แนวทางการเสริมสร้างสังคมสันติสุขในจังหวัดชายแดนใต้จากมุมมองของ ศอ.บต.

ไม่มีความคิดเห็น โดย จอมป่วน เมื่อ 12 ตุลาคม 2011 เวลา 22:05 ในหมวดหมู่ จอมป่วน #
อ่าน: 1906

วันที่ 23 กันยายน 2554  13.30-16.30 น.

ว่าที่ร้อยตรี สมโภชน์ สุวรรณรัตน์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้: ศอ.บต.

DSC_8228

เริ่มที่ ว่าที่ร้อยตรี สมโภชน์ สุวรรณรัตน์ พูดถึงบทบาทหน้าที่ของ ศอ.บต.ว่า ศอ.บต.ไม่ใช่กุญแจในการแก้ไขปัญหาชายแดนใต้  องค์กรหลักคือ กอ.รมน. ภาค 4

ศอ.บต. 3 ยุค

ยุคแรกยุคก่อตั้งตั้งแต่ พ.ศ. 2524 ซึ่งจะประกอบด้วย 2 ด้านคือด้านการพัฒนาดำเนินการโดย ศอ.บต. ภายใต้การกำกับดูแลของปลัดกระทรวงมหาดไทย  และ พตท.43 หรือกองบัญชาการผสมพลเรือน ตำรวจ ทหารที่ 43 ขึ้นกับแม่ทัพภาคที่ 4 ดูแลด้านการปราบปราม

ยุคที่ 2 ยุบ ศอ.บต. เมื่อ 30 เมษายน 2545  โดยโอนอำนาจของคณะกรรมการการอำนวยการแก้ไขปัญหาความมั่นคงจังหวัดชายแดนภาคใต้ไปให้สภาความมั่นคงแห่งชาติ  อำนาจ ศอ.บต.เป็นของกระทรวงมหาดไทย อำนาจของ พตท. 43 เป็นของกองทัพภาคที่ 4/กอ.รมน.ภาค 4

ยุคที่ 3 จัดตั้ง ศอ.บต.ใหม่ในพ.ศ. 2549  และ 30 ธันวนคม พ.ศ. 2553 ได้มีพระราชบัญญัติการบริหารราชการจังหวัดชายแดนภาคใต้ พ.ศ. 2553 กำหนดให้มีคณะกรรมการยุทธศาสตร์ด้านการพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ (กพต.) โดยมีนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน และมีหน่วยงานสำนักงานคือ ศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต.) เป็นนิติบุคคล ไม่ขึ้นต่อสำนักนายกรัฐมนตรี กระทรวง ทบวง กรม อยู่ในบังคับบัญชาของนายกรัฐมนตรีโดยตรง

มีคณะกรรมการที่ปรึกษา ศอ.บต. ด้านการเมืองและการปกครอง และด้านเศรษฐกิจและสังคม

สถานการณ์รุนแรงขึ้นเรื่อยๆแต่ไม่ใช้คำว่าก่อการร้าย  ใช้คำว่าก่อความไม่สงบเพราะเป็นเรื่องภายในประเทศ  ไม่อยากให้องค์กรระหว่างประเทศเข้ามายุ่ง  เป็นการปรับบทบาทการทำงานเพราะถ้าให้ศอ.บต.ขึ้นกับ กอ.รมน.หรือทหาร  ภาพออกมาว่าเป็นการใช้ความรุนแรง  มีการอุ้ม คนหายไปโดยไม่รู้สาเหตุเป็นการสร้างเงื่อนไขใหม่เพราะมีญาติจำนวนมาก  ทำให้มีศัตรูมากขึ้น  เลยใช้มิติการพัฒนาโดย ศอ.บต.

มีสมมติฐานว่า จังหวัดชายแดนภาคใต้ไม่เหมือนจังหวัดที่เหลือยุทธศาสตร์ก็ต้องแตกต่างออกไป  ถ้าหน่วยงาน กระทรวงทบวงกรมยังใช้ยุทธศาสตร์ที่เหมือนกับจังหวัดอื่นๆ  วิธีคิดน่าจะผิด  ศอ.บต.เป็นหน่วยงานทางยุทธศาสตร์ (Strategic Unit)   ไม่ใช่หน่วยงานสั่งการหรือหน่วยงานปกครอง

ตาม พรบ. ใหม่ ศอ.บต.เป็นนิติบุคคล  ตั้งงบประมาณเอง  ถ้าอยู่กับ กอ.รมน.ขั้นตอนมันยาว  ตอนนี้เวลาทำงานก็มีส่วนที่เกี่ยวข้องคือ ศอ.บต. ทหาร ตำรวจ ภูมิภาค คือจังหวัด อำเภอ  และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น(ซึ่งเป็นนิติบุคคลด้วย)

มีการพูดถึงการตั้งเขตปกครองพิเศษแต่นายกองค์การบริการส่วนตำบล  เทศบาล  องค์การบริหารส่วนจังหวัด  รวมทั้งผู้ว่าราชการจังหวัดและข้าราชการก็เป็นมุสลิมในสัดส่วนที่สูงมากแล้ว

คู่ขัดแย้งใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้มีองค์กรความขัดแย้งคือฝ่ายรัฐ  ฝ่ายขบวนการ(ซึ่งอาจจะมีหลายกลุ่ม  แต่ละกลุ่มจะเป็นใคร  ใครเป็นผู้นำ?) และประชาชนหรือภาคประชาสังคม

ศอ.บต. มีหน้าที่ทำให้ประชาชนอยู่กับฝ่ายรัฐ  ซึ่งขับเคลื่อนโดยคณะกรรมการยุทธศาสตร์ด้านการพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้(กพต.)  ใช้ยุทธศาสตร์รบด้วยปัญญา ชนะด้วยความรู้ ศอ.บต. ไม่มีอำนาจหน้าที่ในการสั่งการให้หน่วนงานต่างๆทำ  แต่ถ้าเจอข้าราชการที่มีปัญหาก็เอาออกนอกพื้นที่ได้เลย

Post to Facebook Facebook


สันติวิธีกับการแก้ปัญหาชายแดนใต้ (3)

ไม่มีความคิดเห็น โดย จอมป่วน เมื่อ 10 ตุลาคม 2011 เวลา 2:09 ในหมวดหมู่ จอมป่วน #
อ่าน: 2073

วันศุกร์ที่ 23 กันยายน 2554 เวลา 09.30 –12.30 น.

อาจารย์จิราพร บุนนาค อดีตรองเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ

การพูดคุยเพื่อสันติภาพ

ในทุกประเทศทั่วโลกที่มีความขัดแย้งและมีการใช้ความรุนแรงแล้ว  ในที่สุดก็ต้องพูดคุยและเจรจา  ได้ข้อยุติที่จะอยู่ร่วมกัน  ไม่มีประเทศไหนในโลกที่ใช้ความรุนแรงและใช้อำนาจบังคับ  แล้วจะมีสันติ  อยู่ร่วมกันได้อย่างยั่งยืน  ทางเลือกที่ควรเลือกและต้องเลือก  และถูกเลือกเป็นนโยบายและยุทธศาสตร์แล้วก็คือใช้สันติวิธีในการจัดการความขัดแย้งใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้

ในรายงานการวิจัยชิ้นนี้ก็ได้พูดถึงเรื่องการพูดคุยเพื่อสันติภาพและมีเรื่องที่ต้องทำให้เกิดความชัดเจน 2 เรื่องในการพูดคุยเพื่อสันติภาพ  เรื่องแรกก็คือต้องเข้าใจว่าการพูดคุยไม่ใช่การเจรจาต่อรอง  การพูดคุยเพื่อสันติภาพเป็นเรื่องที่อยู่ในกระบวนการในจุดเริ่มต้นซึ่งจะมีกระบวนการต่อเนื่องหรืออยู่ใน Peace Process

การพูดคุยเพื่อสันติภาพเริ่มต้นด้วยการทำให้เกิดบรรยากาศของการให้เกียรติกันก่อนระหว่างสองฝ่ายที่จะพูดคุยกัน  ฝ่ายที่มีอำนาจเหนือกว่าต้องส่งสัญญาณหรือแสดงท่าทีที่ให้เกียรติอีกฝ่ายหนึ่งก่อน  หมายถึงการทำให้อีกฝ่ายหนึ่งรู้สึกว่ามีความเท่าเทียมในการพูดคุย  ไม่ได้ด้อยกว่า  ทำให้รู้สึกว่ามีคุณค่าในการที่จะร่วมพูดคุยเพื่อหาทางออกร่วมกัน  ไม่ใช่การพูดคุยแบบที่ตั้งต้นก็ใช้อำนาจที่เหนือกว่าข่มอีกฝ่ายหนึ่ง

เวลาที่พูดคุยกันจะค่อยๆสร้างบรรยากาศของความไว้เนื้อเชื่อใจ  ซึ่งกันและกันเป็นลำดับ  ซึ่งเมื่อเห็นความจริงใจแล้วก็จะเกิดความไว้เนื่อเชื่อใจ

ต้องเลือกพื้นที่ที่ทั้งสองฝ่ายเชื่อว่ามีความปลอดภัยในการที่จะคุยกัน  และต้องคุยกันต่อเนื่อง  เมื่อคุยกันแล้วเห็นว่ามีข้อเสนอที่เป็นไปได้ในทางปฏิบัติก็ลองเอามาปฏิบัติดู  ลองทำดู เวลาคุยกันใหม่ก็จะพูดคุยกันว่าไปทำอะไรมาแล้วบ้างเป็นการต่อเนื่อง  ไม่ใช่คุยกันครั้งเดียวแล้วหายไปเลย

ในกรณีของ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ในขณะที่ยังไม่รู้ว่าใครเป็นใครที่ใช้ความรุนแรง ที่รู้แน่ๆจากหน่วยงานความมั่นคงและหน่วยข่าวทั้งหลายก็คือ BRN เป็นผู้ใช้ความรุนแรงมากกว่า PULO  เวลาที่คุยกันไม่จำเป็นต้องมี Track เดียวหรือ window เดียว  คุยกันหลายๆ Tracks  หลายๆ Windows  ได้

แต่เป็นการคุยที่สร้างสรรค์ในการอยู่ร่วมกัน  เช่นคนที่อยู่ในขบวนการมาคุยกับเรา เขาอาจห่วงเรื่องเยาวชนที่ติดยาเสพติดก็ต้องยืนยันในการแก้ไขปัญหา  เขาห่วงเรื่องคดีที่ไม่ได้ข้อสรุปสักทีทั้งๆที่นานแล้วหรือคดีที่รู้สึกว่าไม่ได้รับความเป็นธรรมก็ต้องอธิบาย  เช่นกรณีตากใบ กรือเซะก็ต้องอธิบาย

เขาอยากให้ความสำคัญเรื่องภาษาถิ่น  ภาษาอาหรับก็ต้องอธิบายว่าตอนนี้ทางการไทยได้มีการกำหนดนโยบายภาษาแห่งชาติโดยราชบัณฑิตยสถานเป็นผู้เสนอแล้วซึ่งให้ความสำคัญกับภาษาแม่หรือภาษาถิ่นในเรื่องของการเรียนการสอนในพื้นที่เท่าๆกับการเรียนรู้ภาษาไทย

ถ้ายังทำไม่ได้ก็บอกตรงๆว่ายังทำไม่ได้ด้วยเหตุผลใด  เรื่องเหล่านี้อยู่ในกระบวนการพูดคุย  เวลาพูดคุยกันอาจจะมีองค์กรหรือบุคคลที่ทั้งสองฝ่ายเชื่อถือหรือไว้ใจมาเป็น Facillitator เป็นผู้อำนวยความสดวก  เป็นผู้ประสานงานหรือเป็นพยานก็ได้  หรือจะเป็นองค์กรต่างชาติเช่น HDC(

Humanitarian Dialogue Center) ที่เคยทำกรณีอาเจะ  ก็คุยกันไปเรื่อยๆจนพัฒนาไปสู่ Formal Negotiation ได้

การพูดคุยเพื่อสันติภาพกับปัญหาความชอบธรรมของฝ่ายที่ร่วมพูดคุย

เวลาคุยก็มีปัญหาว่าจะคุยกับใคร  แต่ละฝ่ายก็ต้องการคุยกับตัวจริง  ชบวนการก็ต้องการคุยกับคนที่เป็นตัวแทนของรัฐบาลตัวจริงเหมือนกัน  ไม่ใช่ส่งนักวิชาการไปคุย  ต้องได้รับ Mandate และสามารถที่จะตกลงกันได้

การพูดคุยเพื่อสันติภาพ เป็นเรื่องของสันติวิธีที่โยงกับความมั่นคงมีประเด็นที่ต้องพิจารณาอีก 5 ประเด็น

  • การพูดคุยเพื่อสันติภาพอย่างเป็นทางการ  จะเกิดได้ไหม?  เกิดได้อย่างไร? เป็นเรื่องที่ฝ่ายนโยบายและฝ่ายปฏิบัติต้องคิดร่วมกัน
  • การพูดเพื่อสันติภาพโดยมี “คนกลาง” จะมีหรือไม่? ควรจะเป็นใคร? นอกเหนือจากองค์กรต่างชาติแล้วอาจจะเป็นตัวแทนประเทศใดประเทศหนึ่งที่มาเป็นผู้ประสานงาน  ผู้อำนวยความสดวก  หรืออยู่ในเวทีพูดคุยในฐานะพยาน
  • การพูดคุยเพื่อสันติภาพกับการสร้างบรรยากาศสันติภาพควรจะทำควบคู่ไปกับเวลาที่อยู่ใน Peace Process  เพราะถ้ามีบรรยากาศไว้เนื้อเชื่อใจกันก็จะเลือกสันติวิธี ความรุนแรงจะลดลงไปเอง  ไม่ควรข้ามขั้นตอนไปต่อรองให้ยุติความรุนแรงตรงนั้นตรงนี้ก่อน  ในการเจรจาต่างก็ต้องการ win-win  win-win ไม่ใช่ต้องได้ในสิ่งที่ตัวเองต้องการแล้วชนะ  แต่ win-win ในสันติวิธีคือการให้ในสิ่งที่ิีกฝ่ายอยากได้เป็นชัยชนะที่เหนือกว่า  เป็นชัยชนะในความรู้สึกว่าได้ให้  อีกฝ่ายรับแล้วมีความสุขและภูมิใจ
  • ยุทธศาสตร์การพูดคุยเพื่อสันติภาพที่มีเอกภาพในทิศทาง แต่มีหลายช่องทางในการเจรจา
  • การพูดคุยเพื่อสันติภาพในฐานะบททดสอบความเข้มแข็งของรัฐ  ต้องมีหลักคิดว่ามีแต่รัฐที่เข้มแข็งเท่านั้นจึงจะพร้อมนั่งลงพูดคุยกับผู้ที่มีความเห็นต่างทางการเมืองการปกครองด้วยความมั่นใจในตนเอง

