เยี่ยมโรงเรียนเทศบาลของขอนแก่น

8 ความคิดเห็น โดย maeyai เมื่อ 28 กรกฏาคม 2011 เวลา 9:43 (เช้า) ในหมวดหมู่ ชีวิตกับโรงเรียน, เด็กไร้เดียงสา #
อ่าน: 1693

คุณสุทธิ ศศิพงศ์อนันต์  สมาชิกเทศบาลนครขอนแก่น  เรียนจบวิศวะ จากมหาวิทยาลัยขอนแก่น  เป็นคนมีจิตอาสา  ได้อาสาเข้ามาทำโครงการ “ต้นกล้า แห่งปัญญา”  กับแผนกอนุบาลของโรงเรียนเทศบาลสังกัดนครขอนแก่นทั้ง 11 โรง มาเป็นเวลา 4 ปีแล้ว  คุณสุทธิ  เป็นคนมีจิตใจมุ่งมั่นมาก  และเห็นความสำคัญของการศึกษาระดับปฐมวัย ว่าเป็นช่วงวัยที่สำคัญ เป็นรากฐานชีวิตของเด็กๆทุกคน    เธอเป็นคนหนุ่ม  ที่มีความตั้งใจดี  ศึกษาธรรมะ มีลูกเล็กๆน่ารักสองคน และเมื่อมาทำงานกับเด็กอนุบาล   เธอบอกว่า เธอได้เรียนรู้  และนำสิ่งที่ได้เรียนรู้ไปใช้กับลูกๆด้วย

โดยลักษณะนิสัย ที่มีความมุ่งมั่นสูง ใจร้อน  คงจะมีนิสัย”กระทิง”หน่อยๆ แบบพวกวิศวกรทั่วไป  เธอจึงเริ่มโครงการด้วยการปรับปรุงทางด้านกายภาพของสถานที่เรียนก่อน   จากห้องเรียนมืดๆมุมอับๆ  เธอของบจากสภาเทศบาลมาปรับปรุงจนได้ห้องเรียนที่สวยงาม ได้มาตรฐาน     มีประโยชน์ใช้สอยอย่างครบครัน       แล้วเธอก็ตั้งเกณฑ์   ไว้ว่า นักเรียนอนุบาลทุกโรงของเทศบาลนครขอนแก่น จะต้อง  มีบุคลิกครบคือ  อดทน  มีวินัย เอื้อเฟื้อ เผื่อแผ่ รับผิดชอบ และกตัญญู  

แต่เนื่องจากที่เธอได้ไปศึกษาธรรมะจากหลวงพ่อคำเขียน ที่วัดป่าสุขะโตมาระยะหนึ่ง   ด้านอ่อนโยนของเธอ จึงปรากฏออกมาให้เห็นเวลาที่เธอมาทำงานในโครงการนี้   เธอบอกว่า   เธอเริ่มเข้าใจ คุณครูผู้สอน  ที่ถูกส่งมาที่แผนกอนุบาล (เพราะไม่มีใครอยากมา) เธอเปลี่ยนจากการออกคำสั้ง หรือติเตียน  การจัดการเรียนการสอนของครู  มาเป็นการให้ความเข้าใจ  ให้กำลังใจ ส่งไปเพิ่มเติมความรู้  จัดกลุ่มกรรมการตรวจเยี่ยมโรงเรียนอย่างเป็นกัลยาณมิตร ปีละสองครั้ง   ซึ่งแม่ใหญ่ ก็เป็นหนึ่งในคณะกรรมการนี้   คณะกรรมการส่วนใหญ่ เกือบยี่สิบคน  เป็นผู้นำชุมชนต่างๆในเทศบาลนครขอนแก่น

เมื่อเทศบาลโทรศัพท์มาเชิญให้เข้าร่วมเป็นกรรมการ  แม่ใหญ่ตอบรับด้วยความเต็มใจ ด้วยเห็นว่าเป็นโอกาสที่เราจะได้ใช้ประสบการณ์ที่มีกับโรงเรียนอนุบาลมายาวนาน ได้เข้าไปแต่งเติมเสริมแต่งให้กับชุมชนด้วย   ดังนั้น ในช่วงสามเดือนต่อจากนี้  แม่ใหญ่มีกำหนดการที่จะไปเยี่ยมเยียนโรงเรียนทั้ง 11 โรง

และเมื่อวันที่ 27 กรกฎาคม  โรงเรียนเทศบาลบ้านสามเหลี่ยมก็เป็นโรงเรียนแรกที่เรามาเยือน

