สันติสุขในโลกใบเล็ก

โดย dd_l เมื่อ ตุลาคม 24, 2008 เวลา 1:45 (เย็น) ในหมวดหมู่ การศึกษา #
อ่าน: 2297

ตามอ่านบันทึกของครูบาฯ เจอปัญหาที่ต้องสะกิดใจให้คิด
จึงตามติดไปหาความรู้ต่อกับท่านอัยการฯ ว่าด้วยงานสร้างเสริมสันติ
ตามที่มีใครบางคนแนะนำไว้ ทำให้ได้มุมมองเพิ่มขึ้น

 

คนเป็นครูจะทำอย่างไรให้เกิดสังคมประชาธิปไตยอันมีสันติสุข


เมื่อครั้งได้เห็นโครงการส่งเสริมประชาธิปไตยในโรงเรียนเมื่อหลายปีก่อน
ถามคำถามกับผู้เกี่ยวข้องหลายคน ประชาธิปไตยในโรงเรียนคืออะไร
คำตอบที่ได้ดูอึกอัก ก็ประชาธิปไตย น่าจะเป็นการปกครองด้วยการใช้เสียงส่วนใหญ่
และการมีสิทธิเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น
กิจกรรมที่คิดได้จึงเป็นการจำลองวิธีการเลือกตั้ง จนได้คนมารับคำสั่งของครูอีกกลุ่มหนึ่ง

ทั้งได้เห็นการใช้สิทธิออกเสียง เพียงการยกมือเลือกแนวทางที่มีให้เลือก
ตั้งคำถามต่อ..หากเสียงส่วนใหญ่เลือกแนวทางที่ให้โทษ
และครูต้องแก้ไข จะเป็นประชาธิปไตยไหมนี่ ไม่เป็นการลิดรอนเสรีภาพที่มีอยู่หรือ

 

 

เมื่อเจอปัญหา จึงต้องค้นคว้ากันใหม่..
เพื่อหาจุดยืนของการส่งเสริมประชาธิปไตยในโรงเรียน
ด้วยงานของครูคือการวางรากฐานในการดำเนินชีวิต
ให้ศิษย์อยู่ในสังคมอย่างมีคุณค่าและเป็นสุข
จึงต้องทั้งให้ความรู้ ชวนให้ทำดู และฝึกจนเป็นนิสัย

 

หลักการประชาธิปไตยเช่นไรจะเหมาะสม ที่จะเป็นกรอบในการอบรมแก่ศิษย์
หลังจากพิจารณาร่วมกัน จึง หันมาสนใจในประเด็นหลัก 3 เรื่อง
สิทธิ หน้าที่ และ การใช้หลักเหตุและผล

โจทย์ในการทำงานจึงเปลี่ยนไป
ทำอย่างไรจะให้เข้าใจหลักการประชาธิปไตยได้อย่างลึกซึ้ง
และคิดถึงความเชื่อมโยงกับชีวิต
ทำอย่างไรให้ไม่ให้นึกถึงเพียงการใช้สิทธิ แต่ต้องคิดถึงการทำหน้าที่ที่พึงมี
ทำอย่างไรให้เข้าใจและใช้ชีวิตที่ไม่ใช่เพียงตามสิทธิ หน้าที่ ที่มีตามกฎหมาย
แต่ต้องให้เข้าใจหน้าที่ของความเป็นมนุษย์ที่ต้องอยู่ร่วมอย่างไม่เบียดเบียนกัน
ช่วยเหลือเกื้อกูล และ ไม่ละเลยที่จะร่วมสร้างสังคมที่พึงปรารถนา
ทำอย่างไรให้มีปัญญาที่จะมองเหตุ มองผล ได้อย่างรอบด้าน
เพื่อการตัดสินใจทำสิ่งใดให้ได้เกิดประโยชน์ร่วมแก่ทุกฝ่าย
ทั้งการใช้ปัญญาในการแก้ปัญหา นานัปการอย่างสันติวิธี

 