พอพูดถึงการเมืองการปกครองก็จะมีประเด็นของการแสวงหาทางเลือกทางการเมืองการปกครอง

ข้อสรุปที่ 1: ประเด็นเรื่องเขตปกครองพิเศษสำหรับจังหวัดชายแดนภาคใต้ที่เคยเป็นเรื่องต้องห้ามในสังคมไทย  ตอนนี้ดูจะได้กลายเป็นประเด็นสาธารณะที่พูดคุยกันได้มากขึ้นแล้ว  สถาบันพระปกเกล้าก็ร่วมกับหลายองค์กรจัดเวทีพูดคุยถึง 47 เวที  แต่ก็ยังไม่มีข้อสรุป  มีสภาประชาสังคมจังหวัดชายแดนภาคใต้ซึ่งจะทำเรื่องขบวนการยุติธรรมกับเรื่องการเมืองการปกครองที่เหมาะสมที่เป็นความต้องการของคนในพื้นที่ี  อาจจะเป็นแค่ท้องถิ่นลักษณะพิเศษแบบ กทม. และพัทยาก็ได้

ข้อสรุปที่ 2: มีการศึกษาถึงรูปแบบการปกครองท้องถิ่นที่เหมาะสมสำหรับจังหวัดชายแดนภาคใต้  และการรวบรวมประสบการณ์จากต่างประเทศเข้ามาประกอบการพิจารณา

ข้อสรุปที่ 3: ไม่มีการศึกษาเรื่องความขัดแย้งเชิงชาติพันธุ์-ศาสนาชิ้นใดเห็นว่าการใช้มาตรการรุนแรงทางทหารจะนำไปสู่ข้อยุติของความขัดแย้งระหว่างกลุ่มชาติพันธุ์ได้อย่างยั่งยืน

จากข้อค้นพบต่างๆที่ได้พูดถึงงานวิจัยมีข้อเสนอทางเลือกทางการเมืองการปกครอง 3 ข้อ

  1. แนวทางการพัฒนากระบวนการประชาธิปไตย
  2. การปรับและ/หรือจัดตั้งโครงสร้างสถาบันทางการเมือง เศรษฐกิจและสังคมเพื่อรองรับการมีส่วนร่วมของประชาชน
  3. แนวคิดเรื่องเขตปกครองพิเศษในฐานะทางออกสำหรับ “ความขัดแย้งรุนแรงทางชาติพันธุ์” อย่างสันติและยั่งยืน

เวลาพูดถึงเรื่องการเมืองการปกครองก็ต้องพูดถึงปัญหาและข้อถกเถียงบางอย่างด้วยเช่นกัน เช่น

  • การให้ความหมายของ”เขตปกครองพิเศษ” ในบริบทของสถานการณ์ความขัดแย้งใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้และบริบทของสังคมไทย
  • ตำแหน่งแห่งที่ของอัตลักษณ์ทางชาติพันธุ์ในโครงสร้างทางการเมืองการปกครอง
  • เสถียรภาพของโครงสร้างทางการเมืองการปกครองแบบใหม่กับความสามารถในการจัดการตนเอง
  • ความสัมพันธ์ระหว่างการปรับเปลี่ยนโครงสร้างทางการเมืองกับการยุติความรุนแรง

ทำไมต้องคิดเรื่องยุทธศาสตร์สันติวิธีเวลานี้หลังจากความรุนแรงมากขึ้นๆ  เพราะจากตารางจะเห็นว่าจำนวนการก่อความรุนแรงลดลงแต่จำนวนผู้บาดเจ็บล้มตายสูงขึ้น  การส่งสัญญาณของผู้นำรัฐบาลกับผู้นำระดับสูงในการปฏิบัติส่งสัญญาณชัดไหมเรื่องการใช้สันติวิธีในการจัดการความขัดแย้ง  สามารถคุมเจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติหน้าที่ในพื้นที่ไม่ให้ปฏิบัติออกนอกกรอบของกฏหมายได้หรือเปล่า?

เงื่อนไขที่เอื้อต่อความสำเร็จของสัญญาณเชิงบวกกับการแปลงเปลี่ยนขับเคลื่อนความขัดแย้ง (Conflict Transformation)

  1. หัวใจของความสำเร็จของยุทธศาสตร์สันติวิธีอยู่ที่ความเข้าใจใหม่ต่อมโนทัศน์เรื่อง ”อำนาจ” และ “ความเข้มแข็งของรัฐ”
  2. ภาวะผู้นำ (Leadership) และความกล้าในการตัดสินใจทางการเมือง
  3. หน่วยงานกลางที่เป็นอิสระในการติดตามความก้าวหน้าและประเมินผลทางยุทธศาสตร์ชาติ
  4. ระดับความเข้มแข็งของภาคสังคมกับศักยภาพในการถักทอสายสัมพันธ์ระหว่างผู้คนที่แตกต่างในบริบทของความรุนแรง

ทั้ง 4 ข้อจำเป็นต้องทำให้เกิดเพื่อแปลงเปลี่ยนขับเคลื่อนความขัดแย้ง

ยุทธศาสตร์การจัดการความรุนแรงภาคใต้

  • การสถาปนาอำนาจรัฐและเสริมสร้างความเข้มแข็งของรัฐในมุมมองของสันติวิธีเป็นการพยายามสร้างดุลภาพระหว่างความมั่นคงของรัฐบนพื้นฐานความเข้มแข็งของสังคม
  • ข้อเสนอให้พยายามจำกัดอาวุธปืนในมือพลเรือน,   พยายามเปิดพื้นที่ทางการเมืองให้กับประชาชนผู้มีส่วนได้ส่วนเสียได้ร่วมกันตั้งต้นออกแบบนโยบายที่เกี่ยวข้องกับชีวิตและความมั่นคงปลอดภัยของพวกเขา,   ความพยายามในการสรรหาช่องทางการพูดคุยเพื่อยุติความรุนแรง,   การเปิดพื้นที่ให้มีการถกเถียงหรือร่วมผลักดันให้สถาปนาสถาบันทางการเมืองขึีนใหม่ให้สอดคล้องกับความต้องการของประชาชนในพื้นที่  ล้วนสะท้อนสถานะของรัฐที่เข้มแข็ง
  • เพราะแนวทางเหล่านี้ล้วนเอื้อต่อสัมพันธภาพที่มั่นคงระหว่างรัฐกับประชาชนบนฐานของความมั่นใจในกันและกันต่อไปในระยะยาว

ที่พูดมาเพื่อให้เห็นภาพว่าสันติวิธีใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้เกิดขึ้นไม่ได้ถ้าอำนาจรัฐเข้มแข็งแต่ภาคประชาชนอ่อนแอ  และถ้าประชาชนเข้มแข็งแต่รัฐอ่อนแอก็มีปัญหาเช่นเดียวกัน  ต้องเข้มแข็งด้วยกัน

สันติวิธีในเชิงยุทธศาสตร์หนีไม่พ้นที่จะไปเกี่ยวข้องกับความคิดในการทำงานของสื่อมวลชน  เพราะสื่อมวลชนเป็นตัวเชื่อมประสานความจริง ความต้องการ ความเห็น  ปัญญา  การแก้ไขปัญหาในทุกมิติ  มิติเชิงโครงสร้าง  มิติทางวัฒนธรรม  วิถีชีวิต  ความรู้สึกอารมณ์ต่างๆ  ทั้งความเจ็บปวดและความภูมิใจของคนในพื้นที่  ต้องผ่านกระบวนการสื่อสารโดยสื่อมวลชนซึ่งเป็นตัวหลักที่มีความสำคัญในการที่จะขยายผลทำความเข้าใจ  ข้อเสนอและความต้องการต่างๆ

เป็นการทำความเข้าใจที่ไม่ไปทำให้เกิดความขัดแย้งแตกแยกกันมากขึ้น  เป็นการเอื้อให้มีบริบทของการสร้างสรรค์ การอยู่ร่วมกันอย่างสันติสุข  แต่ก็ต้องไม่ทิ้งความจริง  ความจริงที่เจ็บปวด  ความจริงที่ภูมิใจ ที่งดงามก็นำเสนอได้  แต่เทคนิคและวิธีการนำเสนอ  ความละเอียดอ่อนของความคิดเห็น  ความรู้สึก  อารมณ์ของผู้รับจำเป็นต้องคำนึงถึง

สันติวิธีในจังหวัดชายแดนภาคใต้จำเป็นต้องเชื่อมโยงกับปัญญาและการปฏิบัติ การขยายผลของสื่อมวลชนด้วย  และต้องอาศัยพลังวัฒนธรรม 7 กลุ่ม

  1. กลุ่มศาสนาทุกศาสนา
  2. นักการศึกษา  ตั้งแต่ครูสอนตาดีกาไปจนถึงอาจารย์มหาวิทยาลัยและนักวิชาการอิสระ
  3. กลุ่มการเมืองท้องถิ่น  การเมืองการปกครองระดับท้องถิ่นและระดับชาติในพื้นที่
  4. กลุ่มสื่อมวลชน
  5. กลุ่มสตรีในพื้นที่
  6. กลุ่มเยาวชน
  7. กลุ่มนักกฏหมายในพื้นที่

ภาคประชาชนสงสัยว่าภาครัฐมีความจริงใจในการแก้ปัญหาหรือไม่?  แจกแพะ แจกแกะ  ให้ของก็มากแต่ไม่ใช่ความต้องการของประชาชน  ประชาชนมีความรู้สึกว่าการให้ไม่ได้ความรู้สึกเป็นเจ้าของ  ความรู้สึกเป็นเจ้าของจะเกิดได้ต้องมาจากกระบวนการมีส่วนร่วมอย่างแท้จริง  ไม่ใช่เป็นเพียงรูปแบบ  ให้เท่าไหร่ก็ไม่ชนะสักทีเพราะประชาชนรู้สึกแบบนี้

ในแง่ประวัติศาสตร์ไม่ได้มีแต่ความงดงาม  มีความเจ็บปวดด้วยทั้งฝ่ายประชาชนและฝ่ายรัฐ  แต่ไม่ควรเอาความเจ็บปวดมาเป็นความเจ็บแค้นไม่รู้จบ  ทำให้ใช้สันติวิธีไม่ได้ผล  น่าจะเป็นบทเรียนไม่ให้เกิดขึ้นอีก

คนในพื้นที่มีความภูมิใจในความงดงาม  สื่อมวลชนควรนำมาถ่ายทอดให้สังคมไทย  สังคมโลกได้รับรู้ว่าอะไรเป็นสิ่งที่ภูมิใจ  สวยงามที่คนภาคใต้ต้องการให้เรารับฟัง  อะไรเป็นความคับแค้นใจที่เราควรรับฟัง  ต้องได้ฟังจากปากของคนที่ได้รับความคับแค้นใจ  ต้องฟังแล้วเข้าใจว่าคนในพื้นที่คิดอย่างไร?  ต้องการอะไร?

เรื่องของการรับรู้ที่สั่งสมที่แตกต่างกันในเชิงลบจะกลายเป็นข่าวลือนำไปสู่ความสับสน  ทำให้เกิดอารมณ์ไม่พอใจ  คับแค้นใจ  เป็นข่าวลือที่ด่วนสรุป

เจ้าหน้าที่รัฐก็มีการรับรู้ที่สั่งสม  เห็นคนมุสลิมมีความแตกต่าง   เห็นคนในพื้นที่สีแดงเป็นคนที่ให้ที่พักพิงแก่ผู้ที่ก่อความไม่สงบ

Hero ของประชาชนกับ Hero ของรัฐก็ไม่ตรงกัน  มักจะเป็นคนละคนกัน ความคิดความรู้สึกที่แตกต่างกันทำให้เกิดการปฏิบัติที่สวนทางกับนโยบาย  สร้างเงื่อนไขใหม่ขึ้นมาอีก  ทำให้ปัญหารุนแรงต่อไปขณะที่ประชาคมโลกกำลังเฝ้ามองอยู่

ความรู้สึกเป็นพวกเดียวกันเป็นเรื่องสำคัญ  ต้องอย่าให้ Activist กลายเป็นนักต่อสู้ และอย่าให้นักต่อสู้กลายเป็นผู้ก่อการร้าย

อับดุลอซิซ ตาเดอินทร์ ประธานฝ่ายสิทธิมนุษยชน  สมาคมยุวมุสลิมแห่งประเทศไทย

ในยุทธศาสตร์ความมั่นคงของชาติที่ฝึกอาวุธให้พี่น้องไทยพุทธ  เป็นห่วงค่อนข้างมากเพราะมีพี่น้องไทยพุทธสองแสนกว่าคน แต่อพยพถิ่นฐาน  ขายที่ไปอยู่ที่อื่นก็เหลือน้อยลง  น่าจะเป็นยุทธศาสตร์ที่ผิดพลาดเพราะถ้ามีการฝึกอาวุธ ติดอาวุธโดยถูกกฏหมาย  เอากำลังทหารไปคุ้มครองวัด  คุ้มครองชุมชนที่เป็นไทยพุทธทำให้ความขัดแย้งขยายมากขึ้น  สังเกตเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมีการตายสลับกัน  เกิดการแก้แค้นกัน

ปัจจุบันมีการค้าอาวุธในพื้นที่  ครูมีปืนคนละ 2 กระบอก ซื้อมาราคาถูกแล้วขายต่อเอากำไร  อาวุธปืนไม่รู้ไปอยู่ที่ใคร

Post to Facebook Facebook


สันติวิธีกับการแก้ปัญหาชายแดนใต้ (2)

ไม่มีความคิดเห็น โดย จอมป่วน เมื่อ 9 ตุลาคม 2011 เวลา 22:38 ในหมวดหมู่ จอมป่วน #
อ่าน: 2226

วันศุกร์ที่ 23 กันยายน 2554 เวลา 09.30 –12.30 น.

