สภาการศึกษา ก็สนใจ การศึกษาเอกชน(เหมือนกัน)

1 ความคิดเห็น โดย maeyai เมื่อ 21 พฤษภาคม 2011 เวลา 12:18 (เย็น) ในหมวดหมู่ ชีวิตกับโรงเรียน #
อ่าน: 1961

เป็นเรื่องน่ายินดี  ทีทางสภาการศึกษาหยิบยกเอา ร่าง “ยุทธศาสตร์การมีส่วนร่วมของเอกชนในการจัดการศึกษา”  เข้าระเบียบวาระ  เรื่องที่จะพิจารณา  เมื่อวันที่ 6 พฤษภาคม 2554   ในร่างดังกล่าว  ได้อ้างไว้ในบทนำ  ถึง

  • รัฐธรรมนูญ พ.ศ.2550  ได้กำหนดให้การจัดการศึกษาเอกชนทุกประเภท ได้รับความคุ้มครองและส่งเสริมที่เหมาะสมจากรัฐฯ
  • พรบ.การศึกษา พ.ศ. 2545 กำหนดให้เอกชนสามารถจัดการศึกษาอย่างอิสระ โดยมีการกำกับ ติดตามและประเมิน คุณภาพเช่นเดียวกับโรงเรียนรัฐบาล และให้ส่งเสรืมการมีส่วนร่วม สนับสนุนด้าเงินอุดหนุน  ยกเว้นภาษีและสิทธิประโยชน์  สนับสนุนด้านวิชาการให้สถานศึกษาเอกชนมีมาตรฐาน และพึ่งตนเองได้
  • กฎกระทรวง พ.ศ. 2548  กำหนดให้ สช.อันเป็นหนวยงานของรัฐฯ   มีหน้าที่ส่งเสริมประสานงาน เสนอนโยบาย ยุทธศาสตร์ แผนพัฒนา ตลอดจนกำหนดกฎ ระเบียบ และเกณฑ์มาตรฐาน  สนับสนุนด้านวิชาการ การประกันคุณภาพ  คุ้มครองการทำงาน และสิทธิประโยชน์ของครู กำหนดให้ เขตพื้นที่การศึกษา ส่งเสริม สนับสนุนโรงเรียนเอกชนในเขตรวมทั้ง ประกาศใช้  พรบ.โรงเรียนเอกชน พ.ศ. 2550

(หมายเหตุ  ถ้อยคำต่างๆของกฎหมายนี้เป็นการสรุปของแม่ใหญ่เอง  เพราะไม่อยากยกเอาภาษากฎหมายยาวๆมาให้อ่านกัน  ท่านผู้ใดสนใจอยากเปิดดูกฎหมายตัวจริง    ให้ไปเปิดหาเอาใน google เองก็แล้วกัน)

 กฎหมายทั้ง 4 ฉบับ  ล้วนแล้วแต่มีความสอดคล้องกัน นั่นคือให้รัฐ ส่งเสริม สนับสนุน  เพื่อให้การศึกษาเอกชนดำเนินไปอย่างไม่ติดขัด   

 แต่ในความเป็นจริง  ได้ก็มีการออกกฎ ออกระเบียบ ที่มีระบุใน พรบ.การศึกษาเอกชน พ.ศ. 2550  หลายกฎเกณฑ์บีบบังคับโรงเรียนเอกชน  แทบจะไมให้หายใจ  อาทิเช่น 

