พื้นที่ความรู้เป็นพื้นฐานของสติปัญญา

อ่าน: 8806

(ห่านไม่เคยตื่นสาย ทุกเช้าตรู่จะเดินปรึกษากัน)

เมื่อคืนนี้เทวดาส่งลมเย็นข้ามฟ้ามาจากจีนแผ่นดินใหญ่ เสียงลมพัดตึง ๆ ทั้งคืน ใบไม้ปลิวว่อน เสียงกิ่งไม้หักโครมคราม จักจั่นย้ายไปไหนก็ไม่รู้เงียบฉี่ทั้งคืน สภาพแวดล้อมโลกมีเรื่องชวนปวดหัวมากขึ้นจนจับต้นชนปลายไม่ถูก บ่นกันร้อนแล้งแสนสาหัสอยู่แหมบ ๆ  จู่ ๆ ก็เย็นเฉียบแบบกะทันหัน เมื่อคืนนอนหนาว..กอดอะไรก็ไม่อุ่น นอนฟังเสียงลมสะดุ้งทั้งคืน

(ลมธรรมชาติไม่มีปุ่มปรับลดระดับเหมือนพัดลมบ้าน)

เช้ามาโอ้โห! ใบไม้เกลื่อนพื้นดิน เทวดาสอยใบไม้มาให้ทำปุ๋ยอีกแล้ว ขณะเดียวกันก็สอยกิ่งไม้แห้งมาทับหลังคาเล้าไก่ด้วย แต่ก็ยังปราณีที่เอาปลายข้างหนึ่งเกี่ยวกิ่งไม้ไว้ ถ้าปล่อยให้โครมลงมาตรง ๆ กระเบื้องคงกระเจิงอีกหลายแผ่น ไหน ๆ ก็ต้องจัดการกิ่งไม้ ก็ถือโอกาสกวาดใบไม้ลงจากหลังคาเสียเลย

“เปิดห้องเรียนสู่โลกกว้าง ให้ทุกอย่างเป็นครู”

ผมไม่ทราบว่าเป็นวรรคทองของท่านผู้ใด แต่ก็ชอบมาก ได้ดำเนินชีวิตประจำวันตามที่กล่าวนี้อยู่แล้ว ตื่นขึ้นมาเอากล้องคล้องคอ เดินลงบ้านไปเที่ยวดูสภาพทั่ว ๆ ไปที่โดนลมค่อนข้างแรง ผมไม่ได้เดินคนเดียวหรอกนะครับ เจ้าห่านคอยาวออกเดินก่อนผมเสียอีก เนื่องจากแอบเอาไข่ห่านมาต้มบ่อย ๆ  จึงให้อภิสิทธิ์ที่จะนอนอยู่ข้างบ้าน และให้อิสระที่จะเดินไปกินบุบเฟ่ต์ตรงไหนก็ได้ เท่าที่สังเกตห่านจะไม่ชอบเข้าไปในที่รกเรื้อ ใครก็ไม่รู้บอกว่างูกลัวห่าน เราก็เลยเลี้ยงห่านไว้ขู่งู

(บางทีคนอียิปโบราณเอาแนวคิดการทำมำมี่จากมำมี่กล้วยนี่ก็ได้)

ลำดับแรกเดินไปเจอหนอนกินใบกล้วย หนอนที่ว่านี้จะกัดกินใบตองแล้วม้วนใบเป็นกรวยเข้าห่อหุ้มตัวเอง ผมแกะดูเห็นเป็นหนอนยึกยือตัวเขียว ๆ  บางตัวที่แก่หน่อยจะออกสีเหลือง ถ้าอายุได้ที่จะเห็นรูปร่างคล้าย ๆ แมลง ถ้าเด็ก ๆ มาเข้าค่ายวิทยาศาสตร์ ก็จะบอกว่า นี่ไงละมัมมี่ ในต้นกล้วย