อาจารย์จิราพร บุนนาค อดีตรองเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ

การแก้ปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ ถ้าเลือกใช้สันติวิธีอย่างจริงจังจะได้ผลสำเร็จแน่นอนแต่สันติวิธีไม่เคยถูกใช้อย่างจริงจัง  สันติวิธีไม่ได้บอกว่าใช้กฏหมายเพื่อป้องกันและป้องปราม  หรือการจับกุมผู้กระทำผิดกฏหมายมาลงโทษตามกฏหมายจะกระทำไม่ได้  สันติวิธีบอกว่าต้องใช้กฏหมายแต่ต้องใช้ด้วยหลักนิติธรรม  มีความเป็นธรรม  เท่าเทียม  ไม่สองมาตรฐานหรือเลือกปฏิบัติ  แต่ไม่เคยมีการทำอย่างเต็มที่ในจังหวัดชายแดนภาคใต้

ขอเอาผลงานวิจัยของคณะทำงานด้านสันติวิธีภายใต้ สกว. ที่มี อ.มาร์ค ตามไทและ อ.ชัยวัฒน์ สถาอานันท์ร่วมทำงานด้วยมานำเสนอ  บ่ายนี้ทางตำรวจและทาง ศอ.บต.ก็จะมาพูดเรื่องของการบริหารจัดการจังหวัดชายแดนภาคใต้ในมุมมองของหน่วยงานภาครัฐ

สถิติหรือข้อมูลของคณะทำงานกับหน่วยงานภาครัฐคงไม่แตกต่างกันมาก

ยุทธศาสตร์การจัดการความรุนแรงของจังหวัดชายแดนภาคใต้ 2554-2547  เพราะมองย้อนหลังไป

มีเหตุการณ์ไม่สงบรวม 10,660 ครั้ง   มีผู้บาด้เจ็บล้มตาย 12,126 ราย

เป็นผู้เสียชีวิค 4,621 ราย  เป็นผู้ได้รับบาดเจ็บ 7,505 ราย

ผู้เสียชีวิตเป็นผู้นับถือศาสนาอิสลาม 2,728 ราย (59.03%)

เป็นผู้นับถือศาสนาพุทธ  1,765 ราย (38.20%)

ผู้ได้รับบาดเจ็บเป็นผู้นับถือศาสนาอิสลาม 2,468 ราย (32.88%)

เป็นผู้นับถือศาสนาพุทธ 4,512 ราย (60.12%)

ข้อมูลสถิติของเหตุการณ์ความไม่สงบมีแนวโน้มลดลง  แต่ความรุนแรงของเหตุการณ์คือการบาดเจ็บล้มตายไม่ลดลง  แสดงว่าความสูญเสียในแต่ละเหตุการณ์สูงขึ้น

คำถามทางยุทธศาสตร์คือความเข้มแข็งของรัฐ ? เพราะมีการขยายตัวของหมู่บ้านสีแดงที่มีสถานการณ์พิเศษที่ต้องได้รับการจัดการเป็นพิเศษ  ต้องใช้กฏหมายพิเศษ กองกำลังพิเศษ อาศัยอาวุธที่มีอำนาจทำลายล้างเพิ่มชึ้น  ต้องการทรัพยากรพิเศษ ?

มีแนวโน้มสถานการณ์ที่สำคัญและโอกาสของสันติวิธีที่น่าสนใจ

  • การขยายตัวของกองกำลังพลเรือนติดอาวุธถูกกฏหมาย
  • การเสริมสร้างบทบาทของฝ่ายพลเรือน
  • การพูดคุยเพื่อสันติภาพ
  • การแสวงหาทางเลือกทางการเมืองการปกครอง

ในจังหวัดชายแดนภาคใต้มีการขยายตัวของกองกำลังพลเรือนติดอาวุธถูกกฏหมาย

  1. จำนวนทหารพรานในเดือนตุลาคม 2551 มีอยูาราว 9,000 คน
  2. อาสาสมัครรักษาดินแดน (อส.) สังกัดกระทรวงมหาดไทยมีจำนวน 3.299 คน
  3. ชุดรักษาความปลอดภัยหมู่บ้าน (ชรบ.) สังกัดกระทรวงมหาดไทย และมีประจำอยู่ในทุกหมู่บ้าน รวมทั้งหมดมีจำนวนราว 60,000 คน
  4. ราษฎรอาสารักษาหมู่บ้าน (อรบ.) มีจำนวน 24,763 คน ซึ่งส่วนใหญ่มีสมาชิกเป็นชาวพุทธ
  5. มีกลุ่มชาวพุทธติดอาวุธอีก 8,000 คน

นอกจากนี้ยังมีข่าวว่ามีการติดอาวุธให้กลุ่มเยาวชนซึ่งเป็นที่สนใจขององค์กรระหว่างประเทศ องค์กรมุสลิมและองค์กรสิทธิมนุษยชน

การขยายตัวของกองกำลังพลเรือนติดอาวุธถูกกฏหมายมีบทเรียนจากต่างประเทศสรุปได้ว่า  การมีกองกำลังฯ แบบนี้มีผลต่อความเข้มแข็งของรัฐไทย

  1. บั่นทอนและทำลายกระบวนการสร้างสันติภาพ
  2. การบังคับบัญชาสั่งการกองกำลังพลเรือนเช่นนี้ทำได้ยาก
  3. ปัญหาการละเมิดสิทธิมนุษยชนมีแนวโน้มเลวร้ายขึ้น
  4. เมื่อความขัดแย้งที่ถึงตาย (Deadly Conflict) ยุติลง  การปลดอาวุธในมือของพลเรือนเป็นกระบวนการที่ยุ่งยาก
  5. การหมุนเวียนของอาวุธอย่างกว้างขวาง ส่งผลให้เกิดความไม่ไว้วางใจระหว่างชุมชนต่างศาสนาวัฒนธรรมยิ่งขึ้น
  6. การแบ่งขั้วเชิงชาติพันธุ์เข้มข้นขึ้น
  7. โอกาสใช้อาวุธในการแก้ปัญหาความขัดแย้งด้วยตนเองเพิ่มขึ้น

การเสริมสร้างบทบาทของฝ่ายพลเรือน มีสัญญาณเชิงบวกจาก ศอ.บต. ใหม่  คือ

ในมาตรา 4: นโยบายบริหารและการพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้  ต้องมาจากความต้องการและสอดคล้องกับวิถีชีวิตของประชาชน

มาตรา 19:  ให้มีสภาที่ปรึกษาการบริหารและการพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้  มีอำนาจให้คำปรึกษา เสนอแนะ ร่วมมือและประสานงานกับศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้(ศอ.บต.)

ขณะนี้สภาที่ปรึกษาก็เริ่มปฏิบัติงานแล้วแต่ในทางปฏิบัติจริงดูเหมือนสภาที่ปรึกษาส่วนหนึ่งไม่เข้าใจเจตนารมณ์ของ พรบ. ศอ.บต.  เลยทำให้เกิดปัญหาตั้งแต่วิธีคิดที่โยงไปถึงการทำงานในฐานะสภาที่ปรึกษา

ประเด็นข้อพิจารณาความเข้มแข็งของรัฐไทยกับบทบาทของฝ่ายพลเรือน

  • บทบาทของประชาชนในพื้นที่ การใช้อำนาจรัฐ กับความเข้มแข็งและอ่อนแอของอำนาจรัฐ เวลาพูดถึงอำนาจรัฐ อำนาจรัฐควรเข้มแข็งถึงจัดการกับปัญหาได้  แต่ต้องไปผูกโยงกับบทบาทของประชาชน  ซึ่งประชาชนก็ต้องเข้มแข็งด้วย  เพราะความมั่นคงของชาติถูกปรับเปลี่ยนเป็นความมั่นคงของประชาชนไปแล้วตามสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป  ความเข้มแข็งของรัฐจะมองเดี่ยวแยกออกไปไม่ได้  ต้องมองร่วมกับความเข้มแข็งของประชาชน
  • การสถาปนาสภาที่ปรึกษาฯของ ศอ.บต. คือการสร้างพื้นที่ทางการเมืองที่ปลอดภัยสำหรับเสียงที่แตกต่างอย่างแท้จริง  โดยเจตนารมณ์ของ พรบ. ศอ.บต. อยากจะเปิดพื้นที่ในการที่จะให้คนที่มีความเห็นต่างเข้ามามีพื้นที่ปลอดภัยสำหรับแสดงความคิดเห็น  สภาที่ปรึกษาฯ ศอ.บต. น่าจะมีส่วนช่วยให้ประชาชนมีความเข้มแข็ง  แต่องค์ประกอบในปัจจุบันกลับไม่มีความหลากหลายตามเจตนารมณ์ของกฏหมาย  กลับเป็นองค์ประกอบของคนที่ดูไม่มีความแตกต่างเท่าไหร่ในเรื่องของความคิดเห็น  ข้อมูลก็เป็นแท่งข้อมูลเดียวกันทั้งๆที่ข้อมูลก็มีหลากหลาย แตกต่างกัน
  • การคัดเลือกสมาชิกสภาที่ปรึกษาฯ  การมีส่วนร่วมของประชาชน  และปัญหาความชอบธรรมในการปกครองของรัฐ  ซึ่งต้องอาศัยองค์ประกอบที่มีความหลากหลาย

อับดุลอซิซ ตาเดอินทร์ ประธานฝ่ายสิทธิมนุษยชน  สมาคมยุวมุสลิมแห่งประเทศไทย

การตั้งสมาชิกสภาที่ปรึกษา ศอ. บต. มีปัญหาเพราะส่วนหนึ่งเป็นข้าราชการประจำที่มีการจัดตั้งมาอย่างดี  อีกส่วนหนึ่งเป็นการซื้อเสียงเข้ามา ชาวบ้านมีความรู้สึกว่าล้มเหลว  คนที่มีข้อมูล  มีความเห็นต่าง  ไม่สามารถเข้าไปเพื่อเสนอความเห็นในการแก้ไขปัญหาได้เลย

สามารถ วราดิศัย รองผู้ว่าราชการจังหวัดนราธิวาส

คณะกรรมการที่ปรึกษา ศอ.บต. มีมานานแล้ว  เดิมก็เชิญบุคคลที่มีความรู้ความสามารถเข้ามาร่วม  ตาม พรบ. ศอ.บต.ใหม่ก็อยากให้มีพื้นที่ปลอดภัยสำหรับคนที่มีความเห็นต่าง ข้อมูลต่างมาช่วยแสดงความคิดเห็นพูดคุยกันใน ศอ.บต.

แต่ พรบ. ศอ.บต. ใหม่ก็มีสภาที่ปรึกษา    แต่เน้นการเลือกตั้งเข้ามา  ไม่ใช่เชิญเข้ามา  เลยมีการแบ่งก๊ก แบ่งเหล่า มีการซื้อเสียง หาเสียง  เห็นเป็นช่องทางที่จะทำให้มีเกียรติยศชื่อเสียงในวันข้างหน้า  เลยทำให้แปรเปลี่ยนเจตนารมณ์ไปหมดเลย  ควรปรับข้อกำหนดเข้าสู่ตำแหน่งจากการเลือกตั้งเป็นการเชิญเข้ามา  เพราะภาครัฐรู้ข้อมูลต่างๆเหล่านี้ดี  แต่ก็มีโควต้าให้ภาครัฐเชิญเข้ามาอยู่แล้ว

ผศ. ดร.จงรัก พลาศัย อธิการบดีมหาวิทยาลัยนราธิวาสราชนครินทร์

สภาที่ปรึกษา ศอ.บต. น่าจะมีการจัดวางตัวไว้แล้ว  ขบวนการสรรหาของที่ปรึกษาเช่นกลุ่มการศึกษาซึ่งเป็นกลุ่มใหญ่  อุดมศึกษา การศึกษาพื้นฐาน เยอะไปหมดแต่ได้ 1 คน  ซึ่งคงเป็นจากการศึกษาพื้นฐานอยู่แล้วไม่ต้องเลือกก็รู้ว่าได้ใคร   สถานภาพของคนที่ได้เป็นตัวแทนก็ไม่ได้โดดเด่นอะไรในฐานะตัวแทนกลุ่ม  ประชาชนนั่งมองอยู่ น่าจะมีการทบทวนตรงนี้

รศ. ดร. ประเสริฐ ชิตพงศ์ สมาชิกวุฒิสภา

ตอนกฏหมายเข้าสภาก็มีการถกเถียงกันมากเพราะต้องการให้มีตัวแทนจากภาคประชาชนในสัดส่วนที่ค่อนข้างสูง  ตัวแทนจากภาครัฐค่อนข้างน้อย พอผ่านมาที่วุฒิสภา  วุฒิสภาได้แก้ไขเยอะมาก หลายมาตรา  พอกลับไปที่สภาผู้แทนฯ ตอนแรกก็ไม่เห็นด้วย  แต่ด้วยเวลาที่ค่อนข้างจะบังคับ รัฐบาลประชาธิปัตย์ก็เลยต้องให้สภารับร่างฯที่วุฒิสภาแก้ไข

วุฒิสภาก็พยายามที่จะ Balance สภาที่ปรึกษาเลยลดสัดส่วนของสมาชิกที่มาจากการเลือกตั้งลง  การเลือกตัวแทนจากภาคประชาชนและตัวแทนภาครัฐที่ต้องเลือกตั้งกันมาจากกลุ่มต่างๆมักจะมีปัญหาเพราะไดุ้บุคคลที่ไม่เหมาะสม  ไม่ได้เป็นตัวแทนที่แท้จริง ทำให้การทำงานมีปัญหา

กิจจา อาลีอิสเฮาะ ผู้ช่วยเลขาธิการคณะกรรมการกลางอิสลามแห่งประเทศไทย

ปัญหาอยู่ที่ความจริงใจในการแก้ไขปัญหา  ไม่ใช่เฉพาะสภาที่ปรึกษา ศอ.บต. กรรมธิการชุดต่างๆจาก สส. ก็ดี สว. ก็ดีที่ถูกวางตัวหรือแต่งตั้งเข้ามา  ก็มีที่มาจากหัวคะแนน ตัวแทนของ สส.  ฯ ไม่มีความรู้ความสามารถ ไม่เหมาะสม  เข้ามาทำงานก็เลยมีปัญหา

พันเอก ดร. พิเชษฐ คงศรี นายทหารปฏิบัติการกองบัญชาการกองทัพไทย

3 จังหวัดปัญหาชายแดนภาคใต้เป็นปัญหาความมั่นคง สมช. ไม่กำหนดแนวคิดที่ชัดเจนคนทำงานเลยสับสน  ศอ.บต.ก็ไม่มีความเป็นเอกภาพในการทำงาน  ทำแบบเบี้ยหัวแตก  ใช้กฏหมาย  ใช้องค์กรที่แตกต่างกัน  เมื่อทำงานไม่ได้ผลมีการประเมินอย่างไร?