เราไปอยู่ที่โรงเรียนนี้ ตั้งแต่9.00-11.00 น.  สังเกตการณ์ การจัดการเรียนการสอน  สองคาบด้วยกัน  และอยู่จนถึงเด็กทานข้าวกลางวัน  จะเห็นคุณครูค่อนข้างเกร็งกับการมาเยี่ยมของเรา  ดังนั้นการจัดกิจกรรมวันนี้ จึงไม่เป็นธรรมชาตินัก  ครึ่งชั่วโมงแรก เป็นการ สวดมนต์ กิจกรรมเข้าจังหวะ ร้องเพลง ทำโยคะ นับนิ้ว และเล่านิทาน  และจบลงด้วยการ จับคู่ กอดกันและกล่าวคำขอบคุณ  ครูนำหนึ่งคน พร้อมไมโครโฟน มีครูอีก 3 คน คอยดูแลให้เด็กประมาณ 100 คน ทำกิจกรรมให้เป็นระเบียบ  พอจบกิจกรรมนี้ เด็กทั้งหมดก็ออกไปเล่นพละกับครูพละ  ไปกระโดดตบ นับหนึ่งถึงสิบ แล้วก็กระโดดกบ   หลังจากนั้นก็ไปทานข้าว

ช่วงเด็กเล่นพละ พวกเราคณะกรรมการและคุณครูก็มาล้อมวง เพื่อแสดงความคิดเห็น   แม่ใหญ่เห็นคุณครูนั่งเครียดแล้วสงสาร  เมื่อเขาเชิญพูด จึงพยายามเลี่ยงการวิจารณ์กิจกรรม   แต่พยายามพูดให้ทุกคนตระหนักว่า  ควรให้ความสำคัญกับการเรียนรู้ของเด็กวัยนี้ให้มากๆ ครูที่มาสอนก็ขอให้ภูมิใจในตัวเองที่ได้มาเป็นคนลงรากปักฐานให้กับเด็ก  และขออนุญาตฝากไปเติมเกณฑ์บุคลิกนักเรียนปฐมวัยของเทศบาลอีกสักข้อจะได้ไหม คือให้ “คิดเป็น”ด้วย

 ก่อนจากกันแม่ใหญ่ไปกอดให้กำลังใจครูที่เป็นหัวหน้ากลุ่ม เพื่อให้กำลังใจ เธอออกตัวว่า เธอเป็นครูคอมพิวเตอร์ที่ถูกสั่งให้มา  เธอไม่มั่นใจจริงๆ  แม่ใหญ่ก็บอกเธอว่า  ขอให้มีใจรักเด็ก  ขอให้ให้ความรักก่อนให้ความรู้  เรื่องต่างๆที่เป็นเนื้อหากิจกรรม เราแสวงหาเอาได้  และบอกว่าถ้าจะใช้โรงเรียนแม่ใหญ่ เป็นที่แสวงหาละก็เชิญได้ตลอดเวลา

สิ่งที่ประทับใจกับการเยี่ยมชมครั้งนี้ คือการเห็นเด็กเล็กๆอายุ สี่ห้าขวบ ทานข้าวแล้วล้างจานให้ตัวเอง ซึ่งคุณสุทธิบอกว่า ได้เริ่มให้ทุกโรงเรียนในเทศบาลนครขอนแก่น  ทำเรื่องนี้  และบอกว่าแม่ใหญ่ก็จะได้เห็นอีก จากทุกๆโรงเรียน

สุทธิ ศศิพงศ์อนันต์

เขาล้างได้สะอาดจริงๆ แม้จานจะใหญ่กว่าตัวสักหน่อยก็ตาม น่ารักมาก


ความภูมิใจของคนเป็นครู

7 ความคิดเห็น โดย maeyai เมื่อ 27 กรกฏาคม 2011 เวลา 7:54 (เช้า) ในหมวดหมู่ ชีวิตกับโรงเรียน #
อ่าน: 1368

หลานส่งภาคภาษาอังกฤษมาให้อ่าน  รู้สึกชอบใจจึงขอแปลและเผื่อแผ่มายังครูทุกท่านด้วย

To all the teachers.

ถึงคุณครูทุกคน

 

Who is a teacher??     ใครคือครู


This is a very good one !
very moving !