เป็นโจทย์ใหญ่ ที่ต้องใช้เวลาคิด ทำ ทดลอง ปรับเปลี่ยนวิธีไปให้เหมาะสม
ทั้งในงานสอน ทั้งขั้นตอนของกิจกรรมที่ต้องร่วมกันทำกันอย่างพร้อมเพรียงในทุกฝ่าย
ทั้งต้องมุ่งหมายให้เกิดบรรรยากาศของการ
ลดการแข่งขัน
หันมา
เน้นความร่วมมือ ในทุกระดับ
ปรับเป้าหมายในการพัฒนาให้เด็ก ใฝ่รู้ มีน้ำใจ มีวินัย รู้จักใช้ปัญญา
ให้รู้จักร่วมรักษาวัฒนธรรมและสิ่งแวดล้อม พร้อมกับดูแลให้มีสุขภาพกายใจที่ดี
ด้วยหวังให้สิ่งเหล่านี้เป็นปัจจัยเสริมส่งให้ได้คนดี ที่มีความรู้
และเป็นรากฐานของการก้าวสู่สังคมแห่งสันติสุข

 

เป็นคนเล็กๆ ที่ไม่มีสติปัญญาพอเพียงจะคิดในเรื่องโครงสร้างใหญ่ในสังคม
แต่ดำเนินชีวิตด้วยความเชื่อว่า ถ้าคิดจะเปลี่ยนแปลงโลก ก็ให้เริ่มต้นที่ตนเอง
ในวันนี้ จึงทำหน้าที่เพียงการร่วมกันทำให้สังคมใกล้ตัวสมานฉันท์และมีความสุข
ปรับเปลี่ยนเรียนรู้ หาวิธีแก้โจทย์ให้ได้ผล ช่วยเหลือร่วมมือกับผู้ที่เกี่ยวข้อง
ดูแลลูกหลานของผู้คน ให้ได้รู้คิด และมีจิตปรารถนาดีต่อผู้อื่น
หล่อเลี้ยงใจด้วยความหวัง ที่จะมีสังคมที่ดีขึ้น
หากแต่ละคนทำหน้าที่ของตนอย่างเต็มกำลัง
และยังเชื่อว่า มีคนเล็กๆ ที่ตั้งใจทำสิ่งดีๆในสังคมอยู่อีกมากมายนัก

 

คิดแบบนี้ เลยกล้าที่จะมีความหวัง…^^

 

« « Prev : แว๊ก!!..น้ำท่วม!!

Next : เค้าหาว่าหนูเป็น..กระเหรี่ยง.. » »


ผู้ใช้ Facebook สามารถให้ความเห็นที่นี่ได้ โดยกด Like เพื่อแสดงตัว

11 ความคิดเห็น

  • #1 bangsai ให้ความคิดเห็นเมื่อ 24 ตุลาคม 2008 เวลา 2:05 (เย็น)

    พี่มีข้อแลกเปลี่ยน  แล้วจะเขียนบันทึกเรื่องนี้ครับ

  • #2 น้ำฟ้าและปรายดาว ให้ความคิดเห็นเมื่อ 24 ตุลาคม 2008 เวลา 2:36 (เย็น)

    ชอบบันทึกนี้ค่ะพี่อึ่ง และเห็นด้วยว่าลานสันติสุขของท่านอัยการน่าถอดบทเรียนอย่างยิ่ง..ซึ่งพี่อึ่งทำได้งดงามอีกแล้ว  ^ ^

    ประชาธิปไตยไม่ได้มีเพียง สิทธิและเสรีภาพเท่านั้น แต่ยังมีคำว่าหน้าที่ และขอบเขตด้วยนะคะ เราพูดซ้ำๆกันแต่คำว่าสิทธิเสรีภาพ และเสียงส่วนใหญ่แต่ในความจริงยังมีรายละเอียดปลีกย่อยที่สำคัญอีกมากมาย ดั่งที่พี่อึ่งเรียบเรียงเล่าขานอย่างน่ารักน่ากอดมานั่นแหละค่ะ

    กอดแน่นๆด้วยความชอบใจอย่างล้นพ้นเล้ย อิอิอิ

  • #3 bangsai ให้ความคิดเห็นเมื่อ 24 ตุลาคม 2008 เวลา 2:40 (เย็น)