  • ให้ทุกโรงเรียนจดทะเบียนเป็นนิติบุคคล  
  •  ให้ยกที่ดินเดิมที่เป็นของส่วนตัวให้เป็นของนิติบุคคล 
  •  ให้แบ่งสัดส่วนกำไร เพื่อพัฒนาโรงเรียนตามกำหนด (จำไม่ได้แล้วว่ากี่เปอร์เซ็นต์ เพราะในความเป็นจริง  เราใช้พัฒนาโรงเรียนมากกว่านั้น) 
  • ให้ครูต้องมีใบประกอบวิชาชีพ (จนเกิดการซื้อใบ ป.บัณฑิตครูกันอย่างกว้างขวาง)
  • ให้ผู้บริหารต้องจบปริญญาโททางบริหารการศึกษา (จนมีนักการเมืองที่รู้แกว เปิดมหาวิทยาลัย เพื่อสนอง กฎข้อนี้  มีลูกค้าเป็น ผู้บริหารที่ไม่มีวุฒิ  มาเรียนวันเสาร์อาทิตย์  แบบที่เขาเรียกกันว่า “จ่ายครบ จบแน่”  แต่เรียนครบหรือไม่นั้น  ไม่ทราบ )  
  •  ให้ครูชาวต่างประเทศต้องมีวุฒิทางครู  หรือมาสอบเอาใบประกอบวิชาชีพครู   มิฉะนั้นไม่ต่อวีซ่าให้  กฎเหล็ก  ข้อนี้เป็นกฎที่ไล่ฝรั่งไปทำมาหากินที่ลาว เขมร ญี่ปุ่น เกาหลี  เกือบค่อนประเทศ   เพราะฝรั่งที่จบครูแท้ๆตามเมืองนอก เขาก็ไม่ค่อยพออยู่แล้ว  โอกาสที่จะหลุดมาเมืองไทยย่อมน้อยมาก จนเกือบจะไม่มี   
  • ฯลฯ  และอื่นๆอีกหลายประเด็น  แม่ใหญ่เล่าเท่าที่จำได้ สมัยที่ยังบริหารโรงเรียนอยู่เมื่อหกปี่แล้ว  มาถึงตอนนี้ อาจจะมีกฎ หรือระเบียบ   ที่เขียนขึ้นแบบไม่ดูตามม้าตาเรือ   ออกมาอีก ก็เป็นได้

ถึงแม้จะถูกบีบและมีข้อจำกัดอย่างไรก็ตาม     ผลการประเมินวัดผล  ระดับประเทศ ก็ยังแสดงว่า  ค่าเฉลี่ย  NT. (National Test)  ของเด็กนักเรียน ตั้งแต่ระดับ  ประถม  จนถึงมัธยม ของโรงเรียนเอกชน ยังสูงกว่า โรงเรียนรัฐบาลอยู่ดี

นั่นเป็นเพราะว่า   โรงเรียนเอกชนของเรา   ต้อง ส่งเสริม ประเมิน และประกันคุณภาพ ของตนเองอยู่แล้ว  เพราะผู้ปกครองที่เป็นลูกค้าของเรา เขาจ้องเราอย่างใกล้ชิด   ถ้าโรงเรียน ไม่ดีจริง   เขาก็คงไม่ส่งลูกเขามาเรียนกับเรา 

แต่เมื่อ สภาการศึกษาแห่งชาติ  ได้มีความพยายาม   นำเรื่องโรงเรียนเอกชนมาเข้าวาระ  และถึงกับยกร่าง  “ยุทธศาสตร์การมีส่วนร่วมของเอกชนในการจัดการศึกษา”  ขึ้นมานี้   จึงนับว่าเป็นเรื่องดี 

ก็ได้แต่หวังว่า สภาการศึกษาแห่งชาติ   คงไม่เป็นเพียง  “เสือกระดาษ” ทีวาดแผนดีดี ออกไป  แล้วปฏิบัติไม่ได้  ในความเป็นจริง  เพราะเท่าที่อ่าน ยุทธศาสตร์ และแผนปฏิบัติการ  ก็ไม่ได้มีอะไรที่แปลกใหม่มากนัก  ได้มีความพยายามทำกันมาตั้งแต่สมัยปฏิรูปการศึกษา แล้ว  แต่อะไรๆมันก็ยังเป็นอย่างที่เห็นๆกันอยู่นี้แล

(ต้องขอขอบคุณผู้มอบรายงานการประชุม ของสภาการศึกษาแห่งชาติ  ณ  วันที่ 6 พฤษภาคม 2554   มาให้อ่านด้วยนะคะ)