เดินผ่านไปยังต้นท่อนที่ยืนคู่กันอยู่ 2 ต้น เป็นต้นแม่กับต้นลูก ต้นเล็กกำลังระบัดใบสีเขียวอ่อน ส่วนต้นแม่ทิ้งใบโกร๋นกำลังแตกตุ่มใบเล็ก ๆ เต็มต้น ท่อนต้นนี้ตอนที่ผมเข้ามาอยู่สวนใหม่ ๆ  เป็นพันธุ์ไม้พื้นถิ่นโตขนาดโคนขา ผมขับรถไถผ่านไป ยังนึกว่าจะไถทิ้งหรือปล่อยเอาไว้ สุดท้ายก็ยกหางไถขึ้น ท่อนต้นนี้จึงรอดมาได้อย่างหวุดหวิด ต่อมาผมไปสร้างบ้านอยู่ใกล้ ๆ  ก็ยังเว้นวรรคไว้ไม่ตัดทิ้งเพื่อมุงหลังคาโรงรถ ท่อนดวงแข็งต้นนี้เจริญเติบโตจนทกวันนี้กอดไม่รอบ หลายปีมาแล้วที่ปล่อยให้เมล็ดปลิวไปงอกในสวน หลังจากนั้นก็ไม่ได้อินังขังขอบกับท่อนต้นนี้

(ถ้าปล่อยธรรมชาติท่อนจะเป็นผักชั้นสูง ถ้าปลูกระยะชิดต้นต่ำเก็บยอดได้ทั้งปี)

ในแต่ละปีที่ท่อนแตกยอดใหม่ คนงานปีนไปเก็บยอดอ่อนมาให้ลวกจิ้มกับน้ำพริกปลาทู ชาวบ้านเขารู้กันดีว่ายอดอ่อนของท่อนนั้นเอามาเป็นลวกจิ้้มรสชาติหวานอร่อยนัก แต่ปีหนึ่งก็มีช่วงแตกใบอ่อนสั้นๆประมาณ 1 สัปดาห์ เข้าทำนองของดีมีน้อยนั้นแหละ ท่านลองคิดดูนะครับ คนเราบทจะเซ่ออะไรก็ช่วยไม่ได้ ทั้งๆที่รู้ว่ายอดท่อนเป็นผักพื้นถิ่นอันดับหนึ่ง แต่ก็ไม่ฉุกคิดว่า..แล้วยังไงต่อละ..

(ถ้าเทวดาสอยฝักแห้งลงมาให้ต้องรีบเก็บ ไม่งั้นเมล็ดแตกกระจายหายหมด)

เพิ่งจะมาปีนี้ละครับ ที่คนโง่พอจะโงหัวคิดอะไรใหม่ ๆ ได้บ้าง ก็มาจากที่ Logos  เอาคลิปเรื่องการปลูกมะรุมระบบชิดในอัฟริกามาลงในลานปัญญา ผมเห็นแล้วได้ประกายความคิดดีมาก เอามาวางแผนเรื่องการปลูกผักยืนต้นพื้นเมืองระบบชิด ตอนนี้ได้ลงมือทำไปแล้ว เช่น มะกล่ำ มะรุม มะขาม มะกรูด ผักโขมจีน ยังรอเมล็ดแคบ้าน และมะกอกป่า และยังมองหาพืชอื่น ๆ ที่เหมาะสม พอเดินมาเจอฝักแก่ท่อนที่เทวดาสอยลงมาให้เมื่อคืน ก็ร้องอ๋อในใจ ..ทำไมเราเซ่ออยู่นานนักละวะ ปล่อยให้ท่อนปลิวสะเปะสะปะไปงอกเกลื่อน ทำไมไม่จับท่อนมาเข้าแถวปลุกระบบชิดละ เราก็จะได้ผักพื้นเมืองยืนต้นชั้นเยี่ยมอีก 1 ชนิด

(ระบบน้ำมีแล้ว เอาถาดเพาะเมล็ดไม้ไปวาง กว่าจะถึงหน้าฝนเราก็จะมีกล้าผักพื้นถิ่นดีๆไปปลูก)

