปิดประเด็นโดยเจ้าเก่า พันเอก เอื้อชาติ หนุนภักดี นายทหารประจำกรมข่าวทหารบก

ถาม พม่าเคยรบกับจีน แต่สามารถพัฒนาความสัมพันธ์ให้ดีขึ้นได้  แต่เรายังมีปัญหารอบบ้าน  รวมที่งจีน เป็นเพราะประเทศไทยได้รับอิทธิพลจากทางตะวันตก  ถูกครอบงำโดยบางประเทศ

ลุงเอกตอบ

เราเปลี่ยนระบบ  รูปแบบการศึกษามา 40-50 ปีแล้ว  แต่ไป copy ต่างชาติมา  แม้กระทั่ง Militarization

สมัยก่อนกรมช่างอากาศ (ซึ่งเริ่มจากแผนกการบิน ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2456)  ของกองทัพอากาศสามารถสร้างเครื่องบินได้เอง

……

๒๔ พฤษภาคม ๒๔๕๘

สร้างเครื่องบินแบบ เบรเกต์ ชนิดปีก ๒ ชั้นเป็นผลสำเร็จ ได้ทดลองทำการบินโดยพันโท พระเฉลิมอากาศ ผู้บังคับการกองบินทหารบกเครื่องบินสามารถขึ้นสู่อากาศได้อย่างคล่องแคล่ว สามารถบินไปมาในระยะสูงประมาณ ๑๐๐ เมตร

๑๒ พฤษภาคม ๒๔๖๔

สร้างเครื่องบินนิออร์ปอร์ท และทำการบินได้สำเร็จ จำนวน ๔ เครื่อง การสร้างลำตัว ปีก หางและใบพัดของเครื่องบิน สร้างด้วยพันธุ์ไม้ที่เกิดขึ้นในประเทศไทย

ปี พ.ศ. ๒๔๗๐

ได้ทำการออกแบบและสร้างเครื่องบินทิ้งระเบิดแบบ บ.ท.๒ ซึ่งเครื่องบินแบบนี้เรียกว่า เครื่องบินบริพัตร เป็นเครื่องบินทิ้งระเบิด ๒ ที่นั่ง ปีก ๒ ชั้น ใช้เครื่องยนต์จูปิเตอร์ ๔๐๐-๖๐๐ แรงม้า ๑ เครื่อง ในปี พ.ศ.๒๔๗๒ ใช้บินเดินทางไปเยือนอินเดีย และในปี ๒๔๗๓ ได้บิน ไปฮานอย ปัจจุบันมีตัวอย่างให้ชมบริเวณช่องทางเข้าสโมสรนายทหารอากาศ บางซื่อ

ปี พ.ศ. ๒๔๗๒

ได้ออกแบบ และสร้างเครื่องบินขับไล่ แบบ ข.๕ ซึ่งเครื่องบินแบบนี้เรียกว่า“เครื่องบินประชาธิปก” ตามพระนามพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวที่ได้พระราชทานชื่อไว้ นับว่าเป็นเครื่องบินแบบที่สองที่ออกแบบและสร้างเองโดยคนไทย

๑๕ มิถุนายน ๒๔๗๒

ได้สร้างเครื่องบินแบบนิออร์ปอร์ท โดยใช้เครื่องยนต์เลอโรน ๘๐ แรงม้า จำนวน ๑ เครื่อง

ปี พ.ศ. ๒๔๙๐

พัฒนาการสร้าง บ.ทอ.๒ ดัดแปลงชุดหางจากเครื่องบินสื่อสาร แบบที่ ๕ ซึ่งเดิมเป็น V Type ให้เป็นแบบใช้แพนหางดิ่ง และแพนหางระดับ แผนแบบ บ.ทอ.๓ และผลิตหุ่นจำลองขนาด ๑:๖ ไปทดลองที่ประเทศญี่ปุ่น, บ.ทอ.๔ ใช้แบบจากเครื่องบินฝึก แบบที่ ๙ โดยเปลี่ยนเครื่องยนต์และแผ่นโครงสร้างบริเวณปีก และลำตัวจำนวน ๑๒ เครื่อง เข้าประจำการกองทัพอากาศเป็นเครื่องบินฝึก แบบ ๑๗

๒๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๑๔

พัฒนาเครื่องบินแบบ บ.ทอ.๔ เป็นเครื่องบินแบบฝึก ปีกชั้นเดียว ๒ ที่นั่งตามกัน ฐานพับไม่ได้ ใช้เครื่องยนต์คอนติเนนตัลไอโด-๓๖๐ ดี กำลัง ๒๑๐ แรงม้า จำนวน ๑๒ เครื่อง ทำการบินครั้งแรกเมื่อวันที่ ๒๕ กันยายน ๒๕๑๕

ปี พ.ศ. ๒๕๑๗

แผนแบบด้านโครงสร้างและอากาศพลศาสตร์ บ.ทอ.๕ โดยทำการสร้างและทดสอบการบิน จำนวน ๑ เครื่อง

ปี พ.ศ.๒๕๒๖

สร้างเครื่องบิน Fantriner ร่วมกับบริษัท RHEIN FLUGZEUGBAU GMBH จากประเทศเยอรมนีและได้บรรจุเข้าประจำการกองทัพอากาศ เป็นเครื่องบินฝึกแบบ ๑๘/ก (FT ๔๐๐ และ FT ๖๐๐) จำนวน ๒๐ เครื่อง

จากประวัติและความเป็นมาของกรมช่างอากาศ

ตอนหลังมารับความช่วยเหลือจากต่างชาติแบบให้เปล่า  ปัจจุบันสร้างไม่ได้แล้ว  ตอนนี้ต้องซื้อทั้งหมด  ชุดความรู้หายไปหมดเลย

ในวงการทหารก็ copy หมดทุกอย่าง

จีนไม่เคยส่งทหารออกรบนอกประเทศเลย  แต่เราก็ระแวงว่าเป็นภัยคุกคาม

อีกส่วนหนึ่งก็เป็นเพราะระบบการศึกษาไม่ได้ให้ความสนใจประวัติศาสตร์  ถูกครอบงำด้วยวิถีของอาหาร  ความเป็นอยู่  และวัฒนธรรม

สิงห์ชัย ทุ่งทอง สมาชิกวุฒิสภา

ในอาเซียน  ประเทศไหนมีความเป็นชาตินิยมมากที่สุด  อเมริกาไม่มีประวัติศาสตร์  ไทยมีความสวยงามผ่านประเพณีวัฒนธรรม

เรื่องแบบนี้ต้องโทษผู้นำ

สรุปว่าสิ่งที่พัฒนาไม่ได้มองตัวเอง  คนไทยสำนึกในความเป็นไทยน้อยลง  ขาดความเป็นมาและความเชื่อมโยง

สถาบันพระปกเกล้าน่าจะมีบทบาทมากกว่านี้  น่าจะเป็นส่วนนำ  ทำอะไรมากกว่านี้  แต่ก็ไม่รู้ว่าจะเริ่มที่ไหน?  เริ่มเมื่อไหร่?