 


ของเล่นประเทืองใจ

5 ความคิดเห็น โดย maeyai เมื่อ 20 พฤษภาคม 2011 เวลา 12:21 (เย็น) ในหมวดหมู่ งานอดิเรก #
อ่าน: 2338

วันก่อนไปเที่ยวสวนป่าประเทืองปัญญามาแล้ว  วันนี้ ขอมานั่งชื่นชมและรวบรวมภาพ กับของเล่นประเทืองใจสักหน่อย  โดยใช้เวลาตั้งแต่หกโมงเช้า จนถึงตอนนี้สิบเอ็ดโมงครึ่ง  เก็บภาพต่างๆรอบตัว รวมทั้งรวบรวมภาพเก่าๆ ที่เคยเอาลงไว้ในเฟสบุค   มาจัดแยกประเภท

เริ่มด้วย เก็บภาพ   ของเล่นประเภทต้นไม้ ที่มีบอนไซเล็กๆ เกล็ดมรกต ต้นพริกขี้หนู กระบองเพชร และไม้ทะเลทราย และไม้ประดับอื่นๆอีกหลายชนิด  จำชื่อได้บ้างไม่ได้บ้าง รวมๆกันเข้าแล้ว  ก็มากมายหลายชนิดอยู่

ชุดของเล่นต่อจากต้นไม้  ก็มาถึงชุดนก  ที่บ้านโพรว๊องซ์  มีนก 8 ตัว  บ้านรังแตนอีก 6 ตัวรวมเป็นสิบสี่ตัว  มีซันคอนัวร์ 1 เลิฟเบิร์ด 4 หงส์หยก 4 ขุนทอง 2 กรงหัวจุก 3  เช้าขึ้น ก็มานั่งฟังเสียงนกร้องเพลิดเพลิน  แต่ของเล่นชุดนี้ ต้องทนฟังเสียงค่อนขอดจากเพื่อนรัก  ผู้รักอิสระ ที่บอกว่า เอานกมากักขัง  มาเยี่ยมเมื่อไหร่ จะมาปล่อยให้หมด  ตอนนี้เลยยังไม่ชวนเพื่อนคนนี้มาบ้านสักที

 

 

 

ของเล่นชุดต่อไป   เพิ่งเริ่มสะสมได้ไม่นาน   ได้แก่เซรามิค  ชุดต่างๆ ที่ไปเจอร้านที่มีใจรักของประเภทเดียวกัน  แล้วค่อยๆเก็บสะสมไว้  พอคุยถูกคอก็แบ่งมาให้แม่ใหญ่ได้ร่วมเชยชมด้วยในราคาที่ไม่แพง  ก็มีชุด โพรว็องซาล ชุดลายดอกไม้ ชุด พรินเซส  และสัพเพเหระที่ไม่เข้าชุดอีกหลายใบ

 

รู้ทั้งรู้นะ ว่ามันเป็นการสะสมกิเลส  แต่มันก็เป็นความสุขทางใจ  ดังนั้นเมื่อยังเป็นมนุษย์ปุถุชน ก็จึงต้องตามใจกิเลส(เล็กๆ)ไปพลางๆก่อน  ไว้ ละ ลด เลิกได้เมื่อไหร่ จึงค่อยๆจ่ายแจกก็แล้วกัน ใครจะเข้าคิว  ก็แจ้งไว้แล้วกัน

เรื่องเล่น ที่เล่นมาเป็นปี และยังรอเล่นต่อไป คือการวาดรูปสีน้ำ   ได้เคยนำมาลงลานปัญญาไว้บ้างแล้ว  คือการรวบรวม รูปภาพสีน้ำ ที่อยากจะวาด และที่ตัวเองวาดเอาไว้   ไม่ได้วาดมาสามเดือนแล้ว  เพราะครูไม่ว่าง  ต้องสอนเด็กเตรียมเอ็นทรานซ์   รอครูไม่ติดสอนเด็กๆ คงพอมีเวลา  มาสอนให้ลูกศิษย์โค่ง อีกต่อไป

