เราจะอยู่กันไปอีกนานที่บ้านหลังนี้

อ่าน: 1836

ตอนย่ำรุ่ง เจ้าโตกร้องเสียงดังหลายครั้ง ผมแปลรหัสเจ้านกยูงตัวนี้ไม่ออก ทำไมร้องในช่วง 2-3 วันนี้ ร้อง..ร้องทั้งกลางวันกลางคืน จะร้องหาตัวเมียก็ไม่ใช่ เพราะเห็นป้วนเปี้ยนกันอยู่ โฉมยงบอกว่ามันร้องเพราะครบรอบ 100 วันมรณภาพของหลวงปู่จันทร์แรม ซึ่งเราคิดว่าเป็นแหล่งที่นกยูงตัวนี้เคยอาศัยมาก่อน จะจริงหรือไม่อย่างไรก็เล่าไว้ไปพอสังเขป เพื่อเชื่อมโยงสาเหตุที่ทำให้ตื่นเช้ามืดวันนี้

เปิดดูข้อความในโทรศัพท์

น้าอึ่งบอกว่าถึงบ้าน อาบน้ำทาแป้ง จะเข้านอนแล้ว

ก็คลายใจที่โชเฟอร์พาไปถึงที่หมาย

สมกับฉายาที่หมอเจ๊ตั้งให้ เมียสิบล้อ

คงเหนื่อยกันย่ำแย่เพราะทริปนี้ขับรถไป-กลับ 1,800 กิโลเมตร

ด้วยความห่วงใย ..ไม่น่าชวนมาเล๊ย..

เพื่อเป็นการไถ่บาป ผมไปเก็บผักมา 1 กระบุง เอามาผัดผักรวมกะทะร้อนได้ 2 จาน ทำไข่เจียวมะเขือพวงอีกจาน มีปลากรอบอีกจาน มะม่วง มะละกอ ฝรั่ง เป็นของแถม โชเฟอร์คนสวยบอกว่า..อยากจะกินน้ำพริกกะปิ อ้าวแล้วจะรอทำไมละ เธอเข้าครัวค้นโน้นนี่มาลงครกตำโป๊ก ๆ  ผมไปเก็บมะนาว มะเขือกรอบ และผักหลายชนิดมาลวกให้ โฉมยงยังทำน้ำพริกปลาทูร่วมวงอีกถ้วย 5 นาทีต่อมาก็ชวนกันโจ๊ะพรึบ น้ำพริกหมดผักเหลือ นักกินผักบอกว่าจะไปตำน้ำพริกอีกก็เกรงใจ โธ่!..ประเมินสถานการณ์พุงตัวเองไม่ถูก ไหน ๆ จะดวลผักต้องละเลงแบบตาหวานกับครูปู กินจนตาค้างนั้นแหละถึงจะคุ้มกับการมา เธอยังบอกอีกว่า..เห็นผักแล้วน่าจะทำลาบปลา แหมบอกช้าไปเสียแล้ว เราก็อยากจะโด๊ปให้เต็มที่มีพลังขับรถกลับ แต่ถ้าจะจัดให้อร่อยตามต้องการต้องนอนต่ออีกคืน สุดท้ายก็ได้แต่ฝากไว้ก่อนโอราฬ..

ระหว่างที่นั่งพิมพ์ก๊อก ๆ แก๊ก ๆ  เขียด ตะปาดจากไหนไม่รู้กระโดดมาเกาะหลัง รู้สึกเย็นเฉียบยังกะมือไปแช่น้ำแข็งมา เกาะไม่นานก็กระโดดแผล็วไป เปิดทีวีเห็นภาพประโคมความรักกันล้นหลามก็ได้แต่เวทนา ตามประวัติศาสตร์การเมืองไทย คนไทยไม่รักคนไหนหรือพรรคไหนจริงจังหรอก อย่างเช่นพรรคประชาธิปัตย์ในกรุงเทพฯ ก็พลิกคว่ำพลิกหงายอยู่หลายครั้ง เคยได้คะแนนเสียงท่วมท้น แต่บางครั้งก็คะแนนเสียงหายไปดื้อ ๆ ได้ส.ส. มาคนสองคน มันอะไรกันครับ  ความเชื่อมั่นที่ยั่งยืนมุดหายไปไหนก็ไม่รู้