คิดแล้วทำทันที เดินเก็บฝักท่อนที่ปลิวตกรอบ ๆ บริเวณต้น  แต่ก็น่าเสียดายที่ฝักส่วนใหญ่จะแตกเมล็ดกระจายทิ้ง แต่ก็พอรวบรวมมาได้บ้าง หลังจากแกะเมล็ดลวกน้ำแล้ว เลือกเมล็ดลีบมีตำหนิแมลงเจาะทิ้งจะเหลือประมาณ 140 เมล็ด ถ้านำไปเพาะน่าจะได้ต้นกล้าประมาณ 100 ต้น ก็ยังดีที่ได้ทดลอง ซึ่งผมคิดว่ายังไม่มีใครทำ มหาชีวาลัยอีสานน่าจะเป็นรายแรกในโลกที่ทำการปลูกต้นท่อนระบบชิด เพื่อเป็นทางเลือกและเป็นการเพิ่มชนิดผักพื้นถิ่นอย่างเป็นรูปธรรม เข้ามาในครัวเรือนของคนไทยอีกชนิดหนึ่ง

กระบวนการที่เล่ามาทั้งหมดนี้คือวิธีเรียนของผม

หลังจากรดน้ำต้นไม้ เดินดูแปลงต่าง ๆ

สังเกตเห็นอะไรก็ลงบันทึกไว้

ได้ลงมือทำอะไรก็รายงานข้อมูลเบื้องต้นไว้

ภาคเช้าจะเดินเรียนตั้งแต่เวลา 06.00-08.00 .

กลับมาอาบน้ำทาแป้งดื่มน้ำสมุนไพรปั่นเวลา 08.30 .

รับประทานอาหารเช้าเวลา 08.30-09.00.

หลังจากนั้นถ้าไม่มีอะไรก็จะขลุกอยู่กับคนงาน ช่วยกันคิดช่วยกันทำ ยังมีงานค้างทำอยู่หลายเรื่อง เรื่องทำงานกับคนงานมีความสำคัญสำหรับที่นี่ จำที่ชาวเฮมาช่วยกันปลูกต้นผักหวานบ้านกับต้นผักหวานป่าที่ท่านบางทรายเอามาให้ได้ไหมครับ ผมออกแบบปลูกร่วมกันเพราะคิดว่า ผักหวานบ้านโตเร็วกว่า เราจะได้เด็ดยอดมาทำอาหารก่อน ส่วนผักหวานป่าโตช้าก็ไม่เป็นไร ปล่อยให้ค่อย ๆ โตตามมาทีหลังได้ แต่วันดีคืนดีคนงานคนเกิดปรารถนาดีขึ้นมา แบกจอบไปขุดพรวนดินใส่ปุ๋ยให้ แกมองเห็นแต่ผักหวานบ้านที่ต้นโต ต้นผักหวานป่าเล็กกระจิ๋วหลิวจึงถูกจอบสับทิ้งเกลี้ยงไม่เหลือสักต้น ..บทเรียนอย่างนี้มีเยอะมาก ต้นสะตอก็โดนฟันทิ้งเพราะเข้าใจผิด ไม่เคยเห็นต้นชนิดนี้ขึ้นมาก่อน ต้นมะกล่ำโต ๆ ก็ไปตัดทิ้งหาว่ามันคลุมหลังคา ทั้ง ๆ ที่สางกิ่งออกก็ได้ อุทาหรณ์เรื่องนี้บอกว่า..อย่ากระโตกกระตาก เดี๋ยวความปรารถนาดีจะตกใจ!!

