สันติวิธีกับการแก้ปัญหาชายแดนใต้ (3)

โดย จอมป่วน เมื่อ 10 ตุลาคม 2011 เวลา 2:09 ในหมวดหมู่ จอมป่วน #
อ่าน: 2074

วันศุกร์ที่ 23 กันยายน 2554 เวลา 09.30 –12.30 น.

อาจารย์จิราพร บุนนาค อดีตรองเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ

การพูดคุยเพื่อสันติภาพ

ในทุกประเทศทั่วโลกที่มีความขัดแย้งและมีการใช้ความรุนแรงแล้ว  ในที่สุดก็ต้องพูดคุยและเจรจา  ได้ข้อยุติที่จะอยู่ร่วมกัน  ไม่มีประเทศไหนในโลกที่ใช้ความรุนแรงและใช้อำนาจบังคับ  แล้วจะมีสันติ  อยู่ร่วมกันได้อย่างยั่งยืน  ทางเลือกที่ควรเลือกและต้องเลือก  และถูกเลือกเป็นนโยบายและยุทธศาสตร์แล้วก็คือใช้สันติวิธีในการจัดการความขัดแย้งใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้

ในรายงานการวิจัยชิ้นนี้ก็ได้พูดถึงเรื่องการพูดคุยเพื่อสันติภาพและมีเรื่องที่ต้องทำให้เกิดความชัดเจน 2 เรื่องในการพูดคุยเพื่อสันติภาพ  เรื่องแรกก็คือต้องเข้าใจว่าการพูดคุยไม่ใช่การเจรจาต่อรอง  การพูดคุยเพื่อสันติภาพเป็นเรื่องที่อยู่ในกระบวนการในจุดเริ่มต้นซึ่งจะมีกระบวนการต่อเนื่องหรืออยู่ใน Peace Process

การพูดคุยเพื่อสันติภาพเริ่มต้นด้วยการทำให้เกิดบรรยากาศของการให้เกียรติกันก่อนระหว่างสองฝ่ายที่จะพูดคุยกัน  ฝ่ายที่มีอำนาจเหนือกว่าต้องส่งสัญญาณหรือแสดงท่าทีที่ให้เกียรติอีกฝ่ายหนึ่งก่อน  หมายถึงการทำให้อีกฝ่ายหนึ่งรู้สึกว่ามีความเท่าเทียมในการพูดคุย  ไม่ได้ด้อยกว่า  ทำให้รู้สึกว่ามีคุณค่าในการที่จะร่วมพูดคุยเพื่อหาทางออกร่วมกัน  ไม่ใช่การพูดคุยแบบที่ตั้งต้นก็ใช้อำนาจที่เหนือกว่าข่มอีกฝ่ายหนึ่ง

เวลาที่พูดคุยกันจะค่อยๆสร้างบรรยากาศของความไว้เนื้อเชื่อใจ  ซึ่งกันและกันเป็นลำดับ  ซึ่งเมื่อเห็นความจริงใจแล้วก็จะเกิดความไว้เนื่อเชื่อใจ

ต้องเลือกพื้นที่ที่ทั้งสองฝ่ายเชื่อว่ามีความปลอดภัยในการที่จะคุยกัน  และต้องคุยกันต่อเนื่อง  เมื่อคุยกันแล้วเห็นว่ามีข้อเสนอที่เป็นไปได้ในทางปฏิบัติก็ลองเอามาปฏิบัติดู  ลองทำดู เวลาคุยกันใหม่ก็จะพูดคุยกันว่าไปทำอะไรมาแล้วบ้างเป็นการต่อเนื่อง  ไม่ใช่คุยกันครั้งเดียวแล้วหายไปเลย

ในกรณีของ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ในขณะที่ยังไม่รู้ว่าใครเป็นใครที่ใช้ความรุนแรง ที่รู้แน่ๆจากหน่วยงานความมั่นคงและหน่วยข่าวทั้งหลายก็คือ BRN เป็นผู้ใช้ความรุนแรงมากกว่า PULO  เวลาที่คุยกันไม่จำเป็นต้องมี Track เดียวหรือ window เดียว  คุยกันหลายๆ Tracks  หลายๆ Windows  ได้