    ประชาธิปไตยบ้านเรานั้นเติบโตมาหลายสิบปีแล้ว แต่วนเวียนอยู่แบบเดิมๆ ขณะที่ต่างประเทศเขาพัฒนารูปแบบ วิธีการ หลักการไปมากมาย นักรัฐศาสตร์คงรู้ดีกว่าพี่ แต่ก็จะขอแลกเปลี่ยนเท่าที่รู้ (แค่หางอึ่ง)

    หลักการ เลือกตั้ง ใครได้คะแนนเสียงสูงสุดผู้นั้นเป็นตัวแทนนั้น ในต่างประเทศ เช่นที่เยอรมันและออสเตรเลียเขาพบว่าวิธีการตัดสินแบบนี้ไม่เหมาะสม และเขาเปลี่ยนวิธีคิดตรงนี้ไปนานแล้ว (เยอรมันตั้งแต่หลังสงครามโลกครั้งที่สอง) 

    มีนักวิชาการยกตัวอย่างว่า  นาย ก นาย ข และนาง ค เข้าสู่การเลือกตั้งแบบไทยๆคือ ใครได้ตะแนนเสียงมากที่สุดได้เป็นตัวแทน  ผลการเลือกตั้งพบว่า นาย ก ได้ 3000 คะแนน นาย ข ได้ 2500 คะแนน และนาง ค ได้ 1500 คะแนน  หากในประเทศไทยที่ปฏิบัติตามกันมาคือ นาย ก ได้คะแนนสูงสุดย่อมได้รับเลือกเป็น ผู้แทน หรือ สส

    ในเยอรมันเขาบอกว่า ไม่น่าจะถูกต้อง เพราะ แม้ว่านาย ก ได้ 3000 คะแนน หมายความว่าประชาชน 3000 คนเลือก นาย ก แต่คนที่ไม่เลือกนาย ก มีตั้ง 4000 คน (คือคนที่เลือก นาย ข 2500 คะแนน กับเลือก นาง ค 1500 คะแนน)  เยอรมันเขาเอาใหม่ว่า เมื่อผลปรากฏดังกล่าว เขาก็เอา นาย ก กับนาย ข มาให้ประชาชนเลือกใหม่ อีกครั้งหนึ่ง หากใครได้คะแนนมากก็ได้รับเลือกไปเลย

    ส่วนที่ออสเตรเลียก็เป็นอีกวิธีหนึ่งที่ซับซ้อนมากขึ้นไปอีก..ไม่ขอกล่าวในที่นี้  แต่สรุปว่า มิใช่แบบไทยๆที่เลือกครั้งเดียวก็ได้ไปเลย  มิใช่ เขาเคยทำมาก่อนแล้ว แต่พบว่ามีการซื้อเสียงเหมือนบ้านเรานี่แหละมากมาย จึงหาทางแก้ไขกฏหมายการเลือกตั้งใหม่เป็นแบบดังกล่าว

    ทำไมเรื่องราวการเลือกตั้งแบบประชาธิปไตยแบบบ้านเราจึงไม่มีใครหยิบเอาประสบการณ์ของต่างประเทศมาสื่อสารให้ประชาชนทราบ อย่างทั่วถึงเพื่อประชาชนจะได้เรียนรู้และเข้าใจมากขึ้น  มีแต่เรียนกันในห้องเรียนในมหาวิทยาลัยเท่านั้น

    พี่ว่าที่น้องอึ่งคิดทำประชาธิปไตยในโรงเรียนนั้นวิเศษแล้ว พี่เสนอให้ไปปรึกษากับ ดร.พงษ์สนิท เป็น หัวหน้า กกต.ลำพูน เป็นรุ่นน้องพี่(ไม่ทราบว่าย้ายไปไหนหรือยังนะครับ) เขาศึกษามาทางนี้โดยตรงจะมีรายละเอียดมากกว่าพี่มากนัก และเขาอาจจะสนับสนุนกิจกรรมของน้องอึ่งในโรงเรียนได้ครับ

  • #4 จอมป่วน ให้ความคิดเห็นเมื่อ 24 ตุลาคม 2008 เวลา 10:49 (เย็น)

    ………เป็นคนเล็กๆ ที่ไม่มีสติปัญญาพอเพียงจะคิดในเรื่องโครงสร้างใหญ่ในสังคม
    แต่ดำเนินชีวิตด้วยความเชื่อว่า ถ้าคิดจะเปลี่ยนแปลงโลก ก็ให้เริ่มต้นที่ตนเอง…..