งานที่ว่านี้ส่วนใหญ่เกิดจากการสังเกตแล้วตั้งข้อสมมุติฐานไว้ เป็นวิชาเอ๊ะ! อย่างนั้นเอ๊ะ! อย่างนี้ ตรงจุดนี้ไปเข้าสูตร..คิดใหม่ ทำใหม่ หาข้อเท็จจริงใหม่ ๆ  เข้าทำนองเก่า ๆ มันเป็นสนิม เรื่องใหม่มันจุ๋มจิ๋มและท้าทาย วิธีนี้ทำให้มีเรื่องใหม่ ๆ คอยพิสูจน์เยอะมาก ดังตัวอย่างที่เล่ามาข้างต้น การบันทึกประจำวันในลานปัญญา ส่วนหนึ่งจะเป็นงานวิจัยแบบไทบ้าน อีกส่วนหนึ่งจะเป็นการเล่าถึงทักษะชีวิตผ่านประสบการณ์ตรง  ถึงจะเป็นงานภาคการเกษตรแต่ก็แอบคลุกเชื้อชีวิตและสังคมผสมลงไปไว้บ้างตามสไตล์คนแซ่เฮ ถึงจะคิดและทำอะไร ขยันแค่ไหน ผมก็คงโง่และเซ่ออยู่ดีนั่นแหละครับ

ท่านใดจะอุปการะความรู้ความคิดก็ขอเชิญนะครับ

ที่ลานปัญญาผมทราบว่าเขาให้ Comment ฟรี

ไม่ใช่หรือครับ?

« « Prev : กว่าจะถึงวันนี้

Next : โรคทางสังคม » »


ผู้ใช้ Facebook สามารถให้ความเห็นที่นี่ได้ โดยกด Like เพื่อแสดงตัว

15 ความคิดเห็น

  • #1 ป้าหวาน ให้ความคิดเห็นเมื่อ 10 มีนาคม 2010 เวลา 15:03

    ป้าหวานมาเรียนรู้ค่ะ  ป้าหวานชอบวิธีที่พ่อครูทำ และวิธีที่เล่าในสิ่งที่เกิดขึ้น แม้จะคนละสายงานแต่ก็เก็บมาประยุกต์สมองขี้เลื่อยของตัวเองค่ะ  สิ่งละอันพันละน้อยที่พ่อครูเรียน  ก็เอามาเลียนใส่สมอง  กระตุ้นตัวเอง ไม่ได้เท่าขอสักครึ่งของครึ่งก็ยังดี  เริ่มเรียนเรื่องตัวเองใหม่ เรียนหลายๆเรื่องใหม่  ทำ ก็ทำแต่ยังไม่ได้มาก  วันนี้รู้แล้ว….รู้ว่าคีย์ตัวสำคัญ  ไม่มีโปรแกรมไหนให้หรอก  เรานั่นเอง  เรานั่นเองที่จะทำอย่างไร ชอบแบบไหน  ไม่ต้องสนใจอะไรเกินเลยไป ทำไปเรียนไป ปรับไป ทำบ่อยๆรู้มากขึ้นเพราะสังเกตุที่เราทำนั่นแหละคือครู  ค.ล.ท.ท.ท.   ไปทำดีก่า…..วิ้ว…..

  • #2 sutthinun ให้ความคิดเห็นเมื่อ 10 มีนาคม 2010 เวลา 15:11

    ทำสนุกๆนะป้าหวาน ไม่ต้องมากเรื่อง แล้วทุกอย่างจะดีเอง 
    เมื่อไหร่จะมาตำน้ำพริกอีก อิ อิ

  • #3 krupu ให้ความคิดเห็นเมื่อ 10 มีนาคม 2010 เวลา 15:30

    snake

    (ท่าทางห่านจะขู่งูจริง ๆ ด้วยล่ะค่ะ เห็นมายืนดู ๆ แล้วก็ไป)

    ถ้าไม่ชอบขี้หน้ากันก็เหล่กันไปเหล่กันมาน่าจะพอ แล้วก็แยกย้ายไปดำเนินชีวิต

    หรือถ้าอยากจะข่มกันมาก ๆ ก็น่าจะข่มน่าจะแข่งกันทำสิ่งดี ๆ ที่มีประโยชน์ให้กับส่วนรวม  เช่น แข่งกันปลูกต้นไม้ แข่งกันดูแลครอบครัวให้มีความสุข สงบ แข่งกันรักษาศีล ฯลฯ  ถ้าแข่งกันแบบนี้เป้าหมายมันก็คืออันเดียวกัน ก็จะเป็นคู่แข่งที่คุยกันรู้เรื่อง คนที่คุยกันรู้เรื่องก็จะสามารถแบ่งปันให้กันและกันได้ ทั้งความรู้ ความรัก ความสุขและความปรารถนาดีด้วยความจริงใจ