พล.ต.ต. วีรพงษ์ ชื่นภักดี รองผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 1 กองบัญชาการตำรวจภูธรภาค 1 สำนักงานตำรวจแห่งชาติ

4-8-2554 14-21-05

รัฐธรรมนูญระบุราชอาณาจักรไทยไม่สามารถแบ่งแยกได้

ประเทศเยอรมัน  ใน พ.ศ.2549 ไม่เห็นด้วยกับการปฏิวัติเลยไม่ยอมขายอาวุธปืน HK ให้กับประเทศไทย

ต่างชาติหลายๆประเทศไม่ยอมรับการปฏิวัติ

สิงห์ชัย ทุ่งทอง สมาชิกวุฒิสภา

คณะของวุฒิสภาไปศึกษาดูงานต่างประเทศ  ต่างประเทศไม่ให้ความสนใจ  ไม่ให้เกียรติเพราะการปฏิวัติ

ลุงเอก

อเมริกาตัดทุนการศึกษาทันทีช่วงปฏิวัติ

อับดุลอซิซ ตาเดอินทร์ ประธานฝ่ายสิทธิมนุษยชน สมาคมยุวมุสลิมแห่งประเทศไทย

ดู VCD เมืองชายแดนจีน-พม่า  เปรียบเทียบกับ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้  ไม่ให้ใช้ภาษามลายูเป็นภาษาที่สอง  ซึ่งการใช้ภาษามลายูจะสามารถเชื่อมกับประเทศต่างๆได้อีกมาก  น่าจะมีการผลักดันให้ใช้จุดแข็งมาเป็นประโยชน์มากกว่านี้

ลุงเอก

พม่าพูดไทยได้ 4 ล้านคน

กัมพูชาพูดไทยได้หลายแสนคน

มาเลย์ก็พูดไทยได้มากมาย

แต่คนไทยที่รู้ภาษาของประเทศเพื่อนบ้านรอบๆบ้านเรามีน้อยมาก  แต่เราเรียนภาษาฝรั่งเศส  เยอรมัน ฯ กัน

เรารู้เรื่องโลกก่อน  แล้วมาสนใจ  สังคม  ตัวเรา  แต่ความจริงเราต้องรู้เรื่องตัวเราก่อน  แล้วรู้เรื่องของสังคมบ้านเรา  สังคม(ภาษา วัฒนธรรม ศาสนา) ของเพื่อนบ้านด้วย  แล้วค่อยไปรู้เรื่องโลก

ดร. สุนทรียา เหมือนพะวงศ์ ผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์

เพิงกลับจากเยอรมัน  ไปเพื่อแลกเปลี่ยนเรียนรู้เรื่อง “โลกแห่งคุณค่าที่แตกต่าง” เราไม่รู้จักคนรอบๆข้างในอาเซียนเลย

มีการจัด Cross Border Dialogue โดยจัดคุยกันที่เสียมเรียบ อยุธยา  พุกาม

ได้เรียนรู้ว่า กัมพูชาโกรธไทย  ไทยก็โกรธพม่า  มีความรู้สึกว่าทำไมเราเกลียดกันได้ถึงขนาดนี้

เลยมีประเด็นในใจว่าประวัติศาสตร์ถูกไหม?  หรือเป็นเพราะวิธีคิดของพวกเรา

ทำไมเราจัดกันเองไม่ได้?  ต้องให้เยอรมันคิดและออกเงินให้เราคุยกัน

กัมพูชาโกรธและเกลียดไทยมาก  ย้อนมาคิดเรื่องคนไทยเราก็โกรธและเกลียดพม่า  มีอะไรผิดปกติ?  จะเปลี่ยนอะไร?  อย่างไร?

มุมมองความถูกต้องก็เรื่องหนึ่ง ?

มุมมองด้านสันติสุขก็อีกเรื่องหนึ่ง?

ได้เรียนรู้เรื่องอดีตและวิธีมองเรื่องอนาคตมากเลย

เกียรติเกริกไกร ใจสมุทร รองเลขาธิการมูลนิธิอัศนี พลจันทร(นายผี)

เราได้พบจุดอ่อน ข้อบกพร่องของคนไทย  ประวัติศาสตร์ไทย  จริงๆแล้วเราได้บทเรียนอะไร?

ความสัมพันธ์ภายในประเทศ

ความสัมพันธ์กับเพื่อนบ้าน

จะนำบทเรียนไปใช้พัฒนาได้อย่างไร?

ลุงเอก

ต้องไม่ให้รัฐบาล  คณะรัฐมนตรี  เห็นว่าเรื่องราวต่างๆนี้เป็นของส่วนตัว

ต้องให้ประชาชนมีส่วนร่วมมากกว่านี้

รศ. ดร. ประเสริฐ ชิตพงศ์ สมาชิกวุฒิสภา

ไทยจะเป็นสมาชิกอาเซียน

ไทยสอนประวัติศาสตร์ให้รักชาติมากขึ้น vs การจะอยู่ร่วมกับประเทศเพื่อนบ้าน  เป็นประวัติศาสตร์บาดหมาง

ประวัติศาสตร์หรือการใช้ประวัติศาสตร์  อะไรมีปัญหา ?  ตัวประวัติศาสตร์หรือการนำประวัติศาสตร์มาใช้

ประวัติศาสตร์ทำให้เราคิดว่าเรายิ่งใหญ่ที่สุด  ดีที่สุดในอาเซียน  ไม่สนใจคนอื่น

ต้องเขียนประวัติศาสตร์  เรียนประวัติศาสตร์กันใหม่

มุมมองของคนไทยกับภายนอกที่มองเข้ามาต่างกัน

นฤมล ศิริวัฒน์ สมาชิกวุฒิสภา

สังคมไทยเป็นสังคมปากว่า ตาขยิบ

สอนให้เคารพ  แต่เราไม่เคยเคารพใคร

สอนให้เท่าเทียม  แต่คิดว่าตัวเองดีกว่าคนอื่น

Modernization without Development

Post to Facebook Facebook


พระมหากษัตริย์ไทยกับสันติวิธี (4)

ไม่มีความคิดเห็น โดย จอมป่วน เมื่อ 4 สิงหาคม 2011 เวลา 12:47 ในหมวดหมู่ จอมป่วน #
อ่าน: 1976