ผมจึงไม่เชื่อความศรัทธาทางการเมืองที่ประชาชนมีต่อพรรคการเมือง ตอนนี้อาจจะแหกปากร้องเย๊ว ๆ คิดถึงความดีงามให้กัน น้ำหูน้ำตาไหลพราก.. ฯพณฯท่านดูไบเองก็ใช่ย่อย ออดอ้อนรำพันพิรี้พิไรถึงกันมิเว้นวาย ทำเหมือนจะเป็นจะตายทั้ง 2 ฝ่าย แต่ที่จริงแล้วมันยิ่งกว่าละครน้ำสกปรก ต่างฝ่ายต่างก็รู้ ๆ กันอยู่ว่าไม่ได้รักศรัทธาอะไรกันหรอก ความรักที่ซื้อด้วยเงินทองของล่อใจจอมปลอมอื่น ๆ  เรื่องแกล้งรักมีตัวอย่างให้เห็นออกเกลื่อนไป คอยพินอบพิเทา เอาดอกไม้ไปไหว้ป๋ากระดี๊กระด๋ารับฟังโอวาท มาวันนี้กลับจวกป๋าจนเละเทะ เกิดเบื่อขี้หน้ากันจนไม่ดูดำดูดี ..ตอนที่หม่อมคึกฤทธิ์เป็นนายกแล้วยุบสภาฯ  ก่อนหน้านั่นชื่นชมนิยมกันท่วมท้น แต่ผลการเลือกตั้งออกมาอาจารย์หม่อมของผมตกกระป๋องเฉยเลย

เมื่อประชาธิปไตยแบบต๋อย ไม่มีความจริงใจให้แก่กัน รากฐานของประชาธิปไตยจึงคลอนแคลนหาจุดยืนยังไม่ได้ พรรคไหนมาเป็นก็บิดตะกูดเอาผลประโยชน์จนเกินงาม เมื่อไม่มีความจริงมันก็ไม่สามารถลงหลักปักฐานทางการเมืองได้ ประชาธิปไตยจึงเสมือนเสาหลักปักขี้โคลน อิรุงตุงนังสับสนเชิงโครงสร้างและเชิงระบบ ผมอยากจะเห็นคุณท๊ากสิน มาคุยออกทีวีตัวต่อตัวกับคุณหม๊ากรูปหล่อ มีคนกลางตั้งประเด็นไว้เป็นข้อ ๆ  แล้ว 2 ผู้นำแสดงวิสัยทัศน์ให้คนไทยทั้งประเทศรับฟัง ถ้าทำอย่างนี้จะช่วยให้เห็นภาพการเมืองกระจ่างขึ้นมาได้บ้างไหมครับ

หลังจากผู้นำทางการเมืองออกมาพูดแล้ว

ควรตั้งนักวิชาการ-สื่อมวลชน-ผู้นำองค์กรอิสระ-ผู้นำการเมืองภาคพลเมือง

มาวิเคราะห์ข้อเท็จจริง

ตีแผ่เหตุผล-คลี่ความจริงออกมา

ช่วยกันเติมความจริงให้เต็มช่องว่าง

บางทีอาจจะได้คำตอบว่าคนไทยจะเอายังไงกับเรื่องการเมือง

การได้มาซึ่งคะแนนเสียงที่ไม่บริสุทธิ์ ทำให้ได้นักการเมืองอีแอบเต็มสภา

ท่านผู้มีปัญญา..บอกหน่อยสิครับว่า

เราจะได้นักประชาธิปไตยของแท้มาจากที่ไหนและโดยวิธีใด

ถ้ายังเลือกตั้งแบบเดิม จากพรรคพวกหน้าเดิม ด้วยระบบและวิธีเดิม

ผลลัพธ์ก็คงออกมาอีหรอบเดิม

บ้านเมืองเราก็คงอลหม่านอยู่กับพวกสติแตกต่อไป

เรายังอยู่ร่วมกันอีกนานที่บ้านหลังนี้

จะอยู่ไปทะเลาะกันไปอย่างนี้หรือ?