รัฐกำหนดนโยบาย ไม่ได้ทำตามผลการศึกษา  ขาดการประเมินผลในการปฏิบัติงาน  ขาดทิศทาง  สะเปะสะปะ

อาจารย์จิราพร บุนนาค

สมช. ทำตามอำนาจหน้าที่ตามกฏหมาย  นโยบายและยุทธศาสตร์ก็ผ่านการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วน  ทั้งฝ่ายทหาร  และฝ่ายต่างๆก็มีการเชิญมาพูดคุยแล้วจึงนำเสนอต่อรัฐ

การประเมินผล สมช.ก็ประเมิน  แต่เป็นการประเมินเชิงยุทธศาสตร์และนโยบาย  เชิงปฏิบัติเป็นหน้าที่ของหน่วยปฏิบัติที่จะต้องประเมินแต่ไม่ใช่หน่วยปฏิบัติเป็นผู้ประเมินตัวเอง  ต้องให้คนอื่นที่เกี่ยวข้องมาช่วยประเมิน  เช่นการประเมินความไว้เนื้อเชื่อใจที่ประชาชนมีต่อภาครัฐก็ต้องให้องค์กรกลางมาประเมินว่าทำงานมาแล้ว 1 ปี  คนในพื้นที่ในชุมชนไว้ใจเจ้าหน้าที่ภาครัฐในหน่วยงานความมั่นคงแค่ไหน? กอ.รมน.ภาค4 ได้รับความไว้ใจมากขึ้นหรือเปล่า?  จากงานวิจัยของอาจารย์ศรีสมภพพบว่าทหารใน กอ.รมน. ภาค 4 ได้รับความเชื่อถือในลำดับต่ำสุด  จากเดิมเป็นตำรวจแต่คราวนี้กลับเป็นทหาร

ประเด็นที่เป็นปัญหามากในภาพรวมและในจังหวัดชายแดนภาคใต้คือการรายงาน  การรายงานการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติโดยเฉพาะหน่วยงานทหารและตำรวจจะรายงานขึ้นไปยังผู้บังคับบัญชา คือ ผบ.ทบ. หรือ ผบ.ตช. รายงานไม่ครบ จะเลิอกรายงานที่เป็นผลงานของตัวเอง  แต่อะไรที่เป็นปัญหา เป็นอุปสรรคไม่รายงาน อันนี้อดีต ผบ.ทบ. มาพูดในกรรมาธิการจังหวัดชายแดนภาคใต้ว่าไม่ได้รับรายงานเรื่องแบบนี้เลย  ทำให้การตัดสินใจในระดับหน่วยงาน  ไม่ใช่ระดับประเทศ  เกิดปัญหาในเรื่องการปฏิบัติ  ถ้าสนใจการทำงานในเชิงนโยบายหรือยุทธศาสตร์ที่เกี่ยวกับความมั่นคงก็อยากเชิญให้ไปพูดคุยกับรองเลขาฯ สมช. ที่รับผิดชอบจะได้เคลียร์  ชัดเจน

วิชชุกร คำจันทร์ นักบิน บริษัท การบินไทย จำกัด

ทุกคนเห็นด้วยว่าปัญหาความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้เริ่มจากรัฐใช้ความรุนแรงตั้งแต่กรณีของหะยีสุหรง  ทนายสมชาย  หรือแม้แต่กรณีกรือเซะกับตากใบ  ตากใบเป็นจุดเปลี่ยนที่ทำให้ความรุนแรงขยายวงกว้าง  จนถึงปัจจุบันยังไม่เคยเห็นอะไรที่เป็นรูปธรรมจากรัฐเลยว่าจะคืนความยุติธรรมให้กับผู้ที่ได้รับผลกระทบในแต่ละกรณีอย่างไร?  ที่พอจะเห็นเป็นรูปธรรมได้ก็เป็นกรณีเยียวยาแต่ก็มีคนมองว่าเหมือนไปสนับสนุนผู้ก่อความไม่สงบด้วยซ้ำไป  แต่ที่อยากเน้นก็คือการคืนความยุติธรรมให้กับผู้ได้รับผลกระทบที่ยังไม่เห็นเป็นรูปธรรม

การแก้ปัญหาของรัฐก็ไม่เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ไม่มีบูรณาการ ยุทธศาสตร์ในการแก้ไขปัญหาความขัดแย้งในภาคใต้ต่างฝ่ายก็ต่างทำ  ไม่ว่าฝ่ายทหาร ตำรวจ ฝ่ายปกครองหรือฝ่ายการเมืองท้องถิ่นเอง เหมือนกับอาศัยความขัดแย้งดังกล่าวเป็นเค็กก้อนหนึ่งซึ่งแต่ละฝ่ายก็จ้องตาเป็นมัน  จนเกิดวิกฤตด้านความมั่นคง

ที่ผ่านมาก็เป็นทหารเป็นเจ้าภาพ  แต่เสียงสะท้อนจากคนในท้องถิ่นก็กลายเป็นทหารได้รับความเชื่อถือน้อย

อาจารย์จิราพร บุนนาค

เรื่องเอกภาพกับการบูรณาการ นโยบายและยุทธศาสตร์ทุกรัฐบาลเหมือนกัน  แต่ในการปฏิบัติก่อนหน้านี้ กอ.รมน. ภาค 4 เป็นผู้ที่จะทำให้เกิดเอกภาพเพราะเป็นผู้นำในพื้นที่  พอมี ศอ.บต. ก็แยกส่วน  ถ้าเป็นเรื่องของความมั่นคงก็เป็น กอ. รมน. ภาค 4   ถ้าเป็นเรื่องของการพัฒนาก็เป็น ศอ.บต.

แต่ในทางปฏิบัติจริงมันเป็นเช่นนั้นหรือเปล่า?  แต่ตามความเห็นของฝ่ายวิชาการกับประชาชนที่เกี่ยวข้อง  หรือกรรมธิการที่เกี่ยวข้องทั้งของ สส. และ สว. ก็พบว่ายังไม่บูรณาการและยังไม่เป็นเอกภาพ  เป็นเรื่อง Top-down  มากกว่า Bottom-up

ในนโยบายและยุทธศาสตร์เป็น Bottom-up  ขบวนการมีส่วนร่วมต้องมาจากประชาชนอย่างแท้จริง  มีข้อมูลจากสำนักงบประมาณก็พูดในกรรมาธิการของ สส. ว่ามีแต่ Top-down  ต้องแยกแยะนโยบาย ยุทธศาสตร์กับการปฏิบัติ มันเป็นไปทางเดียวกันหรือการปฏิบัติมันสวนทางกับนโยบายและยุทธศาสตร์

นโยบายใช้การเมืองนำการทหาร  นโยบายให้แนวทางสันติวิธีเป็นแค่วาทะกรรมหรือเปล่า?  เพราะมันถูกต้องชอบธรรมและเป็นภาพพจน์ที่ดีทั้งในสายตาของทั้งภายในและต่างประเทศ  ตอนนี้ทุกประเทศในโลกก็หันกลับมาเลือกที่จะใช้สันติวิธีในการจัดการเพราะว่าได้ผลจริง  ไทนเราก็เห็นว่าได้ผลจริงจึงกำหนดไว้ในนโยบาย  แต่เวลาปฏิบัติมันไม่ใช่

มีตัวอย่างเมื่อเร็วๆนี้เองเรื่องการซ้อมทรมาน  คณะอนุกรรมการสิทธิมนุษยชนจังหวัดชายแดนภาคใต้พบว่ามีการละเมิดด้วยการควบคุมผู้ต้องหาหรือผู้ต้องสงสัยไว้แล้วมีการซ้อมทรมาน  มีการร้องเรียนไปที่คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ  อนุกรรมการฯก็ลงพื้นที่พบว่ามีการซ้อมทรมานจริง หน่วยงานที่ทำก็ยอมรับ  แม้จะยอมรับคำพูดที่สวนคณะอนุกรรมการฯมาก็คือ  ถ้าไม่ซ้อมแล้วจะรู้หรือว่าแหล่งซ่อนปืนอยู่ที่ไหน?   คำถามของกรรมการฯ ก็คือแล้วจะตอบเขาว่ายังไง?  รู้แหล่งซ่อนปืนแล้วได้อะไร?  ได้ปืนมาแล้ว แล้วยังไงต่อ?    คนที่ถูกซ้อมไม่จบแค่นั้น เขาฟ้องคณะกรรการสิทธิฯ  เขาฟ้องไปที่ OIC  เขาฟ้องไปที่สหประชาชาติ  เพราะประเทศไทยเป็นประเทศที่ลงนามในอนุสัญญาต่อต้านการซ้อมทรมานของสหประชาชาติแล้ว

เวลาที่ทำคิดแค่ผลงานรึเปล่า?  คิดถึงผลกระทบที่จะตามมามั๊ย?  ในส่วนที่เป็นภาพที่ใหญ่กว่าหน่วยงานความมั่นคงรู้อยู่แล้วว่าถึงได้ปืนมา  คนที่ใช้ปืนไม่รู้ว่าใครสั่งให้ใช้ปืน  คดีที่เกี่ยวข้องกับความมั่นคงของสามจังหวัดชายแดนภาคใต้จึงถูกงดการสอบสวนบ้าง  เพราะพยานหลักฐานไมาพอ  ยกฟ้องบ้าง  ดำเนินคดีไม่ได้  ผลที่ตามมามันสร้างเงื่อนไข  สร้างความเจ็บปวดหรือไม่?  มันทำลายศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์  ทำให้รู้สึกว่าไม่เท่าเทียมกัน  คนที่ถูกซ้อมถูกเยียวยามั๊ย?  ยังไม่มีขบวนการเยียวยาผู้ที่ถูกซ้อมทรมาน

ประเด็นเหล่านี้เป็นเรื่องที่ต้องมองลึก  ต้องมองผลกระทบที่จะตามมาไม่ใช่มองแค่ได้ผลงาน  ซึ่งปัจจุบันฝ่ายความมั่นคงก็มีข้อมูลแล้วว่ามันไม่ใช่เรื่องของอุดมการณ์อย่างเดียว  แต่มีการโยงกับเรื่องยาเสพติด  การค้าของเถื่อนและเรื่องการเมืองท้องถิ่น  กลุ่มอิทธิพลด้วย

กิจจา อาลีอิสเฮาะ ผู้ช่วยเลขาธิการคณะกรรมการกลางอิสลามแห่งประเทศไทย

คดีกว่า 400 คดีที่มูลนิธิศูนย์ทนายมุสลิมทำเพื่อช่วยเหลือประชาชนไม่มีคดีปล้นปืนเลย…..

คดีที่เป็นเหตุให้ทนายสมชายหายไปเป็นคดีจับผู้ต้องหา 5 คน  มีการซ้อมทรมาน  แขวนคอบนเก้าอี้  มีการใช้ไฟฟ้าจี้ตามตัวและอวัยวะเพศ  ….เป็นผู้ต้องหาชุดแรกที่โดนข้อหาปล้นปืนแต่สุดท้ายอัยการสั่งไม่ฟ้อง

………

Post to Facebook Facebook


สันติวิธีกับการแก้ปัญหาชายแดนใต้ (1)

ไม่มีความคิดเห็น โดย จอมป่วน เมื่อ 9 ตุลาคม 2011 เวลา 15:04 ในหมวดหมู่ จอมป่วน #
อ่าน: 2000

 

วันศุกร์ที่ 23 กันยายน 2554 เวลา 09.30 –12.30 น.

อาจารย์จิราพร บุนนาค อดีตรองเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ

ในอดีตเวลาพูดถึงความมั่นคงเป็นเรื่องความมั่นคงของรัฐ  ความมั่นคงของชาติ แต่ปัจจุบันจะเป็นความมั่นคงของประชาชน  ประเด็นแรกเลยจะโยงไปถึงประเด็นสิทธิมนุษยชน  โยงไปถึงความเป็นจริงของคนที่อยู่ในสังคมไทย ความเป็นจริงที่ต้องยอมรับคือสังคมไทยไม่ใช่ชาติพันธุ์เดียวที่อยู่ในสังคมไทย  มีความหลากหลายในชาติพันธุ์ ศาสนา วิถีชีวิต วัฒนธรรม อัตลักษณ์ ในวิธีคิด ปัญญาที่สะสมแตกต่างกันมา

ในอดีตถ้ามองเรื่องความมั่นคงจะมองความหลากหลายเป็นอุปสรรคของความมั่นคง  จะมองความหลากหลายหรือความแตกต่างของทุกเรื่องเป็นอุปสรรคต่อความมั่นคงของรัฐ  แต่ปัจจุบันสถานการณ์เปลี่ยนแปลงไป  ความหลากหลายไม่ใช่อุปสรรค แต่ความหลากหลายของทุกสังคมในโลกกลายเป็นเรื่องสร้างสรรค์ของสังคมนั้น  ความหลากหลายกลายเป็นพลังปัญญาที่จะเผชิญกับปัญหาในสังคมและเป็นหลากหลายปัญญาที่จะช่วยกันแก้ปัญหาสังคม

ตัวอย่างในจังหวัดชายแดนภาคใต้ แม้มีความเห็น  วิถีชีวิต ชาติพันธุ์ ศาสนา  อัตลักษณ์ที่แตกต่างกัน  เรื่องของการเมืองการปกครองที่เขาอยากเลือกเอง  เมื่อก่อนสังคมไทยก็มองเป็นความแตกแยก แต่ปัจจุบันด้านความมั่นคงจะมองความหลากหลายของคนในจังหวัดชายแดนภาคใต้เป็นพลังของการพัฒนา  การที่จะอยู่ร่วมกับประเทศเพื่อนบ้านและประชาคมโลก  โดยเฉพาะประชาคมโลกมุสลิม

ปัญญาหลายๆปัญญาที่สะสม เรียนรู้กันมาของกลุ่มชาติพันธู์  ศาสนา วิถีชีวิต เอกลักษณ์ที่แตกต่างกัน  ปัจจุบันทั่วโลกมองว่าจะทำให้มีปัญญาหลากหลายปัญญาและทำให้มีทางเลือกหลากหลายที่จะเผชิญปัญหาและหาทางออกเพื่อแก้ไขปัญหา  มีหนทางในการป้องกันปัญหาหลายทาง

 

แนวคิดสันติวิธีเข้าไปโยงกับความมั่นคงโดยเฉพาะจังหวัดชายแดนภาคใต้  ฝ่ายต่างๆที่มีส่วนในการแก้ปัญหาก็จะมีวาทะกรรม พูดตรงกันหมดว่าจะใช้การเมืองนำการทหาร  จะใช้สันติวิธีในการแก้ไขปัญหาความรุนแรงในจังหวัดชายแดนภาคใต้  แต่ทำไมพูดแล้วความรุนแรงถึงไม่ค่อยลดลง  ถึงแม้หน่วยงานด้านความมั่นคงและหน่วยงานที่ดูแลเรื่องการเมืองการปกครองในพื้นที่ก็จะพูดเหมือนกันว่าสถานการณ์ดีขึ้น  แต่ในปรากฏการณ์ที่พบหรือสิ่งที่เห็นพบว่ายังมีความรุนแรงอยู่  จริงๆแล้วมันยังไม่ดีขึ้น

นโยบายของรัฐบาล ยุทธศาสตร์ของกระทรวงทบวงกรมต่างๆก็ขียนไว้ชัดเจนว่า เห็นคุณค่า  เคารพในศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์  ให้ความสำคัญกับเรื่องสิทธิมนุษยชน  ให้สิทธิเสรีภาพภายใต้กรอบของรัฐธรรมนูญ  ไม่เลือกปฏิบัติ คำนึงถึงความเป็นธรรมและการพัฒนาที่สอดคล้องกับวิถีชีวิต  ผู้ปฏิบัติในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ต้องไม่สร้างเงื่อนไขใหม่ที่ทำให้มีการใช้ความรุนแรงเพิ่มขึ้น  เพื่อไม่เปิดโอกาสให้องค์กรระหว่างประเทศและต่างประเทศเข้ามาแทรกแซงเรื่องความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้