“สงครามไม่ใช่คำตอบสุดท้ายของการแก้ปัญหาชายแดนไทยกับประเทศเพื่อนบ้าน” โดย พลเอก เอกชัย ศรีวิลาศ

ลุงเอกฉาย VCD ให้ดูแล้วเล่าแนวคิดของจีนให้ฟัง

ตามนโยบายมุ่งสู่ใต้ของจีนที่ต้องการเปิดเส้นทางค้าขายของจีนทางใต้ผ่านอินโดจีนและหาทางออกทะเลทั้งทางด้านทะเลอันดามัน, มหาสมุทร์อินเดีย, ทะเลจีนใต้  และอ่าวไทย

มีการขับเคลื่อนผ่านกรอบความร่วมมือสี่เหลี่ยมเศรษฐกิจที่มุ่งเปิด เส้นทางคมนาคมจากซีหนาน-อาเซียนผ่าน คุน-มั่ง กงลู่ หรือถนนคุนหมิง-กรุงเทพฯ (ทั้ง R3b ผ่านพม่า และ R3a ผ่านสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (สปป.ลาว), รวมทั้งเส้นทางเดินเรือในแม่น้ำโขง ตอนบน โดยมีท่าเรือจิ่งหงหรือเชียงรุ่งเป็นเกตเวย์ในการขนถ่ายสินค้าเข้า-ออก

จีนจะใช้เส้นทางคมนาคมขนส่งและเส้นทางรถไฟผ่านพม่าเป็นเส้นทางส่งน้ำมันและก๊าซธรรมชาติผ่านมายังมหาสมุทร์อินเดีย

(ถ้าสนใจเรื่องนี้ก็ดูเรื่อง North-South Corridor, East-West Corridor, Northern Corridor, Central Corridor, Eastern Corridor, Northeastern Corridor ฯ)

นี่ยังไม่รวมเรื่องทางรถไฟความเร็วสูงที่จีนจะสร้างมาที่เวียงจันทร์ ไทย สิงคโปร์

ก่อนปี 1990 สินค้าไทยครองตลาดพม่าได้กว่า 80%  ทั้งอาหาร เครื่องอุปโภคบริโภค เสื้อผ้า ฯลฯ โดยส่งผ่านชายแดน ระนอง กาญจนบุรี แม่สอด แม่ฮ่องสอน เชียงใหม่ และแม่สาย ที่เหลือจะเป็นสินค้าจากจีน อินเดีย สิงคโปร์ เป็นต้น


แต่หลังจากจีนเปิดชายแดน จนถึงช่วงหลังปี 2000 ปรากฏว่าในตลาดพม่าสินค้าจีนสามารถครองส่วนแบ่งได้มากถึง 50-60%  ขณะที่สินค้าไทยเหลือเพียง 20-30% ที่เหลือเป็นสินค้าจากอินเดีย สิงคโปร์  เหตุผลสำคัญ เนื่องจากสินค้าจีนมีราคาถูกกว่า

และที่ชายแดนจีน-พม่า ระหว่างเมืองมูเซของพม่ากับรุ่ยลี่ เขตปกครองตนเองของชนชาติไต  ที่เต๋อหง มณฑลยูนาน ของจีน ถูกใช้เป็นแหล่งท่องเที่ยว เป็นพื้นที่พัฒนาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ต่อยอดไปสู่การพัฒนาการค้า-การลงทุนระหว่างกัน

ที่หมู่บ้านน่งเต่า (ในสำเนียงชาวไต หรือไทลื้อ) หรือ “หนองเตา” จีนและพม่าปักหลักเขตแดนผ่านหมู่บ้านที่เป็นชุมชนชายแดนจีน-พม่า ที่เส้นพรมแดนตัวกำหนดเขตแดนรัฐชาติของ 2 ประเทศไม่มีผลต่อวิถีชีวิตของผู้คนในชุมชน

หมู่บ้านที่มีกว่า 100 ครัวเรือนแห่งนี้ถูกเส้นเขตแดนผ่าลงกลางหมู่บ้าน กลายเป็น “1 หมู่บ้าน 2 ประเทศ   ชาวบ้านในหมู่บ้านแห่งนี้ยังคงดำเนินวิถีชีวิตกันตามปกติ สามารถข้าม แดนไปมาภายในหมู่บ้านได้โดยไม่ต้องตรวจลงตราเอกสารผ่านแดนใดๆ  ซึ่งแสดงให้เห็นว่า “เขตแดน” เป็นเพียงองค์ประกอบในความเป็นรัฐชาติของทั้ง 2 ประเทศเท่านั้น

บริเวณริมเส้นเขตแดนมีบ่อน้ำมิตรภาพ  เป็นบ่อน้ำบาดาลซึ่งคนในหมู่บ้านแห่งนี้ใช้มาตั้งแต่รุ่นปู่ ย่า ตา ยาย จนทุกวันนี้ มีหม้อกรองน้ำดื่มที่สร้างขึ้นใหม่ทับเส้นเขตแดน โดยด้านหนึ่งเขียนไว้ว่าพม่า และอีกด้านหนึ่งระบุว่าอยู่ฝั่งจีน กลายเป็น “บ่อน้ำบาดาล 2 ชาติ” ไปโดยปริยาย

มีชิงช้ามิตรภาพกลางหมู่บ้าน ที่สร้างขึ้นบนเส้นเขตแดนเป็นส่วนหนึ่งของสัญลักษณ์ความเป็น 1 หมู่บ้าน 2 ประเทศ เมื่อผู้นั่งโล้ชิงช้าไปด้านหลังก็จะเข้าไปอยู่ในเขตประเทศพม่า ถ้าโล้มาด้านหน้าก็จะอยู่ในเขตจีน

ทางการจีนโปรโมตให้หมู่บ้านแห่งนี้เป็น 1 ในแหล่งท่องเที่ยวสำคัญของรุ่ยลี่

ทิศทางของสถานการณ์โลกในอนาคต

สถานการณ์ความมั่นคงมีความเปราะบาง

ความขัดแย้งระหว่างรัฐและภายในรัฐขยายวงกว้างในทุกภูมิภาค

ผลประโยชน์ของประเทศทับซ้อนกันมากขึ้น

การกอบโกยแย่งชิงทรัพยากรของรัฐต่างๆ

มีแนวโน้มจะใช้กระบวนการทางการเมืองแก้ไขปัญหาแทนการสู้รบด้วยอาวุธ

ความขัดแย้งในรูปแบบใหม่ที่เกิดจากแตกต่างในเชื้อชาติ ศาสนา วัฒนธรรม  ต้องมีมาตรการแก้ไขที่ไม่ให้ขยายขอบเขตกว้างขวางขึ้น