แต่เป็นการคุยที่สร้างสรรค์ในการอยู่ร่วมกัน  เช่นคนที่อยู่ในขบวนการมาคุยกับเรา เขาอาจห่วงเรื่องเยาวชนที่ติดยาเสพติดก็ต้องยืนยันในการแก้ไขปัญหา  เขาห่วงเรื่องคดีที่ไม่ได้ข้อสรุปสักทีทั้งๆที่นานแล้วหรือคดีที่รู้สึกว่าไม่ได้รับความเป็นธรรมก็ต้องอธิบาย  เช่นกรณีตากใบ กรือเซะก็ต้องอธิบาย

เขาอยากให้ความสำคัญเรื่องภาษาถิ่น  ภาษาอาหรับก็ต้องอธิบายว่าตอนนี้ทางการไทยได้มีการกำหนดนโยบายภาษาแห่งชาติโดยราชบัณฑิตยสถานเป็นผู้เสนอแล้วซึ่งให้ความสำคัญกับภาษาแม่หรือภาษาถิ่นในเรื่องของการเรียนการสอนในพื้นที่เท่าๆกับการเรียนรู้ภาษาไทย

ถ้ายังทำไม่ได้ก็บอกตรงๆว่ายังทำไม่ได้ด้วยเหตุผลใด  เรื่องเหล่านี้อยู่ในกระบวนการพูดคุย  เวลาพูดคุยกันอาจจะมีองค์กรหรือบุคคลที่ทั้งสองฝ่ายเชื่อถือหรือไว้ใจมาเป็น Facillitator เป็นผู้อำนวยความสดวก  เป็นผู้ประสานงานหรือเป็นพยานก็ได้  หรือจะเป็นองค์กรต่างชาติเช่น HDC(

Humanitarian Dialogue Center) ที่เคยทำกรณีอาเจะ  ก็คุยกันไปเรื่อยๆจนพัฒนาไปสู่ Formal Negotiation ได้

การพูดคุยเพื่อสันติภาพกับปัญหาความชอบธรรมของฝ่ายที่ร่วมพูดคุย

เวลาคุยก็มีปัญหาว่าจะคุยกับใคร  แต่ละฝ่ายก็ต้องการคุยกับตัวจริง  ชบวนการก็ต้องการคุยกับคนที่เป็นตัวแทนของรัฐบาลตัวจริงเหมือนกัน  ไม่ใช่ส่งนักวิชาการไปคุย  ต้องได้รับ Mandate และสามารถที่จะตกลงกันได้

การพูดคุยเพื่อสันติภาพ เป็นเรื่องของสันติวิธีที่โยงกับความมั่นคงมีประเด็นที่ต้องพิจารณาอีก 5 ประเด็น