เรื่องเล่นที่ยังไม่อยากเรียกว่าสุดท้าย ก็คือเล่นเลี้ยงหมา  ที่แต่ไหนแต่ไรไม่เคยเลี้ยง  แต่ได้รับอิทธิพลของลูกๆรอบตัว  เช่น โจ๊กมีโกลเด้น 3 ตัว แจ๊กมีทั้งโกลเดน ชิสุห์ บีเกิ้ล อย่างละตัว จั๊กมีเจ้าซันเดย์  โกลเด้นแสนรู้หนึ่งตัว  แม่ก็เลยหา ปอม (ปลอม) และชิวาว่า (ปลอม) มาลองเลี้ยงสองตัว  แล้วเลยส่งผลให้จิ๊กไปหา ชิวาว่า (ของจริงมีเพดดิกรี) มาเลี้ยงเพื่อเยาะเย้ยตัวปลอมของแม่  อีกหนึ่งตัว  ถ้ารวมหมาชั้นสามที่ไม่ต้องประคบประหงม เป็นของกลางของบ้าน  คือ เจ้าเบคแฮม รัสเต็ด รานี ห้าหนึ่ง ห้าสอง ซูซี่วอง ฯลฯ และยังมีหมาเพื่อนบ้าน ที่หมาเราชอบเอาเข้ามาเที่ยวบ้านอีก สองตัว  รวมเป็นกี่ตัวไม่อยากนับ แล้ว  ดูจากรูปเอาเอง  บอกได้ว่าที่ถ่ายรูปมานี้ ยังไม่ครบทุกตัวด้วยซ้ำ

เรื่องเล่น(ใหญ่) ลำดับต่อไป   ชักจะไม่เจียมตัว เจียมอายุ เจียมสังขาร   จะเล่นเรื่องทำนา  ปลูกสวนป่า  จะรอดหรือไม่รอด  คงจะได้รู้กัน 

ชีวิตหนอชีวิต ทำไมมีเรื่องให้เล่นมากมายดีจริงๆ


เรียนรู้จากสวนป่า

2 ความคิดเห็น โดย maeyai เมื่อ 18 พฤษภาคม 2011 เวลา 8:38 (เย็น) ในหมวดหมู่ เรื่องที่เรียนรู้ #
อ่าน: 1510

ตามออตและฮัคสกูลไปสวนป่าพ่อครู   เมื่อวานและกลับมาถึงบ้านวันนี้   ได้เรียนรู้หลายเรื่องที่ไม่เคยรู้แม้จะมีอายุปูนนี้แล้ว  เรื่องของสภาพสวนป่าโดยทั่วๆไปจะไม่เล่า ให้คนในลานฟังหรอก เพราะ  ส่วนใหญ่ได้เคยไปมาก่อนแม่ใหญ่แล้วทั้งนั้น   เอาเรื่องที่แม่ใหญ่ไม่เคยรู้  แต่เพิ่งจะมารู้คราวนี้ดีกว่า