แต่การละเมิดสิทธิมนุษยชนจากเจ้าหน้าที่ของรัฐก็ยังมีอยู่ให้เห็นและถูกพิสูจน์เช่นกรณีของคนหายเพราะถูกอุ้มแล้วทำให้หายโดยเจ้าหน้าที่ของรัฐแบบที่คุณสมชาย นีละไพจิตร ประสบ  แม้จำนวนไม่มากแต่ก็มีเป็นระยะ 

ในช่วงปี 47-49 พบว่ามีการละเมิดสิทธิมนุษยชนดังกล่าวแล้วพิสูจน์ว่าเป็นฝีมือของเจ้าหน้าที่ของรัฐจำนวน 23 ราย (พิสูจน์แล้วโดย DSI เจ้าหน้าที่ตำรวจ  ทหาร )

หลังปี 49 จนถึงวันนี้มีเพิ่มอีก 10 รายรวมเป็น 33 ราย

ยังมีการซ้อมทรมานซึ่งเป็นเงื่อนไขการสร้างความเจ็บปวดเกิดขึ้นเป็นระยะๆซึ่งพิสูจน์แล้วว่าเป็นฝีมือของเจ้าหน้าที่ของรัฐ  แต่หลายกรณีก็ไม่สามารถดำเนินการจนเอาผิดเจ้าหน้าที่ของรัฐได้

ในมุมมองของภาคประชาชนพบว่าการสร้างเงื่อนไขของเจ้าหน้าที่รัฐเช่นนี้  เวลานำขึ้นสู่ขบวนการยุติธรรมก็พบว่าไม่มีความเท่าเทียมกันกับความผิดชนิดเดียวกันที่ประชาชนเป็นผู้กระทำอย่างเป็นรูปธรรม   ประเด็นเหล่านี้ก็เลยทำให้เกิดปัญหาการสร้างเงื่อนไขจากความเจ็บปวดมาเป็นความเจ็บแค้น ความเกลียดชัง แล้วเกิดการใช้ความรุนแรงตอบโต้

การใช้ความรุนแรงตอบโต้ในปัจจุบันกลายเป็นวงจรที่หมุนเวียนไป  ไม่รู้เมื่อไหร่จะจบ  เมื่อเจ็บปวดก็แก้แค้นก็ทำให้อีกฝ่ายหนึ่งเจ็บปวด  ก็มีการแก้แค้นกลับ  เป็นแบบนี้อยู่ตลอด

แต่ก็มีเหมือนกันที่ไม่แก้แค้น  ไม่ใช้ความรุนแรงเช่นกรณีการหายไปของหะยีสุหลง อับดุลกาเดร์  ลูกหลานของหะยีสุหลง  ไม่ว่าจะเป็นคุณเด่น โต๊ะมีนา หรือหลานสาวคือคุณหมอเพชรดาว ก็ไม่ได้คิดที่จะใช้ความรุนแรงในการแก้แค้น   แต่เลือกที่จะใช้สันติวิธีโดยเลือกใช้วิธีทางกฏหมาย  กรณีของคุณสมชาย  คุณอังคณาก็เลือกที่จะใช้กฏหมาย  ใช้ขบวนการยุติธรรมและพยายามที่จะช่วยเหลือสังคมโดยเฉพาะเยาวชนและกลุ่มสตรีในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ที่ได้รับผลกระทบ  ทำให้ประชาชนเข้าถึงกระบวนการยุติธรรมมากขึ้น

กรณีของการซ้อมทรมานจนโต๊ะอิหม่ามยะผา กาเซ็งเสียชีวิต เจ้าหน้าที่ด้านความมั่นคง ก็เป็นผู้กระทำ ทางครอบครัวก็ไม่เลือกที่จะใช้ความรุนแรง  แต่ให้ลูกๆเรียนกฏหมายเพื่อจะได้มาช่วยเหลือชุมชนที่อยู่ในสังคมไม่ให้ถูกกระทำโดยออกนอกกรอบของกฏหมาย

เป็นตัวอย่างว่าเจ็บปวดแล้ว เจ็บแค้นแล้วต้องใช้ความรุนแรงเสมอไปเพราะนั่นคือสิ่งที่ไม่มีวันจบ  จากการพูดคุยกับครอบครัวที่ได้รับผลกระทบจากการใช้ความรุนแรงในจังหวัดชายแดนภาคใต้  พบว่าความเจ็บปวดของครอบครัว  ไม่ว่าจะเป็นสามี ภรรยาและลูกๆ  ความเจ็บปวดเท่ากันไม่ว่าจะเป็นของฝ่ายเจ้าหน้าที่รัฐเป็นฝ่ายสูญเสียหรือทางฝ่ายประชาชนที่สูญเสีย  หรือคนที่ถูกอ้างว่าเป็นผู้ก่อความไม่สงบ  ถ้านึกถึงใจเขาใจเรา  ความเจ็บปวดความสูญเสียมีเท่ากัน

เร็วๆนี้ชาวยิวกับชาวปาเลสไตน์ที่เคยมีความขัดแย้งกันและใช้ความรุนแรง  ตอนนี้เลือกที่จะใช้สันติวิธีในการอยู่ร่วมกัน  การส่งสัญญาณที่ชัดเจนก็คือการบริจาคเลือดด้วยกัน แม้จะเป็นคนต่างชาติพันธุ์ที่เคยทะเลาะกันใช้ความรุนแรงกัน  การส่งสัญญาณแบบนี้เพื่อที่จะบอกว่าศักดฺ์ศรีความเป็นมนุษย์ที่อยู่ร่วมโลกเดียวกันสามารถที่จะอยู่ร่วมโลกเดียวกันอย่างสันติสุข  ถ้าไม่คิดแบ่งแยกกันเป็นคนละพวก  ทำให้เกิดปัญญาที่จะแก้ไขปัญหาในภายภาคหน้าด้วยกันฉันท์มิตรแท้

     

    

 

Post to Facebook Facebook


การบริหารจัดการความขัดแย้งด้วยความสมานฉันท์ (4)

ไม่มีความคิดเห็น โดย จอมป่วน เมื่อ 2 ตุลาคม 2011 เวลา 22:15 ในหมวดหมู่ จอมป่วน #
อ่าน: 1997

ศาสตราจารย์ ดร.ชัยวัฒน์ สถาอานันท์

ความสามารถที่จะคืนชีวิตชีวาให้กับสังคมและศักยภาพที่จะจินตนาการถึงอนาคตร่วมกันได้  เปรียบเทียบกับชีวิตสมรส บางครอบครัวก็มีปัญหาเกิดความแตกแยก  บางคู่มันจมอยู่กับสิ่งที่เกิดขึ้นแล้วมันล็อคอยู่กับอดีตที่แตกแยกขัดแย้ง  เดินเจอหน้ากันก็คิด…หลอกลวงกัน ….มีเมียน้อย  มันล็อคไว้โอกาสจะทำอะไรก็ทำไม่ได้ทำให้เสียโอกาสที่จะคืนชีวิตชีวา  ทำอย่างไรถึงจะก้าวข้ามอดีตนั้นไปได้  ถ้าคืนชีวิตชีวาได้ก็จะมามองว่าเราจะมีอนาคตร่วมกันได้อย่างไร?

สังคมก็เหมือนกัน เหมือนกับชีวิตแต่งงาน เหมือนกับชีวิตคู่

บทเรียนจากต่างประเทศมีการศึกษาเรื่องราวต่างๆที่เกิดขึ้น  แบ่งผลการศึกษาออกมา  5 กลุ่ม

กลุ่มที่ 1 มีความพยายามในการลืมความรุนแรงในอดีต  จึงไม่พยายามทำความจริงให้ปรากฏขึ้น  อยากให้เห็นว่าการทำเรื่องปรองดองต้องทำบนฐานของความรู้ไม่ใช่ใช่ความรู้สึก  เช่น “ไม่ได้  ต้องหาความจริงเท่านั้น”  เช่น

กรณีแคนาดากับชนพื้นเมืองไปเปลี่ยนอัตลักษณ์ชนพื้นเมือง

กรณีสงครามเวียตนามกับอเมริกา  ไม่ค่อยพูดถึงสงครามเท่าไหร่  เพราะถ้ายังจมปลักกับเรื่องนี้เวียตนามจะอยู่ในอาเซียนอย่างไร?  ประเทศไทยเป็นฐานทัพอากาศที่ส่งเครื่องบินไปทิ้งระเบิดในเวียตนาม ในลาว…ถ้าอยากจะทำมาค้าขายกันก็ต้องพยายามลืมให้หมด  มีการรวมเวียตนามเหนือและเวียตนามใต้  เวียตนามใต้ตอนนั้นก็เข้าข้างอเมริการบกับเวียตนามเหนือ  ถ้าไม่ลืมจะอยู่กันอย่างไร?

สงครามกลางเมืองในสเปน(1936-1939)

ถ้าลืมเป็นการปรองดองรึเปล่า?

กลุ่มที่ 2 ไม่มีการลืมความรุนแรงและพยายามทำความจริงให้ปรากฏขึ้นแต่ก็ไม่สามารถปรองดองได้  เช่นกาน่าและเปรู(เปรูมีคนถูกฆ่าและสาบสูญ 69,280 คน)  เวลาคิดเรื่องการปรองดองมีเรื่องให้คิด 9 เรื่อง  ทั่วโลกจะสนใจแค่ความจริง ความยุติธรรม  ใครรับผิด

กรณีของกาน่าและเปรู  ไม่ลืม  พยายามเอาความจริงให้ปรากฏแต่ก็ปรองดองกันไม่ได้

กลุ่มที่ 3  ให้ความสำคัญกับการทำให้ความจริงปรากฏและมีการเล่าความจริงในที่สาธารณะ  แต่ยิ่งเล่ายิ่งยุ่งยิ่งแย่  และความยุติธรรมไม่ปรากฏแต่อย่างใด  คือกรณีของรวันดาและเซียร่า เลโอน

กรณีของรวันดาเป็นการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ของเผ่า(Tutzi) และเผ่าฮูตู(Hutu) มีคนตาย  800,000-1,000,000 คน ที่น่าสนใจของการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ครั้งนี้ไม่ได้ใช้อาวุธปืนอัตโนมัติ  แต่ใช้มีดใช้ดาบทำ  และความรุนแรงที่เกิดเกิดระหว่างเพื่อนบ้านกัน คำถามของนักวิจัยคือฆ่าลูกของเพื่อนบ้านที่เห็นกันมาตั้งแต่เด็กได้อย่างไร?

หลังจากเหตุการณ์นี้มีการดำเนินการด้วยการให้มีส่วนร่วมของชุมชนซึ่งกำลังเป็นที่นิยมกันในปัจจุบันทุกวงการ มีการกระจายอำนาจและพูดเรื่องการปรองดองโดยชุมชนกลับก่อปัญหา  ไม่ได้แก้ปัญหา ในรวันดามีการตั้ง Gacaca (Gacaca jurisdiction) การปรองดองในท้องถิ่นซึ่งมีถึง 9,000 หน่วย ยึด “Ukuri,Ubutabera,Ubwiyunge – Truth,Justice,Reconciliation) ผู้พิพากษากาซาซาเป็นคนในท้องถิ่น  ถูกเลือกโดยชุมชนและไม่เคยยุ่งเกี่ยวกับการฆ่ามาก่อน  ไม่ได้รับผลตอบแทนใดๆ  แต่ได้สิ่งของชดเชยอย่างอื่นเช่นวิทยุ  และผู้พิพากษาเป็นผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย  กาซาซาถูกออกแบบเพื่อช่วยการตรวจสอบคดีที่ค้างคาจำนวนมหาศาล  รวมถึงคดีที่ยังไม่มีการไต่สวนแก่นักโทษที่อยู่ในคุก  การไต่สวนของกาซาซาจะมีอาทิตย์ละหนึ่งวัน  อาจจะเป็นสนามกีฬาเล็กๆ  ตลาด  โรงเรียน ฯลฯ

2-10-2554 18-12-41

มีการลงโทษผู้กระทำผิด  ปล่อยนักโทษที่บริสุทธิ์  จัดให้มีการชดใช้ค่าเสียหาย  เน้นกระบวนการค้นหาความจริงและสนับสนุนกระบวนการไกล่เกลี่ยระหว่างฮูตูกับทุตซี่ เป็นความพยายามที่จะดำเนินการตามทฤษฎีการมีส่วนร่วมที่ดีมาก  แต่ผลที่เกิดขึ้นเพราะ Gacaca

“ผู้คนในชุมชนจึงไม่ไว้วางใจกันและกัน”

“กระบวนการปรองดองอาจจะเกิดขึ้นได้หากไม่มีกาซาซา”

“มีความแตกต่างระหว่างสันติภาพและความมั่นคง  ทุกวันนี้เรามีความมั่นคง  แต่ไม่ใช่สันติภาพ  ผู้คนไม่ใช้ความรุนแรงเพียงเพราะเขากลัวผู้มีอำนาจ….รวันดากำลังจะเป็นแบบอิรักในไม่ช้านี้  ความเกลียดชังได้มาจากมิติต่างๆ  และกาซาซาเป็นสาเหตุให้ครอบครัวต่างๆขัดแย้งกัน  เด็กๆที่พ่อแม่ของเขาอยู่ในคุกจะถามเสมอว่าพ่อแม่อยู่ที่ไหน?  พวกเขาเตรียมจะแก้แค้น”

การสารภาพบาปในคริสตศาสนาเป็นการสารภาพใน Private Space แล้วจะได้รับการยกโทษ  แต่ Gacaca  ทำใน Public Space ทำให้เกิดมีเรื่องของความอาย  ศักดิ์ศรี  เกิดความเคียดแค้นเมื่อรับทราบความจริงที่เกิดขึ้น

การปรองดองเสี่ยง  ผลอาจจะออกมาแบบนี้ก็ได้

กลุ่มที่ 4  แม้จะให้ความสำคัญกับการทำให้ความจริงปรากฏขึ้นและการเล่าความจริงแต่ความยุติธรรมไม่ปรากฏแต่อย่างใด (อัฟริกาใต้)  กรณีนี้เป็นตัวอย่างที่ประสบความสำเร็จ แต่ก็มีจุดอ่อนเพราะ “ข้อมูลไม่ตรงและไม่ครบ,  ชดเชยไม่ทั่วถึง,  นิรโทษกรรมคนผิด ไม่ยุติธรรม,  ให้อภัยไม่ลง,  รอนสิทธิผู้เสียหาย,  สร้างวัฒนธรรมคนผิดลอยนวล,  ไปไม่ถึงปรองดอง  เพราะคนผิวดำรู้สึกไม่ได้รับความเป็นธรรม  คนผิวขาวที่ถูกกล่าวหารู้สึกถึงแต่ความเกลียดชังและอคติ