เรื่องนี้เป็นเรื่องดีที่น่าจะเป็นแรงบันดาลใจให้แก่ครู

From A School Principal’s speech at a  graduation..
จากการกล่าวของครูใหญ่ในวันจบการศึกษา
He said  “Doctor wants his child to become a doctor……… เขาพูดว่า  หมอ อยากให้ลูกเป็นหมอ
                Engineer wants his child to become engineer……วิศวกรอยากให้ลูกเรียนวิศวะ
                Businessman wants his ward to become CEO…..นักธุรกิจอยากให้ลูกได้เป็นผู้บริหารระดับสูง
                BUT a teacher also wants his child to become one of them..!!!! แต่ครูก็อยากให้เด็กๆของครูเป็นอย่างที่กล่าวมาแล้วด้วย
Nobody wants to become a teacher BY CHOICE” ….Very sad but that’s the truth…..!!! ไม่มีใครเลือกอยากเป็นครู  น่าศร้าไหมล่ะ   แต่นี่คือความจริงThe dinner guests were sitting around the table discussing life.  แขกที่มาในงานวันจบการศึกษา  สนทนากันเกี่ยวกับเนื้อหาของชีวิตตามที่ครูใหญ่เพิ่งพูดจบลง
One man, a CEO, decided to explain the problem with education. He argued, ผู้บริหารคนหนึ่ง  ลุกขึ้นพูดถึงปัญหาด้านการศึกษา  เขาแย้งขึ้นว่า
“What’s a kid going to learn from someone who decided his best option in life was to become a teacher?”แล้วเด็กจะได้เรียนรู้อะไรบ้างล่ะ      จากคนที่เลือกดำเนินชีวิตที่จะเป็นครู

To stress his point he said to another guest;
“You’re a teacher, Bonnie.  Be honest. What do you make?” และเพื่อนจะเน้นวัตถุประสงค์ของการถาม   ที่เขาพยายามจะชี้ให้แขกอื่นๆเข้าใจ เขาหันไปถามครูบอนนี่   “พูดจริงๆนะครู   ครู ทำอะไรได้บ้างน่ะ”  Teacher Bonnie, who had a reputation for honesty and frankness replied, ครูบอนนี่ ที่ได้ชื่อว่าเป็นคนตรง คนซื่อสัตย์ คนจริงได้ตอบคำถามดังนี้
“You want to know what I make?
(She paused for a second, then began…) คุณอยากรู้หรือว่าฉันทำอะไรบ้าง……. เขาหยุดนิ่งชั่วขณะ ก่อนจะเริ่มตอบ

“Well, I make kids work harder than they ever thought they could.  ฉันทำให้เด็กทำงานเข้มแข็งขึ้น   มากกว่าที่เขาคิดว่าเขาทำได้I make a C+ feel like the Congressional Medal of Honor winner.ฉันทำให้คนที่ได้คะแนน้อยๆแค่ ซีบวก รู้สึกภูมิใจเท่ากับการได้รับรางวัลใหญ่I make kids sit through 40 minutes of class time when their parents can’t ฉันทำให้เด็กนั่งในห้องเรียนสีสิบนาทีได้ในขณะที่ปกครองไม่สามารถ
make them sit for 5 min. without an I Pod, Game Cube or movie rental.ฉันทำให้เขานั่งอยู่ 5 นาทีโดยไม่มีไอพอต ไม่มีเกมส์ หรือหนังที่เช่ามาดูYou want to know what I make? คุณอยากรู้ว่าฉันทำอะไรได้อีกใช่ไหม?
(She paused again and looked at each and every person at the table) เธอหยุดนิ่งอีกชั่วขณะหนึ่ง มองแขกทุกๆคนที่นั่งอยู่รอบๆI make kids wonder. ฉันทำให้เขาสงสัยใคร่รู้I make them question.ฉันทำให้เขาถามI make them apologize and mean it  ฉันทำให้เขาขอโทษด้วยความรู้สึกที่แท้จริง
I make them have respect and take responsibility for their actions.ฉันทำให้เขารู้จักเคารพ และมีความรับผิดชอบต่อการกระทำของตัวเองI teach them how to write and then I make them write.
Keyboarding isn’t everything.ฉันสอนให้เขาเขียน และทำให้เขาเขียนได้I make them read, read, read.ฉันทำให้เขาอ่าน. อ่าน และ อ่านI make them show all their work in math.
They use their God given brain, not the man-made calculator.ฉันทำให้เขาสามารถแสดงความสามารถทางคณิตศาสตร์จากสมองของเขาไม่ใช่จากเครื่องคิดเลขI make my students from other countries learn everything they need
to know about English while preserving their unique cultural identity.  ฉันทำให้เด็กจากประเทศอื่นได้เรียนรู้สิ่งที่ต้องการ  รู้ภาษาอังกฤษ ขณะที่ยังคงอัตลักษณ์และวัฒนธรรมของตนเองI make my classroom a place where all my students feel safe.ฉันทำให้ห้องเรียนเป็นที่ที่ปลอดภัยสำหรับเด็กๆนักเรียนFinally, I make them understand that if they use the gifts they
were given, work hard, and follow their hearts, they can succeed in lifeและสุดท้าย ฉันทำให้เขาเข้าใจว่า ถ้าเขาใช้พรสวรรค์ที่เขามี ขยันขันแข็ง และทำตามที่ใจปรารถนา  เขาจะประสบความสำเร็จในชีวิต( Bonnie paused one last time and then continued.) ครูบอนนี่หยุดนิ่งอีกเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะพูดต่อว่าThen, when people try to judge me by what I make, with me knowing money isn’t everything, I can hold my head up high and pay no attention because they are ignorant. You want to know what I make?และถ้าคนทั่วไปจะตัดสินฉันจากสิ่งที่ฉันทำ  สำหรับฉันแล้ว การรู้เกี่ยวกับเรื่องการเงินไม่ใช่ทุกสิ่งทุกอย่าง    ฉันสามารถยืดอกเงยหน้าได้อย่างภาคภูมิใจและไม่สนใจกับความไม่รู้ของคนรอบข้าง  คุณอยากรู้ใช่ไหมว่าฉันได้ทำอะไรไปบ้าง