  • ไม่เคยรู้จักต้นกระสัง  และไม่รู้ว่า  เอากิ่งมะนาวกับมะกรูด มาทาบต้นกระสัง  แล้วจะได้ มะนาว มะกรูด ผลงาม อยู่ใกล้แค่มือเอื้อมเด็ด  (ผลพลอยได้  ได้รับต้นกระสังมาลองปลูกสองต้น)
  • ไม่เคยรู้ว่าเอาต้นมะรุมมาปลูกเป็นรั้วได้    ต้นเตี้ยๆ  ใบหนา  สูงแค่เอว  อยากใช้ใบก็ไปเก็บเอามาได้ง่ายๆ
  • สงสัยว่า  ทำไมคะน้าจึงงามนัก แถมไม่มีร่องรอยใบแหว่งเว้าทั้งๆที่ไม่ใช้ยาฆ่าแมลง  คำตอบก็คือปลูกรวมๆกันไปกับต้นอื่น ๆ รวมทั้งหญ้าก็ไม่ต้องถอนทิ้ง  ถึงเวลาแมลงมันก็ไปเลือกกินต้นอื่นที่อร่อยกว่าคะน้าเอง
  • รู้ว่า วัวบางพันธ์เป็นสัตว์รู้ภาษา  ขนาดเดินตามเจ้าของต้อยๆ  และบางพันธุ์สอนเท่าไหร่ก็ไม่จำ  วัวแต่ละตัวนิสัยไม่เหมือนกัน  แต่ทุกตัวชอบกินใบไม้ กิ่งไม้สับ จนอ้วนท้วน ไม่ได้กินแต่หญ้า
  •  รู้ว่าค้างที่ปลูกต้นถั่วฝักยาว  ใช้ก้านกล้วยมาผูกเป็นค้างได้  พอถั่วได้ที่เก็บกินได้  ก้านกล้วยก้ผุเปื่อยพอดีๆ ไม่ต้องเปลืองไม้
  • รู้ว่าไม้ยูคา เอามาทำพื้น ทำฝา  ทำเพดานบ้าน  ได้อย่างสวยงามและคงทน  แถมเอามาเฟอร์นิเจอร์ได้หลากหลาย ไม่ใช่แค่เอาไปทำนั่งร้าน หรือไม้โครงติดป้ายโฆษณา
  • เคยคิดว่าใต้ต้นไม้ใหญ่จะปลูกอะไรไม่ขึ้น  แต่จริงๆแล้วถ้าเลือกไม้ให้เหมาะให้แก่ลักษณะนิสัยของมัน  ก็ปลูกได้งามดี   และเป็นไม้คลุมดินที่สร้างความชุ่มชื้นให้ผืนป่าอีกด้วย 
  • รู้ว่าเวลาปลูกกล้าไม้ของต้นไม้ใหญ่  ในหน้าฝนแล้วปล่อยให้มันเติบโตเอง ไม่จำเป็นต้องไปประคบประหงม รดน้ำเช้าเย็น ต้นไม้เขาจะปรับตัวของเขาเอง  ไม่อย่างนั้น ป่าธรรมชาติมันจะเกิดและเติบโตได้อย่างไร
  • รู้จักและได้เห็น ได้เอามือสัมผัสกับต้นไม้อีกหลายชนิด  ที่คนอื่นเขารู้จักแล้ว แต่เราไม่รู้จัก เช่น ยางนา  ลำดวน  อคาเซีย(กระถินณรงค์ พันธ์ยักษ์ ต้นใหญ่ตรงสูงลิ่ว) และทำให้อยากรู้อยากเห็นเรื่องต้นไม้ต่างๆให้มากกว่านี้อีก
  • รู้ว่าไก่ต๊อกหลายๆตัว  มันชอบไปแอบไข่รวมๆกันบางทีถึงร้อยฟอง  แต่คนหาไม่ค่อยเจอ
  • รู้ว่านกกระจอกเทศไม่ฟักไข่เอง  ต้องเอาเข้าเครื่องอบราคาเป็นล้าน  สวนป่าเลยเลี้ยงไว้ดูเล่นซะงั้น
  • รู้ว่าหมูบางพันธุ์( จำชื่อไม่ได้ )ออกลูกครอกละยี่สิบตัว (อะไรจะขนาดนั้น)
  • รู้ว่าใบโหระพาเอามาชุบไข่ทอด  อร่อยมากไม่แพ้ชะอม (ขอบคุณแม่หวีที่แนะนำเมนูเด็ด)

ความจริงมีเรื่องที่เพิ่งรู้มากกว่านี้  แต่จำได้ ไม่หมด  วันหลังจะไปเรียนต่อ

ขอบคุณผืนป่า เจ้าของป่า และสัตว์อีกหลากชนิด รวมทั้งคนที่ชวนไปสวนป่าในครั้งนี้  ทีทำให้แม่ใหญ่ได้ประสบการณ์ตรงมากมาย  คิดถึงนักเรียนที่โรงเรียนจัง  ถ้าพ่อแม่เขายอมให้พามาทัศนศึกษา  คงได้เรื่องที่เรียนรู้อีกมากมาย