สถาบันไหนที่สอนเรื่องกฎหมาย เรื่องการบ้านการเมือง

ฉีกตำราทิ้งแล้วสังคายนาใหม่ดีไหมครับ?

« « Prev : จากรากหญ้าสู่นาซ่า

Next : จดหมายรักฤดูร้อน » »


ผู้ใช้ Facebook สามารถให้ความเห็นที่นี่ได้ โดยกด Like เพื่อแสดงตัว

6 ความคิดเห็น

  • #1 น้ำฟ้าและปรายดาว ให้ความคิดเห็นเมื่อ 22 มีนาคม 2010 เวลา 10:21

    เ้ห็นด้วยค่ะพ่อ เบิร์ดอยากเห็นการแสดงวิสัยทัศน์ในการแก้ปัญหา มากกว่าปะทะคารมแบบโต้วาทีเด็กมัธยม ซึ่งน่าทำเป็นอย่างยิ่ง

    ส่วนนักวิชาการต่าง ๆ ถ้าจะร่วมวิพากษ์ก็ขอให้อยู่ท้ายสุดนะคะ เพราะอยากเห็น”วิสัยทัศน์”และความสามารถในการแก้ปัญหาของคนที่จะมาเป็นผู้นำมากกว่า ว่ากันไปทีละประเด็นเลย อย่าโต้กันไม่รู้จบ …น่ารำคาญแบบคนจบไม่เป็นยังไงพิกล

  • #2 sutthinun ให้ความคิดเห็นเมื่อ 22 มีนาคม 2010 เวลา 12:13

    ใครจะอาสาจัดละ
    ไม่อย่างนั้นมันก็ยืนเก่งอยู่คนละมุม
    กองเชียร์เพลียฮาทส์แล้วนะนี่

  • #3 น้ำฟ้าและปรายดาว ให้ความคิดเห็นเมื่อ 22 มีนาคม 2010 เวลา 13:00

    สถาบันสมานฉันท์ทั้งหลายไม่สนเหรอคะ ? สสสส. ก๋ใช่นี่คะพ่อ ^ ^
    ติดต่อขอถ่ายทอดสดให้เวลา 3 ชม. ไม่มีโฆษณาไปเลย รับรองเรตติ้งกระฉูด อิอิอิ

  • #4 chakunglaoboy ให้ความคิดเห็นเมื่อ 22 มีนาคม 2010 เวลา 14:14

    ผมเคยอ่านจากที่ไหนไม่รู้ครับ รัชกาลที่ 7 ตรัส ทำนองว่า ยังไม่ถึงเวลาที่ประเทศไทยจะปกครองแบบประชาธิปไตย ขอให้ให้การศึกษาแก่ประชาชนให้เข้าใจถึงประชาธิปไตยอย่างถ่องแท้เสียก่อน  แล้วถึงนำระบบประชาธิปไตยเข้ามา  แต่ผู้นำในสมัยนั้นก็ไม่เชื่อ ชิงสุกก่อนห่าม มันก็เลยสุกๆ ดิบๆ อย่างเช่นทุกวันนี้กระมังครับ

  • #5 sutthinun ให้ความคิดเห็นเมื่อ 22 มีนาคม 2010 เวลา 14:53

    ประชาธิปไตยจำบ่ม ก็เป็นอย่างนี้ละครับ
    ทุกคนต่างรับผลพวง ประเทศทุพลภาพ ไม่อย่างนั้นเราเจริญแข่งญี่ปุ่นไปแล้ว

  • #6 sutthinun ให้ความคิดเห็นเมื่อ 22 มีนาคม 2010 เวลา 14:55

    คงต้องคิดหาวิธีที่ดีที่สุดนะเบิร์ด
    สสสส. ก็ทำเรื่องเสื้อขาว แต่หัวใจสีอะไรไม่รู้
    ยังหาคำตอบที่ชัดเจนไม่ได้ ว่าจะมีทางออกอย่างไร?


แสดงความคิดเห็น

ท่านอยากจะเข้าระบบหรือไม่


*
To prove you're a person (not a spam script), type the security word shown in the picture. Click on the picture to hear an audio file of the word.
Click to hear an audio file of the anti-spam word


Main: 0.050783157348633 sec
Sidebar: 0.068388938903809 sec