    ถ้าคิดได้แบบนี้ทุกคน  เมืองไทยเราก็คงไม่ยุ่งเหมือนทุกวันนี้หรอก  อิอิ

  • #5 หมอเจ๊ ให้ความคิดเห็นเมื่อ 25 ตุลาคม 2008 เวลา 12:58 (เช้า)

    เห็นด้วย เห็นด้วย “ลดการแข่งขัน” 
    “เน้นความร่วมมือ”  นั้น ลองทำในมุม  “ทำให้ความแตกต่างไม่ใช่ความแตกแยก แต่ทำให้ความแตกต่างเป็นความร่วมมือ”
    นำ 2 เรื่องมาผนวกเข้าด้วยกัน จะเกิดอะไรน่าลุ้นนะจ๊ะ น้องอึ่งเจ้าขา 

  • #6 dd_l ให้ความคิดเห็นเมื่อ 26 ตุลาคม 2008 เวลา 8:51 (เย็น)
    #1 bangsai

    มัวแต่ตระเวณไปอ่านลานของพี่และท่านอื่นๆ เลยมาลานตัวเองช้า..อิ อิ

  • #7 dd_l ให้ความคิดเห็นเมื่อ 26 ตุลาคม 2008 เวลา 8:54 (เย็น)
    #2 น้ำฟ้าและปรายดาว

    มาให้กอดแล้วจ้า… แต่ว่าตัวอาจเปียก ฝนตกๆ หยุดๆ ทั้งวันเลยเบิร์ดเอ๋ย..น่าเป็นหวัดเป็นที่สุด..

  • #8 dd_l ให้ความคิดเห็นเมื่อ 26 ตุลาคม 2008 เวลา 8:56 (เย็น)
    #4 จอมป่วน

    จอมป่วนขา  ชาวพิดโลกนี่เค้าเป็นอะไรเหรอคะ  วันก่อนเห็นน้องอิ่ม ก็ดำดินมาตอบในลานครูบา  ครานี้จอมป่วนก็มาแบบโปร่งใส อ๊ะ..ยังไงกันเนี่ย..^^

  • #9 dd_l ให้ความคิดเห็นเมื่อ 26 ตุลาคม 2008 เวลา 8:58 (เย็น)
    #5 หมอเจ๊

    พี่หมอเจ๊คะ  พรุ่งนี้จะหมดเวลาปิดเทอมครูแล้ว  ถึงเวลาทำงานกันต่อ  ขอเอาเรื่องน่าลุ้นไปทำดูนะคะ

  • #10 สิทธิรักษ์ ให้ความคิดเห็นเมื่อ 27 ตุลาคม 2008 เวลา 9:48 (เช้า)

    มาปรบมือให้ครับ  ……….  หวังอย่างยิ่งว่าจะช่วยกันคิดจนประสบผลสำเร็จ  แล้วควรลดคำว่า “ถ้า” ครับ
    เพราะมีแต่ “ถ้า” คงจะไม่พบความสำเร็จครับ

  • #11 dd_l ให้ความคิดเห็นเมื่อ 27 ตุลาคม 2008 เวลา 6:36 (เย็น)

    เฮียเหลียงขา..ตกลงปรบมือชมใช่ไหมคะ..ต้องถามให้แน่ใจ..เพราะไม่รู้ว่าใช้มือปรบ หรือ มือตบ..อิ อิ
    จะได้อมยิ้ม กริ่มใจ  หรือ วิ่งหนีได้ถูก…555


แสดงความคิดเห็น

ท่านอยากจะเข้าระบบหรือไม่


*
To prove you're a person (not a spam script), type the security word shown in the picture. Click on the picture to hear an audio file of the word.
Click to hear an audio file of the anti-spam word


Main: 1.2963988780975 sec
Sidebar: 0.56458401679993 sec