 


ข้อคิดดีดี จาก Ernest Hemingway

3 ความคิดเห็น โดย maeyai เมื่อ 13 พฤษภาคม 2011 เวลา 12:36 (เช้า) ในหมวดหมู่ งานอดิเรก #
อ่าน: 1960

ฟังก่อนพูด คงเข้าใจ ได้ลึกซึ้ง

คิดก่อนทำ คงจะถึง   ซึ่งจุดหมาย

มีเงินเก็บ   ค่อยใช้จ่าย จะสบาย

รอสักหน่อย  ค่อยขยาย   คำวิจารณ์

ก่อนสวด   ขอพรพระ   ให้ละโกรธ

จงยกโทษ มีใจ   ใฝ่สงสาร

และก่อนที่  จะท้อ   ทอดทิ้งงาน

พยายาม เพื่อให้ผ่าน  ดีไหมเอย

 

เจอข้อคิดดีดี ของนักเขียนชื่อดัง  เลยอดที่จะลองแปล  เป็นกลอนแบบไทยๆ   มาแบ่งปัน คนคอเดียวกันไม่ได้

  

 


สนทนาธรรมต่อเนื่อง

1 ความคิดเห็น โดย maeyai เมื่อ 11 พฤษภาคม 2011 เวลา 7:01 (เย็น) ในหมวดหมู่ เรื่องที่เรียนรู้ #
อ่าน: 1447

ได้กลับไปร่วมสนทนาธรรมกับกลุ่มอีกวันหนึ่ง   เดิมกำหนดเขาห้าวัน  แต่ได้ไปเข้าแค่สองวันสุดท้าย  แม่ใหญ่ คงจะพลาดเนื้อหาไปแยะเหมือนกัน 

วันนี้ ช่วงเช้า   เขาพูดเรื่อง สังโยชน์4  http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%AA%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B9%82%E0%B8%A2%E0%B8%8A%E0%B8%99%E0%B9%8C   ฟังแล้ว มีประโยชน์และเห็นจริงเกี่ยวกับ การละกิเลสจริงๆ  มีทั้งละแบบเบื้องต่ำ และละแบบเบื้องสูงที่ปุถุชนธรรมดาอย่างเราคงละไม่ได้    เนื่องจากเล่าเอง ไม่ถูก คำบาลีแยะ  จึงกลับมาค้นหาลิงค์ที่อธิบายไว้ง่ายๆ  เพื่อตอกย้ำสิ่งที่ฟังมาจากอาจารย์วันนี้     หากมีผู้สนใจ  เชิญคลิ๊กเข้าไป  ที่ลิงค์ด้านบนได้เลย  แม่ใหญ่เองก็คงต้องเข้าไปอ่านอีกหลายรอบ  รู้สึกว่าตัวเองพอจะละได้สักสองข้อแรกเท่านั้นเอง

ต่อมา อาจารย์พานั่งสมาธิ 3 แบบ คือแบบนั่ง  แบบยืน  และแบบเดินจงกรม  แล้วกลับมานั่งอีกครั้ง  เป็นเวลารวม  1 ชั่วโมง อาจารย์เน้นๆว่าให้มีสมาธิอย่างต่อเนื่องเมื่อเปลี่ยนอิริยาบท   ปกติแม่ใหญ่ทำคนเดียวไม่เคยได้  อย่างมากก็ได้สัก 10 นาทีเอง  แต่วันนี้มีอาจารย์ และมีเพื่อนร่วมวง นั่งไปพร้อมๆกัน ก็เลยทำได้บ้าง    แต่ตอนท้ายๆรู้สึกขี้เกียจมากๆ แอบหรี่ตาดูคนอื่น เขายังนั่งตัวตรงกันอยู่เลย แม่ใหญ่เองเมื่อยปวดหัวเข่า ขยุกขยิกไปมา  จนคิดว่าหลุดออกจากสมาธิ ตั้งแต่ 45 นาทีแล้ว