ต้องมีมาตรการป้องกันไม่ให้ความขัดแย้งในระดับปัจเจกบุคคลหรือกลุ่มผลประโยชน์ทางการเมืองไม่ให้ขยายตัวเป็นความขัดแย้งขนาดใหญ่  ที่มีผลกระทบต่อสันติภาพและความมั่นคงของประเทศต่างๆ

ลุงเอกตบท้ายด้วยมุมมองของประเทศต่างๆต่อประเทศไทย

คนไทยถูกสอนให้เชื่อเรื่องเขตแดนทางกายภาพมากกว่าเขตแดนสายสัมพันธ์  ในอนาคตเขตแดนของกลุ่มประเทศอาเซียนจะค่อยๆลบเลือน  ประเทศในยุโรปที่มีความขัดแย้งเรื่องเขตแดนก็จบลงด้วยความร่วมมือทางเศรษฐกิจ

เราอาจจะเถียงคอเป็นเอ็นว่าเป็นเรื่องภายในของประเทศไทยเรา  ประเทศอื่นๆไม่ต้องมายุ่ง  แต่รู้ไว้ว่าโลกมองประเทศไทยเราอย่างไรก็คงมีประโยชน์บ้าง

มีการจัดอันดับ Peace Country  โดยตัวชี้วัดจะให้น้ำหนัก Internal Peace 60%  และ External Peace  40%

ประเทศไทยอยู่อันดับที่ 107  ได้คะแนน  2,247 คะแนน

มาเลเซีย    อยู่อันดับที่ 19    ได้คะแนน  1,467 คะแนน

เวียตนาม    อยู่อันดับที่ 30    ได้คะแนน  1,670 คะแนน

ลาว           อยู่อันดับที่ 32   ได้คะแนน  1,687 คะแนน

เกาหลีใต้    อยู่อันดับที่ 50    ได้คะแนน  1,829 คะแนน

อินโดนีเซีย  อยู่อันดับที่ 68    ได้คะแนน  1,979 คะแนน

จีน            อยู่อันดับที่ 80    ได้คะแนน   2,054 คะแนน

………..

Uganda     อยู่อันดับที่ 96    ได้คะแนน  2,159 คะแนน

800px-Global_Peace_Index_2011

4-8-2554 12-18-46

4-8-2554 12-17-41

ไม่ต้องตกใจนะครับ  ประเทศไทยเราเริ่มดีขึ้น  เริ่มไต่อันดับจากอันดับที่ 118 ในปี 2008-2009  และอันดับที่ 124 ในปี 2010  มาเป็นอันดับที่ 107  ในปีนี้  ……..อิอิ

ถ้าสนใจก็ไปดูได้ที่ Global Peace Index

ยกตัวอย่างตัวชี้วัดการสร้างสังคมสันติสุข

  • การให้การต้อนรับชาวต่างชาติ (Hospitality to foreeigners) คงหมายถึงแรงงานต่างด้าวด้วย
  • การรวมกลุ่มในภูมิภาคอย่างลุ่มลึก (Depth of regional intregration)  อันนี้ดูจากการสำรวจความรู้สึกว่าเป็นประชากรอาเซียนเมื่อปี 2008 ไทยก็อยู่อันดับที่ 8 ได้ 67.0%  ขณะที่ลาวได้ 96.0% , กัมพูชาได้ 92.7%, เวียตนามได้ 91.7%  และมาเลเซียได้ 86.8%  และการสำรวจความคุ้นเคยกับอาเซียนและความอยากรู้เกี่ยวกับประเทศอาเซียนอื่นๆ    ประเทศไทยก็ได้คะแนนท้ายๆ  แสดงว่าประเทศไทยไม่ได้ให้ความรู้เกี่ยวกับอาเซียนแก่ประชาชนเท่าที่ควร
  • การมีความสัมพันธ์ที่ดีกับประเทศเพื่อนบ้าน (Relation with neighbors)  ก็รู้สึกว่าประเทศเราจะมีความสัมพันธ์ที่ไม่สู้ดีนักกับประเทศต่างๆในอาเซียน

นี่ยังไม่รวมถึงความสงบภายใน ที่ความขัดแย้งยังเป็นปัญหาหลักและยังไม่มีทีท่าว่าจะสงบลงได้ในอนาคตอันใกล้

การก้าวข้ามเพื่อนำชาติไทยไปสู่สังคมสันติสุข

  • คนไทยต้องศึกษาประวัติศาสตร์ให้รู้ความเป็นมาของชาติไทย
  • ลดทัศนคติที่มองเพื่อนบ้านเป็นศัตรู
  • อยู่กับความจริง(Truth)  ให้อภัย  ยกโทษให้กัน(Forgiveness)  ประนีประนอมคืนดีกัน(Reconcillation)  เพื่อสร้างความปรองดองในภูมิภาค
  • สงครามไม่ใช่ทางออกของปัญหา
  • สันติมิใช่ทางเลือกในการจัดการปัญหา  แต่เป็นทางเดียวที่จะจัดการปัญหาได้

แล้วนโยบายของประเทศไทยเป็นอย่างไร ?

เรามีปัญหาทั้งภายในประเทศและมีปัญหาระหว่างประเทศ ประเทศไทยมีนโยบายหรือมุมมองต่อเรื่องเหล่านี้อย่างไร ?

ถ้าปัญหาในบ้านเรายังแก้ไม่ได้  แล้วเราจะแก้ปัญหากับเพื่อนบ้านได้อย่างไร?

Post to Facebook Facebook


พระมหากษัตริย์ไทยกับสันติวิธี (3)

ไม่มีความคิดเห็น โดย จอมป่วน เมื่อ 3 สิงหาคม 2011 เวลา 22:41 ในหมวดหมู่ จอมป่วน #
อ่าน: 3299

“สงครามไม่ใช่คำตอบสุดท้ายของการแก้ปัญหาชายแดนไทยกับประเทศเพื่อนบ้าน” โดย พลเอก เอกชัย ศรีวิลาศ

ลุงเอกเริ่มด้วยการเล่าถึงพระราชกรณียกิจของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว  ในการจัดการความขัดแย้งปัญหาชายแดนแล้วเริ่มเปรียบเทียบกับเหตุการณ์ในปัจจุบัน  โดยเปรียบเทียบว่าประเทศอื่นๆจัดการปัญหาชายแดนอย่างไรเปรียบเทียบกับประเทศไทย

ศ. ดร. Benedict O’gorman Anderson กล่าวไว้ในงานสัมมนาวิชาการอุษาคเนย์ ครั้งที่ 6 ประจำปี 2552  อุษาคเนย์: อคติที่แอบแฝงสู่ความขัดแย้งที่ไม่รู้จบ วันศุกร์ที่ 30 มกราคม พ.ศ. 2552  ณ หอประชุมศรีบูรพา (หอเล็ก) มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ ในปาฐกถานำ  ลัทธิชาตินิยมเก่า VS ชาตินิยมใหม่ ? ในสังคมไทย

…..