  • การพูดคุยเพื่อสันติภาพอย่างเป็นทางการ  จะเกิดได้ไหม?  เกิดได้อย่างไร? เป็นเรื่องที่ฝ่ายนโยบายและฝ่ายปฏิบัติต้องคิดร่วมกัน
  • การพูดเพื่อสันติภาพโดยมี “คนกลาง” จะมีหรือไม่? ควรจะเป็นใคร? นอกเหนือจากองค์กรต่างชาติแล้วอาจจะเป็นตัวแทนประเทศใดประเทศหนึ่งที่มาเป็นผู้ประสานงาน  ผู้อำนวยความสดวก  หรืออยู่ในเวทีพูดคุยในฐานะพยาน
  • การพูดคุยเพื่อสันติภาพกับการสร้างบรรยากาศสันติภาพควรจะทำควบคู่ไปกับเวลาที่อยู่ใน Peace Process  เพราะถ้ามีบรรยากาศไว้เนื้อเชื่อใจกันก็จะเลือกสันติวิธี ความรุนแรงจะลดลงไปเอง  ไม่ควรข้ามขั้นตอนไปต่อรองให้ยุติความรุนแรงตรงนั้นตรงนี้ก่อน  ในการเจรจาต่างก็ต้องการ win-win  win-win ไม่ใช่ต้องได้ในสิ่งที่ตัวเองต้องการแล้วชนะ  แต่ win-win ในสันติวิธีคือการให้ในสิ่งที่ิีกฝ่ายอยากได้เป็นชัยชนะที่เหนือกว่า  เป็นชัยชนะในความรู้สึกว่าได้ให้  อีกฝ่ายรับแล้วมีความสุขและภูมิใจ
  • ยุทธศาสตร์การพูดคุยเพื่อสันติภาพที่มีเอกภาพในทิศทาง แต่มีหลายช่องทางในการเจรจา
  • การพูดคุยเพื่อสันติภาพในฐานะบททดสอบความเข้มแข็งของรัฐ  ต้องมีหลักคิดว่ามีแต่รัฐที่เข้มแข็งเท่านั้นจึงจะพร้อมนั่งลงพูดคุยกับผู้ที่มีความเห็นต่างทางการเมืองการปกครองด้วยความมั่นใจในตนเอง

พอพูดถึงการเมืองการปกครองก็จะมีประเด็นของการแสวงหาทางเลือกทางการเมืองการปกครอง

ข้อสรุปที่ 1: ประเด็นเรื่องเขตปกครองพิเศษสำหรับจังหวัดชายแดนภาคใต้ที่เคยเป็นเรื่องต้องห้ามในสังคมไทย  ตอนนี้ดูจะได้กลายเป็นประเด็นสาธารณะที่พูดคุยกันได้มากขึ้นแล้ว  สถาบันพระปกเกล้าก็ร่วมกับหลายองค์กรจัดเวทีพูดคุยถึง 47 เวที  แต่ก็ยังไม่มีข้อสรุป  มีสภาประชาสังคมจังหวัดชายแดนภาคใต้ซึ่งจะทำเรื่องขบวนการยุติธรรมกับเรื่องการเมืองการปกครองที่เหมาะสมที่เป็นความต้องการของคนในพื้นที่ี  อาจจะเป็นแค่ท้องถิ่นลักษณะพิเศษแบบ กทม. และพัทยาก็ได้

ข้อสรุปที่ 2: มีการศึกษาถึงรูปแบบการปกครองท้องถิ่นที่เหมาะสมสำหรับจังหวัดชายแดนภาคใต้  และการรวบรวมประสบการณ์จากต่างประเทศเข้ามาประกอบการพิจารณา

ข้อสรุปที่ 3: ไม่มีการศึกษาเรื่องความขัดแย้งเชิงชาติพันธุ์-ศาสนาชิ้นใดเห็นว่าการใช้มาตรการรุนแรงทางทหารจะนำไปสู่ข้อยุติของความขัดแย้งระหว่างกลุ่มชาติพันธุ์ได้อย่างยั่งยืน

จากข้อค้นพบต่างๆที่ได้พูดถึงงานวิจัยมีข้อเสนอทางเลือกทางการเมืองการปกครอง 3 ข้อ

  1. แนวทางการพัฒนากระบวนการประชาธิปไตย
  2. การปรับและ/หรือจัดตั้งโครงสร้างสถาบันทางการเมือง เศรษฐกิจและสังคมเพื่อรองรับการมีส่วนร่วมของประชาชน
  3. แนวคิดเรื่องเขตปกครองพิเศษในฐานะทางออกสำหรับ “ความขัดแย้งรุนแรงทางชาติพันธุ์” อย่างสันติและยั่งยืน

เวลาพูดถึงเรื่องการเมืองการปกครองก็ต้องพูดถึงปัญหาและข้อถกเถียงบางอย่างด้วยเช่นกัน เช่น