จบการนั่งสมาธิ 1 ช.ม. ถึงเวลาเบรค   อาจารย์ให้ไปทานของว่าง  ซึ่งเป็น ขนมเปี๊ยะ  กับโอวัลตืน  อาจารย์ให้ลองเคี้ยวสิบนาทีแล้วค่อยกลืน  และให้ตามความรู้สึกตอนอาหารผ่านลำคอลงไป  อุแม่เจ้า ไม่นึกว่ามันจะยากเย็นแสนเข็ญอะไรเช่นนั้น  ใครไม่เชื่อ โปรดไปลองทำดู ยากมากที่สุด  ยิ่งอีตอนจะกลืน  อย่าให้พูดเลย  รีบหลับหูหลับตากลืน  แล้วดื่มโอวัลตินตามอย่างรวดเร็ว  ไม่งั้นอาจจะทำอาการน่ารังเกียจให้คนอื่นเห็นได้  อาจารย์พูดให้ฟังว่า การฝึกตัวนี้ จะเป็นการฝึกให้ละสังโยขน์ตัวที่ 4 คือ กามราคะได้  เพราะจะทำให้  ไม่ติดใจในกามคุณ คือการหลงในรูปรส กลิ่นเสียง จนขาดความยับยั้งชั่งใจ

กลับจากเบรค อาจารย์ให้ทุกคนเล่าประสบการณ์ที่สัมผัสมาในช่วงเช้า  จนถึงเบรค   แทบทุกคนรู้สึกไม่ต่างกันนัก เรื่องเคี้ยวของว่าง 10 นาที แต่เรื่องนั่งสมาธิ หลายคนนิ่งได้จริง  และไม่หลุดออกจากสมาธิเลย  อาจารย์บอกว่าให้กลับไปฝึกอย่างต่อเนื่อง  อย่าทิ้งไป  เพราะจะเป็นผลดี ต่อการใช้ชีวิตจริงต่อไป โดยเฉพาะชีวิตการเป็นผู้นำที่ต้องเป็นคนที่นิ่งมากๆ   ปัญญาจึงจะเกิดเมื่อมีปัญหาเข้ามาให้แก้

ตอนกลางวัน อาจารย์ก็ให้ไปทานข้าวอย่างมีสติอีก ไม่ให้พูดจากัน ต่างคนต่างทาน และให้เคี้ยวสี่สิบครั้งก่อนกลืน  อาหารมื้อนี้จริงๆแล้วมีแต่ของอร่อยๆทั้งนั้น  แต่ด้วยวิธีเดี้ยวดังกล่าว อาหารหมดรสหมดชาดเลย  ใครที่อยากลดความอ้วนไม่ต้องไปเสียเงินสถานลดความอ้วนที่ไหน   ใช้วิธีนี้ รับรองได้ว่า ได้ผล 1000 เปอร์เซ็นต์ (ถ้าทำได้จริง)

ช่วงบ่ายเป็นช่วงสังเคราะห์ความรู้ทั้งหมดที่ได้รับทั้ง 5 วัน โดยอาจารย์ ตั้งคำถามให้ทุกคนตอบ 10 ข้อ ที่เกี่ยวเนื่องกับการเป็นผู้นำในกระบวนทัศน์ใหม่  อาจารย์มีกิจกรรมให้พวกเราได้อยู่กับตนเองอีก ด้วยการให้ตอบคำถามทั้งสิบข้อ  แล้วนำคำตอบ ออกไปเดินในบริเวณ  ที่ตนเองพอใจ  ให้หยิบหินขึ้นมาสองก้อน  วางก้อนแรกไว้  แล้วให้อ่านคำตอบข้อแรก  ให้หมุนตัวตามต้องการแล้วเดินไปในทิศทางที่อยากเดินจะเป็นกี่ก้าว ก็ได้   โดยถือหินก้อนที่สองไปด้วย  อยากหยุดตรงไหนก็หยุด แล้วก็อ่านข้อสอง  แล้วก็หมุนตัวเดินไปหยุดจุดที่สาม  อ่านคำตอบข้อที่สาม  ทำอย่างนี้ จนอ่านคำตอบของตนเองครบสิบข้อ  แล้วอาจารย์ให้วางหินก้อนที่สองลงไปที่พื้นดิน  คราวนี้ อาจารย์ให้ เดินจากหินก้อนที่2กลับไปหาหินก้อนที่ 1  ในระหว่างเดินกลับให้สังเกตความรู้สึกของตัวเอง