“ชะตากรรม อาเซียน จากอคติที่แอบแฝงสู่ความขัดแย้งที่ไม่รู้จบ อาเซียนน่าจะหันมามองความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับมนุษย์ สิ่งนี้คือ “สุคติ” ของอาเซียน  ต้องใช้คำว่าเปลี่ยนเหมือนโอบามา  เพราะถ้าไม่เปลี่ยนอาเซียนก็เหมือนลูกโป่งที่ลอยอยู่สวยงามแต่ทำอะไรไม่ได้”

“อาเซียนมีอยู่เพื่อให้เราอุ่นใจ แต่ผลความสำเร็จอย่างจริงจังยังไม่เกิดขึ้นเพราะเน้นการร่วมมือกันพัฒนาทางวัตถุมากกว่าการเน้นความร่วมมือทางการพัฒนาส่งเสริมเรื่องของมนุษย์กับมนุษย์ จะต้องเปลี่ยนวิธีคิด  ถ้าคนยังไม่เข้าใจซึ่งกันและกัน  ไม่เห็นใจกัน  เศรษฐกิจจะดีได้อย่างไร  มนุษย์คือทุนที่สำคัญที่สุดในการพัฒนา”

ลุงเอกก็เสนอความเห็นไว้ว่า  ปัญหาเส้นเขตแดนเป็นเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ  ต้องเปลี่ยนให้เป็นการสร้างเส้นเขตแดนสายสัมพันธ์  สร้างแม่น้ำสายสัมพันธ์  สร้างความสัมพันธ์ทางศาสนา  สร้างความสัมพันธ์ทางวัฒนธรรม  และสร้างความสัมพันธ์ทางเชื้อชาติเผ่าพันธ์

ยกตัวอย่างสาธารณรัฐประชาชนจีนมองเส้นเขตแดนคือโอกาสของประเทศ  ก้าวข้ามความขัดแย้งในอดีต  เริ่มตกลงปักหมุดเขตแดนทางบกระหว่างจีนกับเวียตนาม

เขตแดนทางบกระหว่างสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียตนามกับสาธารณรัฐประชาชนจีน  มีความยาวประมาณ 1,450 กิโลเมตร  หลังจากทำสงครามกันมานานก็มีความสัมพันธ์ระหว่างกันด้วยสนธิสัญญาและการปักปันเขตแดน  เริ่มขึ้นในปี พ.ศ. 2534

มีการตกลงชั่วคราวว่าด้วยการแก้ไขปัญหาชายแดนระหว่างสองประเทศ  จนสำเร็จในปี พ.ศ. 2552  ปักหลักเขตแดนทั้งสิ้น 1,970 หลัก  ใช้เวลาเพียง 20 ปี

ที่ประสบความสำเร็จเพราะได้มองข้ามปัญหาความขัดแย้งที่เคยมีในอดีตและหันมาร่วมมือกันสร้างสันติภาพ ความเจริญให้เกิดขึ้นระหว่างภูมิภาคได้อย่างน่าชื่นชม  ก่อให้เกิดความร่วมมือทางด้านเศรษฐกิจ, สังคม, วัฒนธรรม ระหว่างกันอย่างพึ่งพาอาศัยกันและกัน  เป็นผลดีกับทั้งสองฝ่าย

รัฐบาลทั้งสองประเทศได้ผ่านกระบวนการเจรจากัน  ในปัญหาการปักหลักเขตแดนทางบก  ในพื้นที่ 232 ตารางกิโลเมตร  สุดท้ายได้ข้อสรุปที่เป็นที่ยอมรับของทั้งสองฝ่ายว่าสาธารณรัฐประชาชนจีนได้พื้นที่ 117.1 ตารางกิโลเมตร  สาธารณนัฐสังคมนิยมเวียตนามได้พื้นที่ 114.9 ตารางกิโลเมตร เป็นต้น

ลุงเอกเล่าถึงภูมิศาสตร์แบบไข่แดง (Encave/Excave) ซึ่งใช้เรียกดินแดนส่วนหนึ่งของประเทศใดประเทศหนึ่งที่ไม่ได้ตั้งอยู่บนแผ่นดินของประเทศตัวเอง  แต่ตั้งอยู่บนแผ่นดินของประเทศอื่น  สาเหตุที่ทำให้เมืองของประเทศหนึ่งไปอยู่อีกประเทศหนึ่ง  มีสาเหตุมาจากเงื่อนไขในอดีตก่อนเกิดพรมแดนแบบรัฐชาติ  เช่น อาจจะมอบเมืองให้เป็นของกำนัลให้กัน  เป็นต้น

ยกตัวอย่างภูมิศาสตร์ไข่แดงในยุโรป  เป็นการจัดการพื้นที่ข้ามจินตนาการรัฐชาติ  เช่นกรณีหนึ่งหมู่บ้านสองแผ่นดิน  ส่วนของหมู่บ้านที่เรียกว่าบาร์เลอร์นาซเซาเป็นของประเทศเนเธอร์แลนด์  ส่วนบาร์เลอร์แฮร์ท็อกเป็นของประเทศเบลเยียม  ซึ่งเป็นเรื่องปกติที่พบทั่วไปในยุโรปตั้งแต่ยุคกลางเรื่อยมาจนถึงประมาณคริสต์ศตวรรษที่ 18-19

141637-1-9515 141637-4-4770

141637-7-3479 141637-9-3855

รูปจาก  ดูคนเบลเยี่ยม/เนเธอร์แลนด์ เขาแบ่งเขตแดนกัน‏

การเจรจาเรื่องเขตแดนของเบลเยียมและเนเธอร์แลนด์เริ่มขึ้นอย่างจริงจังประมาณ พ.ศ. 2372  ยืดเยี้อมานาน  เสร็จสมบูรณ์ในเดือนกันยายน พ.ศ. 2529  สามารถลงนามในข้อตกลงความร่วมมือข้ามพรมแดน  และข้อตกลงนี้เริ่มมีผลบังคับใช้ในเดือนเมษายน พ.ศ. 2534 และเสร็จสมบูรณ์ในปี พ.ศ. 2538  รวมการเจรจาใช้เวลา 156 ปี