กลุ่มที่ 5 ให้ความสำคัญกับการทำให้ความจริงปรากฏขึ้นและความยุติธรรมเริ่มปรากฏประจักษ์ชัดขึ้นเรื่อยๆซึ่งเหมาะสมกับเงื่อนไขของการปรองดองที่ยั่งยืนมากที่สุด  เช่นในกรณีของอาร์เจนติน่าและชิลี  ซึ่งเดิมเป็นเผด็จการ มีการละเมิดสิทธิมนุษยชนมาก  แต่มีการปรองดองได้ค่อนข้างยั่งยืนเพราะมีการปรองดองมากับการเปลี่ยนระบอบ (Regime Changes) การเปลี่ยนแปลงทางการเมือง  ที่สำเร็จเพราะมีการเปลี่ยนแปลงจากระบอบเผด็จการหรืออำนาจนิยมแบบทหารมาเป็นระบอบประชาธิปไตย ชิลีประธานธิปดีก็เป็นผู้หญิงมีควาพยายามเรื่องสิทธิมนุษยชนมาก

การปรองดองในสังคมไทยมีความเสี่ยงสองชั้น

ชั้นแรกการปรองดองเกี่ยวพันกับความเสี่ยงอยู่แล้ว  เพราะการปรองดองสัมพันธ์กับความไว้วางใจและจะไว้วางใจได้ก็ต้องเสี่ยง

ชั้นที่สองสังคมไทยเป็นสังคมความเสี่ยง (Risk Society) เป็นความเห็นทางวิชาการเพราะองค์กรอยู่ได้ก็เพราะความไว้วางใจเลยมีความเสี่ยง  ธนาคารก็อยู่บนฐานของความไว้วางใจ  เมื่อไหร่ธนาคารเจ๊ง  เจ๊งไม่ใช่เพราะถูกคนปล้นแต่เจ๊งเพราะประชาชนไม่ไว้วางใจ  ไม่เชื่อถือ  ถ้าความภักดีต่อสถาบันหมายถึงอย่างนี้  โจทย์จะเป็นว่าจะรักษาความภักดีนี้อย่างไร?  ถ้าเข้าใจผิดก็ตั้งหน้าจ้างยามอยู่นั่นแหละเพราะเข้าใจโจทย์ผิด  มัวแต่แก้ปัญหาโจรปล้นแบงค์  มันเรื่องเล็ก  ไม่ได้คิดถึงเรื่องทำอย่างไรถึงจะสถาปนาสายสัมพันธ์ระหว่างสถาบันกับลูกค้า

ถ้าไปผิดทางเพราะเข้าใจผิดก็แก้ความขัดแย้งไม่ได้เลยไปใช้อย่างอื่นเพราะเห็นว่าใครก็เป็นโจรที่จะมาปล้นธนาคารหมด  เลยตรวจหมด ใครจะมาเข้าธนาคาร

  1. ระบบราชการแตกแยกภายในทุกระบบ?
  2. กลไกผ่อนเบาความขัดแย้งทุกอันอ่อนกำลังเพราะความยืดเยื้อของความขัดแย้ง?
  3. รัฐอ่อนแอในด้านความสามารถที่จะเผชิญกับความขัดแย้ง?

การจะแก้ไขความขัดแย้งก็มีความไว้วางใจซึ่งมีความเสี่ยง  คนต้องมีความไว้วางใจถึงจะทำ  มิฉะนั้นความขัดแย้งก็จะลุกลามต่อไป มีโอกาสที่จะเกิดความรุนแรงขึ้นได้  การใช้ความรุนแรงก็มีบทเรียนมาแล้ว  บางคนบอกว่าได้ผลได้ประโยชน์  ปัจจุบันเราอยู่ในสถานการณ์พิเศษอย่างที่ทราบกันอยู่ อยู่ในเงื่อนไขพิเศษ  ประวัติศาสตร์ที่เปลี่ยนแปลงไปจากเดิมพอสมควร

ถ้าไม่คิดถึงเรื่องการปรองดอง  ไม่เข้าใจเรื่องความขัดแย้งจริงๆแล้ว ไม่พูดถึงเรื่องทางเลือกอื่นเช่นสันติวิธี ของพวกนี้ไม่ใช่พูดแล้วแก้ได้เลยเป็นเรื่องที่ต้องใช้เวลา  มองกันตรงๆไม่งั้นก็แก้ไม่ได้  เป็นเรื่องที่ต้องเสี่ยง

ในอนาคตจะอยู่กันอย่างไร?  ปัจฉิมโอวาทของพระพุทธเจ้าสำคัญมาก

“ภิกษุทั้งหลาย บัดนี้ เราขอเตือนท่านทั้งหลาย สังขารทั้งหลายมีความเสื่อม ความสิ้นไปเป็นธรรมดา ท่านทั้งหลาย จงบำเพ็ญไตรสิกขา คือศีล สมาธิ ปัญญา ให้บริบูรณ์ด้วยความไม่ประมาทเถิด

การอยู่กับอนาคตคืออยู่อย่างไม่ประมาท การประมาทหมายถึง

  • ไม่รู้จักตนเองว่าเปลี่ยนไปอย่างไร?
  • ไม่รู้ว่าสภาพของโลกภายนอกเปลี่ยนไปอย่างไร?
  • ถือเอาว่าสามารถยื้ยุดฉุดความเปลี่ยนแปลงได้

ความมีสติ ระลึกได้  รู้ตัวทั่วพร้อมสำหรับสังคมไทยหมายความว่าอย่างไร? หมายความว่าสังคมไทยเปลี่ยนไปแล้ว  เราเรียนมาว่าสังคมไทยเป็นสังคมเกษตร  ไม่ใช่แล้ว  เปลี่ยนไปแล้ว  แรงงานส่วนใหญ่อยู่ในภาคแรงงานไม่ใช่ภาคเกษตร  ชาวนาทุกวันนี้ก็ไม่ใช่ชาวนาในอุดมคติเหมือนเดิมที่เราเคยเห็น  เป็นชาวนาซึ่งผูกเข้ากับระบบทุนของการเกษตรไปนานแล้ว  มีหนี้มีสิน เปลี่ยนแปลงไปจากเดิมเยอะ ตอนนี้ต้องเข้าใจว่าเปลี่ยนไปอย่างไรแล้ว

บ้านเมืองมีความขัดแย้งลูกศิษย์ก็คิดแตกต่างกันไป  บางคนก็โกรธอาจารย์เพราะว่าไม่เข้าใจใจว่าทำไมไม่ทำอย่างนั้น ไม่ทำอย่างนี้   ต่อมาก็โทรมาบอกว่าหายโกรธแล้วอาจารย์ส่วนหนึ่งก็สีเหลือง  ลูกศิษย์จำนวนหนึ่งก็แดง  คนรุ่นอาจารย์ก็มีความสัมพันธ์กับสถาบันประเพณีไม่เหมือนกับคนรุ่นหลัง   วันนี้เปลี่ยนไปพอสมควร ต้องตระหนักว่าการเปลี่ยนแปลงมันเป็นจริง  วันนี้มันเปลี่ยนไปเป็นยังไงแล้ว  นอกจากเห็นว่าตัวเองเปลี่ยนยังไงแล้วโลกเปลี่ยนยังไงด้วย  ปัจจุบันโลกเรามีความเสี่ยงสูงเพราะคนคนหนึ่งสามารถสร้างความเสียหายได้มากด้วยเทคโนโลยีปัจจุบัน

การก่อการร้าย 9-11 ลงทุนไม่เกิน 500,000 เหรียญ  แต่อเมริกาต้องลงทุนในการต่อต้านการก่อการร้ายเป็นแสนล้านเหรียญ  ที่สำคัญมีคนกลุ่มหนึ่งในสังคมโลกเชื่อว่าตัวเองสามารถหยุดการเปลี่ยนแปลงของโลกได้  ซึ่งอันตรายมาก  พุทธศาสนาสอนว่าความเป็นจริงคือการเปลี่ยนแปลง  อย่าไปยึดติดกับมัน  แปลว่าอย่าบังคับไม่ให้มันเปลี่ยนเพราะทำไม่ได้  เป็นสาระสำคัญของการที่จะอยู่กับอนาคตอย่างไม่ประมาท

Post to Facebook Facebook


การบริหารจัดการความขัดแย้งด้วยความสมานฉันท์ (3)

ไม่มีความคิดเห็น โดย จอมป่วน เมื่อ 2 ตุลาคม 2011 เวลา 17:18 ในหมวดหมู่ จอมป่วน #
อ่าน: 1655

ศาสตราจารย์ ดร.ชัยวัฒน์ สถาอานันท์

จากการร่วมทำงานกับคณะกรรมการอิสระเพื่อความสมานฉันท์แห่งชาติ  พยว่าความลับของการสมานฉันท์ประกอบหรือปรองดองด้วยองค์ประกอบต่างๆ 9 อย่าง

  1. ความยุติธรรม
  2. ความจริง
  3. ความพร้อมรับผิด (Accountability)
  4. การให้อภัย (Forgiveness)
  5. สันติวิธี
  6. การสานเสวนา
  7. จินตนาการ
  8. ความทรงจำ
  9. ความเสี่ยง

ทั้งหมดนี้แบ่งเป็น 5 พวก

  1. ทฤษฎีและภาคปฏิบัติทั่วโลกจะ focus 3 เรื่อแรกคือความยุติธรรม ความจริงและความพร้อมรับผิด
  2. การให้อภัย (Forgiveness)  คณะกรรมการอิสระเพื่อความสมานฉันท์แห่งชาติคิดว่าถ้าจะให้ได้ผลต้องเพิ่มการให้อภัย  แต่จะให้อภัยก่อนการค้นหาความจริงและความยุติธรรมได้ไหม?  “ยังไม่รู้ความจริง  ไม่รู้ว่าใครผิด  ไม่รู้ว่าจะให้อภัยใคร” , “ไม่ต้องรู้อะไร  ให้อภัยไปเลย”, “เป็นประเด็นที่ไม่ต้องการให้มีเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นอีก  ต้องรู้ความจริง  ทำความจริงให้ปรากฏ  ถ้าเอะอะให้อภัย  ในอนาคตก็จะเกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้นอีก” ,”ให้อภัยเลย  ความจริงก็ไม่ปรากฏ  ความยุติธรรมก็ไม่เกิดจะมีความรู้สึกว่าไม่เป็นธรรม”
  3. สันติวิธีและการสานเสวนา พลเอกเอกชัยกับอาจารย์วันชัย  อาจารย์โคทม อาจารย์ปาริชาต  มหาวิทยาลัยมหิดลก็ให้ความสนใจเป็นพิเศษ  สันติวิธีและการสานเสวนาหรือ Dialogue เป็นกลไก เป็นเครื่องมือของขบวนการสมานฉันท์ซึ่งจะบังคับให้เกิดโดยกฏหมายไม่ได้  รัฐสภาออกกฏหมายให้สังคมไทยมีความสมานฉันท์ไม่ได้
  4. สมานฉันท์ต้องมีจินตนาการและความทรงจำ จินตนาการหมายถึงต้องคิดถึงความเป็นไปได้และต้องพูดถึงความทรงจำด้วยซึ่งจะไปสัมพันธ์กับความจริง
  5. และประเด็นสุดท้ายที่ต้องมีคือความเสี่ยง (Risk)

วันนี้ต้องการพูดแค่ การปรองดองเป็น Business ที่เสี่ยง  (Reconciliation is a risky business)  การปรองดองหรือการสมานฉันท์เป็นเรื่องเสี่ยง  ตอนนี้สังคมไทยเป็นสังคมความเสี่ยง (Risk Society)  ที่เราเจอตอนนี้เป็นความเสี่ยง 2 ชั้น

การปรองดองในสังคมไทยตอนนี้ยาก  เพราะ

  1. ใครจะปรองดองกับใคร ?  พรรคประชาธิปัตย์กับพรรคเพื่อไทยเหรอ?  ใช่รึเปล่า?  หรือปัญหาภาคใต้จะปรองดองกับใคร?
  2. ความจริง  ถ้าพูดว่าความจริงสำคัญ  ความจริงเกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้น  ความจริงอะไร?  พฤษภา 53 ใครยิงคุณร่มเกล้า ?  ใครยิง 6 ศพในวัดปทุมฯ ?  ความจริงของใคร?  ถามนักข่าวที่อยู่ในพื้นที่ นักข่าวที่อยู่กับทหารบอกว่ากระสุนยิงมาจากฝั่งตรงข้าม  เห็นมั๊ยว่าใครยิง?….ไม่เห็น  ภาคใต้คนตายไปแล้วสี่พันกว่าคน  ใครทำ ?  ขบวนการก่อความไม่สงบทำทั้งหมดเลยเหรอ?  มันยุ่งกว่าที่เราคิด การจัดการความจริง (Truth Management) ไทยเราจัดการได้พิลึกพิลั่นมาก
  3. ต้องฟื้นฟูสายสัมพันธ์หรือต้องสร้างสายสัมพันธ์ขึ้นมาใหม่เพราะของเดิมถูกทำลายไปหมดแล้ว  ใครครอบครัวก็ทะเลาะกัน อยู่คนละข้างอยู่คนละฝ่าย ในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้  คนไทยพุทธกับอิสลามเคยอยู่ด้วยกันมาดีๆ  ตอนนี้เป็นอย่างไร?  ต้องมาเริ่มกันใหม่
  4. ถ้าจะทำเรื่องปรองดองจะทำเมื่อไหร่?  ทำตอนนี้กรณีขัดแย้งของประเทศ เสื้อแดงเสื้อเหลือง  หรือกรณีใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้จะทำเมื่อไหร่?
  5. สุดท้ายเลยที่สำคัญมีเจตนาที่จะปรองดองรึเปล่า? มีเจตน์จำนงทางการเมืองพอที่จะปรองดองไหม?

2-10-2554 16-42-13

ขบวนการปรองดอง คือขบวนการซึ่งเอื้อให้สังคมเคลื่อนจากอดีตที่แตกแยก ขัดแย้งไปสู่อนาคตที่ทุกฝ่ายมีส่วนร่วมกันได้  มี 3 องค์ประกอบ

  1. มีอดีตที่แตกแยกขัดแย้ง (Divisive Past)
  2. มีความสามารถที่จะคืนชีวิตชีวาให้กับสังคม (Revitalizing capabilities present)
  3. มีศักยภาพที่จะจินตนาการถึงอนาคตร่วมกันได้ (Shared future(s) imaginable)

3 เรื่องนี้อดีตที่ขัดแย้งเข้าใจง่าย  ความสามารถที่จะคืนชีวิตชีวาให้กับสังคมตอนนี้เมืองไทยเรามีไหม?  หรือมีแต่ความขมขื่น  ไม่พอใจ  มีเรื่องอยู่ในใจแต่ไม่อยากพูดให้ฟังและในขณะนี่เราสร้างอนาคตที่จะอยู่ร่วมกันได้ไหม?  อันนี้เป็นโจทย์ของการปรองดอง  ปัจจุบันในครอบครัว  ในชุมชน ที่ทำงาน  ในสังคม  พอจะพูดเรื่องการเมืองต้องรู้ก่อนว่าสีอะไรถึงจะพูดกันได้อย่างจริงใจ  แล้วจะปรองดองกันอย่างไร?