I MAKE A DIFFERENCE IN ALL YOUR LIVES,EDUCATING KIDS AND PREPARING THEM TO BECOME CEO’s ,AND DOCTORS AND ENGINEERS………. ฉันได้สร้างความแตกต่างให้กับชีวิตของพวกคุณทุกคน   ฉันให้การศึกษาแก่เด็กๆ  และเตรียมเขาให้ไปเป็นผู้บริหาร  ไปเป็นหมอ ไปเป็นวิศวกร
 
What do you make Mr.CEO? แล้วคุณล่ะ  คุณ CEO คุณได้ทำอะไรบ้าง   

His jaw dropped; he went silent. ไม่มีคำตอบจากCEO ที่นั่งเงียบงัน

THIS IS WORTH SENDING TO EVERY PERSON YOU KNOW. Even all personal teachers like mother, father, brother, sister, coach and spiritual leader/teacher.

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 


วันนี้ที่รอคอย (ภาค 1)

10 ความคิดเห็น โดย maeyai เมื่อ 22 กรกฏาคม 2011 เวลา 4:30 (เย็น) ในหมวดหมู่ ชีวิตกับโรงเรียน #
อ่าน: 1623

หลังจากลงมือเพาะกล้าในกระบะพลาสติคกันมาได้ราวๆ 15 วัน  ต้นกล้ากำลังสวยสดงดงามจริงๆ  วันนี้ก็มาถึงวันที่เด็กๆได้มาลงมือมาโยนกล้ากันเสียที

แรกๆเด็กบางคนทำท่าแหยงๆ บ่นว่าเหม็นขี้ตม  แต่สักพักพอคุ้นชิน ก็กลายเป็นสนุก จนแทบจะลงไปลุยโคลนด้วย  แต่แม่ใหญ่คงปล่อยให้ลงไม่ได้  เพราะไม่ได้ขออนุญาตผู้ปกครองขนาดนั้น   ก็เลยแค่ให้โยนกล้าที่เด็กๆเป็นคนปลูกเองกับมือ   พอได้โยนเข้าหน่อย ชักมัน  ทำท่าไม่อยากกลับโรงเรียนกันเป็นแถว


ตกลาน

6 ความคิดเห็น โดย maeyai เมื่อ 13 กรกฏาคม 2011 เวลา 9:31 (เช้า) ในหมวดหมู่ งานอดิเรก, ชีวิตกับโรงเรียน #
อ่าน: 1719