หรือกรณีหอระฆังที่ขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกร่วมกันระหว่างเบลเยียมและฝรั่งเศส  เป็นมรดกโลกข้ามพรมแดนภูมิภาคและรัฐชาติ   หอระฆัง ๒๓ หอ ในตอนเหนือของฝรั่งเศสและหอระฆังแห่งจอมบลูซ์ (Gembloux) ในเบลเยียมได้รับการขึ้นทะเบียนมรดกโลกเป็นกลุ่ม เป็นส่วนต่อขยายจากหอระฆัง ๓๒ หอของเบลเยียม ที่ได้รับการขึ้นทะเบียนใน คริสต์ศักราช ๑๙๙๙ (พุทธศักราช ๒๕๔๒) ในชื่อ “หอระฆังแห่งฟลันเดอร์สและวาลโลเนีย (Belfries of Flanders and Wallonia)” หอระฆังเหล่านี้สร้างขึ้นระหว่างคริสต์ศตวรรษที่ ๑๑–๑๗ (พุทธศตวรรษที่ ๑๖–๒๒) มีรูปแบบสถาปัตยกรรมโรมัน โกธิค เรอเนสซองส์ และบาโรค เป็นเครื่องหมายแห่งการได้ชัยขนะของประชาชน

หรือกรณีของ “น้ำตกอีกวาซู” (Iguazu falls)

brazil2 15375_Iguacu falls

ซึ่งเป็นน้ำตกที่อยู่ระหว่างอาร์เจนตินากับบราซิล  สภาพภูมิศาสตร์และธรรมชาติเป็นดินแดนผืนเดียว  มีเส้นพรมแดนในน้ำตก  (พื้นที่น้ำตกอาร์เจนตินา 70 บราซิล 30)  อาร์เจนตินาเสนอขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกทางธรรมชาติปี 1984  แล้วเกิดกรณีพิพาทกับบราซิล  สุดท้ายแก้ปัญหาขัดแย้งด้วยบราซิลนำน้ำตกส่วนของบราซิลขึ้นจดทะเบียนมรดกโลกกับยูเนสโกในปี 1987 ปัญหาจบลงในเวลา 3 ปี

หรือกรณีน้ำตกเต๋อเทียน  ที่หนานหนิงเป็นน้ำตกที่ชายแดนจีน-เวียตนาม ฉายามินิไนแองการา

ส่วนใหญ่แล้วถ้ามองเส้นเขตแดนเป็นเป็นเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ต้องเปลี่ยนให้เป็นการสร้างเส้นเขตแดนสายสัมพันธ์ สร้างแม่น้ำสายสัมพันธ์ สร้างความสัมพันธ์ทางศาสนา สร้างความสัมพันธ์ทางวัฒนธรรม และสร้างความสัมพันธ์ทางเชื้อชาติเผ่าพันธ์  อย่างที่ลุงเอกบอก  ก็จะมีการพัฒนาเป็นแหล่งท่องเที่ยวร่วมกัน  มีการค้าชายแดน  ทำให้ได้ประโยชน์กันทั้งสองฝ่าย

ประเทศไทยเราก็มีตัวอย่างประเพณีตักบาตรสองแผ่นดิน ที่จุดผ่อนปรนชายแดนไทยลาวที่บ้านฮวก อ.ภูซาง จังหวัดพะเยา

หรือกรณีหมู่บ้านสองแผ่นดินที่ โจกเจีย-หนองจาน เดิมมีแนวรั้วลวดหนามเป็นแนวสันติภาพที่ชาวไทย-กัมพูชาทั้งสองฟากฝั่งข้ามมาทำมาหากินกันได้  ประชาชนทั้งสองฝั่งไม่ได้มีปัญหาต่อกัน  แต่ไม่นานมานี้ก็เกิดกรณีชาวไทยถูกจับที่บ้านโจกเจีย  หรือชายแดนเราจะถูกพัฒนาเป็นสนามรบ ?

ดูตัวอย่างของเพื่อนบ้านมามากแล้ว  คราวหน้าฟังลุงเอกเล่าแนวคิดยุทธศาสตร์ของจีน เปรียบเทียบกับมุมมองหรือนโยบายของไทยกับประเทศเพื่อนบ้านบ้าง….โปรดติดตาม  อิอิ

Post to Facebook Facebook


พระมหากษัตริย์ไทยกับสันติวิธี (2)

ไม่มีความคิดเห็น โดย จอมป่วน เมื่อ 2 สิงหาคม 2011 เวลา 22:56 ในหมวดหมู่ จอมป่วน #
อ่าน: 2487

“สงครามไม่ใช่คำตอบสุดท้ายของการแก้ปัญหาชายแดนไทยกับประเทศเพื่อนบ้าน” โดย พลเอก เอกชัย ศรีวิลาศ

แนวทางการบรรยายของลุงเอกคือ

  • เสนอข้อมูลและข้อเท็จจริงจากการศึกษาค้นคว้าในแนวทางเชิงสันติ  สอดแทรกด้วยแนวคิดทฤษฎี
  • นำเสนอ VCD แนวทางการจัดการปัญหาเขตแดนของเพื่อนบ้าน
  • แนวคิดการจัดการเขตแดนแนวสันติของประเทศต่างๆ
  • กรณีศึกษาวิเทโศบายของพระพุทธเจ้าหลวงในการเลี่ยงสงครามสู่สันติสุขของชาติไทย

กษัตริย์ไทยสมัยโบราณต้องออกศึกทำสงคราม  แต่ยุคหลังๆก็มาใช้ยุทธศาสตร์ในการต่อสู้

246px-Chulalongkorn_LoC

รศ. 112 เป็นช่วงที่วิกฤตที่สุดตั้งแต่มีประเทศไทยมา  พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ทรงเสียพระราชหฤทัยมาก จนถึงกับทรงพระประชวร  พระองค์ท่านได้ทรงพระราชนิพนธ์ระบายความโศกเศร้าไว้ว่า

เจ็บนานหนักอกผู้             บริรักษ์  ปวงเอย

คิดใคร่ลา ลาญพัก           ปลดเปลื้อง

ความเหนื่อยแห่งสูจัก        พลันสว่าง

ตูจักสู่ภพเบื้อง                หน้านั้น พลันเขษม

เป็นยุคล่าอาณานิคม  ที่ประเทศเพื่อนบ้านรอบๆประเทศไทยก็ตกเป็นเมืองขึ้นอยู่ภายใต้การปกครองของชาติมหาอำนาจจากยุโรป  ฝรั่งเศสก็จ้องที่จะฮุบประเทศไทย

……..