กรณีของอัฟริกาใต้มีอดีตที่แบ่งแยกสีผิวรุนแรง มีคนผิวขาวเป็นผู้ปกครองเป็นเวลานาน พอมีการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองคนผิวดำซึ่งเป็นคนส่วนใหญ่ขึ้นมาปกครองประเทศ

โจทย์มันคือในหมู่บ้านซึ่งมีคนผิวขาว  ต่อไปนี้จะมีคนผิวดำมาอยู่ข้างบ้านจะรู้สึกอย่างไร?

โจทย์คือคนที่อยู่ใกล้กันเคยทรมานญาติหรือเพื่อนเรา จะอยู่ด้วยกันอย่างไร?

มันไม่ใช่แค่ยิ้มให้กัน  ตบหลังตบใหล่แล้วจบ

ทำไมการปรองดองถึงต้องใช้สันติวิธี  เพราะถ้าใช้ความรุนแรงมันทำให้เรื่องยากขึ้นทุกวัน  มีคนเจ็บคนตาย ขาขาด  เราจะจินตนาการอนาคตที่จะอยู่ด้วยกันได้ไหม?

ในไนจีเรีย  ตอนที่ทำเรื่องนี้พบว่ามีการใช้ทหารเด็กอายุตั้งแต่ 5 ขวบขึ้นไปแจกอาวุธสงครามให้  ให้กระสุน 100 นัด  ให้ไปตามหมู่บ้านต่างๆเด็กเหล่านี้ทำให้เกิดความรุนแรงยิ่งกว่าใช้กองทัพบุกมากมาย  ปัญหาคือหลังจากเกิดเหตุแล้ว  มีการปรองดอง  นึกภาพเด็กพวกนี้ต้องกลับมาอยู่ในหมู่บ้าน  จะทำอย่างไร?  จะเรียกเด็กพวกนี้มากินข้าวที่บ้านไหม? จะทำได้ไหม?  ถ้าทำไม่ก็ปรองดองไม่ได้เพราะเราไม่สามารถจินตนาการว่าจะอยู่ร่วมกันได้อย่างไร?  การปรองดองก็จะกลายเป็นของเล่น  ในข้อเท็จจริงมันมีของพวกนี้อยู่  มือระเบิดที่ทำให้คนตายไปแล้ว อาจไม่มีหลักฐานถูกปล่อยตัวออกมาอยู่ในหมู่บ้าน  จะทำอย่างไร?

Post to Facebook Facebook


การบริหารจัดการความขัดแย้งด้วยความสมานฉันท์ (2)

ไม่มีความคิดเห็น โดย จอมป่วน เมื่อ 2 ตุลาคม 2011 เวลา 2:01 ในหมวดหมู่ จอมป่วน #
อ่าน: 1714

ศาสตราจารย์ ดร.ชัยวัฒน์ สถาอานันท์

โจทย์ :จะอยู่กับความขัดแย้งและป้องกันไม่ให้เป็นความรุนแรงได้อย่างไร? ต้องทำอะไรบ้าง?

เพื่อแก้โจทย์นี้ต้องเข้าใจ 3 อย่าง

  1. ความขัดแย้งขณะนี้เป็นอย่างไร?
  2. จะสมานฉันท์หรือปรองดองอะไรกับอะไร?
  3. ทำอย่างไร?

ความขัดแย้งในปัจจุบันเป็นอย่างไร?  อาจเข้าใจแตกต่างกันอีก  จะเข้าใจได้ต้องมองรัฐธรรมนูญทั้ง 18 ฉบับ  และรัฐประหารทั้ง 24 ครั้ง (สำเร็จ 13 ครั้ง)  เกี่ยวกับอัตชีวประวัติของสังคมไทยถ้าจะให้เข้าใจต้องดูผ่านรัฐธรรมนูญ

รัฐธรรมนูญแต่ละฉบับเกิดขึ้นในบริบทที่แตกต่างกัน

รัฐธรรมนูญ 2550 เกิดในบริบทของช่วงเวลา 2549-2550

รัฐธรรมนูญก่อนหน้านั้นคือรัฐธรรมนูญ 2540 ก็เกิดขึ้นในบริบทของการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองตั้งแต่ปี 2535 เป็นต้นมา(พฤษภา 35)

รัฐธรรมนูญก่อนหน้านั้นคือรัฐธรรมนูญ 2521  ก็เกิดหลังเหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2520 เป็นต้นมา

แม้แต่รัฐธรรมนูญฉบับแรกเลยคือรัฐธรรมนูญ ปี 2475  ก็เกิดในบริบทการเปลี่ยนแปลง 2475

รัฐธรรมนูญทุกฉบับอยู่ในบริบทบางอย่าง  มันบอกความสัมพันธ์ทางอำนาจบางอย่าง  นายกรัฐมนตรีที่มาจากการเลือกตั้งมันเกิดไม่ได้ในรัฐธรรมนูญปี 2521  แต่มีอยู่ได้ในรัฐธรรมนูญปี 2540  เพราะรัฐธรรมนูญ 2540 เป็นผลจากการต่อสู้ทางอำนาจตั้งแต่ปี 35 มา  ประเด็นสำคัญในพฤษา 35 คือพลตรีจำลองและคณะต่อสู้กับรัฐบาลพลเอกสุจินดาซึ่งตอนแรกบอกว่าจะไม่เป็นนายกฯแล้วก็มาเป็น  ในขณะที่อีกฝ่ายหนึ่งเรียกร้องให้นายกรัฐมนตรีมาจากการเลือกตั้ง เรื่องนี้จึงมาปรากฏในรัฐธรรมนูญ 2540 รัฐธรรมนูญเป็นผลของการต่อสู้ทางการเมืองหรือบริบททางการเมือง สว. ก็มาจากการเลือกตั้งในรัฐธรรมนูญ 2540  ก่อนหน้านั้นมาจากการแต่งตั้ง  มันจะสะท้อนภาพออกมา

ตั้งแต่ 2476 ถึงปัจจุบันมีรัฐธรรมนูญถึง 18 ฉบับ  ได้ความสัมพันธ์ทางอำนาจ 18 ชุด  ได้ชีวิตทางการเมืองไทยซึ่งความสัมพันธ์ทางอำนาจเปลี่ยนมาตั้งแต่ 2476  นี่คืออัตชีวประวัติของการเมืองไทย  อยากรู้ว่าสังคมไทยเป็นอย่างไรก็ดูรัฐธรรมนูญ  แต่ไม่ได้ดูในแง่กฏหมาย  ดูในฐานะที่มันสะท้อนภาวะอำนาจทางการเมือง เป็นการต่อสู้ทางอำนาจ

รัฐธรรมนูญแต่ละฉบับหน้าตาไม่เหมือนกัน  รัฐธรรมนูญ 2540 กับ 2550  ต่างกันอย่างไร?

รัฐธรรมนูญ 2540 โจทย์คือทำอย่างไรจะให้มีรัฐบาลที่มีเสถียรภาพสูง   ก็ได้รัฐธรรมนูญ 2540

รัฐธรรมนูญ 2550 โจทย์คือทำอย่างไรจะมีรัฐบาลที่ถูกควบคุมได้มาก  เลยให้ความสำคัญกับการตรวจสอบ  ก็ได้รัฐธรรมนูญ 2550

ถ้าจะมีการแก้รัฐธรรมนูญในครั้งต่อไปก็จะเป็นผลของอำนาจปัจจุบัน  อำนาจมันเปลี่ยนไป เป็นลักษณะของการเมืองไทย

ถ้าจะเข้าใจความขัดแย้งปัจจุบันต้องดูว่าใครขัดกับใคร?  เรื่องอะไร?

2490-2516:  ความขัดแย้งในช่วงนั้นเป็นความขัดแย้งกันเองระหว่างผู้นำ(มักเป็นผู้นำฝ่ายทหารทหาร)  โจทย์คือการแย่งชิงกันว่าใครจะได้เป็นนายกรัฐมนตรี

2516-2549:  2516 มีการเปลี่ยนแปลง (16 ตุลา) ความขัดแย้งหลักคือรัฐกับประชาสังคม  14 ตุลาคม 16,  6 ตุลาคม 2519 ,  พฤษภาคม 35 ก็คือประชาชนสู้กับเผด็จการทหาร

ตั้งแต่ 2549  ถึงเมื่อไหร่ก็ไม่มีใครรู้  ความขัดแย้งหลักระหว่างขบวนการสังคมขนาดใหญ่บวกพรรคการเมืองขนาดใหญ่  เป็นการต่อสู้ระหว่างสถาบันประเพณี (และประชาธิปไตยประเพณี) กับสถาบันทางการเมืองประชาธิปไตยใหม่

ถ้าอยากเข้าใจความขัดแย้งก็ต้องมองความขัดแย้งอย่างซึ่งหน้าให้เห็นว่ารากของมันคืออะไร? มิฉะนั้นก็จะเห็นแต่ยอดของภูเขาน้ำแข็งไม่เห็นส่วนที่จมอยู่ในน้ำ  ไม่รู้ว่ากำลังเจอกับอะไรอยู่

อาจารย์เอนก เหล่าธรรมทัศน์เคยพูดถึงเรื่องสองนคราประชาธิปไตยว่าเป็นความขัดแย้งระหว่างเมืองกับชนบท  แต่ปัจจุบันมันเปลี่ยนไปมากแล้ว   ปัจจุบันเป็นปัญหาของประชาธิปไตยอำนาจนิยม (Authoritarian Democracy) กับอำนาจนิยมประชาธิปไตย (Democracy Authoritarianism)  ต่างกันตรงที่ฝ่ายหนึ่งมีที่มาของอำนาจอย่างเป็นประชาธิปไตยแต่ใช้อำนาจเกิน  อีกฝ่ายหนึ่งมีที่มาไม่ค่อยเป็นประชาธิปไตยแต่ใช้อำนาจค่อนข้างเป็นประชาธิปไตย

รัฐบาลของคุณทักษิณ  พรรคไทยรักไทยเป็นประชาธิปไตยอำนาจนิยม ที่มาของรัฐบาลมีความชอบธรรมเพราะประชาชนเลือกเข้ามา   รัฐบาลต่อมา(พลเอกสุรยุทธ)หรือคุณอภิสิทธิ์เป็นอำนาจนิยมประชาธิปไตย  เหตุผลคือที่มาถูกตั้งข้อสงสัยว่าไม่ค่อยชอบธรรม

การชนะแบบถล่มทลายบางทีเกิดความลำพองก็เป็นปัญหาของประชาธิปไตยอำนาจนิยม  แต่ปัญหาของอำนาจนิยมประชาธิปไตยคือบางทีต้องตีสองหน้า  ปากก็บอกว่าเป็นประชาธิปไตยแต่ที่จริงเป็นอำนาจนิยม

ความขัดแย้งปัจจุบันเป็นความขัดแย้งระหว่างขบวนการสังคมขนาดใหญ่และอำนาจรัฐ  ขบวนการสังคมขนาดใหญ่มีทุน มีสื่อ มีความสามารถในการผลิตข่าวลือความเกลียดชัง  มีเบื้องหลังที่มีอิทธิพล มีคนจำนวนมหาศาลที่โกรธจริงๆและมีความสัมพันธ์กับพรรคการเมือง  ไม่ว่าจะเหลืองหรือแดงหรือหลากสี  เป็นขบวนการทางการเมืองขนาดใหญ่ที่มีคะแนนโหวตฝ่ายละเกินสิบล้านทั้งคู่  แค่สิบเปอร์เซ็นต์ก็หมายถึงคนเป็นล้านแล้ว โอกาสที่จะเผชิญกันก็สูงทั้ง 2 ฝ่ายมีทุน  มีสื่อสารพัดรูปแบบ มีอิทธิพลและมีคนที่โกรธจริงๆทั้งคู่เหมือนกันด้วยเหตุผลคนละแบบ

ผลกระทบต่อสังคมไทยเป็นอย่างไร? จะประเมินอย่างไร?  ต้องพิจารณาสิ่งที่เรียกว่า cartographic effects  เป็นผลเชิงแผนที่

เวลาเกิด Tsunami  จะเกิด geographical map เกิดเกาะใหม่ๆ  แผนที่ทางภูมิศาสตร์เปลี่ยน

ความรุนแรงทางภาคใต้  สิ่งที่เกิดเป็น cultural map  แผนที่ทางวัฒนธรรมไทยเปลี่ยน  ในอดีตมีความพยายามของรัฐไทยใหม่ที่อยากจะให้คนที่ไม่เหมือนเราเป็นเหมือนกับเรา  สมัยก่อนเราพยายามจะบอกว่าเขาเป็นคนไทย  เพราะทำให้เราต้องมาพิจารณามุมมองต่างๆให้ชัดเจนขึ้น  และความขัดแย้งนี้จะจัดการอย่างไร?