ไม่ได้เขียนเสียนาน  จนตกลานไปเลย  มัวแต่ไปประคบประหงมต้นกล้าร่วมกับเด็กๆที่ช่วยกันเพาะ  แต่เนื่องจากสถานที่ไม่ค่อยอำนวยเพราะเด็กๆแยกกันเพาะตามข้างๆห้องเรียนบาง กลางสนามบ้าง   ตอนกลางคืน  ฝนและพายุมา ลมแรง  พัดเอาต้นกล้าปลิวออกจากถาดไปก็หลายหลุม  เช้าๆต้องมาซ่อมกัน    ก็เป็นเรื่องโกลาหล   และช่วยกันแก้ปัญหาไปแต่ละห้องไป   เป็นเรื่องที่ต้องเรียนรู้ และคราวนี้ ต้องเตรียมสถานที่เพาะให้เหมาะกว่านี้   แต่ผลที่ได้ก็ไม่เลวร้ายนัก ตามรูปที่ถ่ายเอามาอวดกัน  ตั้งใจว่าหยุด 4 วันนี้ คงเอาถาดไปไว้ในนาเสียที  รอโยนในช่วงเปิดเรียนหลังวันหยุดยาวเข้าพรรษา  เด็กๆตื่นเต้นที่เห็นต้นกล้าอ่อนๆงอกออกมาจากเมล็ดอย่างรวดเร็ว  แค่สามวันก็เห็นต้นสีเขียวอ่อนกันแล้ว

ส่วนที่นาก็ได้มีการเตรียมหว่านกล้าเพื่อใช้ดำกันในวันที่ 30 แล้ว งานนี้ใช้ชาวนาตัวจริง ลุงพงษ์ กับลุงไหม  เป็นผู้ดำเนินการ คาดว่า คงได้ผลดีกว่าที่พวกเราทำกันเอง แบบงูๆปลาๆ 

ส่วนการเตรียมการเรื่องนาหยอดหล่นนั้น  ยังไม่ได้ดำเนินการ   คาดว่าจะเริ่มทำลูกกระสุนกล้าสักสามสี่วันก่อนหยอด

ทำนาครั้งแรกในชีวิต  ตื่นเต้นไปพร้อมกับเด็กๆเลย  อุปสรรคก็มีไม่น้อย  นกมาจิกต้นกล้าบ้าง  หนูมาคุ้ยกระบะบ้าง   ยกแผงกล้าหนีลมฝนบ้าง    เข้าใจความลำบากของชาวนา อย่างซาบซึ้งก็คราวนี้  นี่ยังอีกหลายขั้นตอนเชียว กว่าจะถึง ขั้นตอนที่ออกมาเป็นเมล็ดให้ได้ทานกัน


ได้เจอคนใจดี (อีกแล้ว)

4 ความคิดเห็น โดย maeyai เมื่อ 1 กรกฏาคม 2011 เวลา 5:14 (เย็น) ในหมวดหมู่ ชีวิตกับโรงเรียน, เรื่องที่เรียนรู้ #
อ่าน: 1545

วันนี้ไปรับเมล็ดพันธุ์ข้าวชนิดดีที่คัดแล้ว  จากศูนย์วิจัยข้าวขอนแก่น  โดยอาจารย์ พิศาล  กองหาโคตร  นักวิชาการเกษตร ชำนาญพิเศษ   ได้เตรียมเอาไว้ให้ 3 กิโลกรัม  จริงๆตั้งใจจะไปซื้อ แต่อาจารย์ไม่ยอมรับเงิน  บอกพันธุ์นี้ ไม่ใช่ของหลวง ไม่ขาย    เป็นข้าวหอมชนิดดี  ของอาจารย์เอง  และมอบให้แม่ใหญ่เอาไปทดลองที่โรงเรียน พร้อมทั้งสอนวิธีการเตรียมปลูกกล้าลงกระบะพลาสติคมาด้วย

อาจารย์พิศาล บอกว่า ข้าวชนิดนี้ คัดแล้ว ไม่ต้องแช่น้ำ แล้วนำไปห่อค้างคืนอีก  แบบที่ชาวบ้านเขาทำกัน  สามารถเอาเมล็ดแห้งๆนี้  ไปโรยใส่ถาดปลูกได้เลย  โรยเสร็จ  เอาดินกลบ  ฉีดน้ำฝอยๆให้ชุ่ม   แล้วก็เอาผ้าหรือกระสอบคลุม      สามวันพอเห็นต้นงอกออกมาจากเมล็ดแล้ว ก็เอาที่คลุมออก รดน้ำฝอยๆเช้าเย็น (ห้ามใช้สายยางฉีด เดี๋ยวเมล็ดข้าวกระเด็นออกหมด)  เพียงสิบห้าวัน   ต้นข้าวก็จะโตพร้อมที่จะนำเอาไปโยนได้เลย  ดังนั้นช่วงกลางเดือน   เด็กๆคงได้ไปโยนกล้ากันแน่ๆ