  • การให้ความหมายของ”เขตปกครองพิเศษ” ในบริบทของสถานการณ์ความขัดแย้งใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้และบริบทของสังคมไทย
  • ตำแหน่งแห่งที่ของอัตลักษณ์ทางชาติพันธุ์ในโครงสร้างทางการเมืองการปกครอง
  • เสถียรภาพของโครงสร้างทางการเมืองการปกครองแบบใหม่กับความสามารถในการจัดการตนเอง
  • ความสัมพันธ์ระหว่างการปรับเปลี่ยนโครงสร้างทางการเมืองกับการยุติความรุนแรง

ทำไมต้องคิดเรื่องยุทธศาสตร์สันติวิธีเวลานี้หลังจากความรุนแรงมากขึ้นๆ  เพราะจากตารางจะเห็นว่าจำนวนการก่อความรุนแรงลดลงแต่จำนวนผู้บาดเจ็บล้มตายสูงขึ้น  การส่งสัญญาณของผู้นำรัฐบาลกับผู้นำระดับสูงในการปฏิบัติส่งสัญญาณชัดไหมเรื่องการใช้สันติวิธีในการจัดการความขัดแย้ง  สามารถคุมเจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติหน้าที่ในพื้นที่ไม่ให้ปฏิบัติออกนอกกรอบของกฏหมายได้หรือเปล่า?

เงื่อนไขที่เอื้อต่อความสำเร็จของสัญญาณเชิงบวกกับการแปลงเปลี่ยนขับเคลื่อนความขัดแย้ง (Conflict Transformation)

  1. หัวใจของความสำเร็จของยุทธศาสตร์สันติวิธีอยู่ที่ความเข้าใจใหม่ต่อมโนทัศน์เรื่อง ”อำนาจ” และ “ความเข้มแข็งของรัฐ”
  2. ภาวะผู้นำ (Leadership) และความกล้าในการตัดสินใจทางการเมือง
  3. หน่วยงานกลางที่เป็นอิสระในการติดตามความก้าวหน้าและประเมินผลทางยุทธศาสตร์ชาติ
  4. ระดับความเข้มแข็งของภาคสังคมกับศักยภาพในการถักทอสายสัมพันธ์ระหว่างผู้คนที่แตกต่างในบริบทของความรุนแรง

ทั้ง 4 ข้อจำเป็นต้องทำให้เกิดเพื่อแปลงเปลี่ยนขับเคลื่อนความขัดแย้ง

ยุทธศาสตร์การจัดการความรุนแรงภาคใต้

  • การสถาปนาอำนาจรัฐและเสริมสร้างความเข้มแข็งของรัฐในมุมมองของสันติวิธีเป็นการพยายามสร้างดุลภาพระหว่างความมั่นคงของรัฐบนพื้นฐานความเข้มแข็งของสังคม
  • ข้อเสนอให้พยายามจำกัดอาวุธปืนในมือพลเรือน,   พยายามเปิดพื้นที่ทางการเมืองให้กับประชาชนผู้มีส่วนได้ส่วนเสียได้ร่วมกันตั้งต้นออกแบบนโยบายที่เกี่ยวข้องกับชีวิตและความมั่นคงปลอดภัยของพวกเขา,   ความพยายามในการสรรหาช่องทางการพูดคุยเพื่อยุติความรุนแรง,   การเปิดพื้นที่ให้มีการถกเถียงหรือร่วมผลักดันให้สถาปนาสถาบันทางการเมืองขึีนใหม่ให้สอดคล้องกับความต้องการของประชาชนในพื้นที่  ล้วนสะท้อนสถานะของรัฐที่เข้มแข็ง
  • เพราะแนวทางเหล่านี้ล้วนเอื้อต่อสัมพันธภาพที่มั่นคงระหว่างรัฐกับประชาชนบนฐานของความมั่นใจในกันและกันต่อไปในระยะยาว