“ อารมณ์ของฝรั่งเศสปรากฏว่าชอบใช้กำลังมากกว่าการเจรจา” (จอร์จ นาตาแนล เคอร์ซอน  จากหนังสือ ปัญหาชายแดนประเทศสยาม)

“ การดำเนินทางการฑูตแบบนุ่มนวลไม่เหมาะสำหรับประเทศสยาม กับชาวเอเซีย  ต้องแสดงพลังเมื่อคุณแข็งแรงกว่า  หรือหากคุณตกเป็นเบี้ยล่าง คุณต้องยืนหยัด  การเจรจาตกลงเป็นเรื่องเล็กน้อย เสียเวลา” (ชาร์ล เลอ มีร์ เดอ วิเลร์ เอกอัครราชฑูตประจำกรุงสยามกล่าวต่อ จูลส์ เดอแวล รมต.ต่างประเทศ 24 สิงหาคม 2436)

การดำเนินวิเทโศบายผูกมิตรกับมหาอำนาจรัสเซีย  เริ่มต้นอย่างค่อยเป็นค่อยไป  โดยระหว่างที่มกุฏราชกุมารแห่งรัสเซีย เสด็จฯจากอินเดียมาแวะไทย  พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงต้อนรับอย่างยิ่งใหญ่ และเต็มที่  ทำให้ทั้งสองพระองค์กลายเป็นพระสหายสนิทข้ามทวีป  ทั้งๆที่ทรงมีพระบุคลิกภาพแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง  โดยองค์ประมุขแห่งรัสเซียทรงประหม่าขี้อาย  ขณะที่พระพุทธเจ้าหลวงของไทยทรงร่าเริงอบอุ่น

ซึ่งต่อมามกุฏราชกุมารแห่งรัสเซีย  ได้รับการสถาปนาเป็นพระเจ้าซาร์นิโคลัสที่สอง (จักรพรรดิองค์สุดท้ายของจักรวรรดิรัสเซีย ก่อนการเปลี่ยนแปลงเป็นระบอบสังคมนิยม)

พระเจ้าซาร์นิโคลัสที่สองได้ทรงส่งนักการฑูตระดับสูง  เข้ามาเป็นเอกอัครราชฑูตประจำประเทศไทย  เพื่อช่วยไทยแก้ปัญหาข้อพิพาทชายแดนกับฝรั่งเศสด้วย

พระราชดำรัสที่บ่งบอก ถึงพระราชปณิธานอันแน่วแน่ของพระองค์ท่าน…..

เราตั้งใจอธิษฐานว่า  เราจะกระทำการจนเต็มกำลังอย่างที่สุด  ที่จะให้กรุงสยามเป็นประเทศอันหนึ่ง ซึ่งมีอิสรภาพและความเจริญ” ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความรักชาติบ้านเมือง  และความหวงแหนในเอกราชของแผ่นดินสยาม

ช่วงวิกฤตของประเทศสยาม

พ.ศ. 2436  ทำสนธิสัญญาและอนุสัญญาไทย-ฝรั่งเศส

พ.ศ. 2437  ทั้งในปารีสและในอาณานิคมอินโดจีนฝรั่งเศส  มีความก้าวร้าวรุนแรงต่อสยามมากขึ้น

พ.ศ. 2439  มีแรงบีบคั้นเพื่อให้รัฐบาลฝรั่งเศสตัดสินใจใช้กำลังอาวุธเข้ายึดครองบริเวณฝั่งขวาแม่น้ำโขงอย่างเปิดเผย  โดยเฉพาะหลังการประกาศ “คำแถลงการณ์ร่วมอังกฤษ-ฝรั่งเศส”

พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเหล้าเจ้าอยู่หัวได้เสด็จประพาสยุโรป 2 ครั้ง ใน พ.ศ. 2440  และ พ.ศ. 2450

การเสด็จประพาสยุโรปครั้งแรก พ.ศ. 2440  เพื่อ

  • ทำความเข้าใจกับชาติที่คุกคามไทย  ในการเจรจาโดยตรงกับผู้นำของฝรั่งเศส  แก้ไขปัญหาความขัดแย้งในกรณีที่สืบเนื่องจากวิกฤติการณ์ ร.ศ. 112 (พ.ศ. 2436)
  • แสวงหาชาติพันธมิตรมาช่วยเสริมสร้างความมั่นคงของชาติ  โดยเฉพาะประสบความสำเร็จในการสร้างสัมพันธไมตรีกษัตริย์รัสเซีย พระเจ้าซาร์นิโคลัสที่สอง แห่งราชวงศ์โรมานอฟ  และได้ส่งเจ้าฟ้าจักรพงษ์ภูวนาถไปศึกษาที่ประเทศรัสเซียด้วย
  • ได้ทรงเจรจาและปรับความเข้าใจกับฝรั่งเศส  ที่กำลังคุกคามไทยอย่างมาก
  • ทอดพระเนตรความเจริญของยุโรป  จะได้นำมาเป็นแบบอย่างในการปรับปรุงบ้านเมือง

รวมทั้งการแวะอินเดียถึง 3 เดือนเพื่อ

  • ดูวิธีการจัดระเบียบบ้านเมืองของอังกฤษกับเมืองขึ้นอินเดียและสิงคโปร์
  • เลิกทาสเพื่อให้มหาอำนาจเคารพไทย
  • การตัดคูคลองเพื่อสร้างเศรษฐกิจสังคมเกษตร
  • กฏหมายให้ทุกคนมีความเสมอภาค

การเสด็จประพาสยุโรปครั้งที่ 2  พ.ศ. 2450

  • เพื่อรักษาพระอาการประชวรเกี่ยวกับระบบทางเดินหายใจและพระวักกะ(ไต)
  • เพื่อเจรจาราชการบ้านเมืองกับชาติตะวันตกต่างๆ
    • เรื่องสิทธิสภาพนอกอาณาเขต  เรื่องคนในบังคับฝรั่งเศส  อำนาจการปกครองเหนือดินแดนเมืองหลวงพระบางบนฝั่งขวาแม่น้ำโขงและเขตปลอดทหาร(ไทย) ระยะ 25 กม. บนฝั่งขวาของแม่น้ำโขงตลอดแนวชายแดนระหว่างราชอาณาจักรสยามกับอาณานิคมอินโดจีนของฝรั่งเศส
    • ปัญหาภาษีร้อยชัก 3  เป็นร้อยชัก 10
    • โครงการสร้างทางรถไฟสายใต้
  • ทรงให้สัตยาบันในสนธิสัญญาสยามกับฝรั่งเศส พ.ศ. 2449
  • เจรจากับประเทศอังกฤษส่งผลให้เกิดสนธิสัญญาแลกเปลี่ยน 4 รัฐมลายูในเวลาต่อมา
  • การเสด็จพระราชดำเนินทรงรับปริญญาด็อกเตอร์ออฟลอว์ (Doctor of Law) ณ บ้านของอธิการบดีมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์