    แหม ถ้าแข่งกันอย่างนี้มีแต่ได้กับได้เนาะคะ สังคมได้ความสันติสุข เราได้ความสงบสุข ^_^

    ฮุ๊ย รู้งี๊สมัครประกวดนางสาวไทย รุ่น light flyweight เมื่อ 10 ปีที่แล้วไปซะก็ดีล่ะ เอิ๊กซ์!

  • #4 sutthinun ให้ความคิดเห็นเมื่อ 10 มีนาคม 2010 เวลา 16:08

    แข่งกันกิน แข่งกันกอด ก็พอแร้ว อิอิ

  • #5 อัยการชาวเกาะ ให้ความคิดเห็นเมื่อ 10 มีนาคม 2010 เวลา 17:26

    เจ้าหนอนที่ว่ามันม้วนใบตอง แต่มันก็แพ้นกกะปูด เพราะเจ้านกกะปูดข้างบ้านผมมันรู้ดีว่ามีหนอนอยู่ที่ใบตอง มันก็จะฉีกคลี่ใบตองและกินหนอน วันไหนจังหวะเหมาะจะถ่ายภาพการจัดการหนอนของเจ้ากะปูดมาให้ดู…
    ลูกน้องเอาผักหวานป่ามาให้ต้นหนึ่งตั้งแต่สมัยก่อนเป็นอัยการจังหวัดเยาวชน ต้นสูงสัก ๕ นิ้วได้ ดูมันอยู่เป็นปีก็ไม่เห็นมันโต ในที่สุดก็เอาไปไว้หลังบ้านปลูกไว้ใต้ต้นมุดม่วงแล้วไม่สนใจมันอีกเลย ปลูกผักเหมียงไว้ข้างๆ เพิ่งสองสามวันนี้เพิ่งสังเกตเห็นมันสูงสักฟุตเศษเห็นจะได้แต่มันยังกะย่องกะแย่งแตกยอดอ่อนแต่ยังไม่พอกินเพราะมันมีอยู่ยอดเดียว ฮา… 

  • #6 sutthinun ให้ความคิดเห็นเมื่อ 10 มีนาคม 2010 เวลา 18:26

    ที่สวนนกกะปูดก็เยอะนะครับ
    แต่ไม่รู้วิธีหากินหนอนใบตอง
    สงสัยต้องเอานกภูเก็ตมาฝึกสอนเสียแล้ว ฮ่าๆๆๆ
    เรื่องผักหวานป่า เป็นผักปราบเซียน
    ของผมบางต้นก็แคระแกรน
    บางต้นก็โตเอาๆ ปีนี้เด็ดมาแกงหลายหม้อแล้ว

  • #7 อุ๊ยสร้อย ให้ความคิดเห็นเมื่อ 10 มีนาคม 2010 เวลา 20:31

    ขำความเห็นท่านอัยการ…

  • #8 bangsai ให้ความคิดเห็นเมื่อ 10 มีนาคม 2010 เวลา 20:48

    ท่านอัยการครับ
    ต้นผักหวานป่าเป็นต้นไม้อิงอาศัยครับ ปลุกกลางแจ้งแดงแจ๋ไม่ได้ครับ ต้องอยู่ใต้ร่มไม้ใหญ่ หรือกลุ่มไม้ใหญ่ ชาวบ้านดงหลวงมักจะเอาก้อนหินไปวางที่โคนต้นด้วย เหตุผลของชาวบ้านกล่าวว่า เพราะผักหวานป่าที่ขึ้นในป่ามักจะเห็นตามก้อนหิน อันนี้ไม่มีเหตุผลทางวิชาการพิสูจน์ แต่การปลูกใต้ร่มไม้ใหญ่นั้น ฟันธง….