หลังจากเวลาผ่านไปประมาณครึ่งชั่วโมง ทุกคนก้เสร็จภารกิจ   กลับมานั่งล้อมวงกันเหมือนเดิม เล่าประสบการณ์ที่ตนเองได้รับรู้ และรู้สึกตลอดจนเล่าถึงคำตอบของแต่ละคนทั้งสิบข้อ    บางคนมองว่ากิจกรรมที่อาจารย์ให้ทำ เป็นพิธีกรรมอย่างหนึ่ง ในการรับพลังจากธรรมชาติ  และจากพื้นดินที่ทำให้ สามารถคิดทบทวนคำตอบของตนเอง  และนำมาเล่าให้ฟังได้อย่างชัดเจน   บางคนรู้สึกถึงความสงบเย็น ในช่วงเดินกลับมายังหินก้อนที่ 1  บางคนรู้สึกอยากแก้ไขคำตอบของตัวเองบางข้อที่ตอบไว้แต่แรก  

 สำหรับแม่ใหญ่ เอง มีความรู้สึกว่า กิจกรรมของอาจารย์นี้เป็นอุบาย ที่ทำให้จิตเรา สงบ และจดจ่ออยู่กับคำตอบของตัวเอง  มีเวลาอยู่กับตัวเอง ใคร่ครวญอย่างมีสติ โดยไมว่อกแว่กไปทางอื่น  อยู่ในสิ่งแวดล้อมที่ตัวเองเลือกเอง อย่างอิสระ ไม่ว่าจะหันหรือหมุนหรือเดินไปทิศทางไหน   การเดินจากจุดหนึ่งไปยังจุดหนึ่ง จนถึงจุดหมายสุดท้าย  ทำให้จิตไม่ส่ายไปทางอื่น ดังนั้น  สมองจึงว่าง และโปร่ง  จำสิ่งที่ตัวเองอ่านซ้ำได้ เป็นอย่างดี   เมื่อนำมาเล่า  ก็เป็นการสังเคราะห์ข้อมูลของตัวเอง ออกมาได้อย่างครบถ้วน (กิจกรรมนี้จะเอามาลองให้ครูทำเหมือนกัน  แต่เปลี่ยนเนื้อหาให้เข้ากับกลุ่มครูสักหน่อย จะได้คนพูดคนเล่าได้ โดยไม่ต้องไปสั่งการเลย  คำพูดมันคงจะพรั่งพรูออกมาเอง  เพราะทั้งเขียนเอง อ่านเอง รู้เอง)

เมื่อแม่ใหญ่ได้ฟังคนในกลุ่มทั้งยี่สิบคน   พูดถึงประสบการณ์ตนเองกับคำตอบทั้งสิบข้อ  ในมุมมองของแต่ละคน    แม่ใหญ่ก็สามารถติดตามเรื่องที่เขาคุยกันเมื่อสามวันที่แม่ใหญ่ ไม่ได้มาเข้าได้เกือบครบ   เพราะคำถามที่อาจารย์ถาม  ได้ครอบคลุมเนื้อหาทั้งหมดไว้แล้ว  เป็นการสอบที่ผู้ถูกสอบไม่รู้ตัวจริงๆด้วย  อาจารย์ประชา หุตานุวัตรนี่ท่านเยี่ยมจริงๆ ขอปรบมือดังๆ

  



Main: 0.071899890899658 sec
Sidebar: 0.26452708244324 sec