แม่ใหญ่ก็เลยกลับมาวางแผนกับคณะครู ว่า วันจันทร์ ที่ 4 นี้  แม่ใหญ่จะแบ่งถาดพลาสติค เตรียมใส่ดินก้นหลุมมาให้  แล้วแจกถาดไปให้แต่ละห้องสักห้องละ 3 ถาด  แล้วให้เด็ก ช่วยกันเอาเมล็ดข้าวมาโรยใส่หลุม หลุมละ 3 เมล็ด  ใช้เวลาไม่นาน  ก็คงโรยข้าวได้ครบทั้งสามถาด  เด็กโตก็จะให้ตักดินกลบเมล็ดข้าวเอง   แต่เด็กสามขวบ  อาจต้องให้ครูช่วยทำต่อจนเสร็จ  แล้วก็ให้ติดชื่อแต่ละห้องไว้ที่ก้นถาด  ให้รับผิดชอบรดน้ำดูแลถาดใครถาดมัน  ตลอดทั้ง 15 วันต่อจากวันที่ปลูกเป็นต้นไป 

โรงเรียนเราทั้งสองโรง   มี นักเรียน 21 ห้อง    ก็จะได้กล้า 63 ถาด   ซึ่งเมื่อต้นข้าวงอกเต็มที่แล้ว  ก็เอาไปโยนได้ 1 ไร่พอดี 

เมล็ดพันธ์ที่เหลือ ส่วนหนึ่ง  จะแบ่งเอาไปให้ลุงโก้ (ช่างไม้) รับผิดชอบ เพราะมอบให้แกอ่านกรรมวิธีเรื่องเจาะรูกระดาน แล้วเอาเมล็ดข้าวคลุกกับดินหยอดลงรูบนไม้กระดาน   แล้วก็นำไปหล่นลงในนา แบบที่อาจารย์ทวิชแนะนำ  ไว้ในเรื่องการทำนาแบบหยอดหล่นแล้ว  แกว่าแกเข้าใจ  แม่ใหญ่จะลงไปร่วมหยอดหล่นกับแกด้วย  เพราะคิดว่า  ไม่น่าจะทำยากสักเท่าไหร่   ส่วนนี้ กะว่าจะทำสักครึ่งไร่ 

ส่วนสุดท้าย อีกครึ่งไร่  จะเอาไปให้คนงาน  เตรียมปลูกกล้าในกระบะ   แต่จะทำทีหลังเพื่อให้กล้าโตทัน  วันที่จะเชิญชวน คณะครูและพนักงาน ที่สมัครใจ     รวมทั้งญาติๆที่จะมาจากกรุงเทพ เพื่อทำบุญครบรอบวันตาย คุณยายจ๋า  วันที่ 30 กรกฎาคม ก็จะได้มาร่วม “ลงแขก” กัน  ในช่วงบ่ายหลังจากทำบุญแล้ว

เฉพาะพันธุ์ข้าวพระราชทานที่ป้าจุ๋มส่งมาให้  แม่ใหญ่จะลงมือปลูกกล้าเอง  เพราะมีอยู่แค่ห้าซอง  ไม่กี่เมล็ด  ลองดูสิว่าจะปลูกสู้พวกเด็กๆ ได้หรือเปล่า  และเมื่อกล้าขึ้นดีแล้ว จะเตรียมแปลง เอาไว้ต่างหากตรง หัวนา   และก็จะ(พยายาม)  ดำเองให้ได้ครบทุกต้น  (พูดแบบนี้ ลูกๆมาอ่าน โดนโห่แน่ๆ) สำเร็จหรือไม่ค่อยว่ากัน ของอย่างนี้ ไม่ลอง ก็ไม่รู้

ก็ขอส่งข่าวมายัง ออต  ป้าจุ๋ม  คุณบางทราย  ป้าหวาน  และท่านอื่นๆ ที่ว่างๆ และนึกสนุก  จะมาร่วมดำนาด้วยกัน  หรือถ้า อาจารย์ทวิชนึกสนุกจะมาหยอดหล่น   ก็จะเลื่อนนาหยอดหล่นไปไว้ในวันเดียวกันกับนาดำ    กำหนดการนี้ คงจะไม่เปลี่ยนแปลงแล้ว   เชิญทุกๆคนไว้เลยนะคะ

 



Main: 0.086266994476318 sec
Sidebar: 0.16183614730835 sec