  • #9 sutthinun ให้ความคิดเห็นเมื่อ 10 มีนาคม 2010 เวลา 20:59

    เอาละสิ จะปลูกผักหวาน ต้องปลุกไม้ใหญ่ หรือหาพื้นที่ไม้ใหย๋
    เห็นประโยชน์ทางตรงและทางอ้อมของไม้ใหญ่อีกประการหนึ่ง
    ส่วนหินนั้น อาจจะเกี่ยวข้องกับอุณหภูมิ ร้อน-เย็น ที่ต้นไม้บางชนิดชอบ
    หรือมีเหตุผลอื่นอีกก็ไม่ทราบนะครับ

  • #10 bangsai ให้ความคิดเห็นเมื่อ 10 มีนาคม 2010 เวลา 22:32

    เรื่องการปลูกผักหวานป่าใต้ร่มไม้ใหญ่นั้น ผมถามพ่อธีระ เซียนคนหนึ่งในเรื่องผักหวานกล่าวว่า สังเกตุจากป่า และการอยู่ใต้ร่มไม้ใหญ่นั้นหากอยู่ทางทิศตะวันออกของต้นไม้ใหญ่จะดี คำอธิบายของพ่อธีระคือ บ่ายนั้นแดดร้อนแรงกว่าแดดตอนเช้า  ไม่จำเป็นรดน้ำทุกวัน แค่เอาฟางคลุมโคนต้นแล้วทำรั้วกั้นมิให้ใครมาโดนต้นเขา รดน้ำอาทิตยละครั้งอย่างมากก็สองครั้งเท่านั้น ใจเย็นๆ ปล่อยเขาเติบโตเอง

    ผักหวานป่ามีตัวผู้ตัวเมีย ตอนแรกผมก็เอะอะชาวบ้านว่าทำไมเอาดอกผักหวานป่ามากิน มาขายหมด แล้วมันจะออกหน่วยขยายลูกหลานมันอย่างไร ชาวบ้านบอกว่าเขาเอาดอกตัวผู้มากิน ดอกตัวผู้จะไม่เติบโตเป็นหน่วย ขายราคากกละ 300-400 บาท อร่อยกว่าใบอีก  อิอิ มันหายากน่ะ ผมถ่ายรูปไว้แล้วยังไม่มีเวลาเอามาลงเลยครับ
    กำลังเตรียมงานวันไทบรูยุ่งอยู่เลยครับ

  • #11 aram ให้ความคิดเห็นเมื่อ 11 มีนาคม 2010 เวลา 1:39

     ผมเคยซื้อขี้วัวชาวบ้านที่เลี้ยงแถวต้นมะกอกป่า จะมีเม็ดปนมาด้วย พอเอาไปใส่ต้นไม้ต้นกล้ามะกอกก็จะงอกงามดีมากครับ เลยได้ต้นกล้าติดมาจากขี้วัวชาวบ้านประจำ สังเกตว่าใต้ต้นที่ปล่อยให้ร่วงเองไม่ค่อยงอกให้เห็นครับ น่าสนใจว่าในกระเพาะวัวคงมีน้ำย่อยกระตุ้นให้มะกอกงอกได้ดีครับ
    ผมชอบทานยอดมะกอกป่า เคยลองปักชำดู ติดง่ายครับแต่ไม่ได้เอาไปลงปลูกตอนนี้ตายแล้วครับอิอิ
    ขออภัยเรื่องเม็ดดอกแค พรุ่งนี้ผมส่งไปให้นะครับ อิอิ