ที่พูดมาเพื่อให้เห็นภาพว่าสันติวิธีใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้เกิดขึ้นไม่ได้ถ้าอำนาจรัฐเข้มแข็งแต่ภาคประชาชนอ่อนแอ  และถ้าประชาชนเข้มแข็งแต่รัฐอ่อนแอก็มีปัญหาเช่นเดียวกัน  ต้องเข้มแข็งด้วยกัน

สันติวิธีในเชิงยุทธศาสตร์หนีไม่พ้นที่จะไปเกี่ยวข้องกับความคิดในการทำงานของสื่อมวลชน  เพราะสื่อมวลชนเป็นตัวเชื่อมประสานความจริง ความต้องการ ความเห็น  ปัญญา  การแก้ไขปัญหาในทุกมิติ  มิติเชิงโครงสร้าง  มิติทางวัฒนธรรม  วิถีชีวิต  ความรู้สึกอารมณ์ต่างๆ  ทั้งความเจ็บปวดและความภูมิใจของคนในพื้นที่  ต้องผ่านกระบวนการสื่อสารโดยสื่อมวลชนซึ่งเป็นตัวหลักที่มีความสำคัญในการที่จะขยายผลทำความเข้าใจ  ข้อเสนอและความต้องการต่างๆ

เป็นการทำความเข้าใจที่ไม่ไปทำให้เกิดความขัดแย้งแตกแยกกันมากขึ้น  เป็นการเอื้อให้มีบริบทของการสร้างสรรค์ การอยู่ร่วมกันอย่างสันติสุข  แต่ก็ต้องไม่ทิ้งความจริง  ความจริงที่เจ็บปวด  ความจริงที่ภูมิใจ ที่งดงามก็นำเสนอได้  แต่เทคนิคและวิธีการนำเสนอ  ความละเอียดอ่อนของความคิดเห็น  ความรู้สึก  อารมณ์ของผู้รับจำเป็นต้องคำนึงถึง

สันติวิธีในจังหวัดชายแดนภาคใต้จำเป็นต้องเชื่อมโยงกับปัญญาและการปฏิบัติ การขยายผลของสื่อมวลชนด้วย  และต้องอาศัยพลังวัฒนธรรม 7 กลุ่ม

  1. กลุ่มศาสนาทุกศาสนา
  2. นักการศึกษา  ตั้งแต่ครูสอนตาดีกาไปจนถึงอาจารย์มหาวิทยาลัยและนักวิชาการอิสระ
  3. กลุ่มการเมืองท้องถิ่น  การเมืองการปกครองระดับท้องถิ่นและระดับชาติในพื้นที่
  4. กลุ่มสื่อมวลชน
  5. กลุ่มสตรีในพื้นที่
  6. กลุ่มเยาวชน
  7. กลุ่มนักกฏหมายในพื้นที่

ภาคประชาชนสงสัยว่าภาครัฐมีความจริงใจในการแก้ปัญหาหรือไม่?  แจกแพะ แจกแกะ  ให้ของก็มากแต่ไม่ใช่ความต้องการของประชาชน  ประชาชนมีความรู้สึกว่าการให้ไม่ได้ความรู้สึกเป็นเจ้าของ  ความรู้สึกเป็นเจ้าของจะเกิดได้ต้องมาจากกระบวนการมีส่วนร่วมอย่างแท้จริง  ไม่ใช่เป็นเพียงรูปแบบ  ให้เท่าไหร่ก็ไม่ชนะสักทีเพราะประชาชนรู้สึกแบบนี้

ในแง่ประวัติศาสตร์ไม่ได้มีแต่ความงดงาม  มีความเจ็บปวดด้วยทั้งฝ่ายประชาชนและฝ่ายรัฐ  แต่ไม่ควรเอาความเจ็บปวดมาเป็นความเจ็บแค้นไม่รู้จบ  ทำให้ใช้สันติวิธีไม่ได้ผล  น่าจะเป็นบทเรียนไม่ให้เกิดขึ้นอีก

คนในพื้นที่มีความภูมิใจในความงดงาม  สื่อมวลชนควรนำมาถ่ายทอดให้สังคมไทย  สังคมโลกได้รับรู้ว่าอะไรเป็นสิ่งที่ภูมิใจ  สวยงามที่คนภาคใต้ต้องการให้เรารับฟัง  อะไรเป็นความคับแค้นใจที่เราควรรับฟัง  ต้องได้ฟังจากปากของคนที่ได้รับความคับแค้นใจ  ต้องฟังแล้วเข้าใจว่าคนในพื้นที่คิดอย่างไร?  ต้องการอะไร?