รัชกาลที่ 3 ทรงเป็นทั้งกวี  นักรัฐศาสตร์  นักเศรษฐศาสตร์  นักการทหาร  นักการศึกษา  ภูมิสถาปนิก   เคยค้าสำเภาจนได้ราชสมญานามว่า เจ้าสัว พระองค์ท่านก็ได้ทรงเตือนให้ระวังฝรั่งไว้  เก็บพระราชทรัพย์ไว้มากเพื่อสร้างวัดและทรงยกให้เป็นสมบัติของชาติ  ซึ่งภายหลังได้นำมาจ่ายเป็นค่าปรับให้กับฝรั่งเศสเป็นเงินถึง 3 ล้านบาทและอีก 2 ล้านฟรังก์

แนวทางสร้างสันติสุขของพระองค์ท่าน

  • Relationship: มาจากการเยี่ยมเยือนสร้างสัมพันธภาพที่ดีระหว่างกัน
  • Peace Talk:   มาจากการพบปะพูดคุยศุ่ความตกลง
  • Peace Net:    การสร้างเครือข่ายเพื่อสร้างสังคมสู่สันติสุข
  • Peace Communication:  การสื่อสารเพื่อสันติที่ให้เห็นภาพลักษณ์ที่ดี
  • Trust:   สร้างให้เกิดความไว้วางใจและมีความเชื่อมั่น
  • Fear:  ความหวาดกลัว  เรามักกลัวสิ่งที่เราไม่รู้  คาดเดาไม่ได้  ยังไม่เคยเห็นและยังไม่เคยเป็น
  • Expectation:  ความคาดหวัง

1300259340

พระบรมฉายาลักษณ์ของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว  ขณะทรงฉายคู่กับพระเจ้าซาร์นิโคลัสที่ 2  ณ นครเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก เมื่อเดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2440  เป็นหนึ่งในภาพข่าวที่ฮือฮาและมีนัยยะสำคัญทางการฑูตเป็นอย่างยิ่ง

พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จสวรรคตด้วยโรคพระวักกะ (ไต) เมื่อวันที่ 23 ตุลาคม  พ.ศ. 2453  เวลา 2.45 นาฬิกา รวมพระชนมายุได้ 57 พรรษา  หลังจากที่เสร็จสิ้นพระราชกรณียกิจไม่นาน

Post to Facebook Facebook


พระมหากษัตริย์ไทยกับสันติวิธี

ไม่มีความคิดเห็น โดย จอมป่วน เมื่อ 1 สิงหาคม 2011 เวลา 22:39 ในหมวดหมู่ จอมป่วน #
อ่าน: 1830

29 กรกฎาคม 2554   13.30-16.30 น.

พลเอก เอกชัย ศรีวิลาศ ผู้อำนวยการสำนักสันติวิธีและธรรมาภิบาล  สถาบันพระปกเกล้า

บ่ายวันนี้ลุงเอกมาพูดคุยหัวข้อ พระมหากษัตริย์ไทยกับสันติวิธี: สงครามไม่ใช่คำตอบสุดท้ายของการแก้ไขปัญหาเขตแดนไทยกับประเทศเพื่อนบ้าน

ก่อนอื่นต้องขออนุญาตแนะนำความสำคัญของการบรรยายครั้งนี้ให้ทราบก่อน  ข้อความและรูปภาพข้างล่างนี้  เอามาจาก facebook ของลุงเอก ตามไปสมัครเป็นเพื่อนได้นะครับ

หนังสือลุงเอก

วันที่ ๑๔ มิ.ย.นี้จะมีบรรยายที่โรงเรียนน​ายร้อย จปร. ใช้เวลาสามชั่วโมงเป็นการบรรยาย​ครั้งสำคัญที่สุดในชีวิต และเป็นเกียรติของชีวิตอย่างสูง​ส่ง วันนี้จึงต้องไปหาซื้อหนังสือเพื่อเตรียมตัวหาข้อมูล
ซื้อหนังสือที่ศูนย์หนังสือจุฬา​มาร่วมสามสิบเล่มค่อยอุ่นใจ

หัวข้อที่บรรยายคือปัญหาแนวเขตแ​ดนไม่จำเป็นต้องจบด้วยสงคราม เรื่องก็น่าสนใจ ต้องหาข้อมูลตั้งแต่ ร.๕ จบการบรรยายจะกลับมาเล่าให้ฟัง
ลุงเอก
……การบรรยายครั้งสำคัญที่สุดในชีวิตก็มาถึง เป็นการบรรยายที่ต้องเตรียมตัวม​ากเป็นพิเศษในชีวิต หัวข้อเรื่องก็ไม่เคยมีใครบรรยา​ยมาก่อน เพราะชื่อเรื่องคือ “สงครามไม่ใช่คำตอบสุดท้ายของกา​รแก้ไขปัญหาเขตแดนไทยกับประเทศเ​พื่อนบ้าน”
สำคัญที่สุดต้องเล่าย้อนไปสมัยพ​ระพุทธเจ้าหลวงเมื่อครั้งวิกฤตส​ยามที่เป็นวิกฤติที่สุดของชาติ ที่พระองค์ทุ่มเทพระวรกาย จิตใจในขณะทรงประชวรทำให้ไทยอยู่รอดไม่ตกเป็นเมืองขึ้นมาถึงทุก​วันนี้ แล้วประเทศต่างๆเขาก้าวข้ามจากส​งครามไปสู่สันติได้อย่างไร กับประเทศไทยที่กำลังจะก้าวข้าม​ความสันติไปสู่สงครามทุกวี่ทุกวัน อะไรก็ไม่สำคัญเท่าการได้รับพระ​มหากรุณาไปบรรยายครั้งนี้ของกอง​ประวัติศาสตร์ โรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า ซึ่งสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ พระองค์ท่านทรงเป็นผู้อำนวยการก​องฯ และพระองค์ทรงเลือกวิทยากรมาบรร​ยายพิเศษเอง และทรงประทับรับฟังพร้อมนักเรีย​น จปร. และทรงซักถามและอธิบายเพิ่มเติม​เอง นับว่าเป็นพระมหากรุณาธิคุณที่สูงสุดของชีวิตอันติดดินของลุงเอ​ก

นั่งฟังเพลินไปเลย  ไม่ได้จดเพราะฟังแล้วสนุก  แล้วจะเอาอะไรมาเขียนมาเล่าให้ฟัง  อาจต้องไปโลตัส(ซื้อเทียนไข)  อิอิ

Post to Facebook Facebook



Main: 2.2351779937744 sec
Sidebar: 0.10272717475891 sec