  • #12 sutthinun ให้ความคิดเห็นเมื่อ 11 มีนาคม 2010 เวลา 5:31

    มะกอกป่า ทดลองเอากิ่งปักชำ ปรากฎว่าเติบโตไม่กี่ต้น นอกนั้นแห้งตาย
    คงจะต้องคำนึงถึงขนาด ควรจะโตเท่าแขนและตัดยาวสัก 1 เมตรจะงอกดี
    แต่ถ้าขุดย้ายปลูกจะรอดทุกต้น
    การเพาะด้วยเมล็ดพอไหว
    แต่ที่มันหล่นแล้วเกิดเองรอบต้นน่าสนใจกว่า
    ปล่อยให้โตสักคืบ ค่อยย้ายปลูก
    ยังหาลูกมะกอกได้ไม่มากพอที่จะปลูกระบบชิด
    อาจจะลองปักชำอีกครั้งช่วงฝนนี้

  • #13 handyman ให้ความคิดเห็นเมื่อ 11 มีนาคม 2010 เวลา 5:38

    ขอบพระคุณท่านเจ้าของเรื่องและทุกความเห็นครับ  ความรู้ที่ได้จะนำไปประยุกต์เร็วๆนี้ครับ และสัญญาว่าจะส่งข่าว บอกกล่าวความสำเร็จและความล้มเหลวจากการทดลองแต่ละเรื่องที่เมืองไชยาครับ

  • #14 sutthinun ให้ความคิดเห็นเมื่อ 11 มีนาคม 2010 เวลา 5:46

    ที่ลพบุรี มีซียนผักหวานป่า
    -ผมเคยไปดูงาน แกเก่งมาก สามารถตอนต้นผักหวานมาปลูกได้สำเร็จ
    -ถ้าใครมีต้นผักหวานป่า ผมอยากจะขอเมล็ดมาปลูก
    -ต้นที่สวนออกดอกพราว สงสัยจะเป็นต้นตัวผู้ (ไม่ติดผล ออกดอกมาสักพักก็ร่วงหมด)
    -จะทดลองเพาะกล้า และแบบหยอดเมล็ดลงดิน เลียนแบบธรรมชาติ
    -ยังข้องใจเรื่องโตช้า-โตเร็ว คำตอบยังไม่ชัดเจน
    -บ้างก็บอกว่าต้องเอาดินซึ่งมีสารหรือเชื้อที่ผักหวานชอบมาด้วย
    -เท่าที่สังเกตผักหสานป่ามีชนิดใบแคบ-ใบกว้าง- จะมีชนิดอื่นอีกก็ไม่ทราบ
    -พื้นถิ่นเดิมที่สวนไม่มีผักหวานป่ามาก่อน แต่ตามทุ่งนาใกล้เคียงพอมีต้นผักหวานป่าอยู่บ้าง
    -สมัยก่อนจะมีฤดูผักหวานป่า ชาวบ้านเก็บมาขาย
    -มีความรู้สึกว่าธรรมดาๆ เพราะเป็นผักทั่วไปที่หาง่าย ไม่ดูแปลกเหมือนทุกวันนี้
    -ผักหวานป่าถ้ามีต้นโตๆ แค่ต้นเดียว ก็เด็ดยอดอ่อนมาแกงได้เรื่อยถ้าให้น้ำและปุ๋ยช่วย พอกิน ครับ ปีนี้เจี๊ยะมาแล้ว
    -ถ้าไทบรู มีเมล็ดผักหวานป่า ขอมาทดลองด้วยนะครับ

  • #15 สาวตา ให้ความคิดเห็นเมื่อ 12 มีนาคม 2010 เวลา 21:04

    สิงห์ป่าสักเคยเขียนเรื่องการปลูกผักหวานป่าด้วยเมล็ดไว้ที่นี่ค่ะพ่อครู

    ดูวิธีปลูกแล้วน่าจะประยุกต์ต่อเรื่องการให้น้ำได้หลายวิธีด้วยนะคะ 

    ที่กำแพงเพชรมีการเพาะชำใส่ถุงและปลูกแซมค่ะ

    ที่


แสดงความคิดเห็น

ท่านอยากจะ
เข้าระบบหรือไม่


*
To prove you're a person (not a spam script), type the security word shown in the picture. Click on the picture to hear an audio file of the word.
Click to hear an audio file of the anti-spam word


Main: 0.82452201843262 sec
Sidebar: 0.28428983688354 sec