เรื่องของการรับรู้ที่สั่งสมที่แตกต่างกันในเชิงลบจะกลายเป็นข่าวลือนำไปสู่ความสับสน  ทำให้เกิดอารมณ์ไม่พอใจ  คับแค้นใจ  เป็นข่าวลือที่ด่วนสรุป

เจ้าหน้าที่รัฐก็มีการรับรู้ที่สั่งสม  เห็นคนมุสลิมมีความแตกต่าง   เห็นคนในพื้นที่สีแดงเป็นคนที่ให้ที่พักพิงแก่ผู้ที่ก่อความไม่สงบ

Hero ของประชาชนกับ Hero ของรัฐก็ไม่ตรงกัน  มักจะเป็นคนละคนกัน ความคิดความรู้สึกที่แตกต่างกันทำให้เกิดการปฏิบัติที่สวนทางกับนโยบาย  สร้างเงื่อนไขใหม่ขึ้นมาอีก  ทำให้ปัญหารุนแรงต่อไปขณะที่ประชาคมโลกกำลังเฝ้ามองอยู่

ความรู้สึกเป็นพวกเดียวกันเป็นเรื่องสำคัญ  ต้องอย่าให้ Activist กลายเป็นนักต่อสู้ และอย่าให้นักต่อสู้กลายเป็นผู้ก่อการร้าย

อับดุลอซิซ ตาเดอินทร์ ประธานฝ่ายสิทธิมนุษยชน  สมาคมยุวมุสลิมแห่งประเทศไทย

ในยุทธศาสตร์ความมั่นคงของชาติที่ฝึกอาวุธให้พี่น้องไทยพุทธ  เป็นห่วงค่อนข้างมากเพราะมีพี่น้องไทยพุทธสองแสนกว่าคน แต่อพยพถิ่นฐาน  ขายที่ไปอยู่ที่อื่นก็เหลือน้อยลง  น่าจะเป็นยุทธศาสตร์ที่ผิดพลาดเพราะถ้ามีการฝึกอาวุธ ติดอาวุธโดยถูกกฏหมาย  เอากำลังทหารไปคุ้มครองวัด  คุ้มครองชุมชนที่เป็นไทยพุทธทำให้ความขัดแย้งขยายมากขึ้น  สังเกตเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมีการตายสลับกัน  เกิดการแก้แค้นกัน

ปัจจุบันมีการค้าอาวุธในพื้นที่  ครูมีปืนคนละ 2 กระบอก ซื้อมาราคาถูกแล้วขายต่อเอากำไร  อาวุธปืนไม่รู้ไปอยู่ที่ใคร

Post to Facebook Facebook

« « Prev : สันติวิธีกับการแก้ปัญหาชายแดนใต้ (2)

Next : แนวทางการเสริมสร้างสังคมสันติสุขในจังหวัดชายแดนใต้จากมุมมองของ ศอ.บต. » »


ผู้ใช้ Facebook สามารถให้ความเห็นที่นี่ได้ โดยกด Like เพื่อแสดงตัว

ความคิดเห็นสำหรับ "สันติวิธีกับการแก้ปัญหาชายแดนใต้ (3)"

ไม่มีความคิดเห็น

แสดงความคิดเห็น

ท่านอยากจะเข้าระบบหรือไม่


*
To prove you're a person (not a spam script), type the security word shown in the picture. Click on the picture to hear an audio file of the word.
Click to hear an audio file of the anti-spam word


Main: 0.16225218772888 sec
Sidebar: 0.057265996932983 sec