ระบอบทักษิณ (Thaksin regime) ตั้งแต่ 2533-2534  ทำให้แผนที่ความภักดีของคนไทย (Loyalty Map)  เปลี่ยนแปลงไป   ความภักดีนี้ถูกท้าทายในบางลักษณะนำมาสู่การปฏิวัติ 2549  และเกิดความขัดแย้งมาจนถึงทุกวันนี้

การรัฐประหาร 19 กันยนและการกระชับพื้นที่พฤษภาคม 2553  กระทบแผนที่ Instrumental Map คือแผนที่ของการจัดการ  พอตัดสินใจแบบนี้ก็เป็นการยอมรับหรือการใช้ความรุนแรงเป็นคำตอบของการจัดการความขัดแย้ง  แผนที่ของเครื่้องมือในสังคมก็เปลี่ยน

การเลือกตั้ง 3 กรกฏาคม 2554 ก็กระทบ Right Map หรือแผนที่สิทธิของคน    การเลือกตั้งที่เกิดขึ้น  ผลของการเลือกตั้งคนจำนวนหนึ่งก็บอกว่าพรรคเพื่อไทยชนะพรรคประชาธิปัตย์  สำหรับนักวิชาการจำนวนหนึ่งคิดว่าไม่ใช่ประเด็นสำคัญ  ประเด็นสำคัญคือการเปลี่ยนแปลงที่เกิด  แผนที่สิทธิที่ว่าหมายความว่า  สิ่งที่เกิดขึ้นคือการช่วงชิง  ยืนยันความหมายของสิทธิ  สิทธิที่จะเลือก  สิทธิที่จะบอกว่าไม่ได้เลือกผิด สิทธิที่จะบอกว่าคนเลือกเขาเลือกเอง  อันนี้ก็เป็นปัญหา  คนจำนวนหนึ่งมองการเลือกตั้งแล้วบอกว่าคนเหล่านี้ถูกชักจูง ถูกหลอกลวง  อีกพวกหนึ่งบอกว่า  ไม่มีใครมาหลอก  เลือกเอง  เป็นตัวตนของเขา เป็นอัตลักษณ์

ผลการเลือกตั้งไม่ใช่แค่ใครจะมาเป็นรัฐบาลเท่านั้น  แต่ประเด็นคือการออกแบบทางสถาบันการเมือง (Institutional Designs) ไม่สามารถยับยั้งหรือทำให้การเปลี่ยนแปลงในพฤติกรรมและวัฒนธรรมการเมืองสะดุดหยุดลงได้

…………

หมายความว่าตั้งแต่รัฐธรรมนูญ 2550 มา คงมีความพยายามที่จะเปลี่ยนแปลง มีความพยายามที่จะหยุดการเดินทางของพรรคการเมืองพรรคหนึ่ง  หยุดความพยายามของรัฐบาลหรืออิทธิพลของคุณทักษิณโดยใช้ Institutional Designs หลายอย่าง (การออกแบบทางสถาบันการเมือง)  แต่พฤติกรรมของคนเปลี่ยนไปแล้ว  จะออกแบบอย่างไร?  ใช้กฏอะไร?  ใช้ผู้คนยังไง?  ใช้องค์กรอะไร? ก็หยุดไม่อยู่   ผลของมันก็คือผลของการเลือกตั้ง 3 กรกฏาคม ถึงแม้รัฐบาลที่มีอำนาจในเวลานั้นจะทำอย่างไร  ผลก็คือพรรคเพื่อไทยชนะ  เวลาชนะแปลว่าอะไร  แปลว่า Institutional Designs ทั้งหลายไม่ work คนเปลี่ยนไปแล้ว สังคมไทยเปลี่ยนไปแล้ว

จะมีโรงเรียนการเมือง  จูงใจหรือไม่จูง  พรรคการเมืองทั้งหลายก็พยายามทำกันอยู่  ประเด็นอยู่ที่ว่าคนเลือก  สุดท้ายเขาต้องตัดสินใจว่าจะเอายังไง  บังคับได้จริงรึเปล่าก็น่าสงสัย  ทำด้วยเหตุผลอะไรไม่ใช่ปัญหา แต่เขาตัดสินใจ  คนที่ทำมีเหตุผลทั้งสิ้น  แต่เราเข้าใจเหตุผลของเขารึเปล่า ?

Post to Facebook Facebook


การบริหารจัดการความขัดแย้งด้วยความสมานฉันท์ (1)

ไม่มีความคิดเห็น โดย จอมป่วน เมื่อ 1 ตุลาคม 2011 เวลา 23:46 ในหมวดหมู่ จอมป่วน #
อ่าน: 2583

วันศุกร์ที่ 16 กันยายน 2554  13.30-16.30 น.

ศาสตราจารย์ ดร.ชัยวัฒน์ สถาอานันท์

Chaivat

อาจารย์บอกว่าอยากพูดเรื่องที่อยากพูด  วันนี้ไม่พูดตามที่เชิญมาให้พูดแต่อยากพูดเรื่องความปรองดอง  อาจารย์ไม่ชอบบรรยายเลยใช้แบบถามให้นักศึกษาตอบหรือบางมีก็ไม่ต้องการคำตอบ

จะบริหารจัดการความขัดแย้งไปทำไม?

ดร.สมหมาย ปรีชาศิลป์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดมุกดาหาร

ตอนนี้มีความขัดแย้งในประเทศ  เรียนไปจะได้ไปแก้ปัญหาความขัดแย้งทางภาคใต้และแก้ปัญหาความแตกต่างทางความคิด

ศาสตราจารย์ ดร.ชัยวัฒน์ สถาอานันท์

แล้วจะบริหารจัดการความขัดแย้งได้หรือไม่?

อาจได้  อาจไม่ได้  แล้วจะทำไปทำไม? ความขัดแย้งเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับสังคม  ยังไงก็ต้องเกิด  เป็นไปได้ไหมว่าว่าปล่อยมันให้เกิดจะดีกว่า  เราอาจจะคิดผิดที่จะไปทำให้มันหายไป  เพราะถ้าหน่วยราชการมีปัญหามีความขัดแย้ง  แต่ผู้น้อยกลัวผู้ใหญ่ตลอดเวลา  ไม่กล้าจะบอกเลยคิดว่าหน่วยราชการหน่วยนั้นจะเป็นหน่วยราชการที่ดีไหม?  บอกยังไงเป็นอีกเรื่องหนึ่ง  ไม่ใช่ไปบอกในที่ประชุมใหญ่ก็ไม่ดี

ถ้าตั้งโจทย์เรื่องการบริหารความขัดแย้ง เรากำลังเปลี่ยนเรื่องของความขัดแย้งไปเป็นเรื่องของการบริหาร  ไม่ใช่เรื่องของการเมือง  การเมืองกับการบริหารต่างกันอย่างไร?

อับดุลอซิซ ตาเดอินทร์ ประธานฝ่ายสิทธิมนุษยชน  สมาคมยุวมุสลิมแห่งประเทศไทย

การเมืองเอาชนะกัน  แต่การบริหารความขัดแย้งต้องมานั่งคุยกันว่าความขัดแย้งเกิดจากอะไร? จะจัดการอย่างไร?

ศาสตราจารย์ ดร.ชัยวัฒน์ สถาอานันท์

ในทางทฤษฎี  การบริหารสามารถคิดในเชิงเทคนิค  การบริหารมีขั้นตอน  มีคำตอบทีค่อนข้างแน่นอน  แต่ถ้าเป็นปัญหาทางการเมืองคล้ายๆมันยุ่งกว่านั้น  มีผลประโยชน์มีอะไรอื่นๆเยอะแยะไปหมด

ไม่ใช่เรื่องการบริหารความขัดแย้ง  เป็นว่าเราจะอยู่กับความขัดแย้งและป้องกันไม่ให้ความขัดแย้งกลายเป็นความรุนแรง ต้องอาศัยความสมานฉันท์อย่างไร?  ไม่ใช่เป็นการบริหารจัดการทำให้มันหายไป

ความคิดเรื่องการบริหารความขัดแย้งในโลกนี่มี 2 ตระกูลหลัก ตระกูลหนึ่ง เชื่อว่าความขัดแย้งเป็นปัญหาต้องทำให้มันหมดไป  ตระกูลที่ 2 เชื่อว่าความขัดแย้งเป็นธรรมชาติ ทำยังไงก็ไม่หายแต่เปลี่ยนรูปไป

บางพวกเชื่อว่าความขัดแย้งเป็นของดี  ถ้าไม่มีความขัดแย้งก็ไม่มีความก้าวหน้า เช่นการสอนหนังสือในมหาวิทยาลัย   ถ้าสอนแล้วลูกศิษย์ทุกคนได้เท่ากับอาจารย์ก็ควรปิดมหาวิทยาลัย  ความรู้จะเจริญก้าวหน้าบางครั้งนักศุกษาต้องไม่เชื่อสิ่งที่อาจารย์บอกแล้วค้นหาสิ่งใหม่เอง  การเปลี่ยนแปลงกับการจัดการกับการเปลี่ยนแปลง การอยู่กับคนที่เห็นต่างเป็นเรื่องธรรมชาติ  โจทย์ไม่ใช่ทำให้ความขัดแย้งหายไป ไม่ใช่บริหารความขัดแย้งให้มันสงบราบคาบ  แต่เป็นการป้องกันความขัดแย้งไม่ให้เปลี่ยนเป็นความรุนแรง

เคยดูหนังเรื่อง Avatar  ไหม?

Avatar

ดูหนังเรื่อง Avatar  แล้วชอบไหม?  ให้เหตุผลว่าทำไมชอบ

นฤมล ศิริวัฒน์ สมาชิกวุฒิสภา

ชอบเพราะมันมีความคาดฝัน  สร้างสรร มนุษย์มีความต้องการมาก  ไม่สนใจคนอีกกลุ่มหนึ่งตั้งใจจะครอบครอง

ดร. แสนศักดิ์ ศิริพานิช รองอธิการบดีฝ่ายวิจัยและชุมชนสัมพันธ์ มหาวิทยาลัยราชภัฏสงขลา

เนื้อเรื่องดูแล้วเร้าใจ เป็นเรื่องการแก่งแย่งทรัพยากร  ความขัดแย้งในใจของคน  มีแง่คิดและมุมมอง

ศาสตราจารย์ ดร.ชัยวัฒน์ สถาอานันท์

Avatar เป็นเรื่องที่ว่าด้วยดาวเคราะห์อีกดวงหนึ่ง  ชาวโลกซึ่งได้ทำลายโลกไปจนหมดแล้วก้าวหน้ามากไปอยู่ในอวกาศ  เห็นดาวดวงนี้มีทรัพยากรที่โลกต้องการมาก  แต่คนในดาวเคราะห์ดวงนี้วิถีชีวิตแตกต่างกับชาวโลกมาก เป็นวิถีชีวิตที่ผูกพันกับดาวที่เขาอยู่  แผ่นดินที่เขาอยู่ สิ่งแวดล้อมที่เขาอยู่

เวลาขึ้นไปขี่ม้าต้องเอาผมไปเสียบเข้ากับตัวม้า เป็นการเชื่อมตัวเองเข้ากับธรรมชาติ  อาศัยอยู่ในต้นไม้  มีต้นไม้ขนาดใหญ่ที่ถือว่าเป็นเทพหรือพระเจ้า  ตรงต้นไม้เป็นที่ที่มีแร่ธาตุ  ทางโลกเราก็๋มีฝ่ายทหารฝ่ายความมั่นคงฝ่ายหนึ่ง  กับอีกฝ่ายหนึ่งก็ถอดร่างเข้าไปดูว่าเขาอยู่กันอย่างไร?  เข้าไปดูแล้วก็เข้าใจว่าเขาอยู่กันอย่างไร  ยอมรับความเป็นอยู่ของเขา  (เวลาเราจะดูกลุ่มอื่นให้เข้าใจความขัดแย้ง  เข้าใจสังคมของเขาก็ต้องถอดร่างเข้าไปดู)

ฝ่ายนี้ก็จะไม่เห็นด้วยกับอีกฝ่ายหนึ่งซึ่งเป็นผู้บริหาร นายทุน  ทหาร  ฝ่ายความมั่นคงที่เห็นว่ามันก็เป็นแค่ต้นไม้  เป็นของไม่มีค่า  เห็นชาวดาวเคราะห์นี้เป็นคนป่าเถื่อน  โลกก้าวหน้ากว่ามาก  มีหุ่นยนต์ มีระเบิด มีอาวุธร้ายแรง  อีกฝ่ายยังใช้ธนู  สิ่งที่ทำคือพยายามเข้าไปครอบครอง  ใช้กำลัง  ใช้ความรุนแรงเลยเกิดสงคราม

หนังเรื่องนี้ให้อะไรมากมายเกี่ยวกับความขัดแย้ง  ที่สำคัญคือในสายตาชาวโลกสิ่งที่เห็นไม่มีค่าอะไรเลย เป็นคนป่าคนเถื่อนเป็นต้นหมากรากไม้  แต่ในสายตาของชาวบ้าน  นั่นเป็นบ้านเขา เป็นวิถีชีวิตเขา เป็นอัตลักษณ์ของเขา

คำถามคือสังคมไทยถึงตรงนี้หรือยัง? หมายความว่าคนจำนวนหนึ่งเห็นว่าเรื่องนี้สำคัญ  คนอีกจำนวนหนึ่งบอกว่าไม่เลย  เช่นเรื่องน้ำ  ฝ่ายหนึ่งต้องการให้สร้างเขื่อน  อีกฝ่ายหนึ่งบอกว่าสร้างเขื่อนจะทำลายทุกอย่างที่เป็นอยู่ ถ้าไม่สร่างเขื่อนน้ำจะท่วม  ไม่ใช่หลายปีหน  แต่ท่วมปีละหลายหนและท่วมนาน  สภาวะแบบนี้คิดว่าคนจะทนได้นานเท่าไหร่?  ปัญหาก็คือมองกันคนละด้าน

ประเด็นสำคัญคือคนกลุ่มหนึ่งเห็นธรรมชาติเป็นของใช้  คนอีกกลุ่มหนึ่งเห็นธรรมชาติเป็นวิถีชีวิตเป็นของศักดฺ์สิทธิ  ความเชื่อแบบนี้กำลังปะทะกัน

กรณีท่อก๊าซมีปัญหา ปตท. กับฝ่ายชาวบ้าน

ปตท. บอกว่าในการสร้างท่อก๊าซยานาดาจากฝั่งพม่ามาที่ราชบุรีต้องผ่านพื้นที่ป่าเขาทุ่งใหญ่นเรศวรซึ่งเป็นพื้นที่ลุ่มน้ำชั้นหนึ่ง ในกระบวนการที่ทำได้พยายามป้องกันต้นไม้ทุกต้นในพื้นที่นั้น

ชาวบ้านถามว่าต้นไม้ทุกต้นใช่ไหม?

ปตท. บอกว่าต้นไม้ทุกต้นที่มีค่าตามที่ระบุไว้ของกรมป่าไม้  เป็นต้นไม้ที่มีราคา (Commercial Value)

ต้นไม้ที่มีค่าของกรมป่าไม้และ ปตท. กับของชาวบ้านก็แตกต่างกัน

สังคมไทยอยู่ตรงนั้นหรือยัง?

มาเรื่อง Titanic

titanic_2

Titanic  เรื่องใหญ่คือเรือล่มเพราะชนภูเขาน้ำแข็ง  ธรรมชาติของภูเขาน้ำแข็งส่วนที่เห็นพ้นน้ำเพียง 1 ใน 11  เวลามองความขัดแย้งสิ่งที่เห็นมีเพียงส่วนหนึ่ง  ส่วนที่มองไม่เห็นอีก 10 ส่วน  ทำอย่างไรจึงจะเห็นส่วนที่มองไม่เห็น  ถ้าจะทำงานด้านความขัดแย้งไม่ใช่มองแต่สิ่งที่เห็น  ต้องมองให้เห็นส่วนที่ไม่เห็นด้วย  และสิ่งที่มองเห็นสัมพันธ์กับสิ่งที่มองไม่เห็นอย่างไร?  ถ้าตอบตรงนี้ไม่ได้ก็จัดการความขัดแย้งไม่ได้  อยู่กับความขัดแย้งก็ไม่ได้

Post to Facebook Facebook



Main: 0.16525101661682 sec
Sidebar: 0.044804811477661 sec